คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทนำเพื่อเปิดม่าน : Person from Anonymous (1)
“สถานที่นี้ไม่ถูกระบุชื่อเอาไว้ในแผนที่โลกใดๆเลย
แน่ใจจริงหรือครับว่าคุณมาจากสถานที่เหล่านั้น
หรือบางทีแล้ว---ที่ๆคุณอยู่น่ะ…”
-เดียร์ คราวลี่ย์
“ผู้มาจากนิรนาม”
***
“เล่มนี้ก็ไม่เจอเลยครับ”
“แล้วเล่มนี้?”
“ผมหาไปก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่เจอเช่นกันครับ”
“…เฮ้อ”
เด็กสาวเรือนผมสีขาวกับร่างสีซีดราวกระดาษของเธอถอดถอนหายใจออกมายามเมื่อไม่ว่าจะดูข้อมูลกี่ครั้งต่อกี่ครั้งภายในห้องสมุด เธอก็ไม่เจออะไรที่เกี่ยวกับบ้านเกิดของเธอ---เมืองอ๊อกฟอร์ดที่ประเทศอังกฤษเลยแม้แต่น้อย
ใช่แล้ว…นี่น่ะเป็นเพียงแค่ความฝัน ความฝันแฟนตาซีที่ไหนกันจะไปรู้จักอังกฤษได้กันล่ะ?
มารีเม้มริมฝีปากราวเป็นกังวลและหวาดกลัวขณะที่อาจารย์ใหญ่เปิดหนังสือท่องรอบโลกฉบับแก้ไขเล่มที่ยี่สิบห้าภายในห้องสมุดโอ่อ่า
เพราะแบบนั้นแล้ว รีบๆตื่นขึ้นมาซักทีเถอะตัวฉัน
***
-ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น
“ขอปฏิเสธ” มารีกล่าวเสียงดังฟังชัดภายในหอกระจกที่เงียบสงบ
“อะ-เอ๋!? ผมคิดว่าคุณจะหลงก…แฮ่ม คล้อยตามผมไปแล้วแท้ๆเชียวนะครับ!”
“…”
บัดนี้เธอมองชายตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยท่ามกลางความเงียบสงัดของหอกระจกที่ล้อมรอบไปด้วยโลงศพสีดำมากมาย มารีเงียบลงอย่างจนปัญญากับชายตรงหน้าที่กำลังทำท่าปาดน้ำตาปลอมอย่างสุดหัวใจ
ความคิดบางอย่างแล่นเข้าสู่สมองของเธอมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นภาพดังกล่าว
เสแสร้งชัดๆ…
"สายตาแบบนั้นนั่นมันอะไรกันครับ?"
“ฉันแค่มองอากาศเท่านั้นเอง” เธอเอ่ย เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เงียบไปนานๆเข้าเด็กสาวก็ค่อยๆเอ่ยออกมา น้ำเสียงนั้นดูเบาลงคล้ายรู้สึกผิดอยู่พอควร “ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ…”
“แหม่ มารีคุงเป็นเด็กดีกว่าที่คาดนะครับ” เธอเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่คราวลี่ย์ที่เงียบไปอีกรอบ ท่าทางดูกุมคางเชิงสงสัย" แล้วทำไมถึงลงคำว่า ค่ะ ต่อท้ายรึครับ?"
ครานี้เป็นฝ่ายเด็กสาวที่เลิกคิ้วสงสัยเสียแทน
“ก็ฉันน่ะเป็นผู้หญิงนิคะ ทำไมจะใช้ไม่ได้?”
บรรยากาศความเงียบโรยรารอบตัวพวกเขาทั้งสองที่จู่ๆก็เกิดอาการเงียบกันไปทั้งคู่ ดวงตาสีอำพันของคราวลี่ย์เบิกตากว้างขึ้นขณะที่มารีทำหน้าสงสัยหนักกว่าเก่า นี่เธอพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นหรือ? ไฉนจึงทำสีหน้าออกมาเช่นนี้กันเล่า?
“มะ…มารีคุงเป็นเด็กผู้หญิง?”
“ก็ใช่น่ะสิคะ” เด็กสาวกอดอก นี่อย่าบอกนะว่ามีคนเข้าใจผิดว่าเธอเป็นเด็กผู้ชายอีกแล้วน่ะฮึ?
