ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FICTION TWST : Odinary girl in WONDERLAND [ OC/ปิดฟิครีไรท์ ]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทนำเพื่อเปิดม่าน : Person from Anonymous (1)

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 63




    “สถานที่นี้ไม่ถูกระบุชื่อเอาไว้ในแผนที่โลกใดๆเลย

    แน่ใจจริงหรือครับว่าคุณมาจากสถานที่เหล่านั้น

    หรือบางทีแล้ว---ที่ๆคุณอยู่น่ะ…”

     

    -เดียร์ คราวลี่ย์

    “ผู้มาจากนิรนาม”

     

    ***

     

    “เล่มนี้ก็ไม่เจอเลยครับ”

     

    “แล้วเล่มนี้?”

     

    “ผมหาไปก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่เจอเช่นกันครับ”

     

    “…เฮ้อ”

     

    เด็กสาวเรือนผมสีขาวกับร่างสีซีดราวกระดาษของเธอถอดถอนหายใจออกมายามเมื่อไม่ว่าจะดูข้อมูลกี่ครั้งต่อกี่ครั้งภายในห้องสมุด เธอก็ไม่เจออะไรที่เกี่ยวกับบ้านเกิดของเธอ---เมืองอ๊อกฟอร์ดที่ประเทศอังกฤษเลยแม้แต่น้อย

     

    ใช่แล้ว…นี่น่ะเป็นเพียงแค่ความฝัน ความฝันแฟนตาซีที่ไหนกันจะไปรู้จักอังกฤษได้กันล่ะ?

     

    มารีเม้มริมฝีปากราวเป็นกังวลและหวาดกลัวขณะที่อาจารย์ใหญ่เปิดหนังสือท่องรอบโลกฉบับแก้ไขเล่มที่ยี่สิบห้าภายในห้องสมุดโอ่อ่า

     

    เพราะแบบนั้นแล้ว รีบๆตื่นขึ้นมาซักทีเถอะตัวฉัน

     

    ***

     

     

    -ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น

     

    “ขอปฏิเสธ” มารีกล่าวเสียงดังฟังชัดภายในหอกระจกที่เงียบสงบ

     

    “อะ-เอ๋!? ผมคิดว่าคุณจะหลงก…แฮ่ม คล้อยตามผมไปแล้วแท้ๆเชียวนะครับ!”

     

    “…”

     

    บัดนี้เธอมองชายตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยท่ามกลางความเงียบสงัดของหอกระจกที่ล้อมรอบไปด้วยโลงศพสีดำมากมาย มารีเงียบลงอย่างจนปัญญากับชายตรงหน้าที่กำลังทำท่าปาดน้ำตาปลอมอย่างสุดหัวใจ 

     

    ความคิดบางอย่างแล่นเข้าสู่สมองของเธอมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นภาพดังกล่าว

     

    เสแสร้งชัดๆ…

     

    "สายตาแบบนั้นนั่นมันอะไรกันครับ?"

     

    “ฉันแค่มองอากาศเท่านั้นเอง” เธอเอ่ย เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เงียบไปนานๆเข้าเด็กสาวก็ค่อยๆเอ่ยออกมา น้ำเสียงนั้นดูเบาลงคล้ายรู้สึกผิดอยู่พอควร “ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ…” 

     

    “แหม่ มารีคุงเป็นเด็กดีกว่าที่คาดนะครับ” เธอเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่คราวลี่ย์ที่เงียบไปอีกรอบ ท่าทางดูกุมคางเชิงสงสัย" แล้วทำไมถึงลงคำว่า ค่ะ ต่อท้ายรึครับ?"

     

    ครานี้เป็นฝ่ายเด็กสาวที่เลิกคิ้วสงสัยเสียแทน

     

    “ก็ฉันน่ะเป็นผู้หญิงนิคะ ทำไมจะใช้ไม่ได้?” 

     

    บรรยากาศความเงียบโรยรารอบตัวพวกเขาทั้งสองที่จู่ๆก็เกิดอาการเงียบกันไปทั้งคู่ ดวงตาสีอำพันของคราวลี่ย์เบิกตากว้างขึ้นขณะที่มารีทำหน้าสงสัยหนักกว่าเก่า นี่เธอพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นหรือ? ไฉนจึงทำสีหน้าออกมาเช่นนี้กันเล่า?

     

    “มะ…มารีคุงเป็นเด็กผู้หญิง?”

