ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ท้ายบทเพื่อเปิดม่าน : Helpful selfishness
"เจอแล้ว...เจอแล้ว
ในที่สุด...ก็ได้เวลาออกตามหาเบนจามิน...ตามหา ตามหาเบนจามิน"
"ตามไป"
-???
" ความเห็นแก่ตัวที่เป็นประโยชน์ "
***
"แฮ่ก...แฮ่ก-"
เสียงหอบหายใจของเด็กสาวดังขึ้นเมื่อร่างของเธอพาเด็กหนุ่มกับเจ้าปีศาจน้อยอีกหนึ่งตัวหลบหนีออกมาจากเหมืองร้างของคนแคระสำเร็จ เด็กสาวค่อยๆปล่อยร่างของเอซกับดิวซ์รวมถึงกริมม์ก่อนที่จะทรุดตัวลงไปกับพื้นหอบหายใจขณะที่หยาดเหงื่อเริ่มไหลลู่ลงคางของเด็กสาวที่ต้องวิ่งไปวิ่งมาตลอดแทบทั้งวันจนไม่มีโอกาสที่ได้พักเลย
ยังทนได้อีกนิดหน่อย...นี่ยังไม่ใช่ขีดกำจัดของเรา มารีหรี่ตาของตัวเองลง จ้องมองมือขวาของเธอที่สั่นระริกก่อนที่จะใช้มืออีกข้างจับมันเอาไว้ เพียงแค่ลูบเบาๆสองครามือของเธอก็หายหยุดสั่นลงไปจนได้
ดวงตาสีน้ำข้าวมองพวกเขาทั้งสามที่เริ่มมีสติกลับมาหลังจากช็อคกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าในตอนนั้น
"ไม่ไหว...ตัวแบบนั้น- ถึงจะเป็นอัจฉริยะแบบข้าก็เถอะ!" เสียงของกริมม์ดังขึ้น ร่างของมันยังสั่นระริกราวกับว่าภาพของเจ้าสิ่งมีชีวิตตนนั้นได้ประทับอยู่ภายในหัวของมันเป็นที่เรียบร้อยแแล้ว "น่ากลัว--จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!"
"จะ..เจ้านั่น นั่นมันบ้าอะไรกันน่ะ?" เสียงพึมพำของเอซดังขึ้น ดวงตาสีแสดของเด็กหนุ่มก้มลงกับพื้นไม่สบตากับใคร ท่าทางดูสิ้นหวังอย่างน่าประหลาด "ไม่เห็นจะมีใครพูดถึงเลยด้วยซ้ำ...!"
"หน้าตาเหมือนจะไม่ใช่วิญญาณเก่าแก่ของที่นี่เลย" เสียงของดิวซ์พึมพำ ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือดแต่ก็ยังพอมีแรงใจฮึด "ยังไงก็ต้องหาวิธีสู้กับมันดูก่อน..."
เอซเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงิน ดวงตาสีแสดของเขาปรากฏแววความกลัวออกมาได้เด่นชัดท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด
"สู้เหรอ ไม่มีทางหรอกน่า" เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ย น้ำเสียงนั้นดูคล้ายจะแผ่วเบาลง "เจ้านั่นเป็นตัวอะไรพวกเราก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ฉันว่าพวกเรากลับกันเถอะ ขอโดนไล่ออกยังดีกว่าต้องไปตาย"
ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมรกตฉายแววไม่พอใจทันทีที่ได้ยินคำพูดออกมาจากปากของเอซ
"หา อย่ามาล้อเล่นนะ!" เสียงตะเบ็งดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด มารีเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ยืนขึ้นสบสายตากับเอซ "ขอตายดีกว่าจะโดนไล่ออกไปทั้งแบบนั้นแหละ!"
"ทั้งๆที่อีกแค่เอื้อมเดียวก็ได้คริสตัลมาแล้วแท้ๆ! แต่จะยอมแพ้แล้วกลับบ้านไปเนี่ยนะ!?"
หัวร้อนจังเลยนะเด็กคนนี้... มารีมองใบหน้าของดิวซ์ ความประทับใจแแรกพบเนี่ยปลิวหายไปเลยแฮะ สงสัยฉันเองก็คงต้องพยายามมองคนให้ระมัดระวังมากกว่านี้ซะแล้วสิ ไม่อยากมองพลาดหลายๆรอบแบบนี้หรอกนะ
อ่า...อยากอ่านใจคนได้จัง
เด็กสาวปัดชายเสื้อของตนเองเงียบๆ เธอตรวจเช็คบาดแผลตามร่างกายก่อนจะพบว่ามีแค่แรงถลอกบางส่วน...จริงๆแล้วในสภาพแบบนี้ก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์พร้อมแข็งแรง ถ้าหากกลับเข้าไปพิชิตปีศาจตนนั้นแล้วนำคริสตัลวิเศษมาได้ล่ะก็...คิดว่าเด็กสาวก็ยังจะล้มมันได้แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องมีใครช่วยเหลือเลยก็ตาม
เหลือเวลาไม่ถึงสิบชั่วโมงแล้ว... เด็กสาวคำนวณจากท้องฟ้าคราวๆยามเมื่อเห็นดวงจันทร์เริ่มคล้อยไปยังทิศทางตะวันตก มารีหันมามองเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เริ่มจะมีปากเสียงกันอย่างช่วยไม่ได้ ความคิดที่เผลออยู่ในห้วงภวังค์ของตนช่างเป็นอะไรที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังคงแอบกังวลใจกับมันอยู่พอสมควร
"เหอะ คนที่ผิดมากที่สุดก็คือนายที่เป็นคนร่ายเวทย์ใส่ฉันกับเจ้าหมอนั่นที่เห็นด้วยแท้ๆเลยไม่ใช่รึไง!" เอซเอ่ย ใบหน้านั้นประดับไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อดิวซ์และเธอขณะที่ปรายสายตามองด้วยความหงุดหงิด "จะให้ไปสู้กับตัวประหลาดแบบนั้นก็ไปเองเถอะ ฉันขอผ่าน!"
"อ๋อเหรอ ถ้าอย่างงั้นล่ะก็-!!"
