ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FICTION TWST : Odinary girl in WONDERLAND [ OC/ปิดฟิครีไรท์ ]

    ลำดับตอนที่ #3 : บทปฐมก่อนเปิดม่าน : Once upon time (2)

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 65




    “รูปร่างวิญญาณแบบนี้

    ข้ามิอาจรู้"

     

    " มันพิศวงเกินจินตนาการ เอกเทศน์เกินตัว

    จนมิอาจเหมาะสมและไม่มีหอใดเหมาะสม ”

     

    -กระจกแห่งความมืด

     

    “กาลครั้งหนึ่ง”

     

    ***

     

    เธอและอาจารย์ใหญ่แห่งโรงเรียนไนท์เรเวนคอลเลจมาถึงสถานที่ที่นามว่าหอกระจกเสียที

     

    เด็กสาวหยุดเดิน ครานี้พินิจมองด้วยสายตาเชยชมต่อการจัดวางและความสวยงามเกินจินตนาการของมัน ตรงกลางเป็นแท่นขึ้นไปอยู่ต่อหน้ากระจกสีมืดมิดนั่น ขณะที่รอบๆนั้นก็ถูกล้อมรอบไปด้วยโลงศพนับหลายอันนัก

     

    เหมือนเธอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าเสื้อที่เจ้าแมวนี่หมายความว่าอย่างไร พอก้มมองดีๆจึงรับรู้ได้ว่าเสื้อที่คลุมร่างของเธออยู่มันไม่ใช่เสื้อพนักงานร้านสะดวกซื้อ แต่หากเป็นชุดสีประหลาดม่วงน้ำเงิน ลายปักปราณีต แถมยังใส่สบายตัวและดูหรูหราในระดับหนึ่ง

     

    ซ้ำคนที่เป็นนักเรียนเหมือนๆกันกับเธอก็ใส่ชุดที่เหมือนกันด้วย

     

    เป็นความฝันที่ประหลาดจังเลยนะ… มารีคิดในใจขณะที่ก้าวเข้ามาข้างในจริงๆจังๆ ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ต้องนำไปเล่าให้เบนจามินฟัง

     

    “ว่าแต่อาจารย์ใหญ่ไปไหนน่ะ จู่ๆก็บินออกไปกลางคัน” เสียงผู้ชายคนหนึ่งจากภายในกลางห้องโถงดังขึ้น มารีมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่เส้นผมสีบลอนด์ปลายม่วงนั่นสะดุดตาใช้ได้

     

    “ทิ้งจดหมายไว้ด้วย” นี่โฮโลแกรมสีฟ้า…พูดได้? ช่างเถอะ

     

    “ไม่ใช่ว่าปวดท้องอย่างงั้นเหรอ?” เหมือนว่าจะเป็นเด็กหนุ่มผิวแทนที่มีเรือนผมสีขาวและดวงตาสีแดงสะดุดตา มารีคิดว่าดวงตาของเขานั้นเหมือนกับทับทิมไม่มีผิดเลย 

     

    “ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละครับ”

     

    คราวนี้เป็นฝ่ายอาจารย์ใหญ่ที่ดันเธอเข้ามาถึงใจกลางหอกระจกพร้อมเอ่ยแก้ตัว เธอรู้สึกได้ถึงสายตาบางส่วนที่จ้องมองมาทางเธอ…มารีใส่ฮู้ดของตนพลางดึงฮู้ดลงให้ปิดใบหน้าของเธอจนเกือบจะมองไปเห็นอะไรเท่าใดนัก เธอเองก็ไม่อยากจะทำเช่นนี้หรอกหากไม่ใช่ว่ามันคือความเคยชินที่เธอมักจะใส่ฮู้ดปิดหน้าของตัวเองเมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก

     

    แย่จริง มารีอยากจะถอนหายใจนักถ้าไม่ติดว่ามันเสียบุคคลิกภาพ

     

    “อะ มาแล้ว” คนนี้เรือนผมสีแดงกุหลาบสะดุดตาเธออีกคน…ถ้ายังไม่รวมเรื่องส่วนสูงด้วยล่ะนะ