“ผมนึกว่าเธอจะเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กมาตลอดเสียอีก” เขาเอ่ยพลางลูบคาง “ปริมาณรูปร่างอย่างกับโรสฮาร์ทที่เป็นหัวหน้าหอฮาร์ทสลาบิวไม่มีผิดเลยครับ”
เด็กสาวมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยเมยราวกับเป็นเรื่องปกติ ที่จริงเรื่องแบบนี้ก็มีคนทักเธอมาบ่อยๆเหมือนกันว่ารูปร่างราวกับเด็กไม่โต บริเวณหน้าอกเองก็แบนราบราวกับการเจริญเติบโตนั้นไม่ได้ถูกบันทึกลงในพจนานุกรมในร่างกายของเธออย่างไรอย่างนั้น ที่ๆจะทำให้ทุกคนพอแยกเธอออกจากพวกเด็กผู้หญิงได้ก็คือส่วนสูงนี่แหละที่น่าจะเป็นกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ที่ไม่เห็นหัวพวกเธอ
“อาหารน่ะ แค่มีไว้กินกันท้องหิวก็พอแล้วค่ะ” เด็กสาวยกมือสากของตนเองที่กอดอกอยู่ผายมือออก “เรื่องเจริญเติบโตได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น ฉันไม่ซีเรียสเรื่องยิบย่อยพวกนั้นหรอกค่ะ”
“ผมชักสงสัยแล้วสิว่าคุณเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกันแน่” คราวลี่ย์พึมพำเสียงเบาจนเธอไม่ค่อยได้ยินเท่าใดนัก กว่าจะได้ยินอีกทีหนึ่งก็คือตอนที่เขาเปลี่ยนหัวข้อเรื่องเสียแล้ว “แต่ถ้าเกิดคุณเป็นผู้หญิง ผมก็คงต้องส่งคุณกลับไปที่บ้านล่ะนะ ไม่อย่างงั้นมันจะเกิดเรื่องวุ่นวายในภายหลังเอาได้ ถึงจะเสียดายก็เถอะ อืม…”
“จริงเหรอ จริงเหรอคะ!?”
จะได้ตื่นจากฝันนี้ซักที เธอรอมาตั้งนานแล้ว(หลายชั่วโมงเลยนะที่ต้องเจออะไรวุ่นวายๆก็ไม่รู้!) ใบหน้าของเด็กสาวฉีกยิ้มกว้างคล้ายดีอกดีใจราวกับเรื่องร้ายๆที่เจอมาเป็นเพียงขี้ฝุ่น เบนจามินต้องรอเธอกลับไปอยู่แน่ๆเขาคงคิดถึงแทบแย่ถ้าพบว่าพี่สาวอย่างเธอไม่ได้ไปหาเขามาตั้งหลายชั่วโมงแบบนี้
“ครับ แค่ขึ้นไปหากระจกแห่งความมืด” เธอตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์ใหญ่คราวลีย์พูดขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา “แล้วจากนั้นก็นึกถึงบ้านของเธอ แค่นี้มารีคุงก็จะสามารถกลับไปได้แล้วล่ะครับ…เอ๊ะ นี่รีบจนถึงขนาดขึ้นไปรออยู่ก่อนเลยเหรอครับ!?”
“ก็ฉันอยากกลับบ้านไวๆนิคะ” อยากตื่นจากฝันไวๆไปพบน้องชาย “เดี๋ยวน้องชายฉันเขารอนาน”
“เฮ้อ…เข้าใจแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นผมขอให้คุณถึงบ้านโดยปลอดภัยนะครับมารีคุง”
“ค่ะ” แล้วถ้าไม่ต้องเจอกันในความฝันอีกจะดีมากเลย
เด็กสาวหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับกระจกแห่งความมืด ดวงตาสีน้ำขาวของเธอประสานสายตากับดวงตาไร้แววของกระจกแห่งความมืด เธอเริ่มค่อยๆนึกถึงภาพบ้านเกิดของตัวเองที่ปรากฎออกมาทีละนิดๆ
มันเป็นภาพที่มีความสุข แม้ว่าจะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนที่แท้จริงของตัวเองก็ตาม แต่เธอที่อาศัยอยู่กับเบนจามินในครานั้นกลับเต็มไปด้วยความสุขมากมายเหลือคณา
ภาพที่พวกเราเล่นด้วยกัน ภาพที่พวกเราทำการบ้านด้วยกัน ภาพของเขาที่ช่วยเป็นแบบให้รูปภาพของเธอ แม้กระทั่งในวันที่เขานั้น___…
…เขา___? เขาอะไรกัน ช่างไร้สาระเสียจริง ภาพจินตนาการแบบนั้นไม่มีอยู่จริงหรอก!!