มือของเด็กสาวชิงจับบ่าของดิวซ์เอาไว้ เธอออกแรงที่มือระงับความโกรธของเด็กหนุ่มที่เลือดขึ้นหน้ากับคำพูดของเอซ ดวงตาสีน้ำข้าวสบสายตากับเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดไม่หลบเลี่ยงไปไหน
"ขอโทษที่พานายมาลำบากนะ" เธอเอ่ย ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าต่อจากนี้ต้องทำยังไง "ไม่สิ จะให้พูดก็คือต้องขอโทษพวกนายทั้งสามคนด้วยที่พามาลำบากขนาดนี้"
"แน่นอนสิ! วันนี้ฉันก็ซวยมาทั้งวันเพราะนายกับเจ้าก้อนขนนั่นแท้ๆ" เธอยืนนิ่งฟังสิ่งที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดขณะที่เขากอดอกมองเธอ "แต่ขอโทษมันจะไปได้อะไรกันเล่า"
ดวงตาสีน้ำข้าวมองเด็กหนุ่มนิ่ง ก่อนที่ไม่กี่นาทีถัดมามารีจะเอ่ยเสียงเรียบราบ แต่กระนั้นก็ดังได้ยินกันไปทั่ว
"ได้สิ เพราะฉันจะไปเอง"
มือของเอซร่วงลงมา
"ห้ะ...?"
"นี่เจ้าพูดอะไรน่ะมารี?" เสียงของกริมม์ดังขึ้นเป็นรายที่สอง ท่าทางของมันมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคนเสียสติ "คนไร้เวทมนตร์แบบเจ้าเนี่ยนะจะไป รนหาที่ตายรึไง!?"
"คุณมารี นี่คุณรู้รึเปล่าว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นมันอันตรายมากเลยนะ!" ท่าทางของดิวซ์ดูร้อนรนเห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะให้เธอที่เป็นคนทำอะไรไม่ได้ในสายตาของพวกเขานั้นไป "อย่างน้อยผมจะไปเอง---!"
"ไม่ได้" ดวงตาสีน้ำข้าวกวาดตามองสองเด็กหนุ่มและหนึ่งปีศาจที่อาศัยอยู่รอบข้างของเธอนี้ "พวกนายไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ที่คุณเอซกลัวน่ะเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักอารมณ์ของมนุษย์แล้วด้วยซ้ำ"
แวบหนึ่งที่เอซมองเธอนิ่ง
เธอน่ะไม่ใช่แค่คนที่ไร้เวทย์ แต่จะเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกก็เป็นเหมือนหนองน้ำตื้นที่เกิดแล้วก็เหือดแห้งไป และสิ่งที่ยังพอเหลือให้ยึดหลักเป็นแรงอารมณ์ก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ไม่ได้ต่างไปจากพวกเดียวกันกับเธอเลยแม้แต่น้อย
มารีเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อความเงียบสงัดยังคงเปิดทางให้เธอ
"คุณเอซกับคุณดิวซ์ จะกริมม์ก็ด้วย อนาคตของพวกนายทุกคนยังไม่แน่นอนไม่ใช่รึไง?" เธอเอ่ย "คนที่อนาคตไม่แน่นอนแบบนั้นถ้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายจะเป็นภัยกับตัวเองเปล่าๆ"
เธอรู้ ทั้งข่าวที่นักศึกษาตายเพราะประสบอุบัติเหตุ หรือจะเป็นที่ตายเพราะคนแบบพวกเธอ พวกเขาที่เส้นทางนั้นต่างไม่แน่นอนแต่กลับต้องถูกพรากชีวิตไปมันช่างไร้ค่านัก
น่าสมเพชที่ชีวิตแสนมีค่าพวกนั้นกลับต้องมาดับสูญลงด้วยเหตุผลโง่งมที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ตนไม่รู้ว่ามันคืออะไร
"ในฐานะบุคลากรของที่โรงเรียนนี้-" ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวก็ตาม แต่ว่านี่น่ะ... "ฉันขอยอมเสี่ยงไปเผชิญอันตรายดีกว่าที่จะปล่อยให้พวกนายโดนไล่ออกภายในวันแรก"
เด็กพวกนี้น่ะ อย่างไรซะก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบตามจรรยาบรรณ
มารีเหยียดยิ้ม
ปล่อยให้ลาออกไปอย่างน่าสมเพชเหรอ? แบบนั้นจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดขึ้นหรอก
"อีกอย่างนะ-"
อะไรจะมาก็เถอะ แน่จริงก็มาเลยสิ
"ก็ดันโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกน่ะ มันดูโหลยโท่ย ไม่เท่สุดๆไปเลยไม่ใช่รึไงครับ?"
มารีหันหลังกลับไปยังทิศทางของเหมืองร้างหลังจากพูดจบ เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเป็นจะต้องมายืนเอ้อระเหยรอฟังคำพูดจากปากของเด็กหนุ่มสองคนกับปีศาจอีกหนึ่งตนแล้ว ภายในตอนนี้เวลาเองก็มีเหลือไม่มาก จะมาเสียเวลาเพียงเพราะเด็กพวกนี้(รวมถึงกริมม์)ด้วยไม่ได้เด็ดขาด
เพราะงั้นเธอจะ-
" " เดี๋ยว! " "
ฝีเท้าของเธอก้าวเดินออกไป แต่แล้วแรงของมือที่จับชายเสื้อรั้งเอาไว้ก็ทำให้ฝีเท้าของเด็กสาวยอมหยุดนิ่งหลังจากเสียงตะโกนที่ดังพร้อมกันถูกเอ่ยออกมาจากปากของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดและเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาของทั้งคู่ที่จับจ้องมองยังคงเอาไว้ซึ่งความกลัวและความหวาดระแวง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคงเป็นแววตาของดิวซ์ที่เปี่ยมไปด้วยความกล้ามากขึ้น กับดวงตาของเอซที่จ้องเขม็งมาทางเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยทั้งแววเป็นห่วงและความหงุดหงิด
"นายนี่มันโคตรบ้าเลย!" เสียงจากเอซเป็นฝ่ายดังขึ้นมาก่อน เธอยอมหันกลับไปมองพวกเขาทั้งสองคน(กับอีกหนึ่งตัว) "ตั้งแต่ตอนที่เจอกันแล้วนะเฟ้ย! แถมนี่ยังคิดจะไปสู้กับเจ้าตัวประหลาดนั่นคนเดียวเนี่ยนะ!?"