     

    “ให้ตายสิ เพราะว่านักเรียนใหม่คนนึงหายไปผมถึงต้องออกตามหายังไงล่ะครับ” เสียงของเขาดูเหนื่อยหน่ายใจ “เอาล่ะ มีแค่เธอคนเดียวที่ยังไม่ได้ลงชื่อเข้าหอ ผมจะคอยดูแลทานุกิคุงไว้เอง รีบไปที่หน้ากระจกแห่งความมืดเถอะครับ”

     

    “เข้าใจแล้ว”

     

    “อื้อ อื้มมม!!”

     

    เธอพยักหน้าขณะที่เหมือนคำร้องอู้อี้ของเจ้าแมวสีดำไปแม้จะติดใจความสงสัยว่าทานุกิที่ว่ามันคืออะไร ร่างของเธอค่อยๆก้าวเดินขึ้นไปที่หน้ากระจกแห่งความมืดขณะที่สัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมา พอยิ่งเป็นแบบนั้นแล้วเธอก็ยิ่งอยากจะนำมือเอาไปถึงฮู้ดตัวเองลงอีกรอบนึง

     

    กระจกสีดำนี่…ที่เราเคยเห็นในร้านสะดวกซื้อ แล้วก็…หน้าตาอย่างกับกระจกวิเศษในเรื่องสโนว์ไวท์เลย มารีจ้องมันตาไม่กระพริบ

     

    “จงบอกชื่อของเจ้ามา” กระจกนั้นเปล่งเสียง มารีกลั้นใจอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะขยับริมฝีปากของเธอแล้วเอ่ยนามของตัวเองออกไป

     

    “มารี เอเกอร์”

     

    “รูปร่างวิญญาณแบบนี้…” กระจกเงียบไปพักใหญ่ มันเงียบจนเธอได้ยินเสียงลมหายใจหรือแม้กระทั่งเสียงซุบซิบของผู้คนในฝูงชนที่ดังออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่มันจะเปล่งเสียง “มิอาจรู้”

     

    เป็นเสียงที่ราวกับหมดหนทาง จนทำให้จากที่หอกระจกเงียบแล้วทุกอย่างก็เงียบลงไปเท่าตัวราวมีอากาศกดทับ

     

    “ทำไมล่ะ?” เธอได้ยินเสียงของอาจารย์ใหญ่ที่เอ่ยถามกระจกแห่งความมืดที่อยู่ต่อหน้าของเธอ เสียงของเขาดูแปลกใจ มารีอยากจะเอ่ยออกไปเหลือเกินว่าเธอไม่มีเวทมนตร์ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะไม่ได้รับเลือกให้อยู่หอใดๆในความฝันนี้

     

    เมื่อไหร่ฉันจะตื่นกันนะ? เธอคิด

     

    “มันพิศวงเกินจินตนาการ เอกเทศน์เกินตัวซ้ำสิ่งที่สัมผัสได้ยังไม่ใช่เวทมนตร์” มารีเลิกคิ้วให้กับกระจกแห่งความมืด “แต่ก็มีบางอย่าง…สิ่งที่พรรณนาไม่ได้ เช่นนั้นจึงมิอาจเหมาะสมและไม่มีหอใดเหมาะสม”

     

    ถึงกระจกนี่จะดูพูดแปลกๆ แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่าพูดได้ถูกเผงเลย

     

    “แต่ว่าพูดได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้อีกแฮะ” มารีพึมพำในลำคอ

     

    เสียงของคราวลี่ย์ดังมาจากข้างหลังของเธอ แม้ว่าเด็กสาวนั้นจะมองไม่เห็นดวงตาของเขาแม้แต่นิดเดียว แต่ดวงแสงสีอำพันนั่นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าจ้องมองมาที่เธอ

     

