ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FICTION TWST : Odinary girl in WONDERLAND [ OC/ปิดฟิครีไรท์ ]

    ลำดับตอนที่ #11 : บทส่งท้ายเพื่อเปิดม่าน : Welcome to pǝʇsıʍʇ Wonderland [ จบบทนำ ]

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 63



    "พระจันทร์กำลังเคลื่อนคล้อย
    มาออกไปตามหาร่องรอยของเสียงที่บาดลึกกัน"

    - none


    "Welcome to pǝʇsıʍʇ Wonderland"

    ***

    ไนท์เรเวนคอลเลจ - เวลายามค่ำคืน


    ทางนี้ใช่ไหมนะห้องอาจารย์ใหญ่...?

    เด็กสาวที่เดินโซซัดโซเซเข้ามาทำหน้าครุ่นคิดกับตัวเองขณะที่สาวเท้าฝีเท้าที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก หลังจากเหตุการณ์ของเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นยที่เอ่ยชื่อของใครซักคนที่เหมือนกับน้องชายของเธอมารีก็เกือบจะเสียขวัญขึ้นมา ยอมรับเลยว่าเรื่องน้องชายสำหรับเธอนั้นเป็นเรื่องที่อ่อนไหว ค่อนข้างจะตื่นตัวหากใครพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมาเพราะมันทำให้นึกถึงชื่อน้องชายของเธอทุกที

    ตุบ

    "หวา-!" ฝีเท้าของเด็กสาวหยุดชะงักเมื่อเดินชนเข้ากับใครซักคน ดวงตาสีน้ำข้าวแอบอารมณ์ครุ่กกรุ่นเล็กน้อยเมื่อพบว่าเธอจะชักใจลอยไปหน่อยเสียแล้ว ขืนอีกฝ่ายเป็นอะไรเธอก็ต้องรับผิดชอบในฐานะบุคคลากรของที่นี่น่ะสิ 

    "ขอโทษนะครับ" เธอรีบเอ่ย

    ดวงตาสีน้ำข้าวเงยหน้ามองอีกฝ่าย(ยังดีที่ไม่มีใครล้ม) ดวงตาสีแปลกประหลาดที่ให้ความรู้สึกเหมือนสีลาเวนเดอร์ผสมเข้ากันกับสีผมเงินอย่างลงตัวทำให้มีความรู้สึกสว่างไสวและสง่างามอย่างน่าประหลาด 

    "ไม่เป็นไร" อีกฝ่ายเอ่ย เขาอยู่ในชุด...ดำเขียว(ชุดแฟนตาซีไปไหน เธอพูดไม่ออก บอกไม่ถูกว่ามันเป็นชุดยังไง) ท่าทางเป็นชุดที่ดูเหมือนจะเป็นชุดสำหรับ...การ์ดรึเปล่า มีกระบอง...หรือปากกาเวทมนตร์ หรือไม้กายาสิทธิ์ด้วย? เอาเป็นว่าเธอตัดสินใจให้เปิดทางให้อีกฝ่ายเดินสวนผ่านไปก่อนก็แล้วกัน

    ประหลาดดี...ผมสีแปลกจริงๆนั่นแหละ อย่างกับดาบเงินเลย เธอคิดขณะที่เหลียวหลังมองเพียงแวบนึง

    เด็กหนุ่มเรือนผมสีเงินราวกับดาบเดินผ่านไปแล้ว เธอเองก็ไม่มีเวลามาสนใจนักจึงเดินผ่านไปด้วยความรีบร้อนเมื่อสายตาเล็งเห็นประตูบานใหญ่ ไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มเรือนผมสีเงินคนนั้นก็หันหน้ามามองเรือนผมสีขาวราวกับด้ายของเธออยู่แวบหนึ่งเช่นกัน

    สีขาวราวกับด้ายไม่มีผิดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาคิดแบบนั้นแทนที่ผมสีขาวเช่นนั้นควรจะเป็นสีหิมะ แต่ถึงแบบนั้นฝีเท้าของเขาก็หันเดินไปยังข้างหน้า ไม่มีเวลามาเสียดายอีกแล้วในเมื่อเขาเองก็มีสิ่งที่ต้องตามหาอยู่เช่นกัน

    แล้วพวกเขาก็ก้าวฝีเท้าเดินสวนกันโดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย

    ***

    "มารีคุง!!" เสียงร้องอย่างตกใจของอาจารย์ใหญ่ดังขึ้นยามเมื่อเธอเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะประตูก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่เขาที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นก็กลับพุ่งเข้ามาจับบ่าของเธอเอาไว้ "นี่คุณรู้ตัวใช่ไหมครับว่าทำอะไรลงไป!?"

    "รู้สิ--- อ้ะ นี่พวกเขาบอกคุณแล้วเหรอว่าฉันหายไปไหนน่ะ?" เด็กสาวเอียงศีรษะไปมองเด็กหนุ่มสองคนกับเจ้าปีศาจอีกหนึ่งตัวที่หันกลับมามองเธอด้วยแววตาตื่นตะลึง ก่อนที่ซักครู่จะทำสีหน้าราวกับอยากจะร้องไห้ แต่มารีกลับไม่ได้ใส่ใจเลยซักนิดในเมื่อเธอยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องถาม "นี่พวกนาย แล้วเรื่องคริสตัลนี่เอาไปให้อาจารย์ใหญ่แล้วใช่ไหม?"

    "..."