มารีเลิกคิ้ว เจ้าเด็กคนนี้ต้องการจะสื่ออะไรกันนะ? ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปหรอกเหรอ แล้วนี่มาด่าอะไรเธออีกเนี่ย?
"ก็นี่ฉันจะไปให้นะ---"
"ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นว้อย!? ฉันน่ะ---อ๋าา!? นี่ต้องพูดจริงๆใช่ไหมเนี่ย?" เธอมองเห็นเอซที่หลบเลี่ยงสายตาจากดิวซ์และกริมม์ที่มองมา ก่อนที่ดวงตาสีแสดนั่นจะจ้องตรงมายังเธอ "ฉันจะไปกับนายด้วยก็ได้! ถึงจะไม่ชอบแล้วก็กลัว---แต่ถ้าเดินตามรอยผู้ใหญ่แบบนายเจ้านั่นจะไม่เข้ามากัดฉันหรอกใช่มะ?"
"อย่างที่เจ้าหมอนี่พูดนั่นแหละ ผมเองก็จะไปกับคุณด้วยครับ!" เสียงของดิวซ์(ที่ในที่สุดก็ใจเย็นลงผิดกับตอนที่หัวร้อนแล้ว)ดังขึ้น "อยากจะตอบแทนที่คุณช่วยพูดกับอาจารย์ใหญ่ในวันนี้ให้ ต่อให้ต้องเสี่ยงผมก็อยากจะไปด้วย!"
เจ้าเด็กพวกนี้มันไปหาแรงฮึดจากไหนมากันหว่า? มารีสงสัยเสียเหลือเกิน ติดแค่ว่าเธอไม่ค่อยอยากจะถามเหตุผลออกไปหรอก
"จะ-เจ้าสัตว์ประหลาดนั่น ตัวข้าผู้นี้คิดว่าไม่กลัวแล้วล่ะ มันจะสักแค่ไหนกันเชียว!" เธอเห็นนะว่าเจ้าแมวอวดดีนี่ยังสั่นอยู่เลยน่ะ "ท่านกริมม์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะไปด้วย ช่วยสำนึกไว้ด้วยล่ะ!"
"คร้าบๆ แหม่ นายยังสั่นอยู่เลยนะเจ้าก้อนขน" ใบหน้าของเอซที่แสยะยิ้มนั้นปรากฏขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของเจ้าแมวสีดำที่เป็นปีศาจตัวจ้อย
"ฟุน๊า ไม่ใช่นะ!" เจ้าแมวเอ่ยเถียงค้านสุดเสียง
"พวกนายสองคนก็หยุดทะเลาะกันซักทีเถอะน่า" เสียงของดิวซ์ดังขึ้นหลังจากนั้น เขาส่ายหน้าและหลับตาราวไม่อยากรับรู้
เด็กสาวมองภาพตรงหน้าก่อนที่พลันจะส่ายศีรษะด้วยท่าทีเอือมระอา
นี่ฉันเสียเวลามานานเท่าไหร่แล้วนะ? ซักสองสามนาทีได้...แย่จัง เธอคิดขณะที่มองไปยังภาพตรงหน้า เสียงถกเถียงยังคงดังขึ้นทว่าประเด็นในหัวข้อก็ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงจริงจังจนเกินไป ใบหน้าของพวกเขาทั้งสามในสายตาของเธอช่างเปี่ยมไปด้วยไฟเยาว์วัยที่ไม่ว่าวัยรุ่นคนไหนต่างก็พึงมี พวกเขาดูสว่างสดใสราวกับดวงดาราที่เปล่งประกายอย่างแรงกล้าภายในท้องฟ้าและพร้อมจะเปล่งแสงขึ้นมาหากมีความตั้งใจจริงจะทำอะไรซักอย่าง
เป็นไฟที่เจิดจรัส ส่องแสงงดงามราวไม่ย่อท้อต่อสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อหนทางความฝัน เธอลืมไฟในตัวนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ไม่สิ หรือบางทีเธออาจจะไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่านะ?
หรือเพราะว่า เธอน่ะ...
ไม่สิ ไม่ใช่หรอก
ตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดมากแล้ว
"ถ้าพวกนายจะไปจริงล่ะก็ ก่อนอื่นจะต้องมีแผนดีๆก่อนนะ" เด็กสาวเอ่ยเรียกความสนใจจากหมู่คนทั้งสามที่ตอนนี้หันหน้ามามองเธออย่างพร้อมเพรียง "แล้วก็ฉันมีแผนดีๆที่ว่าอยู่อย่างหนึ่ง...สนใจจะฟังไหม?"
เหมืองร้างคนแคระ - เวลายามค่ำคืน
"แน่ใจเหรอว่าแผนแบบนี้จะใช้ได้ผลจริงๆน่ะ?" เสียงของกริมม์เอ่ยถามขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งสี่คนเดินมาถึงหน้าเหมืองร้างยามค่ำที่เงียบสงัด มารีหันมองเจ้าปีศาจดำตัวน้อยที่เคลือบแคลงใจ เด็กสาวนิ่งเงียบไปซักพักใหญ่ เธอขจัดความรู้สึกพะอืดพะอมออกไปก่อนที่จะเอ่ยตอบเจ้าปีศาจตัวน้อยที่อยู่ไม่ห่างจากเธอ
"ไม่เป็นไร ฉันมั่นใจมากเลยล่ะ" เด็กสาวยักไหล่ ท่าทางที่ดูไม่ทุกข์ปรากฏแก่สายตาของคนที่เหลือ "นี่น่ะจะต้องเป็นแฮปปี้เอนดิ้งแน่"
"แฮปปี้เอนดิ้ง? แบบที่ในตำนานผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดน่ะหรือ?" เอซฉีกยิ้มขณะที่เท้าสะเอว "ถ้านายพูดออกมาแบบนั้นล่ะก็---งั้นก็มาทำให้นี่น่ะเป็นแฮปปี้เอนดิ้งกันเถอะ"
"เข้าใจแล้ว" เด็กสาวพยักหน้า "ถ้างั้นก็ไปกัน"
ฝีเท้าเคลื่อนตัวออกไป เป้าหมายของพวกเธอทั้งสี่ต่อจากนี้คือการแย่งชิงเจ้าคริสตัลวิเศษออกมาจากปีศาจตนนั้น
***
"สวัสดียามค่ำนะเจ้าปีศาจ" ร่างของเด็กสาวก้าวเข้ามาภายในเหมืองคนแคระ ดวงตาจ้องมองมันด้วยสายตานิ่งสงบท่ามกลางความรู้สึกพะอืดพะอมนี่ "ไม่สนใจจะไปนอนซักหน่อยหรือ? นี่น่ะก็ค่ำแล้วนา"
อีกแล้ว... เด็กสาวคิด เจ้าสัตว์ประหลาดนี่สายตาน่ากลัวเป็นบ้า
ต่อหน้าของเธอคือสัตว์ประหลาดร่างใหญ่สูงที่กำลังเผชิญหน้ากับเธออยู่ ความสูงของมันแม้ว่าลำตัวจะไม่แตะถึงเพดานเหมืองแต่ก็ยังคงใหญ่สำหรับมนุษย์ที่จำเป็นต้องเผชิญอยู่ดี หากจะให้เปรียบเทียบก็คงจะเป็นมนุษย์กับมังกรเสียละกระมั้ง?