    “เดี๋ยวสิครับ รถม้าสีดำไม่มีทางไปเจอคนที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้แน่นอน! หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาเองก็ไม่มีเคยพลาดแม้แต่นิดเดียว” เสียงของอาจารย์ใหญ่ยังคงได้ยินชัด “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”

     

    มารีเลือกที่จะเงียบ ร่างของเธอเริ่มค่อยๆก้าวออกห่างจากกระจกแห่งความมืด---ดวงตาสีขาวซีดใต้เสื้อคลุมฮู้ดของเธอหันไปมองมันเมื่อยังได้รับการจับจ้องมองจากเจ้ากระจกแห่งความมืดที่คล้ายนิ่งงันราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอย่างเชื่องช้า

     

    และปากของมันคล้ายเตรียมจะอ้าเสียงทุ้มออกมา-

     

    “อื้อออื้มมม….ฮึบ! ถ้าอย่างงั้นข้าจะขอใช้พื้นที่นี้เองล่ะนะ!”

     

    แต่น่าเสียดายที่กริมม์ได้ช่วงชิงโอกาสพูดไปจากมันแล้ว มันหลุดออกจากการพันธนาการของชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก ดูจากท่าทางแล้วคงพร้อมที่จะอาละวาดเหมือนในช่วงที่เธอได้เจอกับมันแรกๆเป็นแน่

     

    “หยุดเลยนะ เจ้าทานุกินี่!”

     

    “ข้าน่ะใช้เวทมนตร์ได้ไม่เหมือนกับเจ้ามนุษย์งี่เง่านั่นหรอกนะ เพราะฉะนั้นข้าขอเข้าโรงเรียนนี้แทนล่ะ!” เจ้าแมวน้อยตรงหน้าของเธอเอ่ย “ถ้าอยากใช้เวทมนตร์ล่ะก็ จะแสดงให้ดูเป็นขวัญตาเอง!”

     

    มันอ้าปากคล้ายพยายามจะรวบรวมพลังของตนทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อพ่นไฟออกมา เด็กสาวหลับตาลงคล้ายเหนื่อยใจขณะที่สัมผัสได้ถึงอุณภูมิร้อนที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันจนดูคล้ายกับว่ามันกำลังจะเผาผลาญเธอให้สิ้น

     

    “ทุกคน หมอบลง!” เสียงของใครซักคนหนึ่งได้ดังขึ้นขณะที่เธอหลับตาอยู่

     

    พรึ่บ-!

     

    เปลวไฟสีฟ้าครามร้อนระอุถูกพ่นออกมาจากปากของมัน---แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจู่ๆสายลมจำนวนมากก็โหมกระหน่ำเข้ามาบิดพลิ้วเปลวไฟสีฟ้าจากปากของกริมม์ไปสู่ทางออกของหอกระจก ดวงตาสีฟ้าของมันเบิกตากว้างขึ้นยามเมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติที่เข้ามาควบคุมพลังของมันเฉกเช่นเดียวกันกับผู้คนภายในหอกระจกคนอื่นๆที่ทำสีหน้าสับสนงุนงงขณะที่หลีกทางให้กับสายลมกรรโชกพวกนั้น

     

    ชั่วขณะนั้น ดวงตาสีขาวของมารีลืมตาขึ้น---ทุกคนไม่ได้จับจ้องมองมาที่เธอ พวกเขามองไปรอบๆด้วยความสับสน และก็มีเธอที่มองตรงไปยังอาจารย์ใหญ่

     

    “อาจารย์ใหญ่คราวลีย์ ขอบคุณนะที่ช่วยพวกเราเอาไว้”

     

    “ครับ?”