     

     “ก็ใช่น่ะสิคะ” เด็กสาวกอดอก นี่อย่าบอกนะว่ามีคนเข้าใจผิดว่าเธอเป็นเด็กผู้ชายอีกแล้วน่ะฮึ?

     

     “ผมนึกว่าเธอจะเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กมาตลอดเสียอีก” เขาเอ่ยพลางลูบคาง  “ปริมาณรูปร่างอย่างกับโรสฮาร์ทที่เป็นหัวหน้าหอฮาร์ทสลาบิวไม่มีผิดเลยครับ” 

     

    เด็กสาวมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยเมยราวกับเป็นเรื่องปกติ ที่จริงเรื่องแบบนี้ก็มีคนทักเธอมาบ่อยๆเหมือนกันว่ารูปร่างราวกับเด็กไม่โต บริเวณหน้าอกเองก็แบนราบราวกับการเจริญเติบโตนั้นไม่ได้ถูกบันทึกลงในพจนานุกรมในร่างกายของเธออย่างไรอย่างนั้น ที่ๆจะทำให้ทุกคนพอแยกเธอออกจากพวกเด็กผู้หญิงได้ก็คือส่วนสูงนี่แหละที่น่าจะเป็นกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ที่ไม่เห็นหัวพวกเธอ

     

    “อาหารน่ะ แค่มีไว้กินกันท้องหิวก็พอแล้วค่ะ” เด็กสาวยกมือสากของตนเองที่กอดอกอยู่ผายมือออก “เรื่องเจริญเติบโตได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น ฉันไม่ซีเรียสเรื่องยิบย่อยพวกนั้นหรอกค่ะ”

     

    “ผมชักสงสัยแล้วสิว่าคุณเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกันแน่” คราวลี่ย์พึมพำเสียงเบาจนเธอไม่ค่อยได้ยินเท่าใดนัก กว่าจะได้ยินอีกทีหนึ่งก็คือตอนที่เขาเปลี่ยนหัวข้อเรื่องเสียแล้ว  “แต่ถ้าเกิดคุณเป็นผู้หญิง ผมก็คงต้องส่งคุณกลับไปที่บ้านล่ะนะ ไม่อย่างงั้นมันจะเกิดเรื่องวุ่นวายในภายหลังเอาได้ ถึงจะเสียดายก็เถอะ อืม…”

     

    “จริงเหรอ จริงเหรอคะ!?” 

     

    จะได้ตื่นจากฝันนี้ซักที​ เธอรอมาตั้งนานแล้ว(หลายชั่วโมงเลยนะที่ต้องเจออะไรวุ่นวายๆก็ไม่รู้!) ใบหน้าของเด็กสาวฉีกยิ้มกว้างคล้ายดีอกดีใจราวกับเรื่องร้ายๆที่เจอมาเป็นเพียงขี้ฝุ่น​ เบนจามินต้องรอเธอกลับไปอยู่แน่ๆ​เขาคงคิดถึงแทบแย่ถ้าพบว่าพี่สาวอย่างเธอไม่ได้ไปหาเขามาตั้งหลายชั่วโมงแบบนี้

     

    “ครับ แค่ขึ้นไปหากระจกแห่งความมืด” เธอตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์ใหญ่คราวลีย์พูดขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา  “แล้วจากนั้นก็นึกถึงบ้านของเธอ แค่นี้มารีคุงก็จะสามารถกลับไปได้แล้วล่ะครับ​…เอ๊ะ​ นี่รีบจนถึงขนาดขึ้นไปรออยู่ก่อนเลยเหรอครับ!?” 

     

    “ก็ฉันอยากกลับบ้านไวๆนิคะ” อยากตื่นจากฝันไวๆไปพบน้องชาย  “เดี๋ยวน้องชายฉันเขารอนาน” 

     

    “เฮ้อ…เข้าใจแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นผมขอให้คุณถึงบ้านโดยปลอดภัยนะครับมารีคุง” 

     

    “ค่ะ” แล้วถ้าไม่ต้องเจอกันในความฝันอีกจะดีมากเลย 

     

    เด็กสาวหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับกระจกแห่งความมืด​ ดวงตาสีน้ำขาวของเธอประสานสายตากับดวงตาไร้แววของกระจกแห่งความมืด​ เธอเริ่มค่อยๆนึกถึงภาพบ้านเกิดของตัวเองที่ปรากฎออกมาทีละนิดๆ​

     