เจ้าปีศาจซุกซ่อนตัวภายในความมืด ดวงตาของมันหันมามองเธอ เสียงพึมพำอะไรบางอย่างของมันดังขึ้นขณะที่ค่อยเคลื่อนกายตรงมาโดยทิ้งหยดสีดำไว้ตามทาง แต่ภายในชั่วพริบตาร่างกายของมันก็กลับเคลื่อนตัวเร็วเสียจนเด็กสาวเกือบจะถอยกายออกมาไม่ทันเข้าเสียแล้ว
"กลิ่น...เหมือน..." เสียงกรีดร้องของมันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆขณะที่เด็กสาวเริ่มออกแรงขยับฝีเท้าวิ่งออกจากเหมือง "กลิ่น...ชัด...-อ้ากกก!!"
สวบ!!
โซ่พุ่งผ่านเรือนร่างของเด็กสาวที่กระโดดหลบทันอย่างเฉียดฉิวในวินาทีที่มันส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น แต่ถึงกระนั้นจังหวะของโซ่ก็ผันแปรพุ่งเฉียดแก้มของเด็กสาวจนกลายเป็นรอยแผล หยาดโลหิตสีแดงเข้มซึมออกมาจากบริเวณแก้ม
โดนเข้าจนได้
มารีขมวดคิ้วมุ่นในความขัดใจที่ใบหน้าของเธอโดนเฉี่ยวเข้าที่แก้ม ข้อเท้าของเธอหมุนพลิกเบี่ยงองศาเพื่อหลบทิศทางของโซ่ที่เริ่มพุ่งเข้ามาอีกครั้งภายในเหมืองร้างของคนแคระ ขณะที่ปลายทางของแสงสว่างซึ่งเป็นทางออกเริ่มสว่างจ้าชัดขึ้นมาเมื่อฝีเท้าของเด็กสาวเคลื่อนตัววิ่งออกจากเหมืองร้างท่ามกลางเสียงเคลื่อนตามมาของเจ้าสัตว์ประหลาดสีดำขมุกขมัวตัวนั้น
แสงจันทร์เฉิดฉายส่องแสงให้แก่เด็กสาวที่วิ่งออกมาจากเหมืองร้าง---ร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเองก็ตามออกมาด้วย แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เหมือนกับว่ามันจะไม่สามารถเสกโซ่ขึ้นมาโจมตีได้ในทุกครั้งราวกับว่ามันจำเป็นต้องใช้แรงมหาศาลในการใช้โซ่โจมตี
ดวงตาสีน้ำข้าวของเด็กสาวหรี่ตาลง
ถ้าเป็นตอนที่ไม่มีโซ่ละก็---!
"กริมม์! เอซ! เอาเลย!" เด็กสาวตัดสินใจเปล่งเสียงตะโกนโดยพลัน ร่างของหนึ่งเด็กหนุ่มและหนึ่งปีศาจตัวจ้อยออกมาจากที่ซ่อนซึ่งเป็นหลังต้นไม้ภายในบริเวณโพรงเหมืองร้าง มือของเอซถือปากกาเวทมนตร์เอาไว้แน่นขณะที่เปลวไฟสีนภาเองก็ถูกเตรียมออกมาไว้เพื่อรอจังหวะนี้โดยเฉพาะ
"ไว้ใจได้เลย!" แสงสีขาวสว่างวาบปรากฏออกมาจากปลายปากกาเวทมนตร์ สายลมแปรและผันแปรก่อตัวขึ้นทันทีที่เอซเปล่งคำร่ายคาถาออกมา "สายลมยักษ์!"
"รับไปซะ เพลิงแบบพิเศษของท่านกริมม์! ฟุน๊าา!!"
พรึ่บ
สายลมก่อตัวโหมกระหน่ำภายในเสี้ยววินาที ผสานกับเพลิงสีนภาของเจ้าปีศาจตัวน้อยที่พ่นออกมาจากปากของมัน สายลมพัดพาทิศทางของไฟให้กระจายตัวล้อมออกไปทั่วบริเวณที่เจ้าปีศาจร่างใหญ่นั่นอยู่ และภายในเสี้ยววินาทีทั่วทั้งโพรงเหมืองร้างก็ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าที่เข้าล้อมเจ้าปีศาจเอาไว้หมดสิ้น
สัตว์ประหลาดตนนั้นกรีดร้องคำราม
"เจ้า...หัว...ขโมย!!"
"เจ้านี่ก็ไม่แน่เท่าไหร่นิหว่า!" เสียงตะโกนของเอซดังขึ้นยามเห็นว่าแผนของเด็กสาวได้ผล เขาหันมาหาหล่อนแล้วฉีกยิ้มให้ "เป็นไงล่ะ เวทย์ลมของฉันพัดไฟกระจอกๆของกริมม์ให้กลายเป็นพายุเพลิงได้เชียวนะ!"