     

    “ไม่ใช่ว่าเวทย์ลมที่ทรงพลังนั่นเป็นของคุณหรอกหรือ?” มารีร้องถาม ดวงตาสีขาวซีดสบสายตากับคราวลีย์ชั่วขณะก่อนที่อาจารย์หนุ่มคล้ายจะรู้ตัวว่าต้องทำอย่างไรต่อจึงกล่าวกระแอม น้ำเสียงที่ดูรื่นเริงนั่นกลับมาอีกครั้งท่ามกลางสายตาของฝูงชนที่จับจ้องมองมาที่เขา

     

    “ใช่แล้วครับ---แหม่ ช่างน่าดีใจเสียจริงที่ยังมีคนสังเกตุ” เขาเอ่ย “เวทย์ลมเมื่อซักครู่เป็นฝีมือของผมที่ตัดสินใจจะไม่ให้เหล่านักเรียนแสนดีต้องบาดเจ็บยังไงล่ะครับ นั่นเพราะว่าผมเป็นคนใจดีอย่างไรล่ะ!”

     

    “ดูไม่น่าเชื่อยังไงก็ไม่รู้สิ” เสียงจากชายหนุ่มเรือนผมสีบลอนด์ปลายม่วงอ่อนดังขึ้นมา เหมือนว่าเขาจะพูดอะไรบางอย่างต่อจากนั้นด้วย เหมือนว่า…ทรงผมยังไม่เสียทรง อะไรแบบนี้ใช่ไหมนะ?

     

    “ไม่นึกเลยว่าอาจารย์ใหญ่จะมีเวทย์ทรงพลังขนาดนี้มาก่อนเลย!” เสียงจากเจ้าของดวงตาสีทับทิมสะดุดตาเธอเอ่ย ท่าทางที่ดูร่าเริงของเขาทำให้เธอนึกถึงเบนจามินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    “นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะชิงลงมือก่อนเช่นนี้นะครับ” เสียงมาจากชายหนุ่มที่สวมใส่แว่นตา “ทั้งที่ปกตินั้นจะยกภาระมาให้พวกเราแท้ๆ”

     

    เธอตัดสินใจเมินเฉยบรรยากาศรอบๆกับบทสนทนาของเหล่าชายหนุ่มสี่ห้าคนที่อยู่ใกล้อาจารย์ใหญ่ ขณะที่ดวงตาของเธอก็เลื่อนไปสบสายตากับเจ้าแมวสีดำที่คล้ายกำลังจะแทรกตัวออกไป ดวงตาสีฟ้าของมันหันมาสบตากับเธอ ท่าทางของมันดูน่าหงุดหงิดใจอย่างไรก็ไม่รู้ ซ้ำแววตานั่นคล้ายกำลังจะบอกให้เธอหุบปากไปเสียด้วย

     

    มารียิ้มแย้ม

     

    “อ๊ะ เจ้าแมวดำนั่นกำลังจะก่อเรื่องอีกแล้วล่ะ”

     

    “ฟุน๊า!!?”

     

    “ใครก็ได้จับมันเอาไว้เร็ว!"

     

    ขอโทษนะเจ้าแมวดำตัวน้อย… เธอคิดขณะที่มองมัน เมื่อเริ่มเห็นมหกรรมวิ่งไล่จับที่กำลังจะเกิดขึ้นร่อมร่อ---แต่ช่างน่าเสียดายที่คราวนี้มันกลับไร้พิษสงค์อย่างสิ้นเชิงเมื่อพลังของมันเหลืออยู่เพียงน้อยนิด มีเพียงแค่เปลวไฟที่พอพ่นออกมาได้ถึงปากของมันนิดเดียวเท่านั้น

     

    ว่าแต่…เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะตื่นจากฝันนี้เสียที?

     

    ***

     

    ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้เวลาไม่นานนักในการจับเจ้าแมวน้อยสีดำที่ไร้พิษสงค์นี่

     

    “Off with your head! (ตัดหัวไปซะ)”

     

    เคร้ง!

     

    “ฟุน๊า!! นี่มันอะไรกันเนี่ย!”