เธอแค่นึกไปเองมารี เลิกนึกเรื่องร้ายๆเกินเหตุเสียที!!
“ไม่สามารถระบุได้…”
เอ๊ะ?
“สถานที่แห่งนั้นไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้”
ว่า…ยังไงนะ?
“โกหก โกหกแน่ๆ…” เสียงของเด็กสาวเริ่มดูไม่คงที่อย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเธอสั่นเทิ้ม ในแววตาสีขาวนั้นฉาบไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขั้วหัวใจ “มันต้องมีอยู่จริงสิ บ้านของฉัน…เบนจามินก็รออยู่ด้วย!!”
เสียงตะโกนของเด็กสาวดังก้องราวสิ้นสติสัมปชัญญะ ร่างของเธอยืนนิ่งราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายควบคุมทิ้งจนใกล้จะล้มแหล่มิแหล่ ขณะแผ่นหลังในชุดพิธีการใหญ่เกินตัวยังคงถูกสวมอยู่บนร่าง คราวลี่ย์ที่มองอยู่พักหนึ่งเช่นนั้นจึงเดินเข้ามาประคองร่างของเธอ ดวงแสงสีอำพันเฝ้ามองใบหน้าเวทนาของเด็กสาวที่ยังไม่หายช็อคดี
ท่าทางนั้นราวดูเหมือนลูกนกที่สูญเสียที่พึ่งพิงไม่มีผิด
“ไม่เป็นไรนะครับ” คราวลี่ย์เอ่ยเช่นนั้น มือถือวิสาสะลูบแผ่นหลังของเด็กสาวและพบว่าร่างกายของเธอดูจะผอมกว่าเด็กสาววัยเดียวกันนิดหน่อย “ถ้างั้นพวกเราไปตามหาข้อมูลที่หอสมุดกันดีไหมครับมารีคุง?”
“ที่นั่น…จะมีทางออกจริงๆหรือคะ?” เด็กสาวเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่แห่งไนท์เรเวนคอลเลจ ท่าทางดูน่าอดสูนัก “แล้วถ้าเกิดว่ามันไม่มีล่ะคะ?”
คราวลี่ย์สบสายตากับเธอก่อนไม่กี่นาทีจะตอบกลับไป
“แต่ถ้าไม่ไปก่อนก็ไม่รู้น่ะสิครับว่ามันมีจริงไหม มารีคุง”
***
-กลับสู่ปัจจุบัน
“ไม่มี…” เสียงของเด็กสาวที่นำศีรษะฝุบลงไปกับโต๊ะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมดหวัง “ทำยังไงดี…ทำยังไงดี แย่แน่เลยแบบนี้”
เบนจามิน…เบนจามิน
“น่าแปลกจริง สถานที่ที่เธอกล่าวมาไม่มีอยู่ในหนังสือเล่มใดหรือแม้กระทั่งแผนที่โลกเลยนะครับ” เสียงของคราวลี่ย์ดังขึ้นทำให้เด็กสาวยิ่งทำหน้าสิ้นหวังเข้าไปเต็มกลืนราวกับทานยาเบื่อหนูเข้าไป “แน่ใจจริงๆหรือครับว่าเธอมาจากที่พวกนั้น?”