"ไม่ได้กระจอกนะ! คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเจ้านี่มันช่างทำให้ตัวข้าโมโหได้ตลอดจริงๆ!" เสียงของกริมม์เอ่ยแย้งด้วยสีหน้าหงุดหงิดกับคำพูดกวนประสาท
"ครับๆ คุณพ่อมดลม เอาล่ะ...ทีนี้พวกนายก็ช่วยหยุดทะเลาะกันซักทีเถอะ" เด็กสาวมองสงครามประสาทระหว่างหนึ่งมนุษย์กับเจ้าแมวดำก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าเอซที่หรี่ตามองแผลบริเวณแก้มของเธอ(เหมือนว่าเขาจะรู้เข้าซะแล้ว)---แต่เด็กสาวไม่มีเวลามาใส่ใจนักในเมื่อตอนนี้การต่อสู้ยังคงไม่จบสิ้น "เอาล่ะคุณดิวซ์ นายเริ่มร่ายเวทย์ได้เลย!"
"ใจเย็นเข้าไว้...เล็งไป...ของที่มันใหญ่ๆ หนักๆ ฉันรู้ดีอยู่แล้วน่า..." เสียงนั้นเริ่มพึมพำ
ร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินปรากฏตัวออกมา ปากกาเวทมนตร์ของดิวซ์เปล่งแสงสว่างวิบแวบราวกับลูกบอลไฟสีขาวสว่างตา เด็กหนุ่มหลับตาตั้งสมาธิขณะที่แสงบอลไฟสีขาวที่เปล่งประกายเริ่มสว่างวาบขึ้นเรื่อยๆตามคำที่เขาได้ร่ายออกไป และยามเมื่อปากกาเวทมนตร์นั้นได้เล็งไปที่เจ้าสัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวนั่นแล้ว...
"จงออกมา หม้อยักษ์!!"
ควันสีขาวปรากฏกายพร้อมกับหม้อยักษ์ขนาดใหญ่กว่าทุกครั้ง มันทับร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดเอาไว้แบนจนเหมือนกับแพนเค้กดั่งในกรณีของเอซที่เคยโดนเล่นงานเต็มๆ เจ้าสัตว์ประหลาดส่งเสียงกรีดร้องออกมาขณะที่ร่างของมันกำลังถูกทับและไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เพราะมีเจ้าหม้อยักษ์ขนาดใหญ่ทับมันเอาไว้แน่น
"โดนทับจนแบนเหมือนเจ้าเอซในตอนนั้นเลย!" กริมม์เอ่ยหัวเราะ
"อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบได้ไหม!? ให้ตายสิ---" เสียงของเอซดังขึ้นพอที่จะทำให้เด็กสาวได้ยิน "วันนี้มันไม่ใช่วันของฉันจริงๆนั่นแหละ..."
"ตอนนี้เรารีบไปเอาคริสตัลภายในเหมืองร้างตอนที่เจ้าปีศาจนั่นขยับไม่ได้กันเถอะ" ดิวซ์เอ่ยจบบทสนทนา ร่างของเด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปภายในเหมืองร้างๆพร้อมๆกับเอซและกริมม์ เด็กสาวตัดสินใจวิ่งเข้าไปเป็นคนสุดท้ายเพื่อที่จะได้ดูหลังให้อย่างทันท่วงที
เจ้าปีศาจนั่นยังขยับไปไหนไม่ได้---เธอที่วิ่งเข้าไปข้างในลึกแล้วหันมองมันจนสุดสายตาชั่วครู่ด้วยความหวาดระแวง มือของเธอเอื้อมไปปาดบริเวณรอยแผลที่โดนบาดซึ่งบัดนี้นั่นกลับเหลือเพียงรอยจางๆราวกับว่าแผลเล็กๆของเด็กสาวนั้นหายสนิทไปเสียแล้ว
คราบเลือดที่แห้งกรังบางส่วนยังติดอยู่ที่ใบหน้าของเธอ เด็กสาวปาดมันออกไปจนหมด---ก่อนที่จะหันหลังเมินเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นไปแล้วมุ่งตามเหล่าเด็กหนุ่มกับอีกหนึ่งปีศาจไปด้วยความรวดเร็วทันที
"เจอแล้วคริสตัล!" กริมม์ใช้อุ้งเท้าของมันชูคริสตัลวิเศษที่เคยถูกทำตกไว้บนพื้นขึ้นมา เสียงถอนหายใจโล่งอกออกมาจากปากของดิวซ์และเอซที่บัดนี้ล่วงหน้ามาก่อนเด็กสาวที่พึ่งวิ่งเข้ามาหาได้ไม่นาน เด็กสาวหยุดเดินก่อนที่จะปรายตามองไปยังคริสตัลวิเศษ เหมือนกับว่าเจ้าสิ่งนี้นี่เองที่เป็นแหล่งพลังงานของเจ้าแชนเดอร์เรียร์วิเศษนี้
"ถ้าได้แล้วก็รีบออกไปกันเถอะ" มารีเอ่ย หล่อนหันหลังไปมองด้วยสีหน้าที่กักเก็บความว้าวุ่นใจเอาไว้ "ถ้าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นมันกลับมาอีกล่ะกะ--"
ฝีเท้าของเธอขยับถอยไปโดยอัตโนมัติทันที ขณะที่ร่างของเอซกับดิวซ์รวมถึงกริมม์หลบพร้อมกับถือคริสตัลวิเศษไปด้วยได้อย่างพอดิบพอดีขณะที่โซ่นั้นเคลื่อนเฉียดผ่านพวกเขาที่บัดนี้ได้คริสตัลวิเศษมาครอบครองได้สำเร็จ
"เจ้านั่น...มะ มีโซ่เหลือด้วยเรอะ!?" เสียงร้องของกริมม์ดังขึ้น
"กลิ่น...เอา...มา..." เสียงคำรามของปีศาจกู่ร้อง หากแต่สิ่งที่มันเอ่ยไม่ใช่เรื่องของคริสตัล "รสชาติ....เอา...มา..เอา-มัน-มา!!!"
"เจ้านั่นมันเป็นบ้าอะไรน่ะ!?" เสียงร้องของเอซดังขึ้นขณะที่หันไปมองดิวซ์ "นี่ เอาเวทย์อะไรก็ได้มาทับมันที!"
"ขอเวลาแปปนึงสิ---เหวอ!?" ร่างของเด็กหนุ่มเบี่ยงหลบโซ่ที่พุ่งเข้ามาได้ทันควัน "ถ้าขืนเป็นแบบนี้ล่ะก็ผมร่ายเวทย์ไม่ได้แน่!"