     

    แถมยังโดนตัดหัวอีกต่างหาก ช่างน่าสงสารจริงๆนั่นแหละ

     

    เธอเฝ้ามองไปยังร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีกุหลาบที่อายุพอๆกับเธอใช้เวทมนตร์(ใช่ไหม?) ก่อนที่ไม่นานจะปรากฎปลอกคอรูปหัวใจออกมารัดคอของกริมม์ที่กำลังดิ้นพล่านขัดขืนเอาไว้

     

    “กฎของราชินีโพธิ์แดงข้อที่23 ‘ห้ามนำแมวเข้ามาในงานเทศกาล’ ดังนั้นเมื่อเธอเป็นแมวก็ต้องขับไล่ออกไปยังไงล่ะ”

     

    “ข้าไม่ใช่แมวเสียหน่อย ปลอกคอนี่ข้าจะเผา…อะ…เอ๋? ใช้พลังไม่ได้!?”

     

    “หึ เธอจะใช้พลังไม่ได้จนกว่าผมจะเอาปลอกคอนี่ออก สรุปแล้วก็คือตอนนี้เธอก็แค่แมวธรรมดาๆเท่านั้นแหละ”

     

    “ว่ายังไงนะ ตัวข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเสียหน่อย!!”

     

    เสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไปขณะที่มารีเฝ้ามองเหตุการณ์ราวกับสิ่งไม่มีตัวตนภายในไนท์เรเวนคอลเลจ เธอจ้องมองกริมม์ด้วยสายตาไม่ยินดียินร้ายหรือแสดงความเห็นออกไปจนจวบที่ร่างของเจ้าแมวสีดำนั่นถูกนำออกไปจากหอกระจกแห่งนี้

     

    “ฟุน๊าา! ปล่อยข้านะ…ตัวข้าผู้นี้น่ะ…จะต้อง…จะต้องกลายเป็นจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้ได้เลย!”

     

    ทำไมเจ้าแมวนั่นถึงต้องพยายามขนาดนั้นด้วยนะ? ความคิดของมารีปรากฎขึ้นมาขณะที่ยังคงหลุบสายตาต่ำ เธอไม่ได้ฟังคำพูดของกริมม์ถูกลากออกไปจนจบดีนัก คำพูดที่เอาแต่โอ้อวดตนเองแต่ทำไม่ได้ตามที่บอกใครมันจะไปอยากฟังกันล่ะ? ถ้าไม่ถูกเลือกยอมแพ้ไปซะก็จบแล้ว จะฝืนดิ้นรนต่อในหนทางที่ยากลำบากขนาดนั้นไปทำไมกัน

     

    “สรุปแล้วก็ไม่ใช่คู่หูกันจริงๆสินะครับ” เสียงของคราวลีย์ดังขึ้น มารีพยักหน้า

     

    “ก็ถึงบอกไปยังไงล่ะว่าไม่ใช่คนรู้จักกันน่ะ”

     

    “เช่นนั้นนี่เอง อะแฮ่ม…-” เสียงกระแอมของคราวลี่ย์ดังขึ้น “ถึงจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยแต่ก็เข้าสู่พิธีปฐมนิเทศน์เลยนะครับ หัวหน้าหอก็ช่วยพานักเรียนใหม่กลับหอกันด้วยล่ะ หือ…”

     

    ดวงแสงสีอำพันกวาดสายตาไปรอบๆ หากจะให้มารีเดาแล้วล่ะก็พิธีปฐมนิเทศน์ครั้งนี้ก็คงจะขาดใครไปอีกแน่ๆ

     

    “จะว่าไปแล้วผมยังไม่เห็นหัวหน้าหอเดียซอมเนียดราโกเนียคุงเลยนะครับ”

     

    ดราโกเนีย…มังกรเหรอ? นัยน์ตาสีน้ำข้าวของมารีฉายแววแปลกใจกับนามสกุลของฝ่ายที่ถูกกล่าวถึง แน่นอนว่ามันทำให้เธอนึกถึงชื่อของตัวละครหนึ่งในหนังสือแ๐ร์รี่พ๐ตเตอร์ไม่มีผิด

     

    “ปกติหมอนั่นก็ไม่มาร่วมอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?” เสียงจากอีกฝากที่อยู่ไม่ไกลนัก สิ่งแรกของชายคนนี้ที่เธอสะดุดตาคือหูลักษณะคล้ายตระกูลแมวที่เตะตา