“ก็ต้องแน่ใจอยู่แล้วสิคะอาจารย์ใหญ่” มารีพยายามทำน้ำเสียงของเจ้าหล่อนให้ดูใจเย็น แม้ว่าใจของเธอจะเตลิดเปิดเปิงไปเสียขนาดไหนก็ตามที “ก็ที่นั่นน่ะฉันอยู่มานานขนาดนั้น…พร้อมกับน้องชาย”
สุรเสียงท้ายห้วงของเด็กสาวดูแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับหวนระลึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สุดท้ายอาจารย์ใหญ่จึงนำหนังสือทั้งหมดไปเก็บแทนที่เด็กสาวที่นั่งซึมราวกับไม่สามารถทำใจได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
เวลาผ่านไปพักหนึ่งที่ดวงตาสีขาวของเด็กสาวยังคงจับจ้องแผ่นหลังของอาจารย์ใหญ่ที่ยังคงหันหลังให้กับเธอเพื่อนำหนังสือทั้งหมดไปจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทางโดยใช้เวทมนตร์ เธอเบือนสายตากลับไปมองที่ตัวเองอีกครั้ง สองมือสอดประสานกันบนหน้าตัก…และหลังจากนั้นในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกมาเสียที
“อาจารย์ใหญ่คะ” เธอเอ่ยเสียงเรียกเขา แต่ยังไม่ทันที่คราวลี่ย์จะตอบกลับไปเด็กสาวก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “ที่นี่คือความฝันหรือเปล่าคะ?”
ตลอดมาเธอภาวนาเช่นนี้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงความฝัน แต่จิตใจน้อยๆของเธอที่คิดเช่นนั้นก็เริ่มพังทลายลงมาเมื่อพานพบกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าของผู้คนภายในโรงเรียนที่แจ่มชัดไม่เบลอ หรือแม้กระทั่งการพูดคุยระหว่างคนภายในโรงเรียนต่างมีบุคคลิกที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มันเป็นเอกลักษณ์เกินไปจนไม่อาจคิดได้แค่ว่าคนๆนั้นเป็นแค่ความฝันที่เธอสร้างขึ้น
เธอพยายามคิดว่ามันเป็นความฝัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของเธอกลับเป็นความจริงขณะที่จิตใจของเธอได้แต่หลอกตนเอง…
ถ้าเกิดเป็นเบนจามินล่ะก็…น้องชายของเธอจะทำอย่างไรนะ?
“ที่นี่ไม่ใช่ความฝันครับมารีคุง” เสียงของอาจารย์ใหญ่คราวลี่ย์ทำให้เด็กสาวที่เริ่มจะหันมายอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้นยอมพยักหน้ารับน้อยๆ “แต่ผมมีข้อสันนิฐานอยู่ข้อหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด”
ข้อสันนิฐาน?
“มันคืออะไรหรือคะ?” เด็กสาวเลิกคิ้วด้วยแววตาสงสัย ก่อนที่ไม่นานนักคำตอบจะดังออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มอมนุษย์ที่เดินมาเลื่อนเก้าอี้แล้วจัดการนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเธอ
“เรื่องที่ว่าคุณมาจากต่างโลกยังไงล่ะครับ”
ต่างโลกเหรอ?
“จะว่าไปที่โลกของฉันก็ไม่มีของลอยไปลอยมาได้ขนาดนี้ด้วย” น้ำเสียงที่เริ่มอ่อนโอนตามข้อสันนิฐานจากอาจารย์ใหญ่เอ่ย “แล้วก็ที่นี่ก็มีเวทมนตร์ ถ้าเป็นแบบนั้นหมายความว่าฉันถูกอัญเชิญมาที่นี่หรือคะ?”
“พูดตามตรงก็ใช่ครับ กรณีของคุณเป็นสิ่งที่พิเศษมากเพราะตลอดร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพาคนไร้เวทมนตร์หรือคนจากต่างโลกมาที่นี่เลย” เธอได้ยินน้ำเสียงที่ดูจริงจังของเขา “แต่ถ้ามีวิธีอัญเชิญมาก็ต้องมีวิธีส่งกลับเหมือนกัน บางทีผมอาจจะต้องไปตามหามันเสียหน่อย….แฮ่ม ถ้ามีเวลาน่ะนะ”
เด็กสาวขมวดคิ้ว
“คุณจะรับผิดชอบใช่ไหมคะอาจารย์ใหญ่?” ยังไงเธอก็ถูกอัญเชิญมาโดยฝีมือของโรงเรียนนี้ ถ้าไม่รับผิดชอบน่ะสิแปลก
“แน่นอนว่าจะรับผิดชอบครับ แต่คุณเองก็มาอยู่ที่นี่ฟรีๆไม่ได้เหมือนกัน” เขากอดอก ดวงแสงสีอำพันนั่นดูเปล่งประกายระยิบระยับ “ถ้าคุณยอมให้ผมศึกษาพลังของคุณ---”
“ทางเดินกับบริเวณอาคารหอกระจกเหมือนจะมีรอยไหม้นิดหน่อยนะคะ”
“ครับ?”