    "นี่...พวกนาย?" เด็กสาวเลิกคิ้ว ทำไมถึงไม่มีใครตอบเธอกันเลยล่ะเนี่ย?

    "ฟุน๊าา!!" ร่างของกริมม์พุ่งเข้ามาเกาะใบหน้าของเด็กสาวจนเธอแทบจะหายใจไม่ออกเพราะพุงของมันจนเด็กสาวจำใจต้องดึงร่างของกริม์แล้วเอาไปพาดบ่าเอาไว้ ขณะที่เอซกับดิวซ์พุ่งเข้ามากอดเธอจนตอนนี้ร่างของเธอโดนเกาะเอาไว้จากบุคคลทั้งสี่คนที่อยู่ภายในห้องจนหมด 

    "ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม!?" เสียงของเอซดังขึ้น ดวงตาสีแสดมองเธอด้วยสายตาที่ดูอย่างไรก็อ่อนโอนอย่างเห็นได้ชัด "ตอนแรกน่ะฉันนึกว่านายน่ะ...-ดีแล้วจริงๆที่มันไม่เกิดขึ้น"

    "ตอนแรกผมนึกว่านายจะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก!" เสียงของดิวซ์เอ่ย หน้าของเขาก้มลงแนบกับแขนซ้ายของเธอ---ร้อนยังไงชอบกล ขอร้องล่ะช่วยเอาหัวหมอนี่ออกไปที "นึกว่าจะเป็นอะไรไปซะแล้ว!"

    "ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า" เด็กสาวถอนหายใจ มองร่างของเอซกับดิวซ์ที่ยังกอดเธอนิ่งอยู่แบบนั้น---ส่วนหนึ่งคงเพราะเจอเหตุการณ์ที่เกินจะรับมือได้สภาพคงจะเป็นเหมือนลูกนกที่กลัวจะสูญเสียแม่นกไป...เดี๋ยวสิ นี่เธอเปรียบเทียบอะไรกันเล่า ลูกนกของเธอมีแค่เบนจามินเท่านั้นแหละ! "แล้วนี่อาจารย์ใหญ่ สรุปได้คริสตัลแล้วใช่ไหม?"

    อาจารย์ใหญ่มองยังคงมองหาบาดแผลของเธออยู่ แต่เหมือนว่าในที่สุดเขาจะยอมเลิกหาแล้วกระแอมมาตอบคำถามของเธอเสียที ดวงแสงสีอำพันมองตัวเธอขณะที่เขายอมปล่อยมือออกจากบ่าของเธอ

    "ครับ ได้มาแล้วล่ะครับ---ตอนแรกผมนึกว่าพวกเธอจะถอดใจจนเขียนใบลาออกให้เสร็จสรรพแล้วเสียอีก" เขากลืนน้ำลายเมื่อใบหน้าของเด็กสาวดำคล้ำ "แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเธอสามคนจะพบกับสัตว์ประหลาด น่าตกใจจริงๆครับ"

    มารีสูดลมหายใจเข้าลึกๆเมื่อได้ยินคำว่านึกไม่ถึงออกมาจากปากของเขา

    "รู้ไหมอาจารย์ใหญ่ ถ้าเกิดว่าคุณอยู่ในประเทศของฉัน...อย่างแรกเลยฉันจะส่งฟ้องโรงเรียนไนท์เรเวนคอลเลจ" เสียงของเด็กสาวเย็นเยียบจนคราวลี่ย์สัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของเขากำลังลดต่ำลงเมื่อดวงตาสีน้ำข้าวตรึงร่างของเขาเอาไว้ "ในข้อหาที่โรงเรียนของคุณไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้กับนักเรียนของคุณได้ โรงเรียนที่มีชื่อเสียงขนาดนี้แต่ความปลอดภัยต่ำไม่เหมาะกับการศึกษาหรอกนะ"

    "คะ ครับ..."

    "ถ้าพวกผู้ปกครองรู้ขึ้นมาจะทำยังไง?" เธอค่อยๆเอ่ยขณะที่รู้สึกเหมือนเอซกับดิวซ์เริ่มจะหันมามองเธอหน่อยๆแล้ว "โลกนี้ก็ไปถึงไหนแล้ว ยุคสมัยก็ดูไม่ได้ล้าหลังขนาดนี้นี่? ในฐานะโรงเรียนที่มีเกียรติและอาจารย์ใหญ่ผู้แสนใจดี ต่อจากนี้ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยให้รัดกุมกว่านี้ด้วยนะครับ"

    "เข้าใจแล้วครับ..."

    เสียงอ่อยมาเชียว แถมก้มศีรษะลงด้วย ที่เธอพูดอะไรแรงไปรึเปล่า? ไม่สิ นี่น่ะสมควรจะเป็นข้อติเตียนให้อาจารย์ใหญ่นำกลับไปแก้ไขแล้วล่ะ

    "แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะขอพูดตรงนี้" เธอเลิกคิ้วยามเมื่ออาจารย์ใหญ่กลับมาจับบ่าของเธออีกรอบ(ขณะที่ดิวซ์กับเอซปล่อยเธอไปแล้ว) "อย่างที่คิดไม่มีผิดเลยครับมารีคุง พรสวรรค์ของเธอนี่มันเจิดจรัสจริงๆครับ!"

    ห้ะ...อะไรเจิดจรัสนะ?