    มันเป็นภาพที่มีความสุข​ แม้ว่าจะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนที่แท้จริงของตัวเองก็ตาม​ แต่เธอที่อาศัยอยู่กับเบนจามินในครานั้นกลับเต็มไปด้วยความสุขมากมายเหลือคณา

     

    ภาพที่พวกเราเล่นด้วยกัน​ ภาพที่พวกเราทำการบ้านด้วยกัน​ ภาพของเขาที่ช่วยเป็นแบบให้รูปภาพของเธอ​ แม้กระทั่งในวันที่เขานั้น___…

     

    …เขา___?​ เขาอะไรกัน​ ช่างไร้สาระเสียจริง​ ภาพจินตนาการแบบนั้นไม่มีอยู่จริงหรอก!!

     

    เธอแค่นึกไปเองมารี เลิกนึกเรื่องร้ายๆเกินเหตุเสียที!!

     

    “ไม่สามารถระบุได้…”

     

    เอ๊ะ?

     

    “สถานที่แห่งนั้นไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้” 

     

    ว่า…ยังไงนะ?

     

    “โกหก โกหกแน่ๆ…” เสียงของเด็กสาวเริ่มดูไม่คงที่อย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเธอสั่นเทิ้ม ในแววตาสีขาวนั้นฉาบไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขั้วหัวใจ “มันต้องมีอยู่จริงสิ บ้านของฉัน…เบนจามินก็รออยู่ด้วย!!” 

     

    เสียงตะโกนของเด็กสาวดังก้องราวสิ้นสติสัมปชัญญะ ร่างของเธอยืนนิ่งราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายควบคุมทิ้งจนใกล้จะล้มแหล่มิแหล่ ขณะแผ่นหลังในชุดพิธีการใหญ่เกินตัวยังคงถูกสวมอยู่บนร่าง คราวลี่ย์ที่มองอยู่พักหนึ่งเช่นนั้นจึงเดินเข้ามาประคองร่างของเธอ ดวงแสงสีอำพันเฝ้ามองใบหน้าเวทนาของเด็กสาวที่ยังไม่หายช็อคดี

     

    ท่าทางนั้นราวดูเหมือนลูกนกที่สูญเสียที่พึ่งพิงไม่มีผิด

     

    “ไม่เป็นไรนะครับ” คราวลี่ย์เอ่ยเช่นนั้น มือถือวิสาสะลูบแผ่นหลังของเด็กสาวและพบว่าร่างกายของเธอดูจะผอมกว่าเด็กสาววัยเดียวกันนิดหน่อย  “ถ้างั้นพวกเราไปตามหาข้อมูลที่หอสมุดกันดีไหมครับมารีคุง?”

     

    “ที่นั่น…จะมีทางออกจริงๆหรือคะ?” เด็กสาวเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่แห่งไนท์เรเวนคอลเลจ​ ท่าทางดูน่าอดสูนัก “แล้วถ้าเกิดว่ามันไม่มีล่ะคะ?”

     

    คราวลี่ย์สบสายตากับเธอก่อนไม่กี่นาทีจะตอบกลับไป

     

    “แต่ถ้าไม่ไปก่อนก็ไม่รู้น่ะสิครับว่ามันมีจริงไหม มารีคุง”

     

    ***

     

    -กลับสู่ปัจจุบัน

     

    “ไม่มี…” เสียงของเด็กสาวที่นำศีรษะฝุบลงไปกับโต๊ะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมดหวัง “ทำยังไงดี…ทำยังไงดี แย่แน่เลยแบบนี้”

     

    เบนจามิน…เบนจามิน

     

    “น่าแปลกจริง สถานที่ที่เธอกล่าวมาไม่มีอยู่ในหนังสือเล่มใดหรือแม้กระทั่งแผนที่โลกเลยนะครับ” เสียงของคราวลี่ย์ดังขึ้นทำให้เด็กสาวยิ่งทำหน้าสิ้นหวังเข้าไปเต็มกลืนราวกับทานยาเบื่อหนูเข้าไป  “แน่ใจจริงๆหรือครับว่าเธอมาจากที่พวกนั้น?”