"พวกนายรีบออกไปจากเหมืองนี้ก่อนเลย!" เด็กสาวรีบเอ่ยตะโกนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้นยามเมื่อพบว่ามันใช้โซ่ได้มากกว่าสองโซ่จากที่เธอคาดเดาเอาไว้ ซ้ำยังพุ่งตรงมาที่เธอแทบจะเป็นซะส่วนใหญ่---เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นคลั่งไปแล้วหรือยังไงกัน!? "เหมือนว่าเจ้านี่มันจะตามฉัน...โอ้ย!?"
"คุณมารี!?" เสียงตะโกนดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงิน
โซ่เส้นหนึ่งพุ่งเข้ามามัดแขนข้างขวาของเด็กสาวเอาไว้ท่ามกลางเสียงดังตกใจของอีกสามคนที่เหลือ ดวงตาสีน้ำข้าวหรี่ตาลงมองไปยังเจ้าสัตว์ประหลาดสีดำที่พยายามจะยื้อแย่งเธอไปยังทิศทางของมัน ความพะอืดพะอมแทบขมคอขึ้นพึ่งตรงจนมารีแทบอยากจะอาเจียนออกมาหากไม่ติดที่ว่าเธอนั้นยังจะมายอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้
"โถ่เว้ย---จงออกมา หม้อยักษ์!!" เสียงของดิวซ์ดังขึ้นภายในวินาทีต่อมา ปากกาเวทย์มนตร์ของเด็กหนุ่มเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้า ปรากฏหม้อยักษ์หล่นทับออกมาจากอากาศ แต่คราวนี้เจ้าสัตว์ประหลาดกลับไหวตัวทันใช้โซ่ที่เหลืออยู่ของมันอีกเส้นทุบหม้อจนแตกละเอียดไม่มีชิ้นดีก่อนที่หม้อยักษ์จะได้ร่วงหล่นลงมาทับมันเสียอีก
"บ้าเอ้ย!" เสียงของเอซดังขึ้นด้วยความหัวเสีย เขารีบปรี่เข้ามาแกะโซ่ที่รัดมือของเธอเอาไว้แน่น
"พวกนายหนีไปก่อนเลย เร็ว!!" เสียงของเด็กสาวตะโกนดังเมื่อเห็นว่าเจ้าโซ่ที่เอซพยายามแกะยิ่งมีแต่จะรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เธอหันไปมองกริมม์ผู้ถือคริสตัลสีรุ้งเอาไว้และเตรียมจะใช้เพลิงสีนภาเผาเจ้าสัตว์ประหลาดอยู่ร่อมร่อ "กริมม์ อย่าใช้เวทย์เผาเชียวนะ---ไม่งั้นมันจะปิดทางออกพวกเราหมด!"
"เจ้างั่ง! แล้วจะให้พวกข้าปล่อยเจ้าไว้ที่นี่รึไง!?"
"เดี๋ยวฉันก็รอดเองน่า" เด็กสาวเอ่ยตอบกลับกริมม์และเด็กหนุ่มอีกสองคนที่เป็นผู้ร่วมชะตากรรม "พวกนายรีบนำคริสตัลนี่ไปให้อาจารย์ใหญ่เถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก ช่วยเชื่อใจฉันหน่อยเถอะ!"
ความเงียบสงัดโรยราขึ้นมาทันทีที่เด็กสาวร้องตะโกน มืออีกข้างของหล่อนที่ยังเป็นอิสระเข้าปัดโซ่ที่พุ่งเข้ามาโจมตีคนทั้งสามที่ถอยหนีไปอีกครา---ความเจ็บซ่านปรากฏออกมาทำให้แขนของเธอแทบจะอยู่ในสภาพที่ไม่อาจสมบูรณ์ได้นัก
เอซกัดริมฝีปากของตนเอง เขาเบนศีรษะไปมองทางดิวซ์และกริมม์ ก่อนที่น้ำเสียงจริงจังและดูเคร่งเครียดจะปรากฏออกมาจากริมฝีปากของเขา
"รีบไปกัน" เด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดเอ่ย "หมอนี่ถ่วงเวลาพวกเราไปไม่ได้ตลอดหรอกนะ"
"ห๋า นี่นายพูดอะไรไปรู้ตัวบ้างรึเปล่า!" เสียงของดิวซ์ตะโกนขึ้นด้วยท่าทีเดือดดาล "นี่นายเห็นแก่ตัวขนาดที่จะปล่อยให้คุณมารีอยู่ที่นี่คนเดียวเลยรึไง!!?"
"แล้วเจ้าหมอนั่นอยากให้เราอยู่ที่นี่นักรึไง!!" เสียงของเอซตะโกน เขาสะบัดหันไปมองร่างของเด็กสาวที่ยังคงถูกโซ่นั้นรั้งตัวไว้ขณะที่ดวงตาของเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นจับจ้องมองมาทางเธอคนเดียว "ถ้าพวกเราไม่รีบเอาคริสตัลนี่ไปให้อาจารย์ใหญ่ สิ่งที่หมอนี่ทำมาทั้งหมดให้พวกเราจะสูญเปล่านะ!"
