ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาป่วนยุทธจักร

    ลำดับตอนที่ #1 : วัย ว้า วุ่น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 114
      0
      11 ก.พ. 57

    เวลา 16.00น.  ณ.สนามฟุตบอลโรงเรียนบดินทร์เดชาเชียงใหม่ โรงเรียนเอกชนชื่อดังอันดับต้นๆของจังหวัดเชียงใหม่

    “เฮ้ยเก่ง มึงดูน้องคนนั้นซิว๊ะ... จะขาวไปไหนว๊ะนั้น” ปีเตอร์ หรือ ไอ้เต๋อ ตามที่เพื่อนซี้เรียกหนุ่มแว่นตุ้ยนุ้ยกำลังชี้ชวนให้มองดูสาวสวยคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่ริมขอบสนามฟุตบอลโรงเรียน แม้ในปากจะยังเคี้ยวลูกชิ้นอยู่ก็ตามที

    “ไหนว๊ะ  อ้อน้องแป้งน่ะเหรอ เด็กใหม่มอสี่ห้องหนึ่ง ฉายาขาวโอโม่ แต่กูว่าน่าจะเป็นขาวโอเวอร์ซะมากกว่าว๊ะ... แนวนี้ป๋าไม่ชอบ” เก่ง หนุ่มเซอร์สุดแนวกำลังนั่งไล่คอร์ดกีร์ต้าโปร่งตัวโปรดอย่างสบายอารมณ์

    “เหอเหอ  มึงก็ว่าเกินไป ขาวสไตล์เกาหลีล่ะไม่ว่า ตอนนี้กะลังมาแรงว๊ะ มึงดูในเฟส ดิ สาวแต่ละคนแอ๊บแบ๋ว แต่งหน้า ทาปากสไตล์เกาหลีกันทั้งนั้น” ไอ้เต๋อแย้งขึ้น แล้วก็หันไปพูดกับเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆกัน

    “ไอ้หลง มึงคิดว่าไงว๊ะ  มึงว่าน้องแป้งเป็นไงสวยป่ะ”

    อาหลง หรือ ไอ้หลงหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีนผิวขาวหน้าตาดีเงยหน้าจากหนังสือ(นิยาย)เล่มหนา หน้าปกเขียนไว้ว่า “มังกรหยก2

    “ไอ้เต๋อบอกว่าน้องเขาน่ารัก ส่วนไอ้เก่งบอกว่าน้องเขาไม่น่ารัก งั้นกูก็สรุปได้ว่าธรรมดาๆว๊ะ”พูดจบก็หันกลับไปจมอยู่กับนิยายในมือ

    “แล้วพวกมึงว่าคนไหนในโรงเรียนเราที่คิดว่าน่ารักมั่งว๊ะ” ไอ้เต๋อยังคงถามประเด็นเรื่องสาวๆต่อ

    “สเป็กสาวๆของกู ในโรงเรียนนี้ยังมองไม่เห็นว๊ะ..โรงเรียนเรามันลูกคุณหนูเกินไป ไม่แนว..”เก่งหนุ่มมาดเซอร์พูดขึ้น

    อาหลงแม้ตายังคงมองอยู่ในหนังสือพูดขึ้นว่า “สำหรับกูในโรงเรียนนี้ไม่มี สู้พี่เซียวไม่ได้น่ารักโคตรๆ”

    “พี่เซียวไหนว๊ะ พวกกูเคยเห็นป่ะ” ไอ้เต๋อถามขึ้น

    “ก็เซียวเหล่งนึ่งนี่ไงว๊ะ บรรยายซะโคตรสวยเลยว๊ะ ขนาดในหนังสือการ์ตูนคนวาดก็ยังวาดซะน่ารักสุดๆ” อาหลงพูดทั้งๆที่สายตายังจดจ่ออยู่กับนิยายในมือ

    ไอ้เต๋อมองไปยังเก่ง เมื่อเห็นเพื่อนซี้ทำหน้าเซ็งและส่ายหน้าแบบเอือมระอา ทั้งสองจึงพร้อมใจประเคน ฝ่ามือเบิ๊ดกะโหลก คนละที “เพี๊ยะ เพี๊ยะ”

    “โอ๊ย..” พวกมึงทำอะไรว๊ะ อาหลงเอามือลูบหัวบริเวณที่โดนเพื่อนทั้งสองตบ

    “มึงจะเข้าสู่ในโลกความเป็นจริงสักหน่อยได้ไหมว๊ะ... วันๆอยู่แต่โลกนิยายอยู่นั่นแหละ  ถึงว่าสิน้องพราวคนสวยถึงเลิกกะมึง” ไอ้เต๋อบ่นเพื่อนซี้ที่รู้สึกจะบ้านิยายมากเกินไป

    “ใช่! มึงจะอะไรกันนักกันหนากะนิยายว๊ะ เห็นอ่านได้เป็นวันๆไม่กินข้าวกินน้ำ”ไอ้เก่งพูดขึ้นบ้าง

    “พวกมึงไม่รู้อะไร นี่แหละงานอดิเรกสุดโปรดเลยล่ะ ถึงกูจะอ่านนิยายมากแค่ไหนแต่ก็ไม่กระทบกะการเรียนนะโว้ย....แล้วมึงไอ้เต๋อ ที่กูกะน้องพราวเลิกกันเพราะไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกันต่างหากไม่เกี่ยวกะเรื่องนิยายเลยโว้ย”อาหลงแย้งขึ้น

    “ฮึ! ไม่เกี่ยวกะนิยาย ก็ไม่ใช่เพราะว่ามึงเอาแต่อ่านนิยายนี่หรอกเหรอจนลืมไปงานวันเกิดน้องเขา ก็ไม่เพราะมึงจมอยู่กับร้านหนังสือจนลืมไปรับน้องเขาที่ห้างปล่อยให้น้องเขานั่งรถแดงกลับบ้านเอง หรือไม่ก็เรื่องที่มึงแอบหลับทั้งๆที่พาน้องเขาไปดูหนัง และอีกสารพัดเรื่องราว... เป็นกู กูก็เลิกล่ะว๊ะคนแบบเนี๊ยะ”ไอ้เต๋อพูดขึ้น

    “เฮ้ย!.. มึงรู้ได้ไงว๊ะ” อาหลงแปลกใจ

    “ฮึๆ มึงคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นความลับเหรอว๊ะ  คนเกือบครึ่งโรงเรียนรู้นิสัยของมึงหมดแล้วและเรื่องของมึงก็ติดอันดับข่าวยอดนิยมของเฟสบุ๊คโรงเรียนเราด้วยนะโว้ย ไม่รู้เหรอไงแม้จะผ่านมาตั้งห้าเดือนแล้วคนก็ยังพูดถึงกันอยูเลย”ไอ้เต๋อเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟัง

    “หึหึ แล้วมึงรู้ไหมไอ้หลง คนในเฟสบุ๊คตั้งฉายาให้มึงว่า จอมยุทธ์ซื่อบื้อ ว๊ะ เพราะขนาดมึงที่ว่าหน้าตาก็ดี แม้จะน้อยกว่ากูไปนี๊สสส นึงก็ตามทีเหอะ ก็ยังทำให้สาวสวยประจำโรงเรียนอย่างน้องพราวขอเลิกได้ไม่เรียกว่า ซื่อบื้อก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว ฮ่าๆๆ”ไอ้เก่งพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ

    อาหลงว่า “ใครจะว่ายังไงก็เรื่องของเขา เรื่องพวกนี้กูยอมรับแต่นิสัยมันไม่ได้แก้ง่ายๆนะโว้ย”

    “เฮ้อ!.... ใครจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้พวกเราก็เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนแล้วต่างคนก็ต่างไป คิดแล้วน่าใจหายว๊ะจะขึ้นมหาลัย  ว่าแต่พวกมึงตัดสินใจได้หรือยัง จะเรียนต่อกันที่ไหน”ไอ้เก่งถามขึ้น

    ไอ้เต๋อพูด “กูจะเรียนต่อวิศวะ มอชอ ว๊ะเอ็นติดแล้วขี้เกียจไปญี่ปุ่น”

    ไอ้เก่งแปลกใจ “อ้าว! ก็ไหนมึงบอกว่าพ่อกะแม่อยากให้ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นไงว๊ะ ไหงเลือกมอชอล่ะ”

    “ตอนแรกก็ว่าจะไปตามนั้นแหละแต่คิดไปคิดมา อยู่โน่นกูไม่รู้จักใคร ไปไหนมาไหนก็คงลำบาก สู้อยู่ที่เชียงใหม่ดีกว่า ถิ่นเก่า  อีกอย่างพ่อบอกว่าถ้ากูเอ็นติดวิศวะมอชอได้ แกก็ให้เรียน” ไอ้เต๋อพูด

    “อืมก็ดีว๊ะ ตอนแรกกูก็อยากอยู่เชียงใหม่นี่เหมือนกัน แต่ดันเอ็นติดจุฬา มอชอดันไม่ติดว๊ะ”ไอ้เก่งพูดขึ้นบ้าง และหันไปถามเพื่อนซี้

    “ว่าแต่มึงเหอะไอ้หลง มึงจะเรียนต่อที่ไหน”

    อาหลงว่า “พ่อกับแม่อยากให้ไปเรียนต่อที่เมืองจีนว๊ะ และจะได้อยู่กับอากงอาม่า แกคิดถึงหลานน่ะ”

    “แล้วสรุปมึงก็จะไปเหรอว๊ะ..”ไอ้เก่งถามต่อ

    “ก็คงอย่างนั้นหว่ะ...” อาหลงพูดขึ้น พร้อมยิ้มที่มุมปาก “และกูก็อยากไปเรียนกังฟูที่วัดเส้าหลินด้วย เมื่อเดือนก่อนกูดูแสดงกังฟูจากวัดเส้าหลินที่มาเปิดแสดงหอประชุมมอชอ แม่ง!..โคตรเจ๊งว๊ะ เหอเหอ”

    “นี่สรุปมึงจะไปเรียนต่อระดับมหาลัยหรือมึงจะเรียนกังฟูไร้สาระของมึงกันแน่ว๊ะ..”ไอ้เต๋อพูดทะลุกลางปล้อง

    “ก็ไปเรียนต่อมหาลัยนั่นแหละ แต่กูแค่อยากศึกษาดูว่าไอ้กังฟูของจริงกะในหนังมันต่างกันมากป่ะ มึงไม่คิดมั่งเหรอว่าคนธรรมดาๆอย่างเราๆจะมีกำลังภายในกระแทกให้คนกระเด็นไปไกลเป็นเมตรๆ กูเคยดูรายการดิสคัพเวอร์รี่ของต่างประเทศเขาไปเจาะลึกถึงความจริงเลยนะโว้ย นี่แหละความฝันของกูเลย แล้วยังไม่เพลงไม้เท้าตีสุนัข ฝ่ามือพิชิตมังกร หมัดอรหัน เพลงเตะไร้เงา หมัดเมา โอ้ยสารพัดวิชาเลยล่ะเว้ย..” อาหลงพูดขึ้นด้วยความหวังพร้อมสายตาที่มีประกายแรงกล้า

    ไอ้เต๋อและไอ้เก่งพร้อมใจกันประธานฝ่ามือ เบิ๊ดกะโหลก ให้อีกคนละป๊าบ.. “เพี๊ยะ เพี๊ยะ..”

    “เฮ้ย...ไรว๊ะ พวกมึงมีอะไรกะกูหรือป่าวน่ะ ตบอยู่ได้ เดี๋ยวสมองเสื่อมใครรับผิดชอบฟะ” อาหลงโวยวายพร้อมกับลูบคลำหัวตัวเองป้อยๆ

    “เฮ้อ...กูล่ะเชื่อมึงเลยว๊ะไอ้หลง มึงหลงสมชื่อจริงๆ หลงจนกู่ไม่กลับ ถ้ายังไงเรียนสำเร็จวิชาที่มึงว่าหมดแล้ว อย่าลืมมาสอนพวกกูมั่งล่ะ” ไอ้เต๋อว่า

    เก่งพูดขึ้น “กูไม่รู้ว่าเมืองจีนมีจอมยุทธ์สายกระบี่สายดาบอะไรของมึงนั่นแล้ว แต่ถ้าหากมึงเจอจอมยุทธ์สายกีร์ต้า ขอเคล็ดวิชามาสอนกูมั่งล่ะ เผื่อกูจะได้มีวิชากีร์ต้ามหาประลัยมั่ง ฮ่าๆๆๆๆ”

    ไอ้เต๋อและไอ้เก่งหัวเราขึ้นพร้อมกันกับมุขตลกที่คิดขึ้นได้

    “ก็แล้วแต่พวกมึง เพราะพวกมึงไม่ได้สนใจเหมือนกู อันนี้มันเป็นความปรารถนาของกูอยู่แล้ว ว่าแต่พวกมึงสองคนจะไปเดินขึ้นดอยกะกูไหม วันเสาร์นี้” อาหลงพูดชักชวนเพื่อนทั้งสอง

    ทั้งสองมองหน้ากันแล้วไอ้เก่งก็พูดว่า “ไปสิว๊ะ...ยิ่งรู้ว่ามึงจะไปอยู่เมืองจีนแล้ว เดินขึ้นดอยครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตวัยรุ่นของพวกเราว่ะ”