    เด็กสาวหันไปมองทางฝั่งของเอซกับดิวซ์ สองคนนั้นทำหน้าปุเลี่ยนๆแปลกๆ หลังจากที่มองกันไปมาอยู่เสียครู่หนึ่งสุดท้ายเอซก็เป็นฝ่ายเล่าให้เธอฟัง

    "ตอนที่พวกฉันเล่าเหตุการณ์ให้อาจารย์ใหญ่เขาฟังว่า...อึก ร่วมมือกัน" หน้านี่กลั้นใจมากๆเลยนะเอซ เธอคิด "จู่ๆหมอนี่ก็น้ำตาแตกออกมา แล้วก็พึมพำอะไรซักอย่างก่อนที่จะตัดสินใจออกไปช่วยนายนี่แหละ แต่ว่านายกลับมาพอดี"

    "เห็นอาจารย์ใหญ่บอกว่าคุณมีพรสวรรค์ฝึกสัตว์ร้าย...อะไรซักอย่างนี่แหละนะ" ดิวซ์เอ่ยเสริม และเด็กสาวก็ไขกระจ่างทันทีเมื่อจำได้ว่าอาจารย์ใหญ่เองก็เคยพูดอะไรแบบนี้ให้เธอตอนที่อยู่ในหอแรมแชตเกิลเหมือนกัน

    "ใช่แล้วล่ะครับ!" เธอมองเห็นอาจารย์ใหญ่ซับน้ำตา(ที่ดูก็รู้ว่าปลอม)ออกมา "นักเรียนที่ถูกกระจกแห่งความมืดเรียกตัวมาที่ไนท์เรเวนคอลเลจนี้ด้วยพลังเวทมนตร์ แต่เพราะเวทมนตร์ที่ทรงพลังจึงทำให้พวกเขาคิดว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าและเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส"

    "อ๋อ สรุปว่าเด็กที่ถูกเรียกตัวมาที่นี่ล้วนเป็นพวกมีนิสัยเสียเหรอ?" เธอเลิกคิ้ว มองอาจารย์ใหญ่ที่รีบส่ายหน้าระรัวไม่ยอมรับ

    "ไม่ใช่นะครับ! หมายถึงนักเรียนส่วนมากมักจะเป็นคนแบบนั้น พวกเขาชอบคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกเลยมักไม่ยอมร่วมมือกันบ่อยๆ" เธอกอดอกฟังอาจารย์ใหญ่ที่ยังคงพูดออกมาไม่หยุด "แต่การที่คุณถูกกระจกแห่งความมืดเรียกตัวมาแม้ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แสดงว่าคุณอาจจะสามารถชี้นำพวกเขาให้ร่วมมือกันขึ้นมาก็ได้นะครับ!"

    "...ฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลยนะ?" เด็กสาวเลิกคิ้ว

    "ไม่สมเหตุสมผลตรงไหนกันครับ ออกจะสมเหตุสมผล!" อาจารย์ใหญ่เอ่ย "เพราะคำพูดของเธอมักจะชี้นำทางให้เหล่านักเรียนไปสู่เส้นทางเดียวกันไม่ใช่หรือครับ ดูอย่างแทรปโพล่ากับสเปดคุงทั้งที่ดูจะไม่ค่อยถูกกัน แต่การที่คุณทำให้พวกเขายอมร่วมมือกันได้ช่างเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของผมไปมากจริงๆครับ"

    "ก็ไม่ได้อยากจะยอมร่วมมือขนาดนั้นซะหน่อย" เสียงของเอซเอ่ยขึ้น ใบหน้าของเขาขมวดคิ้ว "ที่ยอมร่วมมือก็เพราะมีผู้ใหญ่บ้าที่ไหนไม่รู้จะเอาตัวเองไปเสี่ยงต่างหาก!"

    "ที่ผมยอมร่วมมือก็เพราะว่าคุณมารีเขามีพระคุณต่างหากครับ หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะยอมร่วมมือกับเจ้าหมอนี่หรอก!" ดิวซ์เอ่ยเสริมทบ

    อาจารย์ใหญ่ฉีกยิ้มไม่น่าไว้วางใจ

    "แต่ที่ยอมก็เพราะว่ามารีคุงเขาไม่ใช่เหรอครับ ทั้งสองคน?"

    เด็กสาวมองทั้งเอซและดิวซ์ที่หันหน้าไปคนละทางไม่ยอมสบสายตากับใครราวกับไม่ค่อยอยากจะยอมรับเสียเท่าไหร่ เด็กสาวค่อยๆผ่อนลมหายใจของตัวเองออกมาก่อนที่จะเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่

    "อยากจะพูดอะไรก็รีบๆพูดมาเถอะครับ" เด็กสาวเอ่ย "พูดเกริ่นมาขนาดนี้แล้วแสดงว่าวางแผนอะไรไว้สินะ"

    หรือว่าอยากจะย้ายตำแหน่งให้เธอไปเป็นบุคลากรพิเศษ? เป็นภารโรงระดับวีไอพี? เป็นผู้ดูแลกริมม์ มีอะไรอีกนะทีเป็นได้? เลขาของอาจารย์ใหญ่หรือไง?

    "อะแฮ่ม ถ้ามารีคุงพูดถึงขนาดนี้ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ" อาจารย์ใหญ่เอ่ยกระแแอม "ผมอยากให้กริมม์กับเธอเป็นนักเรียนของที่นี่ครับ"

    ห้ะ...?