"นั่นก็จริง---แต่ว่า!" สีหน้าของดิวซ์ราวกับไม่อยากจะยอมรับ คำพูดนั้นกลืนหายลงไปราวกับไม่อยากจะยอมรับว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มเรือนผมสีแสดนั้นพูดถูกทุกประการ หากพวกเขายังอยู่ที่นี่อีกล่ะก็ทุกอย่างที่ทำมาจะต้องเสียเปล่ากันหมด นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ต้องโดนไล่ออก แต่อีกฝ่ายที่คอยถ่วงเวลาพวกเขาอยู่จะต้องบาดเจ็บหนักแน่
มารีหันมามองพวกเขา เด็กสาวค่อยๆระบายยิ้มสร้างขวัญกำลังใจออกมาแก่สีหน้าของดิวซ์และกริมม์ที่พูดสับสน เธอรั้งโซ่ไว้อีกเล็กน้อยขณะที่กลับไปมองยังเจ้าสัตว์ประหลาดที่จ้องมองมาทางเธอราวกับเธอคือเหยื่อโอชะของมัน ท่าทางของเจ้าสิ่งนั้นราวกับว่าจะไม่สนใจแม้กระทั่งคริสตัลวิเศษนั่นอีกแล้ว
"ไปเถอะ" คราวนี้เธอมองตรงไปไม่แม้นจะคิดหันกลับมาสบสายตากับพวกเขา "ถึงจะไม่อยากพูดแบบนี้ก็ตามล่ะนะเพราะเดี๋ยวจะสร้างนิสัยเสีย แต่ว่าคราวนี้ช่วยเห็นแก่ตัวเพื่อตัวเองที"
"คุณมารี..." เสียงของดิวซ์แผ่วเบาลง ท่าทางที่มองมาทางเธอนั้นกล้ำกลืนฝืนใจราวกับโอบมหาสมุทรเอาไว้
"ไปกันได้แล้ว" เสียงของเอซเป็นฝ่ายดังขึ้นมาเรียกสติของอีกสองคน ดวงตาสีแสดกลับหันมองมาที่เธอด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนที่จะหันกลับไปมองตรงหน้า ฝีเท้าของเขาวิ่งนำไปคนแรก ตามด้วยดิวซ์เป็นคนที่สองและกริมม์ที่ลอยตามไปติดๆ หูและหางของมันลู่ลงอย่างไม่น่าเชื่อขณะที่ถือคริสตัลเอาไว้
ทั้งสามรีบวิ่งอย่างสุดชีวิตไปที่ทางออกโดยที่เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นไม่แม้แต่จะหันไปมองด้วยซ้ำ สายตาของมันยังจับจ้องมองมาทางเธอขณะที่เคลื่อนกายเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าพร้อมกับเสียงกระซิบที่เธอไม่แม้นแต่อยากจะฟัง
"โซ่นี่เก่าน่าดูเลยนะ" เด็กสาวร้องเอ่ยขณะที่มองโซ่ที่มีสนิมขึ้นเต็มไปหมด "ท่าทางนายไม่ได้เอาสนิมออกให้พวกมันล่ะสิ แบบนี้เดี๋ยวโซ่ก็พังหรอกนะคะ?"
"กลิ่น...รสชาติ...คุ้นเคย..." เสียงของมันดังขึ้นมาเรื่อยๆเมื่อเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นเข้ามาใกล้เธอ "จะได้...ทาน...ทาน...เจอแล้ว...เจอแล้ว-"
"นี่ไม่ฟังกันหน่อยเหรอ ใจร้ายจัง แถมยังเห็นฉันเป็นอาหารด้วยเหรอ?" เท้าของเธอเคาะกับพื้นเบาๆ มารีเลิกคิ้วด้วยใบหน้าที่ยังยิ้มแย้มน้อยๆ หากมันมีสมองมากกว่านี้คงแปลกใจที่เห็นเธอยิ้มได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ดีที่เธอจะได้ไม่ต้องแสร้งทำ "แบบนั้นไม่ดีหรอกนะ ฉันทั้งผอมแห้ง เนื้อก็มีน้อย"
เด็กสาวเลื่อนเท้าออกเล็กน้อยจากจุดเดิม บัดนี้เจ้าสัตว์ประหลาดนั้นเข้ามาอยู่ใกล้เธอแทบไม่ถึงหนึ่งก้าวแล้ว โซ่นั้นก็ยังคงรั้งร่างของเธอเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้ เธอก้มมองพื้น จากจุดที่เท้าเธอเคลื่อนไปได้ก็คงมีไม่มากเท่าไหร่ น่าเสียดายที่เธอไม่มีเวลาถอดรองเท้า...สิ่งที่จะโผล่ออกมาเลยค่อนข้างช้านิดหน่อย
"เจอแล้ว...เจอแล้ว...ทาน...ทาน...อร่อย-" เสียงของมันยังคงดังขึ้น
แต่ว่าเท่านี้ก็พอแล้วที่จะจัดการกับมัน
เด็กสาวเคาะเท้าลงกับพื้น เสียงอะไรบางอย่างดังมาจากพื้นใต้ดินของเหมืองซึ่งส่วนมากมีส่วนประกอบเป็นหิน---แต่อนิจจังที่เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นไม่รู้สึกตัวเลยซักนิด มีเพียงแค่ปากที่เตรียมอ้าปากสีดำเยิ้มจะจัดการกับเธอในสภาพที่ถูกรั้งเอาไว้
ในช่วงเวลานั้น-บางสิ่งบางอย่างที่ผิดธรรมชาติก็เกิดขึ้น
ตู้ม---!!
"อะ อ้ากก!!!?"
"โอ๊ะ นี่ฉันทำเกินไปหน่อยรึเปล่าคะ?" เด็กสาวแสยะยิ้มยามได้ยินเสียงกรีดร้องจากปากของสัตว์ประหลาด ขณะที่โซ่ขึ้นสนิทแตกกระจายจากพื้นเหมืองที่ปรากฏขึ้นจากพื้นดิน ทิ่มทะลุร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดและโซ่จนเละเทะ "ไม่ได้ออกแรงมานานก็แบบนี้แหละ เพราะงั้นช่วยให้อภัยฉันหน่อยจะได้รึเปล่า?"
เธอสะบัดแขนทั้งสองข้างที่หายกลับมาเป็นปกติ ไม่มีแม้กระทั่งรอยถลอกหรือรอยแดงจากการรัดของโซ่ที่พึ่งเกิดขึ้นไปไม่ถึงชั่วโมง ดวงตาสีน้ำข้าวจ้องมองไปยังสัตว์ประหลาดที่ยังคงให้ความรู้สึกพะอืดพะอม ยิ่งตอนที่มาอยู่ใกล้แบบนี้กลับรู้สึกมึนหัวอย่างไรชอบกล
แต่ความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้พลังของเธอเบาลงไปจากเดิมเสียเท่าไหร่
เด็กสาวเคลื่อนตัวหลบโซ่ที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง มือขวาเอื้อมแตะฝาผนังเหมืองก่อนที่จะปรากฏหอกดินที่ผุดขึ้นมาจากผนังอีกครั้งเพื่อเสียบทะลุเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอีกรอบ มารีเมินความรู้สึกด้านชาบริเวณแขนข้างขวาของเธอไป---เด็กสาวหมุนข้อเท้าเบี่ยงหลบการโจมตีของเจ้าสัตว์ประหลาดที่ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้หรือว่าตายไปเลยซักนิด
"ฉันควรจะเสียบคุณอีกครั้งใช่ไหมนะถึงจะยอมตายๆไปซักที?" ศีรษะของเด็กสาวเบี่ยงหลบการโจมตีของโซ่ได้อย่างฉิวเฉียด "หรือว่าต้องให้คุณสร้างแผลให้กับฉันซักสองสามแผลก่อนเพื่อความสมจริงกับพวกเด็กๆ แล้วค่อนจัดการกับคุณดี?"