    “ใช่แล้วอย่างที่ไอ้เก่งพูดมึงไปเมืองจีนไอ้เก่งก็ไปกรุงเทพ เหลือกูอยู่เชียงใหม่คนเดียว คงเหงาพิลึกว่ะ เหอเหอ” ไอ้เต๋อพูด

    “อ๊อดดด!!!...” เสียงออดบอลเวลาเลิกเรียน

    “ไปโว้ย! เลิกเรียนล่ะ พวกมึงจะไปไหนต่อกันหรือป่าว”ไอ้เต๋อถามขึ้น

    “กูว่าจะไปห้องซ้อมซักหน่อย ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไง นิ้วมันฝืดๆว่ะ” ไอ้เก่งพูด

    “ส่วนกู เตรียมแพ็กของ อาทิตย์นี้ก็ต้องเดินทางล่ะ” อาหลงว่า

    “โอเค งั้นก็แยกกัน เจอกันวันเสาร์ว่ะเพื่อน กูก็ต้องไปสอนพิเศษให้เด็กแถวบ้านเหมือนกัน”ไอ้เต๋อพูดพร้อมสะพายกระเป๋าโบกมือลาเพื่อน

    ไอ้เก่งลุกขึ้นสะพายกีร์ต้าโปร่งตัวโปรด “ไปล่ะเพื่อน เจอกันวันเสาร์”

                อาหลงนั่งมองดูเพื่อนทั้งสองแยกย้ายกันกลับส่วนตัวเองก็นั่งอ่านหนังสือต่อ เพราะอาหลงมักมีนิสัยไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ อ่านนิยายก็เช่นกัน เมื่ออ่านแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ถ้าพักไว้แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ จะขาดรสชาติการอ่านไป ซึ่งเหตุผลนี้มักจะตามมาด้วยการไปยืนหน้าห้องเรียน ทำความสะอาดห้อง เรียกผู้ปกครองมาพบ หรือแม้กระทั่งโดนตี หากอาจารย์ผู้สอนมาเจออาหลงกำลังนั่งแอบอ่านนิยายในเวลาเรียน

    “พึบ..”              “เฮ้อ!.. จบซะที” อาหลงหันมามองดูนาฬิกาข้อมือ เวลา 18.30 น.

    “โห... หกโมงครึ่งแล้วเหรอว๊ะ อ่านซะเพลินเลยกู” อาหลงเอานิยาย มังกรหยก2 เก็บยัดใส่กระเป๋า และลุกขึ้นสะพายบ่าเดินออกจากโรงเรียน รอบๆยังคงมีเพื่อนนักเรียนที่กำลังกลับบ้านเช่นเดียวกัน และบางคนยังง่วนอยู่กับการจัดกิจกรรมรับน้องใหม่ รวมไปถึงบางคนจับกลุ่มนั่งเล่นตามข้างทาง  แม้จะเป็นเวลาเย็นแล้วก็ตามแต่ โรงเรียนบดินทร์เดชาเชียงใหม่ ก็ยังคงคึกคัก แม้ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม เนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ สองข้างทางเต็มไปด้วยย่านบันเทิง ศูนย์การค้าดังๆของเมืองเชียงใหม่ แม้รัฐบาลจะรณรงค์ไม่ให้มีแหล่งอบายมุขอยู่ใกล้สถานศึกษา แต่ก็คงไม่อาจหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของเศรษฐกิจไปได้

                อาหลงเดินออกมาจากโรงเรียนได้ซักพักก็ยืนมองหารถแดง ซึ่งเป็นรถสองแถววิ่งรอบเมืองเชียงใหม่ รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของอาหลงตอนนี้ไปอยู่ที่ร้านรับซื้อรถมือสองทำให้อาหลงต้องนั่งรถสองแถวกลับบ้านเอง

                “เอี๊ยดดด...”เสียงเบรกรถอย่างกะทันหันดังขึ้น  รถเก๋งโตโยต้ารุ่น คัมรี่ สีบรอนมาจอดอยู่ตรงหน้าอาหลง

                “ฟืด..”เสียงเปิดกระจกประตูรถ ภายในรถมีหญิงสาววัยกลางคนหันหน้ามาร้องเรียก แม้สำเนียงจะแปร่งหูซักหน่อยซึ่งบ่งบอกว่าเธอไม่ใช่คนไทยอย่างแน่นอน แต่ก็ถือว่าเรียนรู้ภาษาไทยมาดีพอควร”

                “อาหลง ขึ้นรถ” เธอพูดอย่างเร่งรีบ เพราะรถคันหลังแทบจะชนท้ายรถของเธอ เนื่องจากการเบรกอย่างกระทันหัน

                อาหลงรีบเดินไปเปิดประตูรถและก้าวขึ้นไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าของรถด้านหลังจะเปิดประตูออกมาด่า

                “ทำไมยังไม่กลับบ้านล่ะ  หกโมงครึ่งแล้วนะ” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้น

                “ผมทำกิจกรรมกับเพื่อนๆน่ะครับ “ อาหลงพูดพร้อมมองไปนอกกระจกรถ

                “หึหึ ทำกิจกรรมหรือมัวแต่อ่านนิยายล่ะฮึ! อย่ามาหลอกม๊าซะให้ยากเลย” หญิงสาววัยกลางคนที่จริงแล้วเธอก็คือ คุณนาย จิตร์ตราภา ทิพย์รักษณ์ หรือชื่อจีน หลง เซียว หยาว แม่ของอาหลงนั่นเอง

                “แฮะๆๆ หลอกม๊าไม่ได้เลย ผมเห็นมันเหลืออีกนิดเดียวก็จบล่ะ เลยอ่านให้จบซะเลย”อาหลงยิ้มเลี่ยนๆเมื่อรู้ว่าถูกแม่จับได้

                “แล้วม๊าไปไหนมาเหรอครับ ถึงกลับซะเย็นเลย”อาหลงพูดเปลี่ยนเรื่อง

                “ม๊าไปดูตลาดที่ในเมืองมา ก็ผ่านโรงเรียนมาเห็นลูกยืนรอรถนี่แหละ  ช่วงนี้จะมีกรมอนามัยมาตรวจสอบตลาดสดเพื่อให้ได้มาตรฐานความสะอาดและราคาที่เป็นธรรมเพื่อผู้บริโภค” แม่ของอาหลงพูดขึ้น