     

    “ก็ต้องแน่ใจอยู่แล้วสิคะอาจารย์ใหญ่” มารีพยายามทำน้ำเสียงของเจ้าหล่อนให้ดูใจเย็น​ แม้ว่าใจของเธอจะเตลิดเปิดเปิงไปเสียขนาดไหนก็ตามที​ “ก็ที่นั่นน่ะฉันอยู่มานานขนาดนั้น…พร้อมกับน้องชาย”

     

    สุรเสียงท้ายห้วงของเด็กสาวดูแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับหวนระลึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สุดท้ายอาจารย์ใหญ่จึงนำหนังสือทั้งหมดไปเก็บแทนที่เด็กสาวที่นั่งซึมราวกับไม่สามารถทำใจได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น

     

    เวลาผ่านไปพักหนึ่งที่ดวงตาสีขาวของเด็กสาวยังคงจับจ้องแผ่นหลังของอาจารย์ใหญ่ที่ยังคงหันหลังให้กับเธอเพื่อนำหนังสือทั้งหมดไปจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทางโดยใช้เวทมนตร์ เธอเบือนสายตากลับไปมองที่ตัวเองอีกครั้ง สองมือสอดประสานกันบนหน้าตัก…และหลังจากนั้นในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกมาเสียที

     

     “อาจารย์ใหญ่คะ” เธอเอ่ยเสียงเรียกเขา แต่ยังไม่ทันที่คราวลี่ย์จะตอบกลับไปเด็กสาวก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “ที่นี่คือความฝันหรือเปล่าคะ?”

     

    ตลอดมาเธอภาวนาเช่นนี้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงความฝัน แต่จิตใจน้อยๆของเธอที่คิดเช่นนั้นก็เริ่มพังทลายลงมาเมื่อพานพบกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าของผู้คนภายในโรงเรียนที่แจ่มชัดไม่เบลอ หรือแม้กระทั่งการพูดคุยระหว่างคนภายในโรงเรียนต่างมีบุคคลิกที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มันเป็นเอกลักษณ์เกินไปจนไม่อาจคิดได้แค่ว่าคนๆนั้นเป็นแค่ความฝันที่เธอสร้างขึ้น 

     

    เธอพยายามคิดว่ามันเป็นความฝัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของเธอกลับเป็นความจริงขณะที่จิตใจของเธอได้แต่หลอกตนเอง…

     

    ถ้าเกิดเป็นเบนจามินล่ะก็…น้องชายของเธอจะทำอย่างไรนะ?

     

    “ที่นี่ไม่ใช่ความฝันครับมารีคุง” เสียงของอาจารย์ใหญ่คราวลี่ย์ทำให้เด็กสาวที่เริ่มจะหันมายอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้นยอมพยักหน้ารับน้อยๆ  “แต่ผมมีข้อสันนิฐานอยู่ข้อหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด”

     

    ข้อสันนิฐาน?

     

    “มันคืออะไรหรือคะ?” เด็กสาวเลิกคิ้วด้วยแววตาสงสัย ก่อนที่ไม่นานนักคำตอบจะดังออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มอมนุษย์ที่เดินมาเลื่อนเก้าอี้แล้วจัดการนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเธอ

     

    “เรื่องที่ว่าคุณมาจากต่างโลกยังไงล่ะครับ” 

     

    ต่างโลกเหรอ?

     

    “จะว่าไปที่โลกของฉันก็ไม่มีของลอยไปลอยมาได้ขนาดนี้ด้วย” น้ำเสียงที่เริ่มอ่อนโอนตามข้อสันนิฐานจากอาจารย์ใหญ่เอ่ย “แล้วก็ที่นี่ก็มีเวทมนตร์ ถ้าเป็นแบบนั้นหมายความว่าฉันถูกอัญเชิญมาที่นี่หรือคะ?”

     

    “พูดตามตรงก็ใช่ครับ กรณีของคุณเป็นสิ่งที่พิเศษมากเพราะตลอดร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพาคนไร้เวทมนตร์หรือคนจากต่างโลกมาที่นี่เลย” เธอได้ยินน้ำเสียงที่ดูจริงจังของเขา  “แต่ถ้ามีวิธีอัญเชิญมาก็ต้องมีวิธีส่งกลับเหมือนกัน บางทีผมอาจจะต้องไปตามหามันเสียหน่อย….แฮ่ม ถ้ามีเวลาน่ะนะ” 

     

    เด็กสาวขมวดคิ้ว

     

    “คุณจะรับผิดชอบใช่ไหมคะอาจารย์ใหญ่?” ยังไงเธอก็ถูกอัญเชิญมาโดยฝีมือของโรงเรียนนี้ ถ้าไม่รับผิดชอบน่ะสิแปลก

     

    “แน่นอนว่าจะรับผิดชอบครับ แต่คุณเองก็มาอยู่ที่นี่ฟรีๆไม่ได้เหมือนกัน” เขากอดอก ดวงแสงสีอำพันนั่นดูเปล่งประกายระยิบระยับ “ถ้าคุณยอมให้ผมศึกษาพลังของคุณ---”

     

    “ทางเดินกับบริเวณอาคารหอกระจกเหมือนจะมีรอยไหม้นิดหน่อยนะคะ”

     

     “ครับ?”