     

    “เอ๋ ไม่มีใครบอกเรื่องพิธีนี้กับเขาเลยงั้นเหรอ?” เหมือนว่าคราวนี้จะเป็นเสียงที่ดังออกมาจากเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทับทิม

     

    “ถ้าจะโทษคนอื่นละก็ทำเองเลยซะสิ” เสียงของชายหนุ่มผมสีบลอนด์ปลายม่วงเอ่ยขึ้น

     

    “อืม…แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยนี่น่า” 

     

    คนที่นี่เขากลัวมังกรขนาดนั้นเลยรึไงนะ?

     

    มารีมองเงียบๆขณะที่ได้ยินถึงเสียงซุบซิบจากเหล่าผู้คนที่เอ่ยถึงชายนามดราโกเนียก็อดคิดถึงหนังเรื่องเจ้าหญิงนิทราไม่ได้ มาลิฟิเซนต์ซึ่งเป็นตัวร้ายในการ์ตูนเรื่องนั้นก็ไม่ได้ถูกรับเชิญมาเพราะมีแต่คนกลัวนาง นางที่ปรากฎตัวในงานเลี้ยงวันเกิดจึงสาปเจ้าหญิงออโรร่า แต่หากเป็นฉบับหนังแล้วนางจะสาปออโรร่าเพราะนางนั้นเคยโดนตัดปีกจากฝีมือของคนในตระกูลออโรร่า

     

    แต่…เหมือนว่าจะมีคนจัดการให้แทนแล้วแฮะ เธอมองไปยังร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มาพาเหล่าคนของหอเดียซอมเนียที่ว่าออกไปจากหอกระจกโดนสวัสดิภาพแล้ว ดวงตาสีน้ำข้าวมองได้ไม่นานก็ตัดสินใจเบนสายตาไปทางอื่นเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ว่าเธอจ้องมาเสียก่อน

     

    ในที่สุดเหมือนว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี เหล่าผู้คนนั้นออกไปจากหอกระจกจนเหลือเพียงเธอกับอาจารย์ใหญ่นามคราวลี่ย์สองต่อสองเท่านั้น บางทีนี่อาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของความฝันแล้วก็ได้ เธอไม่มีเวทมนตร์ และที่นี่คือโรงเรียนเวทมนตร์ อย่างไรเสียเขาก็ต้องการผู้ที่มีเวทมนตร์อยู่แล้ว

     

    “เอาล่ะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆที่ทำให้เธอนั้นต้องติดอยู่ที่นี่นานเสียขนาดนี้” เสียงนั้นดังออกมาจากปากของอาจารย์ใหญ่ “แต่ผมจะขอถามอะไรซักครู่…เธอสนใจจะอยู่ที่โรงเรียนนี้ไหมครับ?”

     

    ดวงตาสีน้ำข้าวของเด็กสาวเบิกตากว้าง

     

    เอ๊ะ…ทำไมล่ะ?

     

    “…ทำไมถึงอยากจะรั้งให้ฉันอยู่ที่นี่ล่ะ?” เด็กสาวเริ่มขมวดคิ้ว ขืนเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าฝันนี้จะยืดยาวออกไปหรอกรึ “ฉันน่ะไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์เสียหน่อย หากพูดตามจริงแล้วจึงไม่มีคุณสมบัติอะไรที่จะเหมาะอยู่ที่นี่เลย”

     

    เธอมองชายหนุ่มที่กอดอกฟังคำพูดของที่กล่าวจนจบ มารีนั้นยังไม่หายขมวดคิ้วเมื่อเห็นเขาทำท่าใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง จนไม่นานนักดวงแสงสีอำพันนั่นก็จับจ้องมาที่เธออีกครั้ง คราวนี้เป็นความรู้สึกชวนสงสัยที่มีต่อเธอ

     