                “แล้วพ่อกลับบ้านหรือยังล่ะครับ” อาหลงพูด

                “กลับนานแล้วนะ ตอนนี้คงกำลังเล่นกับตี๋เล็กอยู่  เฮ้อ!.. ถ้าอากงกับอาม่าไม่บ่นคิดถึงหลานและเจาะจงว่าจะให้ลูกไปเรียนต่อที่เมืองจีน ม๊าก็ไม่อยากให้ไปเหมือนกันม๊าเป็นห่วง ยิ่งช่วงนี้มีข่าวออกมาว่าจะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในรอบร้อยปีจะมีซักครั้ง ไหนจะแผ่นดินไหว ไหนจะภูเขาไฟระเบิด อะไรจะเกิดเราก็ยังไม่รู้เลย ลูกไปอยู่โน่นแล้วม๊าอดห่วงไม่ได้” แม่ของอาหลงพร่ำบ่น

                “ม๊าไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ บ้านอากงอาม่าไม่ได้อยู่ในเขตภัยพิบัติอะไรซักอย่าง แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนก็ไม่เกิดผลกระทบกะบ้านอากง น้ำท่วมแต่บ้านอากงไม่ท่วม ยิ่งภูเขาไฟระเบิดยิ่งแล้วใหญ่ แถวนั้นแค่เนินสูงๆยังไม่มีเล้ย..นับอะไรกับภูเขาไฟล่ะม๊า”อาหลงพูดเพื่อบรรเทาความกังวลของแม่

                รถของแม่อาหลงแล่นมาตามทางเมื่อผ่านหน้าวัดสวนดอกไปได้สักร้อยเมตร ก็เห็นรั้วสีขาวสูงราวสองเมตรครึ่ง แม่ของอาหลงก็ตบไฟเลี้ยว “เอี๊ยดดดด” ประตูอัตโนมัติเปิดออก รถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้าไปภายในบ้าน

                พื้นที่หลังรั้วสีขาวมีบ้านหลังใหญ่สองชั้นตั้งตระหง่าน ตัวบ้านเป็นแบบสไตล์ยุโรปกึ่งจีน หน้าบ้านเป็นสวนตกแต่งแบบจีน มีภูเขาจำลองต้นบอนไซ บ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟหลายสิบตัว ข้างบ้านเป็นโรงจอดรถ มีรถฮอนด้าซีอาร์วีจอดอยู่หนึ่งคัน และรถมอเตอร์ไซค์สกูปี้ไอจอดอยู่ข้างๆ แม่ของอาหลงหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถจอดข้างๆรถซีอาร์วี

                “ปัง ปัง” ประตูรถปิดแม่ของอาหลงถือกระเป๋าใบเล็กเดินเข้าบ้าน อาหลงเดินตามมาติดๆ

                ประตูบ้านทำด้วยไม้สักบานใหญ่แกะสลักลวดลายมังกรและหงส์อย่างวิจิตรงดงาม ด้านบนประตูมีป้ายทำด้วยแผ่นเงินฉลุลวดลายมังกรเช่นกัน และตรงกลางมีตัวหนังสืออ่านว่า “บ้านทิพย์รักษณ์” โดยป้ายแผ่นนี้ช่างเงินฝีมือดีจากร้านเครื่องเงินวิจิตรา จัดทำขึ้นใช้เวลาในการสร้างยาวนานถึงครึ่งปีเลยทีเดียวถือเป็นงานอันภาคภูมิใจของพ่ออาหลงเลยก็ว่าได้เพราะให้เพื่อนซี้ช่วยจัดการให้ พ่อของอาหลงและพ่อของเก่งเพื่อนของอาหลง ก็เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็กๆเช่นเดียวกับอาหลง เก่งและเต๋อ ซึ่งครอบครัวทั้งสามแทบจะไปมาหาสู่กันเป็นประจำ

                ภายในตัวบ้านเป็นสไตล์ยุโรป ประดับประดาด้วยของตกแต่งจากเมืองจีนและงานฝีมือของเชียงใหม่ กลางบ้านมีภาพวาดขนาดใหญ่ลวดลายอ่อนช้อยสวยงามเป็นภาพหงษ์เริงระบำอยู่ใต้แสงจันทร์ เมื่อสังเกตดีๆจะเห็นว่ามุมด้านล่างของภาพจะมีลายเซ็นผู้วาด เซ็นกำกับไว้ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพวาดของอาจารย์เฉลิมชัย จิตรกรฝีมือเยี่ยมแห่งภาคเหนือนั่นเอง

                แจกันใบใหญ่ ซึ่งพ่อมักจะอ้างว่ามาจากสุสานของฮ่องเต้รัฐฉิน มีอายุเก่าแก่นับร้อยๆปีตั้งอยู่มุมเสา ฉากกั้นกระดาษสาของสันกำแพงตั้งกางไว้ทำเป็นมุมทำงานของพ่อ โต๊ะไม้ฉลุเป็นตัวการ์ตูนจากบ้านม้าลำพูนตั้งอยู่อีกฟากหนึ่ง ซึ่งไว้สำหรับแม่สอนการบ้านให้ตี๋เล็ก ชุดโซฟาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านข้างพร้อมทีวีจอแบนแอลอีดีสี่สิบนิ้วติดผนังอยู่พ่อกับตี๋เล็กกำลังนั่งดูรายการดีสคัพเวอร์รี่เกี่ยวกับสิงโตอยู่

                “กลับมากันแล้วเหรอ อ้าวอาหลงลูก แม่ไปรับมาเหรอ มานั่งดูทีวีเป็นเพื่อนน้องหน่อยสิ เดี๋ยวพอไปดูเอกสารเรื่องบัญชีซักหน่อย” เจ้าสัว พ่อของอาหลง หรือ อภิรัตน์ ทิพย์รักษณ์พูดขึ้น

                “ครับป๊า พอดีแม่ผ่านไปรับน่ะครับ”อาหลงพูดขึ้น

                “พ่อว่าลูกไม่น่าขายรถมอเตอร์ไซค์ของลูกไปเลย ค่าใช้จ่ายพ่อแม่ก็มีให้แล้ว หรือไม่งั้นลูกก็เอารถมอเตอร์ไซค์ที่เหลือไปใช้ก็ได้” พ่อของอาหลงพูดขึ้น

                “ผมไม่อยากรบกวนใครน่ะป๊า อีกอย่างไปอยู่เมืองจีนผมก็เอารถของผมไปด้วยไม่ได้ สู้ผมขายไปเอาเงินเก็บไว้เป็นค่าเดินทางดีกว่า ไม่อยากรบกวนป๊ากับม๊า ผมอยากหาเงินด้วยตัวเอง แล้วมอเตอร์ไซค์ที่เหลือก็เอาไว้ให้พี่มาลีกับลุงเฉลิม ไว้ขี่ไปนั่นไปนี่ดีกว่า ผมไม่ได้ลำบากอะไรมากหรอกครับ” อาหลงว่าแล้วก็เดินไปนั่งข้างตี๋เล็ก