     

     “ใบไม้ก็ร่วงเต็มพื้นอย่างกับไม่มีคนกวาด การจัดการความสะอาดที่โรงเรียนนี้ไร้ประสิทธิภาพขนาดนี้สมกับชื่อเสียงโรงเรียนจริงๆหรือคะ?” 

     

    “เรื่องนั้นมัน---”

     

    “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะอาจารย์ใหญ่” มารีเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะให้อาจารย์ใหญ่ตั้งตัวทัน เรื่องอะไรใครมันจะไปยอมให้เขามาล้วงข้อมูลเธอกัน! “ฉันจะรับหน้าที่ภารโรง จะคอยทำความสะอาดให้กับโรงเรียนเองค่ะจนกว่าจะหาทางกลับได้ แต่แน่นอนว่าต้องหาที่พักกับอาหารให้ฉันด้วยนะคะ”

     

    “เดี๋ยวสิครับ ข้อเสนอแบบนี้ทำไมผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไรก็ไม่รู้…”

     

    มารีมองใบหน้าของชายหนุ่ม เด็กสาวยิ้มเปล่งประกายผิดกับท่าทีที่เศร้าสร้อยตะกี้ลิบลับอย่างสิ้นเชิง เรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายเข้ามายุ่งกับสิ่งที่ตัวเองมีกัน ถึงจะเป็นคนจากต่างโลกแต่ก็ยังอยากจะรักษาสิทธิ์ส่วนตัวไม่ให้โดนล้วงข้อมูลอะไรออกไปหรอกนะ

     

    อีกอย่าง…ถ้าเบนจามินอยู่ที่นี่ล่ะก็​ น้องชายของเธอจะต้องเข้มแข็งผิดกับพี่สาวอย่างเธอลิบลับราวกับฟ้าและเหวเป็นแน่

     

    อย่างน้อยแค่อยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาทางกลับให้ได้ก็พอ ใช่แล้ว—แค่ทนอยู่ให้ได้ก็พอ

     

    รอก่อนนะเบนจามิน

     

    “อะ…อะแฮ่ม” เสียงกระแอมของคราวลี่ย์ดังขึ้นเรียกสติเธอกลับคืนมา  “เรื่องที่เป็นภารโรงผมจะพิจารณาเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ยังไงซะก็ต้องมีการทดสอบความสามารถก่อนจะเป็นภารโรงของที่นี่ได้นะครับมารีคุง!” 

     

    เด็กสาวยกมือสากของเธอขึ้นแล้วยกกำปั้นวางไว้ที่อก​ สีหน้าท่าทางดูยิ้มแย้มพยายามห่างหายจากความโศกเศร้า

     

    “ฉันน่ะผ่านมาหมดเกือบทุกงานแล้วค่ะ พูดมาเลยว่าจะให้ทำตรงไหนถึงตรงไหนบ้าง” 

     

    ***

     

    -เหมืองคนแคระ เวลายามค่ำคืน

     

    ในยามที่ดวงจันทร์เด่นเป็นสง่าอยู่บนฟากฟ้า ร่างๆหนึ่งนั้นกำลังลากถูตัวของมันไปกับพื้นจนทิ้งร่องรอยของไอหมึกไว้ตามทางพื้นเหมืองคนแคระซึ่งบัดนี้ถูกทิ้งร้างไปนานมากแล้ว

     

    มันเป็นร่างสูงใหญ่ของสัตว์ประหลาดน้ำหมึกที่ไม่สามารถพรรณรูปร่างของมันให้แจ่มชัดออกมาได้มากนัก มันมีลักษณะเหมือนคนแคระภายในนิทานสโนว์ไวท์ที่หวงแหนสมบัติของตนจนมิยอมให้ใครย่างกรายเข้ามานี้ มันเดินล้อมเป็นวงกลม คอยสอดส่องรักษาการณ์เจ้าอัญมณีสีรุ้งเอาไว้เป็นอย่างดี

     

    คิกคิก…

     