“ใบไม้ก็ร่วงเต็มพื้นอย่างกับไม่มีคนกวาด การจัดการความสะอาดที่โรงเรียนนี้ไร้ประสิทธิภาพขนาดนี้สมกับชื่อเสียงโรงเรียนจริงๆหรือคะ?”
“เรื่องนั้นมัน---”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะอาจารย์ใหญ่” มารีเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะให้อาจารย์ใหญ่ตั้งตัวทัน เรื่องอะไรใครมันจะไปยอมให้เขามาล้วงข้อมูลเธอกัน! “ฉันจะรับหน้าที่ภารโรง จะคอยทำความสะอาดให้กับโรงเรียนเองค่ะจนกว่าจะหาทางกลับได้ แต่แน่นอนว่าต้องหาที่พักกับอาหารให้ฉันด้วยนะคะ”
“เดี๋ยวสิครับ ข้อเสนอแบบนี้ทำไมผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไรก็ไม่รู้…”
มารีมองใบหน้าของชายหนุ่ม เด็กสาวยิ้มเปล่งประกายผิดกับท่าทีที่เศร้าสร้อยตะกี้ลิบลับอย่างสิ้นเชิง เรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายเข้ามายุ่งกับสิ่งที่ตัวเองมีกัน ถึงจะเป็นคนจากต่างโลกแต่ก็ยังอยากจะรักษาสิทธิ์ส่วนตัวไม่ให้โดนล้วงข้อมูลอะไรออกไปหรอกนะ
อีกอย่าง…ถ้าเบนจามินอยู่ที่นี่ล่ะก็ น้องชายของเธอจะต้องเข้มแข็งผิดกับพี่สาวอย่างเธอลิบลับราวกับฟ้าและเหวเป็นแน่
อย่างน้อยแค่อยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาทางกลับให้ได้ก็พอ ใช่แล้ว—แค่ทนอยู่ให้ได้ก็พอ
รอก่อนนะเบนจามิน
“อะ…อะแฮ่ม” เสียงกระแอมของคราวลี่ย์ดังขึ้นเรียกสติเธอกลับคืนมา “เรื่องที่เป็นภารโรงผมจะพิจารณาเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ยังไงซะก็ต้องมีการทดสอบความสามารถก่อนจะเป็นภารโรงของที่นี่ได้นะครับมารีคุง!”
เด็กสาวยกมือสากของเธอขึ้นแล้วยกกำปั้นวางไว้ที่อก สีหน้าท่าทางดูยิ้มแย้มพยายามห่างหายจากความโศกเศร้า
“ฉันน่ะผ่านมาหมดเกือบทุกงานแล้วค่ะ พูดมาเลยว่าจะให้ทำตรงไหนถึงตรงไหนบ้าง”
***
-เหมืองคนแคระ เวลายามค่ำคืน
ในยามที่ดวงจันทร์เด่นเป็นสง่าอยู่บนฟากฟ้า ร่างๆหนึ่งนั้นกำลังลากถูตัวของมันไปกับพื้นจนทิ้งร่องรอยของไอหมึกไว้ตามทางพื้นเหมืองคนแคระซึ่งบัดนี้ถูกทิ้งร้างไปนานมากแล้ว
มันเป็นร่างสูงใหญ่ของสัตว์ประหลาดน้ำหมึกที่ไม่สามารถพรรณรูปร่างของมันให้แจ่มชัดออกมาได้มากนัก มันมีลักษณะเหมือนคนแคระภายในนิทานสโนว์ไวท์ที่หวงแหนสมบัติของตนจนมิยอมให้ใครย่างกรายเข้ามานี้ มันเดินล้อมเป็นวงกลม คอยสอดส่องรักษาการณ์เจ้าอัญมณีสีรุ้งเอาไว้เป็นอย่างดี
คิกคิก…
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากที่ไหนซักแห่ง เจ้าสัตว์ประหลาดหยุดเคลื่อนไหว ฉงนมองด้วยความงุนงง—ก่อนที่ไม่กี่นาทีถัดมามันจะตั้งท่าระวังเมื่อสัญชาตญาณของมันร้องเตือน
เจ้าของเสียงยังคงหัวเราะดังก้องราวกับกำลังปั่นประสาทเจ้าสัตว์ประหลาดสีดำจากทางขวาที ทางซ้ายที มันถอยหลังระแวงจนเกือบไปชนเข้ากับอัญมณีที่มันหวงแหนนักหนาเสียแล้ว ไม่นานนักมันก็เปล่งเสียงคำรามร้องข่มขู่--- ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมันจะไม่มีวันยอมมอบสิ่งที่มันปกป้องอยู่ให้คนผู้นั้นแน่ๆ!