    "..." เด็กสาวเบิกตากว้าง ท่าทางของเธอราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตา

    "จริงอ่ะ!? ฟุน๊า...ข้า- ตัวข้า" เสียงของกริมม์ดังขึ้น "ในที่สุดตัวข้าผู้นี้ก็ได้กลายเป็นนักเรียนของที่นี่สักที! ไม่ใช่ในฐานะภารโรงแต่เป็นนักเรียน...สำเร็จเสียที!"

    "เนื่องจากว่ามารีคุงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับโรงเรียนภายในอนาคต..." เสียงของอาจารย์ใหญ่ยังเอื้อนเอ่ยต่อไป แต่ทว่าหัวของเธอกลับโล่งและว่างเปล่า "และกริมม์เองก็ผ่านสิทธิ์เงื่อนไขของการเป็นนักเรียนที่มารีคุงเสนอมาให้ได้แล้ว ผมจึงลงความเห็นแล้วว่าพวกเธอทั้งสองคนสมควรจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้ครับ"

    เรียนต่อ...มัธยมปลายเนี่ยนะ? 

    อะไร...กัน?

    "ทำไมล่ะ?" เสียงของเด็กสาวเบาหวิว ทว่ากลับทำให้บรรยากาศของห้องเงียบลงถนัดตา "ไม่สิ นี่มันไม่ถูกต้อง...ฉัน ฉันไม่ได้มีเงื่อนไขที่ตรงตามความต้องการของทางโรงเรียนจริงๆเลยนะ"

    "นายไม่ชอบอย่างงั้นเหรอ การที่ได้เป็นนักเรียนน่ะ?" เอซเอ่ยถามเธอที่ก้มหน้าลง

    "เปล่า..." เธอเอ่ยพลางส่ายหน้า มือขวาของเธอจับแขนซ้ายเอาไว้แน่น "แต่ว่าฉัน...ไม่เหมาะสม ฉันไม่ได้จ่ายค่าเทอม...แล้วก็-แล้วก็ไม่ได้สอบวัดระดับ ไม่ได้ยื่นใบสมัคร-"

    ไม่ได้ ไม่ได้ และไม่ได้

    "คนที่สมควรจะได้เรียน...ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่จบการศึกษามาแค่ระดับมัธยมต้นสักหน่อย"

    เธอไม่ได้ทำอะไรเลย

    "มารีคุง ไม่มีใครแก่เกินเรียนหรอกนะครับ" คำพูดของอาจารย์ใหญ่ทำให้เด็กสาวค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา "โรงเรียนก็คือโรงเรียน สถานที่นี้ไม่ว่าผู้คนจะอายุเท่าไหร่ หากได้เข้ามาที่นี่ด้วยความเต็มใจที่จะรับการศึกษาต่างก็ถูกเรียกว่านักเรียนได้ครับ"

    ดวงแสงสีอำพันนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกเปล่งประกายได้ถึงขนาดนี้

    "และตอนนี้คุณก็คือหนึ่งในนักเรียนโรงเรียนไนท์เรเวนคอลเลจ นั่นไม่ใช่เรื่องที่โกหกได้เลย"

    หนึ่งในนักเรียน?เนี่ยนะ?

    "ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม แล้วกับข้าวก็จะได้ทานฟรีๆที่โรงอาหารด้วยงั้นเหรอ?" เด็กสาวเอ่ยถาม เธอรู้สึกเหมือนน้ำเสียงเริ่มจะอ่อนไหวขึ้นมาทุกขณะ

    "ใช่ครับ"

    "จะได้เรียนหนังสือ ได้สอบย่อย สอบกลางภาค แบบที่นักเรียนทั่วๆไปก็ทำกันอย่างงั้นเหรอ?"

    "ใช่ครับ"

    "แล้วจะได้เรียนวิชาศิลปะด้วยใช่ไหม?"

    "อันนั้นมีอยู่ในหลักสูตรเลยล่ะครับ"

    เธอรู้สึกเหมือนภาพที่มองเห็นชักจะเริ่มพร่ามัวขึ้นมาหน่อยแล้ว

    "แล้วก็...แล้วก็-" เด็กสาวสูดหายใจเมื่อชักรู้สึกเหมือนกำลังจะหายใจติดๆขัดๆขึ้นมา "จะได้ถ่ายรูปกับเพื่อน...อย่างที่เขาก็ทำกันใช่ไหม?"

    แย่แล้ว แย่สุดๆเลย

    "ใช่ครับ..มารีคุง นี่คุณ---"

    น้ำตาเอ่อคลอที่ขอบตา เด็กสาวรีบใช้มือสากปาดมันออกไปก่อนที่จะมีใครมองเห็นสภาพของเธอที่ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ไปมากกว่านี้แล้วเอ่ยแก้ตัวเสียงเบา

    "ขอโทษ...พอดีดีใจนิดหน่อย"

    ทั้งๆที่แค่เป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ เป็นเรื่องที่ปกติเป็นชีวิตประจำวัน แต่สำหรับคนแบบเธอไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าหลังจากจบมัธยมต้นแล้วจะสามารถเข้ามาเรียนต่อได้ 

    กฎหมายไม่เอื้ออำนวย ในโลกเดิมของเธอที่ทุกอย่างยังวุ่นวายและสับสนได้ก่อตัวขึ้นมา ทำให้จนถึงท้ายที่สุดเด็กสาวก็ตัดสินใจละทิ้งความฝันไปจนได้

    ก็เริ่มจะจำได้แล้วว่าเหตุใดไฟในตัวของเธอถึงมอดลงไปได้ถึงขนาดนั้น...