    เสียงหัวเราะดังขึ้นจากที่ไหนซักแห่ง เจ้าสัตว์ประหลาดหยุดเคลื่อนไหว ฉงนมองด้วยความงุนงง—ก่อนที่ไม่กี่นาทีถัดมามันจะตั้งท่าระวังเมื่อสัญชาตญาณของมันร้องเตือน

     

    เจ้าของเสียงยังคงหัวเราะดังก้องราวกับกำลังปั่นประสาทเจ้าสัตว์ประหลาดสีดำจากทางขวาที ทางซ้ายที มันถอยหลังระแวงจนเกือบไปชนเข้ากับอัญมณีที่มันหวงแหนนักหนาเสียแล้ว ไม่นานนักมันก็เปล่งเสียงคำรามร้องข่มขู่--- ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมันจะไม่มีวันยอมมอบสิ่งที่มันปกป้องอยู่ให้คนผู้นั้นแน่ๆ!

     

    ไฟสีม่วงจากตะเกียงส่องสะท้อนไปรอบๆ สะท้อนแสงภายในเหมือนคนแคระที่มืดมิด แต่เสียงหัวเราะก็ยังไม่หายจากไป…ขณะที่เจ้าสัตว์ประหลาดสีหมึกได้หันหลังให้กับอัญมณีของมัน โดยไม่ทันรู้ตัวเจ้าเงาสีดำเรียวรูปร่างเล็กที่เคลื่อนไปตามพื้นเหมืองก็ได้เข้าปีนป่ายขึ้นไปบนร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดสีดำตัวใหญ่ สีดำทั้งสองระหว่างสิ่งมีชีวิตสีดำกับเจ้าสัตว์ประหลาดหลอมรวมกันขณะที่เสียงกรีดร้องของเจ้าสัตว์ประหลาดคนแคระส่งเสียงกรีดร้องก้องไปทั่วเหมือง มันดิ้นพล่านลงไปกองกับพื้นราวถูกแผดเผาขณะที่ตะเกียงหล่นลงจากมือส่งเสียงดังกังวาน

     

    หยาดหมึกสีดำจำนวนมากปรากฎขึ้นมาจากพื้นดินขณะที่เสียงกรีดร้องของมันยังคงดำเนินต่อ เสียงกัดกินของอะไรบางอย่างดังขึ้นท่ามกลางความเงียบไปในป่า ร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดคนแคระที่ดิ้นพล่านซักพักจึงเงียบลง ปล่อยให้เสียงเคี้ยวอะไรบางอย่างยังคงดังไปทั่วร่างของมัน

     

    ตะเกียงสีม่วงที่หล่นลงพื้นสาดแสงสะท้อนรูปร่างของเจ้าสิ่งมีชีวิตสีดำเรียวที่ยังอยู่บนร่างของคนแคระ เสียงหัวเราะขบขันยังคงดำเนินต่อก้องไปทั่วเหมืองร้างอันลึกลับ และท่ามกลางเสียงหัวเราะเหล่านั้น…คำพูดคำพูดหนึ่งก็ยังคงดังออกมาจากปากของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

    คิกคิกคิก ยัง…ยังไม่ใช่ ไม่ใช่ที่ตามหา ไม่ใช่ที่ตามหา

     

    อยากกินอีก…อยากกินอีก

     

    ต้องตามหา…ตามไป ตามไป จนกว่าจะพบรสชาตินั้นอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

    เบนจามิน เบนจามิน…

     

    ***

     

    : สาน์สจากไรท์


    สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทุกคน ในที่สุดเราก็ปั่นนิยายเต็มที่จนนำตอนที่สี่ออกมาได้แล้วล่ะค่ะ สำหรับช่วงนี้เนื้อหานั้นอาจจะเฉื่อยๆอยู่บ้างแต่ก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดำเนินไปถึงช่วงบทที่หนึ่งของเกมนะคะ และสำหรับคอมเม้นท์ที่ทุกคนมาเม้นท์เราอยากจะขอบคุณมากจริงๆค่ะ(โค้ง)

    สำหรับเนื้อหาในอีเว้นท์เกม เราค่อนข้างมีความตั้งใจว่าอยากจะแต่งอยู่เช่นกันแต่คงต้องรออีกนานพอสมควร(จริงๆอาจจะไม่ได้แต่งทุกอีเว้นท์ด้วย) ยังไงก็ขอขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ไว้เจอกันใหม่ในตอนที่ห้าค่ะ!

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×