                “ดูไรอยู่อ่ะตี๋เล็ก ให้พี่ดูด้วยได้ป่าว” อาหลงพูด

                “ดูสิงโตตัวใหญ่ๆ  มันร้องเสียงโฮกกก..”ตี๋เล็กพูดพร้อมทำท่าทำทาง

                พ่อเดินไปที่มุมโต๊ะทำงาน ส่วนแม่ก็เดินไปด้านหลังบ้านเพื่อนดูว่าแม่บ้านได้ทำกับข้าวเย็นอะไรไว้บ้าง อาหลงนั่งมองทีวีเป็นเพื่อนกับตี๋เล็ก แต่ไม่ได้สนใจในเนื้อเรื่องภายในทีวีเลย แต่กลับคิดไปถึงช่วงเวลาที่ตนเองต้องไปเรียนอยู่ที่เมืองจีน คงเหงาน่าดู เพื่อนซี้ทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ ส่วนตัวของอาหลงเองก็ต้องไปทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ อาหารการกิน สภาพอากาศก็จะไม่เหมือนเดิม.....  และเวลาก่อนผ่านไป

     

                เช้าวันเสาร์ เวลา 7.30น.

                “ตุ๊บๆๆๆ...”เสียงเดินเร่งรีบลงมาจากบันไดชั้นสอง อาหลงอยู่ในชุดเสื้อวอร์มสีขาวกางเกงวอร์มสีน้ำเงินสะพายประเป๋าเป้ใบโปรดเดินลงมา

                “อาหลง ลูกจะกินข้าวเช้าก่อนไหม! “ผู้เป็นแม่ตะโกนถามขึ้น

                “ไม่ล่ะม๊าผมรีบ เดียวไปหากินที่โน่นเลย ไอ้เต๋อกะไอ้เก่งมันรอแล้ววันนี้ผมเอารถป๊าไปนะ”อาหลงเดินไปที่แขวนกุญแจ และหยิบกุญแจรถซีอาร์วีเดินออกไป

                “ปรืนนน...”เสียงรถขับออกจากบ้านไปอย่างเร่งรีบ

    เวลา 8.15น. ณ.ลานจอดรถของสวนสาธารณะห้วยแก้ว

                “เฮ้ย... พวก รอนานป่าวว๊ะ” อาหลงทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสองคนนั่งซดมาม่าต้มอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนสวนสาธารณะห้วยแก้ว

                “พวกกูมากันตั้งหกโมงครึ่งล่ะแล้วมึงไปอยู่ไหนว๊ะ บ้านก็อยู่ใกล้กว่าเพื่อนแต่มาสายกว่าเพื่อน เฮ้อ..” ไอ้เต๋อบ่นขึ้น

                “น่าๆ มาแล้วยังดีกว่าไม่มานะโว้ย..”

                “ว่าแต่พวกมึงมีไรให้กินมั่งป่าว กูยังไม่ได้กินข้าวเลยว๊ะ” อาหลงพูด

                “มีแต่มาม่านี่แหละ”ไอ้เก่งชูมาม่าคัพที่กำลังกินอยู่ให้เห็น

                “มันไม่อยู่ท้องอ่ะ มีอย่างอื่นที่ไม่ใช่มาม่าไหมว๊ะ” อาหลงพูด

                “ถ้ามึงไม่เอามาม่า กูก็มียำยำนะ หรือถ้ามึงไม่ชอบ ไวไว หรือกุ๊งกิ้งกูก็มีนะโว้ย”ไอ้เต๋อพูดแหย่เพื่อนซี้

                “แหม่... ตลกแต่เช้าเลยนะมึงไอ้เต๋อ แต่ช่างเหอะอะไรก็เอามาตอนนี้หิวแล้ว” อาหลงรับไวไวคัพจากมือไอ้เต๋อแล้วนั่งรอให้ได้ที่

                “ว่าแต่จะเริ่มเดินกันกี่โมงว๊ะ” ไอ้เก่งพูดขึ้น

                “กูว่าสัก เก้าโมงกำลังดีว๊ะ ช่วงนี้อากาศกำลังดี ไม่มีแดดแรง”ไอ้เก่งพูดขึ้น

                และแล้วอาหารเช้าของอาหลงก็ไม่พ้นมาม่าคัพ ทั้งสามหนุ่มนั่งซดมาม่าได้ซักพัก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตรูดดดด...

                โทศัพ ใครว๊ะ”ไอ้เต๋อพูดขึ้นทั้งที่ปากยังเคี้ยวมาม่าอยู่ตุ้ยๆ

                “สวัสดีครับอาหลงพูดครับ” อาหลงรับสายโทรศัพท์

                “ว่าไงอาหลง จะมาหาเมืองจีนเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อกี้อาโทรหาแม่ของเราแล้ว เห็นว่าจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วใช่ไหม”เสียงชายคนหนึ่งกล่าวทักทายมาตามสาย

                “สวัสดีครับน้าอี้หลง สบายดีไหมครับ เดินทางวันจันทร์ครับ อากงอาม่าสบายดีไหมครับ”ชายที่ปลายสายคือน้องชายชองแม่อาหลง ชื่ออี้หลง เป็นอธิบดีกรมตำรวจกรุงปักกิ่ง ทุกครั้งที่อาหลงมีโอกาสไปเมืองจีนจะต้องแวะไปหาคุณน้าที่กรมตำรวจแทบทุกครั้ง เพราะที่นั่นมีสถานที่ฝึกซ้อมให้เหล่าตำรวจ ทั้งสอนกังฟู ศิลปะการต่อสู้ การยิงปืนแล้วอื่นๆอีกหลายๆอย่าง ซึ่งอาหลงชื่นชอบเป็นอันมาก และคุณน้าก็คอยให้ท้ายตลอด โดยหวังว่าอนาคตข้างหน้าจะให้อาหลงมาทำงานที่กรมตำรวจกรุงปักกิ่งและดูแลอากงอาม่าที่อายุมากแล้ว

                “อากงอาม่าก็สบายดีนะ ตอนนี้น้าอยู่ที่กรมตำรวจ ช่วงนี้งานยุ่งๆ เรารีบๆมาล่ะจะได้อยู่เป็นเพื่อนคนแก่ แล้วอายังมีของขวัญให้เราด้วยนะ ต้อนรับการกลับมา หึหึ”น้าอี้หลงพูดแบบมีเลศนัย

                “อะไรเหรอครับ บอกหน่อยได้ป่ะ”อาหลงรบเร้าเพราะของที่ระดับอธิบดีกรมตำรวจต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆเป็นแน่