    "สูดลมหายใจเข้าลึกๆนะครับ" เสียงของดิวซ์เอ่ยขณะที่ลูบหลัง "ไม่เป็นไรแล้วนะ"

    "ให้ตายสิ...ผู้ใหญ่เป็นอะไรไปกันหมดนะ" เสียงของเอซเอ่ย แต่ก็เอาแขนเสื้อของเขามาปาดน้ำตาให้เธอจนได้ "จะดีใจแบบนี้จนร้องไห้ออกมาก็ไม่เท่น่ะสิ ต้องยิ้มกว้างๆ---เอาให้กว้างๆไปเลย"

    "ดะ-เอี๋ยว!?(เดี๋ยว!?)"

    มือของเขายืดแก้มของเธอออก

    "หน้าตาดูดีขึ้นเยอะเลยนิ" เธอสบตากับเอซที่แสยะยิ้มมองเด็กสาวที่ปล่อยแก้มของหล่อนออก "ยิ้มแบบนี้เยอะๆสิถึงจะดีน่ะ!"

    "ก็ได้ๆ ยิ้มก็ยิ้ม" เด็กสาวพยายามยกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มที่ว่าก็ดูเก้ๆกังๆไม่เหมือนกับทุกทีเสียเหลือเกิน เธอมองใบหน้าของอีกสามคนที่พยายามจะกลั้นขำเอาไว้ เช่นนั้นแล้วก็รู้สึกต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    "อะไร หน้าฉันมีปัญหาขนาดนั้นเลยเหรอ?"

    "ไม่ใช่...ไม่ใช่ครับ อุ๊ป-" เสียงของอาจารย์ใหญ่พยายามจะกลั้นขำ แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที "แล้วก็มีบางอย่างที่ผมจำเป็นต้องบอก เนื่องจากว่ามารีคุงไม่มีพลังเวทย์ จึงจำเป็นต้องเรียนคู่กันกับกริมม์ ง่ายๆว่าทั้งสองคนรวมกันเป็นนักเรียนหนึ่งคนยังไงล่ะครับ!"

    "นอกจากนี้หากว่าให้ปากกาเวทมนตร์กับกริมม์คงจะเป็นการลำบาก ผมจึงตัดสินใจจะมอบปลอกคอที่ติดคริสตัลวิเศษเอาไว้ด้วยครับ" อาจารย์ใหญ่เอ่ย "การที่ผมใส่ใจนักเรียนเช่นนี้...เพราะว่าผมใจดียังไงล่ะครับ!"

    "ไม่อ่ะ นั่นเป็นสิ่งที่คุณควรจะมอบให้กริมม์ตั้งแต่แรกเพื่อความเหมาะสมอยู่แล้ว" เธอตีหน้าตายมองอาจารย์ใหญ่ที่สะดุดกึกก่อนจะรีบกระแอมกลบเกลื่อนอีกรอบ

    "เท่สุดๆไปเลย ข้ามีปลอกคอคริสตัลวิเศษแล้ว!" เสียงร้องจากกริม์ที่ชูอุ้งเท้านั้นดังขึ้น

    "และผมยังมีงานสำคัญให้เธอทำด้วยนะครับมารีคุง" เสียงของคราวลี่ย์ดังออกมาเรียกความสนใจจากเธอที่แปะมือกับอุ้งเท้าของกริมม์อยู่ "ผมขอแต่งตั้งให้เธอเป็นผู้ดูแลหอแรมแชตเกิล กับฝากช่วยดูแลกริมม์ไม่ให้สร้างปัญหาด้วยนะครับ"

    "ได้เลย อันนั้นไม่บอกก็ต้องทำอยู่แล้วล่ะ" เด็กสาวยักไหล่ "ว่าแต่...ผู้ดูแลหอนี่หมายถึงพรีเฟ็คเหรอ?"

    อาจารย์ใหญ่เลิกคิ้วงุนงง อีกสามคนที่อยู่ไม่ห่างเธอก็ด้วย

    "พรีเฟ็ค?"

    "อ่า...ก็ตำแหน่งหัวหน้าหอประจำบ้าน...ไม่สิ ก็ผู้ดูแลหอตามนั้นแหละ" เด็กสาวเอ่ยอธิบาย "พอดีติดคำมาจากบ้านเกิดของฉันน่ะ ขอโทษด้วยนะ"

    "ไม่เป็นไรครับ! ช่างเป็นชื่อเรียกตำแหน่งที่ฟังดูแปลกและลื่นหูดีนะครับ" เสียงของอาจารย์ใหญ่คราวลี่ย์เอ่ย "หรือว่าผมควรจะเปลี่ยนคำเรียกหัวหน้าหอว่าเป็นพรีเฟ็คดีนะ?"