ไฟสีม่วงจากตะเกียงส่องสะท้อนไปรอบๆ สะท้อนแสงภายในเหมือนคนแคระที่มืดมิด แต่เสียงหัวเราะก็ยังไม่หายจากไป…ขณะที่เจ้าสัตว์ประหลาดสีหมึกได้หันหลังให้กับอัญมณีของมัน โดยไม่ทันรู้ตัวเจ้าเงาสีดำเรียวรูปร่างเล็กที่เคลื่อนไปตามพื้นเหมืองก็ได้เข้าปีนป่ายขึ้นไปบนร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดสีดำตัวใหญ่ สีดำทั้งสองระหว่างสิ่งมีชีวิตสีดำกับเจ้าสัตว์ประหลาดหลอมรวมกันขณะที่เสียงกรีดร้องของเจ้าสัตว์ประหลาดคนแคระส่งเสียงกรีดร้องก้องไปทั่วเหมือง มันดิ้นพล่านลงไปกองกับพื้นราวถูกแผดเผาขณะที่ตะเกียงหล่นลงจากมือส่งเสียงดังกังวาน
หยาดหมึกสีดำจำนวนมากปรากฎขึ้นมาจากพื้นดินขณะที่เสียงกรีดร้องของมันยังคงดำเนินต่อ เสียงกัดกินของอะไรบางอย่างดังขึ้นท่ามกลางความเงียบไปในป่า ร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดคนแคระที่ดิ้นพล่านซักพักจึงเงียบลง ปล่อยให้เสียงเคี้ยวอะไรบางอย่างยังคงดังไปทั่วร่างของมัน
ตะเกียงสีม่วงที่หล่นลงพื้นสาดแสงสะท้อนรูปร่างของเจ้าสิ่งมีชีวิตสีดำเรียวที่ยังอยู่บนร่างของคนแคระ เสียงหัวเราะขบขันยังคงดำเนินต่อก้องไปทั่วเหมืองร้างอันลึกลับ และท่ามกลางเสียงหัวเราะเหล่านั้น…คำพูดคำพูดหนึ่งก็ยังคงดังออกมาจากปากของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คิกคิกคิก ยัง…ยังไม่ใช่ ไม่ใช่ที่ตามหา ไม่ใช่ที่ตามหา
อยากกินอีก…อยากกินอีก
ต้องตามหา…ตามไป ตามไป จนกว่าจะพบรสชาตินั้นอีกครั้ง
เบนจามิน เบนจามิน…
***
: สาน์สจากไรท์
สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทุกคน ในที่สุดเราก็ปั่นนิยายเต็มที่จนนำตอนที่สี่ออกมาได้แล้วล่ะค่ะ สำหรับช่วงนี้เนื้อหานั้นอาจจะเฉื่อยๆอยู่บ้างแต่ก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดำเนินไปถึงช่วงบทที่หนึ่งของเกมนะคะ และสำหรับคอมเม้นท์ที่ทุกคนมาเม้นท์เราอยากจะขอบคุณมากจริงๆค่ะ(โค้ง)
สำหรับเนื้อหาในอีเว้นท์เกม เราค่อนข้างมีความตั้งใจว่าอยากจะแต่งอยู่เช่นกันแต่คงต้องรออีกนานพอสมควร(จริงๆอาจจะไม่ได้แต่งทุกอีเว้นท์ด้วย) ยังไงก็ขอขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ไว้เจอกันใหม่ในตอนที่ห้าค่ะ!
ความคิดเห็น