                “หลานมาถึงก็จะรู้เองนั่นแหละ ไว้แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวอาต้องดูเอกสารอีกนิดหน่อย ไว้เจอกันตอนที่หลานมาถึง” น้าอี้หลงพูด

                “ได้ครับ งั้นแค่นี้นะครับ สวัสดีครับ” อาหลงวางสายและมองไปยังนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาแล้วก็ชักชวนเพื่อนทั้งสอง

                “ไปโว้ย ได้เวลาแล้ว” ชายหนุ่มทั้งสามลุกขึ้นจัดข้าวของและเก็บกวาดถ้วยมาม่าทิ้งลงถังขยะ

                ไอ้เก่งเดินนำหน้าพร้อมหยิมเอาไอพอร์ตที่อัดแน่นไปด้วยเพลงนานาชนิดนับร้อยนับพันเพลงขึ้นมาเปิด เพลง คราม ของตูน บอดี้สแลมดังขึ้น

                “ไม่คิดว่ามึงจะฟังเพลงแนวนี้ด้วยว๊ะ”อาหลงพูดขึ้น สามหนุ่มเดินไปอย่างสบายๆ

                “กูก็ฟังทุกแนวนั่นแหละ ศึกษาไว้จะได้แตกฉานเพลงแต่ละแนวมีเส้นเสียงที่แตกต่างกันว๊ะ”ไอ้เก่งพูดราวกับอาจารย์กำลังบรรยายให้ลูกศิษย์ฟัง

                “โห วันนี้คนเยอะว๊ะ ใกล้ช่วงไฮซีซั่นเชียงใหม่แม่งรถติดอีกล่ะ”ไอ้เต๋อพูดขึ้นเมื่อทั้งสามเดินมาถึงจุดไว้องค์ครูบาศรีวิชัย ทั้งสามหนุ่มยกมือขึ้นไหว้พร้อมกัน ตอนแรกตั้งใจว่าจะเข้าไปกราบไหว้ก่อนแล้วค่อยเดินขึ้นดอย แต่เมื่อเห็นว่ามีประชาชนมากราบไหว้เป็นจำนวนมากจนไม่มีพื้นที่ เลยตัดสินใจเดินขึ้นไปเลยดีกว่า แล้วค่อยกลับมาไหว้ตอนขากลับ

                ทั้งสามเดินกันอย่างสบายๆคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เมื่อมาถึงบริเวณจุดพักน้ำตกบัวตองสามหนุ่มก็เดินไปนั่งพักขาที่ศาลา เพราะไอ้เต๋อเริ่มหอบเหนื่อยแล้ว

                “อะไรกันว๊ะไอ้เต๋อ เดินได้นิดหน่อยมึงเหนื่อยแล้วเหรอว๊ะ”ไอ้เก่งพูดขึ้น

                “ร่างกายกูเผาผลาญพลังงานมากกว่าพวกมึงนี่หว่า กูไม่ได้ผอมเหมือนพวกมึงนิ”ไอ้เต๋อพูดพร้อมกับดื่มน้ำใบเอาผ้าเย็นซับเหงื่อตามใบหน้า

                “เฮ้ย..ปวดฉี่ว๊ะ”อาหลงพูดขึ้น

                “ห้องน้ำแถวนี้ไม่มีหรอก มึงก็ไปรดน้ำต้นไม้ไกลๆหน่อยล่ะ ถ้าใครมาเห็นหนอนน้อยของมึงแล้วเขาจะหัวเราะเยาะเอา เหอเหอ”ไอ้เก่งแซวขึ้น

                “ว่าแล้วกูก็ปวดเหมือนกันว๊ะ สงสัยกินน้ำมากไป”ไอ้เต๋อพูดขึ้นบ้าง แล้วสองหนุ่มก็เดินลงไปยังบริเวณริมน้ำ เดินข้ามร่องน้ำขนาดเล็กลุยเข้าไปในป่า

                “ไอ้เก่ง มึงก็ปวดฉี่เหมือนกันเหรอว๊ะ”อาหลงพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนซี้ตามมาด้วย

                “กูกลัวพวกมึงหลงทางว๊ะ หึหึ”ไอ้เก่งพูดขึ้นขำๆ

                ทั้งสามเดินมาได้ลึกพอสมควร “ลึกพอล่ะ ตรงนี้ล่ะว๊ะ” ไอ้เต๋อพูดขึ้น เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครผ่านมาตรงนี้ สองหนุ่มก็แยกย้ายตามมุมต้นไม้ ไอ้เก่งยืนมองซ้ายมองขวา เมื่อเพื่อนทั้งสองเสร็จธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็พูดขึ้นว่า

                “พวกมึงได้ยินเสียงอะไรหรือป่าวว๊ะ เมื่อกี้กูได้ยินแว่วๆเสียงผู้หญิงว๊ะ”

                “ไอ้เก่ง หาเรื่องอำพวกกูอีกล่ะสิ มึงนี่ปอดแหกไม่เข้าเรื่อง”ไอ้เต๋อแซวเพื่อนซี้ซึ่งมีประวัติกลัวผีขึ้นสมอง

                “เฮ้ย จริงอย่างไอ้เก่งมันพูดว่ะเต๋อ กูก็ได้ยิน”อาหลงพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆดังมาจากส่วนลึกในราวป่า

                “ไหน พวกมึงเงียบๆก่อน”ไอ้เต๋อบอกเพื่อนๆให้เงียบเสียงลง และตะแคงหูฟังเสียงต่างๆ

                “อย่า...”เสียงผู้หญิงแว่วมาอย่างแผ่วเบา แต่เวลานี้ได้ยินอย่างชัดเจน

                “เฮ้ย เสียงคนร้องว๊ะ”ไอ้เต๋อพูดขึ้น “เอาไงว๊ะผีหลอกหรือป่าว หรือเราไปฉี่ใส่เจ้าที่เจ้าทางที่ไหนเข้า”

                “กูว่าไม่ว๊ะ เสียงแบบนี้มันเสียงคนชัดๆ ไปดูกันหน่อยไหมว๊ะ”อาหลงพูดขึ้น

                “จะดีเหรอว๊ะ เกิดมันมีอะไรมาบังตาพวกเราหาทางออกไม่ได้ล่ะ แย่เลยนะมึง”ไอ้เก่งพูดอย่างกลัวๆ

                “อย่าปอดแหกนักเลยน่า ไปดูกันอย่างที่ไอ้หลงว่าเหอะ ผีหรือคนก็รู้กัน”ไอ้เต๋อชักชวน

                ทั้งสามเดินไปตามทางเดินแคบๆลึกเข้าไปในราวป่า เสียงเหยียบกิ่งไม้ใบไม้ดัง กรอบแกรบ แว่วเข้ามาทีละนิด