เจ้าสัตว์ประหลาดส่งเสียงกรีดร้องด้วยความโมโหเมื่อพบว่าการโจมตีของมันทำอะไรเด็กสาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
"แก...ทำลาย...ทำลาย...!!"
"นั่นน่าจะเป็นคำพูดของฉันมากว่า" เธอเอ่ย สะบัดแขนขวาที่ชาเสียสองสามทีก่อนที่จะจัดการพุ่งเข้าหาฝั่งด้านซ้ายของเจ้าสัตว์ประหลาด เธอก้มหลบการโจมตีของโซ่ที่พุ่งทะลุเข้าหาเธอจนเส้นผมยาวสีขาวราวกับด้ายแหว่งไปนิดๆ มือซ้ายจัดการสัมผัสกับผนัง---หนามดินขนาดใหญ่กว่าเดิมพุ่งทะลุออกมาจากผนังเหมืองเก่าของคนแคระภายในเสี้ยววินาที เด็กสาวจัดการใช้มือขวาถือแขนซ้ายเบี่ยงเข้าหาฝั่งขวามือของเธอเมื่อพบว่าโซ่ของเจ้าสัตว์ประหลาดที่ส่งเสียงกรีดร้องดังกว่าเดิมนั้นพุ่งเข้าจะโจมตีแขนซ้ายของเธอ
หนามดินทั้งสาม จะทั้งจากข้างล่างผืนดินเหมือง จะซ้ายหรือขวาตอนนี้ต่างก็พุ่งเข้าทะลุร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดจนสิ้น มันถูกตรึงจนแทบขยับไปไหนก็ไม่ได้---เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของมันดังขึ้นขณะที่โซ่ทั้งหลายแหล่ของมันในที่สุดก็เริ่มสิ้นฤทธิ์ไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาสีน้ำข้าวของเด็กสาวที่ถอยออกมาจ้องมองมันด้วยแววตานิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน เหมือนว่าในที่สุดมันจะอ่อนแรงไม่มีพลังมากพอที่จะทำอะไรเธอได้อีกแล้ว
"คุณรู้ไหมคะ ฉันน่ะไม่เคยสอนเบนจามินให้ใช้คำหยาบเลยนะ" เด็กสาวยิ้มแย้ม "จะมาใช้คำว่าแกกับคนแปลกหน้าที่พึ่งพบกันออกจะหยาบคายไปหน่อยนะ ไม่คิดว่างั้นบ้างเหรอ"
เจ้าสัตว์ประหลาดส่งเสียงอ่อนแรง
"ทำลาย...ทำลาย..."
"พูดไม่ดีเลยนะ" มารีเอ่ย ร่างของเด็กสาวตัดสินใจหันหลังกลับ---ทีนี้เธอจะได้ไปหาพวกเด็กๆเหล่านั้นเสียทีเพื่อที่จะได้บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร "เอาเถอะ งั้นตอนนี้ฉันขอตัวก่อนดีกว่า---"
เคร็ง!
"เอ๊ะ!?" เด็กสาวสะดุ้งตัวเมื่อโซ่ขึ้นสนิมพุ่งเข้าจับบริเวณแขนของเธออีกครั้ง เธอหันไปมองเจ้าสัตว์ประหลาดโดยไม่ได้สังเกตว่าแสงสว่างสีขาวปรากฏบนแขนขวาของเธอขึ้นเล็กๆก่อนจะจางหายไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น "นี่กะ-นี่คุณยังมีแรงเหลืออยู่อีกเหรอ!?"
"ตามหา...เจอ...ไป...ตาม..." เสียงพึมพำของเจ้าสัตว์ประหลาดที่แทบไม่มีแรงเหลือจะกระชากโซ่เข้าหาเธอดังขึ้น "รสชาติ...ไป...ตลอด...กาล"
ความรู้สึกขมคอรุนแรงปรากฏขึ้นชั่วอึดใจ แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้ใช้พลังของตนต่อร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นก็ค่อยๆสลายกลายเป็นเป็นหมึกสีดำที่เหลวตัวลงอย่างเชื่องช้า มารีจ้องมองวาระสุดท้ายของมันด้วยดวงตาที่ฉายแววเรียบเฉยยามเมื่อโซ่นั้นไม่ได้รั้งมือของเธอเอาไว้อีกแล้ว
แต่ทั้งๆที่คิดว่ามันจะไม่อาจเหลือแรงพูดแล้ว จู่ๆคำพูดสุดท้ายของมันก็ดังขึ้น
"เจอ...แล้ว...เบนจามิ...น....เบน...จา...มิ-"
ดวงตาของเด็กสาวเบิกตากว้าง
"...เอ๋?"
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยซักถามอะไร ร่างของมันก็ระเหยหายไปกับอากาศทั้งๆอย่างงั้นเข้าเสียแล้ว
***
สาน์สจากไรท์
: ขอโทษด้วยนะคะที่ตอนนี้ยังไม่จบ ทั้งๆที่ไรท์บอกว่าจะจบแล้วแท้ๆ(กราบ) เนื่องจากว่าตอนมันยาวมากจนเราต้องตัดสินใจยกไปตอนหน้าแทนเพื่อจะจบบท แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไรท์ตัดสินใจจะอัพให้มันจบภายในวันนี้(วันที่22) นี่แหละค่ะ!
สำหรับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษค่ะ นอกจาก...(ยิ้ม) ตามนั้นแหละค่ะ หนูมารีของเราไม่ได้ใช้แค่ลมได้หรอกนะ ใช้อย่างอื่นได้ด้วย! แต่ข้อเสียคืออะไร จุดอ่อนคืออะไร ส่วนที่เหลือก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะ
เอาล่ะ จริงๆไรท์ก็ไม่เหลืออะไรจะบอกแล้วแหละนะ เพราะงั้นไว้เจอกันตอนหน้านะคะ!
ปล. สาบานได้เลยว่าไรท์ก็ไม่คิดว่าฉากสู้มันจะกินหน้าขนาดนี้ แทบจะทั้งตอนเลย...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น