    "ถ้าอาจารย์ใหญ่พูดแบบนั้นผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ!" เสียงของดิวซ์ดังขึ้น

    "ไม่ต้องก็ได้มั้ง" เอซท้าวสะเอวมองเอือม อาจารย์ใหญ่ตั้งใจเมินไปอย่างสิ้นเชิงขระที่หันไปมองนาฬิกาที่อยู่ภายในห้อง เวลานั้นชี้ให้เห็นว่ามันมืดค่ำเพียงใดแล้ว

    "ถ้างั้นพวกเธอสามคนก็กลับไปที่หอของตัวเองได้เลยนะครับ" เสียงของอาจารย์ใหญ่เอ่ยก่อนจะรั้งเธอเอาไว้ "มารีคุง เธอยังกลับไม่ได้นะครับ"

    เด็กสาวพยักหน้า

    "เข้าใจแล้ว"

    "ถ้างั้นตัวข้าผู้นี้ขอกลับไปนอนก่อนนะ!" เสียงของกริมม์เอ่ย เด็กสาวพยักหน้าขณะที่โบกมือให้กับพวกเขาสามคนที่เดินออกไปจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายกล่าวคำลาให้กับเธอ

    "ขอตัวก่อนนะครับอาจารย์ใหญ่ ไว้เจอกันใหม่นะครับคุณมารี!" ดิวซ์เอ่ย ใบหน้าของเขายิ้มประดับ

    "ไว้เจอกันน้า ฉันไปล่ะ!" ส่วนเอซ หมอนี่ก็เหมือนดิวซ์แหละ ยิ้มซะกว้างแถมยังโบกมือลาให้เธอด้วย

    ช่วยไม่ได้ล่ะนะ... เด็กสาวโบกมือลาพวกเขาจนประตูห้องทำงานปิดลง เธอหันไปมองอาจารย์ใหญ่ที่หยิบกล้องอะไรบางอย่างมาวางเอาไว้บนโต๊ะ เป็นกล้องประหลาดที่เหมือนยุคสมัยซักทศวรรษสองทศวรรษไม่มีผิด

    ดวงตาสีน้ำข้าวฉายแววสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรอาจารย์ใหญ่ก็ตอบคำถามที่อยู่บนใบหน้าของเธอทันที

    "นี่คือกล้องวิญญาณครับ" เสียงของอาจารย์ใหญ่เอ่ย "เป็นกล้องที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมานานมากแล้ว มีคุณสมบัติชนิดพิเศษที่จะสามารถถ่ายรูปให้ออกมาอยู่ในรูปสิ่งของ กับรูปวิญญาณได้ด้วยครับ"

    "รูป...วิญญาณ?" ยิ่งฟังยิ่งงงกว่าเดิม ง่ายๆคือถ่ายวิดีโอแต่มีผีติดมาด้วยรึเปล่านะ?

    "มันถูกเรียกว่า เมโมรี่ ชิ้นส่วนของความทรงจำ และสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของกล้องนี้เมื่อจิตวิญญาณของช่างภาพและจิตวิญญาณการถ่ายภาพเชื่อมต่อกัน เมโมรี่ในภาพจะกระโดดออกมาได้ล่ะครับ!"

    "กระโดด...ออกมาเนี่ยนะ?" เด็กสาวเลิกคิ้ว

    มือของอาจารย์ใหญ่วางกล้องวิญญาณลงบนมือของเธออย่างนุ่มนวล

    "ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความผูกพันธ์ระหว่างสิ่งของและช่างภาพที่จะทำให้มันขยับได้เหมือนในวิดีโอ" เขากล่าวอธิบาย "หรือจะพาเข้าไปอยู่ภายในเหตุการณ์ของภาพถ่าย ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมล่ะครับ?"

    "ความสมจริงขนาดนั้น...เพราะแบบนั้นถึงถูกเรียกว่ากล้องถ่ายวิญญาณอย่างงั้นเหรอ?" เด็กสาวพึมพำ "จะว่าไปแล้วสมัยก่อนที่โลกเดิมของฉันก็เชื่ออยู่เหมือนกันว่าการถ่ายภาพจะทำให้ถูกดูดวิญญาณเข้าไปน่ะ"

    "โลกของคุณเนี่ยช่างน่าสนใจจริงๆนะครับ" เขาเอ่ย คราวลี่ย์ฉีกยิ้ม "เพราะแบบนั้นแหละถึงได้ถูกเรียกว่ากล้องวิญญาณยังไงล่ะ ว่ากันว่าสมัยที่โลกนี้ยังไม่มีวิดีโอ น่าจะได้แรงบันดาลใจจากคนที่อยากจะเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้ และว่ากันว่าในสมัยที่ผู้คนหวาดกลัววิญญาณกัน หากความทรงจำเหล่านั้นกระโดดออกมาได้จริงๆคงมีตกใจจนหัวใจวายเลยล่ะครับ"

    "ในยามที่ผู้คนถูกถ่ายด้วยกล้องนี้ ต่างก็ตกใจกันไปหมดเลยล่ะครับ" คราวลี่ย์มองเธอ "ได้ฟังไหมครับเนี่ยมารีคุง?"

    เด็กสาวนิ่งเงียบ เธอมองกล้องและสำรวจมันอีกนิดหน่อย มือของเธอเลื่อนขึ้นก่อนจะยกกล้องขึ้นให้เทียบเท่ากับบริเวณศีรษะของเธอ---ดวงแสงสีอำพันของคราวลี่ย์เล็กลงเมื่อรู้ว่าเด็กสาวคิดจะทำอะไร

    "เดี๋ยวนะครับมารีคุ-"

    แช๊ะ!

    "เป็นสีหน้าตกใจที่ออกมางดงามจริงๆนะคะ" เด็กสาวฉีกยิ้มบางขณะที่รับภาพที่ถูกส่งออกมาจากตัวกล้อง "ไม่จำเป็นต้องล้างฟิล์มด้วย แถมสีหน้าของคุณก็งดงามจริงๆนั่นแหละค่ะ คุณเจ้าของรูปภาพใบแรก"

    อาจารย์ใหญ่ถอนหายใจออกมาขณะที่เด็กสาวยิ้มขำ

    "คุณนี่แอบขี้แกล้งกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี่ย ผมยังไม่ทันได้เตรียมตัวถ่ายภาพดีๆ แถมยังไม่ได้เช็ตผมเลยนะครับ!"