    “จริงอยู่ที่กระจกเวทมนตร์นั้นบอกว่าเธอไม่มีเวทมนตร์” เขาเริ่มเอ่ย “แต่จากเหตุการณ์ที่เจ้าทานุกินั่นพยายามจะใช้เวทมนตร์ผะ…อะแฮ่ม ใช้เวทมนตร์เพื่อแสดงศักยภาพของตัวเองแล้ว เธอเองไม่ใช่หรือครับที่เป็นคนพัดพาไฟสีฟ้าของมันออกไปจากหอกระจกเพื่อความปลอดภัยของทุกคน”

     

    “ก็จริงอยู่ที่สายลมนั่นอาจจะเป็นเวทย์ของใครซักคนก็ได้ แต่ผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเวทมนตร์จากมันเลยซักนิด” เธอนิ่ง ฟังสิ่งที่เขาพูดด้วยสีหน้าไร้ชีวิตชีวา “และเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีใครทำแบบนั้นได้หากไม่ใช้เวทมนตร์ ดังนั้นแล้วจึงเป็นฝีมือของเธออย่างแน่นอน มารีคุง”

     

    เด็กสาวส่ายหน้าระอา

     

    “พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ช่วยพูดจุดประสงค์ของตัวเองมาซักทีเถอะอาจารย์ใหญ่” 

     

    ดวงแสงสีอำพันของชายหนุ่มกลายเป็นทรงจันทร์เสี้ยว ส่วนรอยยิ้มก็ปรากฏออกมาจากใบหน้า---ช่างเป็นรอยยิ้มหวานหยดย้อยที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจเลยซักนิด

     

    “ผมอยากจะรู้จักให้เธอมากกว่านี้อย่างไรล่ะมารีคุง”


    เด็กสาวชักสีหน้า


    What...นี่คุณจะชวนฉันเดทเหรอคะ?

     

    : สาน์สจากไรท์ 


    สวัสดีอีกครั้งค่ะ ในที่สุดก็มาถึงตอนที่สาม(ตอนสุดท้ายในสต็อก)ซักที ต่อจากนี้อาจจะเข้ามาอัพช้าบ้างเนื่องจากจะกลับไปนั่งฟังเสียงภาคและสีหน้าของตัวละครเพื่อเก็บข้อมูลภายในเกมค่ะ(และจะกลับไปโดนผอ.ใช้งานเป็นเบ๊อีกรอบด้วย//ยิ้มอ่อน)

    สำหรับใครที่อยากแอดเพื่อนกับไรท์ ไรท์มีไอดีมาด้วยนะ ( ไอดี : 5NBEuA5Y ) ยังไงต่อจากนี้ก็มาเป็นเพื่อนกันเถอะนะคะ!

    ปล. สำหรับสรรพนามกริมม์ ( Oresama ) เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะแปลยังไงให้มันดูยกยอตัวเอง จึงตัดสินใจจะใช้คำว่า [ตัวข้า] ค่ะ (ไว้ถ้ามีสรรพนามแทนตัวเองที่ดีกว่านี้จะมาแก้ไขนะคะ) ส่วนของคราวลี่ย์เราค่อนข้างไม่แน่ใจเท่าไหร่นักเพราะยังเริ่มเรียนญี่ปุ่นไปได้ไม่เท่าไหร่ จึงขอตัดสินใจใช้สรรพนามว่า [ผม] ( จากบทแปล twst เนื้อเรื่องหลักฉบับภาษาไทย หากสนใจ >จิ้ม ) แม้ว่าไรท์จะชอบอ่านว่า[ฉัน]บ่อยๆก็เถอะ... //เกาหัว

    ปล. สอง (อันนี้ไม่สำคัญข้ามได้ ไรท์แค่อยากอวยนะเออ) ดิวซ์น่ารักมาก ชุดแอบเปิดเผยเนื้อหนังอย่างมีระดับนี่มัน...สุดยอดจริงๆค่ะ เพรชของไรท์มันสั่นคลอนไปหมดแล้ว! อาจารย์ยานะบันไซซซ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×