                “จับมัดอีนี่ไว้หน่อยซิว๊ะ! แหกปากร้องซะดังเดี๋ยวพ่อมึงก็แห่กันมาหรอก”เสียงตวาดแผ่วเบาเริ่มได้ยินเด่นชัด

                อาหลงและเพื่อนเดินมาจนพ้นแนวพุ่มไม้ มีพื้นที่เล็กๆราบเรียบประมาณห้าเมตรคาดว่าเป็นจุดกางเต๊นของนักเดินป่า มีชายหนุ่มห้าคนกำลังยื้อยุดฉุดกระชากหญิงสาวหน้าตาดีสองคน ชายหนึ่งในห้ารูปร่างล่ำสันผิวคล้ำคาดว่าต้องเคยออกกำลังกายมาบ้างสังเกตได้จากมัดกล้าม สวมกางเกงยีนต์สีซีดๆเพียงตัวเดียวเปลือยร่างท่อนบนเหน็บปืนพกสั้นไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นรอยสักลายมังกรเลียนแบบยากูซ่าของญี่ปุ่น

                “เป๊ะ... แกรบบ”ไอ้เต๋อด้วยอารามตกใจกับเหตุการณ์ที่พบเจอจึงเผลอก้าวถอยหลัง เหยียบกิ่งไม้แห้ง เสียงดังพอที่จะเรียกความสนใจทุกคน

                “เฮ้ย ใครว๊ะ” ชายร่างท้วมตัวดำหนึ่งในห้าหันมามอง คนอื่นๆหันมาพร้อมกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความแปลกใจและตกใจให้แก่ทุกคนจนชะงักไปชั่ววูบ

                “ไอ้เต๋อไอ้เก่งวิ่ง!”อาหลงเรียกสติจากอาการตกตะลึงตะโกนไล่เพื่อนทั้งสองให้วิ่งหนี

                ไอ้เต๋อและไอ้เก่งก็ตอบรับเสียงร้องของอาหลงได้เป็นอย่างดี เห็นชัดได้ว่าเป็นเพื่อนกับอาหลงมักจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดหมายเสมอ ไอ้เต๋อก้มเก็บท่อนไม้ขนาดท่อนแขนแล้วออกวิ่ง หากจวนตัวหนีไม่ทันก็จะใช้ท่อนไม้เป็นอาวุธ ส่วนไอ้เก่งควานหาได้เพียงก้อนหิน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร ทั้งสองทำไปตามสัญชาติญาณ เพราะมักจะเข้าไปพบเจอเหตุทะเลาะวิวาทเสมอๆเมื่อเป็นเพื่อนกับดาวแห่งความซวยอย่างอาหลง

                “เปรี้ยงง..”เสียงปืนดังก้อง

                ต้นไม้ข้างตัวอาหลงถูกกระสุนปืนฉีกกระชากเผยเห็นเนื้อไม้ อาหลงเองเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองแยกย้ายกันวิ่งหนีแล้วแต่ตนเองไม่ได้หนีไปด้วย กลับพุ่งเข้าสวนควันปืน เพียงแต่อาหลงวิ่งซิกแซ็ก ไม่อยู่นิ่งให้เป็นเป้ากระสุน นัดแรกจึงพลาดเป้า อาหลงรู้ดีว่าไม่อาจหนีพ้นจากคนพวกนี้ได้ หากไม่มีใครสักคนคอยถ่วงเวลาไว้ และคนๆนั้นก็ต้องกล้าพอที่จะเสี่ยง อาหลงจึงตัดสินใจที่จะคอยถ่วงเวลาให้เพื่อนๆได้หนีรอดและแจ้งตำรวจ

                “ไอ้เหมียว ไอ้เล็ก มึงไปตามจับไอ้สองตัวนั่น เดี๋ยวกูจัดการไอ้นี่เอง”ชายเปลือยร่างท่อนบน คาดว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มสั่งการลูกน้องทั้งสอง อีกสองคนคอยจับผู้หญิงอีกสองคนไว้ ดูจากสภาพการณ์คาดว่าชายทั้งห้าคงฉุดกระชากหญิงสาวทั้งสองหวังที่จะพามาข่มขืน เพียงโชคดีที่อาหลงและพวกมาพบเจอจึงยังไม่ทันที่จะได้ทำร้ายหญิงสาวทั้งสอง

                “เฮ้ย ถ้าพวกมึงไม่อยากถูกตำรวจจับก็หนีไปซะ เดี๋ยวเพื่อนกูก็จะพาตำรวจแห่กันมาที่นี่ทั้งโรงพักโว้ย”อาหลงตะโกนบอก และคอยวิ่งหลบหลีกไปตามพุ่มไม้รอบๆ แต่ยังคงวนเวียนไม่ไปไหนไกล ยังไงอาหลงก็ต้องหาทางจัดการกับคนถือปืนให้ได้ ไม่เช่นนั้นอาจไม่มีทางรอด

                “เปรี้ยง..”กระสุนนัดที่สองดังขึ้น เฉียดหัวอาหลงเพียงสองฝ่ามือเท่านั้น

                “ก่อนที่ตำรวจจะมากูจะเอาพวกมึงทำปุ๋ยไว้ตรงนี้โว้ย”ชายร่างใหญ่ตะโกนก้อง

                อาหลงหลบซุ่มอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เห็นชายถือปีนเดินตรงเข้ามา มือของอาหลงควานไปตามพื้น ข้างขวากำก้อนหินขนาดพอเหมาะ ข้างซ้ายกอบกิ่งไม้ใบไม้แห้งมากำหนึ่ง

                “มึงไม่รู้อะไร เพื่อนกูเป็นหลานของผู้กำกับนครพิงค์นะโว้ย โทรกริ๊งเดียวเดี๋ยวลุงมันก็มาล่ะ” อาหลงคอยพูดก่อกวน เพื่อที่จะหาแผนการ

                หืม.. ชายถือปืนลังเล เมื่อได้ยินสิ่งที่อาหลงพูด

                “พี่พี่ ถ้าเป็นอย่างที่มันพูด ผมว่าเราหนีก่อนไหมพี่”ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งที่คุมตัวผู้หญิงพูดขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ จ้องมองไปรอบๆคล้ายกับว่าไม่วินาทีใดวินาทีหนึ่งจะมีตำรวจโผล่ออกมา