    "แบบนี้ธรรมชาติดีออกค่ะ" เด็กสาวสะพายกล้องไว้ที่ลำตัว "อาจารย์ใหญ่ที่สมกับเป็นอาจารย์ใหญ่ สีสันที่ไม่จำเป็นต้องถูกแต่งแต้มเกินจำเป็น สิ่งนั้นมักจะออกมาเรียบง่ายและมีความหมายในตัวมันเองค่ะ"

    "มารีคุงพูดอะไรชวนผมงุนงงจังเลยนะครับ" อาจารย์ใหญ่พึมพำเบาๆแต่เธอก็ยังได้ยิน "เอาเป็นว่ายังไงก็ขอฝากให้เธอช่วยถ่ายภาพของกริมม์คุงกับนักเรียนคนอื่นๆออกมาทีนะครับ ช่วยจับตาดูสิ่งรอบๆและเก็บความทรงจำนี้เอาไว้ที สัญญานะครับ?"

    เด็กสาวพยักหน้า ใบหน้าของเธอยังคงคลี่ยิ้มออกมาดั่งเดิม

    "ไว้ใจได้เลยค่ะอาจารย์ใหญ่ เรื่องถ่ายภาพคนอื่นก็คงง่ายพอๆกับการทำงานพาร์ทไทม์" เด็กสาวเอ่ย เธอเหลือบมองนาฬิกาที่ดูแปลกๆก่อนจะพูดขึ้น "แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้กลับล่ะคะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วไม่ใช่เหรอ"

    ดวงตาของเธอหรี่ลง อย่าบอกนะว่า...

    คราวนี้อาจารย์ใหญ่เป็นฝ่ายยิ้มแย้มกว้างขึ้นแทน

    "ที่เพราะผมให้เธออยู่ต่อไม่ได้มีแค่เรื่องนี้หรอกนะครับ" มารีจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปลาตายยามที่คราวลี่ย์ยื่นเอกสารกองๆหนึ่งมาทางเธอ มันถูกไว้บนโต๊ะอีกโต๊ะขณะที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งกับปากกาขนนกพร้อมหมึกปรากฏขึ้น "เนื่องจากว่าเธอเป็นนักเรียนพิเศษ ผมก็เลยอยากจะให้เธอช่วยทำงานนี้ให้ทีนะครับ"

    มารีปรายตามองรายละเอียดของเอกสารแต่ละแผ่นหลังจากที่มือหยิบจับไปได้ไม่นาน

    "...อาจารย์ใหญ่คะ" หล่อนนำปากกาขนนกจุ่มหมึกสีดำก่อนจะเริ่มเซ็นอย่างรวดเร็วโดยไม่สบตากับอาจารย์ใหญ่เลยด้วยซ้ำ "ที่บังคับมาให้ฉันช่วยเนี่ย เพราะว่าเอกสารจำเป็นต้องส่งพรุ่งนี้เช้าใช่ไหมคะ?"

    เสียงหัวเราะดังออกมาเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะแห้งๆที่ชวนทำให้เธอคิดว่า กะไว้แล้วเชียว ออกมาแบบนี้เลย

    เจ้าคนไร้ความรับผิดชอบนี่...

    ***

    ทางเดินหลัก - เวลายามค่ำคืน (มากๆ)


    "ในที่สุดก็เสร็จซักที" ร่างๆหนึ่งในสภาพที่มีผ้าห่มคลุมร่างตั้งแต่ศีรษะถึงลำตัวเดินออกมาพร้อมชุดเครื่องนอนสองอัน

    เด็กสาวหลังจากที่เสร็จงานภายในเวลาดึกดื่น ในที่สุดเธอก็มีโอกาสได้พักเสียที(แน่นอนว่าทำงานไปบ่นอาจารย์ใหญ่ไปจนเสร็จ) และเพื่อเป็นการตอบแทนที่เธอยอมตกลง(เนื่องจากโดนบังคับ)ให้มาช่วยเธอก็เลยตัดสินใจขอเครื่องนอนกับอาจารย์ใหญ่ แถมยังขอคะแนนจิตพิสัยให้ดิวซ์ด้วยอีกต่างหาก

    ไฟตามทางของทางเดินหลักนั้นสลัวๆและมีแสงไม่ค่อยมากนัก แต่เด็กสาวก็ยังคงเดินต่ออย่างไม่สะทกสะท้านเนื่องจากเธออยากจะกลับไปที่หอเพื่อนอนไวๆเสียที ตอนตื่นจะได้มีแรงไปทำ...ไม่สิ ตอนนี้หากต้องพูดให้ถูกคือไปเรียนแล้วมากกว่าสินะ

    "คิดไม่ออกเลยแฮะว่าชีวิตของเราต่อจากนี้จะเป็นยังไง ถึงจะดีใจมากๆก็เถอะ" หล่อนพึมพำ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำข้าวจะสังเกตเห็นไฟสีนภามาจากที่ๆไม่ค่อยไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่เสียเท่าไหร่นัก เป็นเหมือนเปลวเพลิงสีฟ้าขนาดใหญ่ที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ของกริมม์ แถมยังมีรูปร่างแปลกๆอีกต่างหาก

    นั่นใครน่ะ? หัวไฟ? หรือว่าเป็นสัตว์ประหลาด

    เด็กสาวพยายามเพ่งมองจากจุดที่มืดสลัว ร่างๆนั้นของใครบางคนเริ่มจะเดินใกล้เข้ามา ร่างๆนั้นหยุดลง ดวงตาสีอำพันเรืองรองมองมาที่เธอ ดวงตาสีน้ำข้าวของเด็กสาวจ้องกลับแบบไม่สะทกสะท้าน เธอไม่แม้แต่จะกระพริบตาเลยด้วยซ้ำเพราะพยายามเพ่งมองอยู่ว่าคนๆนั้นเป็นมนุษย์หรือว่าสัตว์ประหลาด

    จนกระทั่งร่างๆนั้นเสียงดังออกมา

    "วะ-ว้ากก &THD#%$@$R%&*@#@!#@!!!?"

    เป็นเหมือนเสียงกรีดร้อง และยังไม่ทันจะกระพริบตาร่างๆนั้นก็หายไปเสียแล้วจากจุดที่เขาเคยยืนอยู่ เด็กสาวเริ่มขยับเข้าไปใกล้จุดๆนั้นที่มีร่างของคนคนนั้นยืนอยู่ด้วยความงุนงง หนังสือเล่มหนึ่งที่มีภาพน่ารักสดใสถูกวางตกอยู่ที่พื้นปูอิฐสีขาว เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษและมีรูปภาพของสาวน้อยน่ารักหลายๆคน

    "อะไรเนี่ย...ชีวิตในรั้วโรงเรียนของมาริริน่า...จัง เล่มสอง?" เธอเพ่งมองดูตัวหนังสือภายในความมืด หรือว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นของของคนๆนั้นกันนะ?

    เก็บไว้แล้วรอเอาไปคืนแล้วกัน สงสัยคนๆนั้นคงนึกว่าเราเป็นผี...

    เธอมองหนังสือด้วยสีหน้าลำบากใจ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเก็บไว้ก่อน เด็กสาวนำใส่มันไว้พร้อมๆกับกระเป๋าชุดเครื่องนอนก่อนที่จะมุ่งไปสู่หนทางของหอแรมแชตเกิลที่อยู่ไม่ไกลอีกต่อไป

    ตอนนี้เธอเหนื่อยแล้ว เรื่องทุกอย่างก็ค่อยว่ากันแล้วกันนะ

    [ The end บทนำ]

    ***

    สาส์นจากไรท์ 

    : จบแล้ว-จบแล้ว ในที่สุดก็จบบทนำแล้วค่า เฮ้!! (จุดพลุ)

    สองตอนรวดนี่มันกินพลังงานจริงๆค่ะ แต่ในที่สุดเราก็เข็นออกมาได้ซักที ชีวิตนี้ไม่เคยรู้สึกประสบความสำเร็จเท่านี้มาก่อนเลยล่ะค่ะ(ซับน้ำตา) ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจของนักอ่านทุกท่าน รีดเดอร์ที่คอมเม้นท์ คนติดตามและยอดวิวจริงๆค่ะ (700แล้วเนี่ยสุดๆไปเลย!) 

    จากตอนนี้ในที่สุดหนูมารีก็จะได้เข้าโรงเรียนแล้วล่ะค่ะ แล้วก็ไรท์เองก็พร้อมจะเปิดบทคั่นไว้ให้โหวตกันแล้วด้วย(แต่ว่าอาจจะมาพรุ่งนี้นะ) แล้วก็จะได้ขึ้นบทที่หนึ่งซักที มีหลายๆอย่างที่อยากจะเขียนใส่ลงไปเต็มไปด้วยหมดเลยล่ะค่ะ!

    ส่วนเรื่องเจอหัวหน้าหอ...เป็นการเจอที่ดูจะน่าประทับใจสุดๆไปเลยล่ะค่ะ(?) ในส่วนนี้กว่ามารีจะคืนมังงะให้ก็คงอีกซักระยะ เอาเป็นว่าช่วยกระวนกระวายใจไปอีกนานหน่อยนะอิเดียคุง ส่วนนายม.(สึโนะทาโร่) จะตามมาอีกไม่ไกลนี้ บอกเลยว่าไรท์พร้อมปั่นมากๆถ้าไม่ติดว่าพลังงานจะหมดฮวบแล้ว(ไหล)

    สำหรับตอนพิเศษนี้ จะถือว่าเป็นตอนที่มารีเคลียร์แต่ละบทของแต่ละหอได้จนจบแล้วนะคะ ไม่กระทบกับเนื้อเรื่องแค่จะขยายความและใส่เหตุการณ์ลงไปให้บันเทิงเอามากๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีดราม่าแน่ๆ

    ปล. กล้องวิญญาณเดี๋ยวจะถูกย้ายเก็บไปพูดกับดิวซ์ในบทที่หนึ่งนะคะ

    ปล.สอง ไว้รอความซวยที่ต้องเจอต่อจากนี้ได้เลยค่ะ (หัวเราะชั่วร้าย)

    ปล.สาม ไรท์กะไว้ว่าตอนหัวหน้าหอโอเวอร์บล็อตน่ะ ไรท์จะ... (เซ็นเซอร์)

    ปล.สี่ เอซนี่เป็นเพื่อนที่ดีในหลายๆความหมายจริงๆเลยค่ะ (ยิ้ม)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×