                “ไอ้เชี่ยเป๋.. ปากหมานะมึง วันเสาร์ตำรวจที่ไหนมันจะมากันว๊ะ แม่งนั่งอยู่แต่สถาณีนั่นแหละ ไอ้นี่มันพูดก่อกวน มึงมัดผู้หญิงไว้ด้วยกันแล้วให้ไอ้ตู่คุมไว้ แล้วมึงอ้อมไปล่อมันออกมา กูจะสอยมันด้วยมือกูเอง”ว่าแล้วก็ยกชูปืนทำท่าทางเหี้ยมเกรียม

                ไอ้เป๋หนึ่งในสี่ลูกสมุนจัดแจงมัดหญิงสาวทั้งสองไว้ด้วยกันแล้วให้ไอ้ตู่เพื่อนอีกคนคุมตัวไว้ มันออกย่องไปราวป่าอีกด้านหวังจะไล่ให้อาหลงออกพ้นแนวต้นไม้

                อาหลงได้ยินการสนทนาและสั่งการอย่างชัดเจน แต่จนใจที่ไม่อาจปลีกตัวหนีไปได้ เพียงภาวนาให้เพื่อนทั้งสองหนีพ้น ในใจมีเรื่องให้กังวลมากเกินไป และสถานการณ์ฝ่ายตนก็เสียเปรียบทั้งจำนวนคนและอาวุธ ทันใดนั้นด้านหลังก็โผล่มาด้วยลูกสมุนอีกคน

                เหนือความคาดคิด ชายร่างสูงที่อาหลงเห็นว่าเดินเข้าราวป่าอีกทางเพื่อจะมาไล่ต้อนตนเองต้องอ้อมมาทางด้านซ้ายมือ แต่ไม่คิดว่าสมุนอีกคนที่คุมตัวผู้หญิงไว้ก็ร่วมวงอ้อมเข้ามาอีกทางเช่นกัน

                ที่จริงแล้วชายถือปืนหัวหน้าแก๊งเห็นว่าคนเดียวคงไม่พอจึงส่งซิกให้อีกคนมัดแขนมัดขาและปิดปากผู้หญิงไว้ จะได้ไม่หนีไปไหน แล้วก็ให้อีกคนอ้อมไปอีกทาง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดอาหลงไม่ทันเห็นจึงเป็นเหตุให้ถูกจู่โจมได้โดยง่าย

                อาหลงถลันหลบฉากมาด้านข้าง หลบหมัดจากไอ้ตู่สมุนร่างเล็ก เมื่อหมัดชกพลาดเป้ามันก็ถลาไปด้านหน้า อาหลงได้โอกาสจึงถีบเข้าที่ชายโครงอย่างจัง ปึกก.. โอ้ย  แรงถีบแม้จะไม่ถึงกับทำให้กระดูกหัก แต่ก็ทำเซไปปะทะกับพุ่มไม้หนาม ในเวลาอันสั้นย่อมยากที่จะหลุดออกมาได้

                เสียงสวบสาบดั้งขึ้นจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา แต่ก็ไม่พ้นโสตประสาทของอาหลง เสียงลมวิ่งฝ่าเข้ามาบริเวณท้ายทอย อาหลงก้มตัวลงทันที ท่อนไม้แห้งขนาดข้อมือเฉียดผ่านหัวไป ชายร่างสูงหรือไอ้เป๋สมุนที่อ้อมมาก่อนหน้าหนี้โผล่ขึ้นมาจากด้านหลัง มันเห็นเพื่อนของมันพลาดท่าเสียที จึงหากิ่งไม้ฟาดหวด หวังน๊อกอาหลงในคราเดียว

                ประสบการณ์ทะเลาะวิวาทและการฝึกซ้อมที่สำนักงานตำรวจกรุงปักกิ่งทำให้อาหลงสามารถรับมือคนพวกนี้ได้อย่างช่ำชอง หากหัวหน้าแก๊งไม่ถือปืนในมือ อาหลงมั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการคนทั้งสามได้อย่างง่ายดาย

                เมื่อเห็นว่ากิ่งไม้ฟาดหวดผ่านหัวไป อาหลงเงื้อหมัดขวาที่กำก้อนหินไว้แน่น เสริมความแข็งแกร่งของพลังหมัดซัดเข้าไปข้างลำตัวเต็มๆ ปึ๊ก... อั๊ก เพียงหมัดเดียวชายร่างสูงถึงกับงอตัวเอียงข้างเป็นกุ้ง ไม้ในมือหลุดร่วง หากอาหลงชกด้วยหมัดเปล่าๆ อาจเพียงทำให้จุกเสียดเท่านั้นแต่กลับการชกในครั้งนี้นอกจากจะมีก้อนหินกำไว้ในมือเพิ่มความหนักหน่วงของหมัด มุมทิศทางที่ชกก็เป็นจุดที่อ่อนที่สุดของด้านข้าง ซึ่งคือบริเวณเหนือเอวขึ้นมาหนึ่งฝ่ามือ แนวกระดูกซี่โครงซี่สุดท้าย การชกของอาหลงถึงกับทำให้กระดูกซี่โครงซี่สุดท้ายหัก

                ชายร่างสูงเมื่อถูกหมัดแรกจนงอตัวลงต่ำ อาหลงได้จังหวะปล่อยใบไม้ในมือซ้ายแล้วกดหัวชายร่างสูงลง เปรี้ยงงง.... อาหลงแทงเข่าสวนขึ้นไปเต็มใบหน้า กาฝึกศิลปะการต่อสู้ที่หลากหลาย อาหลงชื่นชอบการใช้เข่ากับศอกของมวยไทยมากที่สุด เข่าของอาหลงครั้งนี้จึงหนักหน่วงเป็นพิเศษ

                ปากแตกเลือดกำเดาไหลออกจากใบหน้าชายร่างสูง ร่างถึงกับผงะเซไปด้านหลัง อาหลงเมื่อเห็นเช่นนั้นอาหลงก็วกกลับและเตะสวนเข้าไปเต็มแรงเป้าหมายไม่ใช่ชายร่างสูง แต่กลับเป็นชายร่างเล็กที่เพิ่งจะพ้นออกจากพงหนามมาได้ เพราะอาหลงเห็นว่าการโจมตีทั้งสองครั้งทำให้ชายร่างสูงไม่อาจทำร้ายอาหลงได้

    “เฮ้ย..”ชายร่างเล็กร้องลั่น ไม่คิดว่าจู่ๆอาหลงที่สู้ติดพันกับเพื่อนของมันจะกลับวกมาเตะมันอีกครั้ง ไม่ทันที่จะตั้งรับปลายคางก็ถูกเตะเข้าอย่างจังจนร่างกระเด็นกลับเข้าไปพงหนามอีกครั้ง การเตะครั้งนี้ถึงกับทำให้มันสลบไสล เพราะร่างกายที่ไม่เคยออกกำลังกายเอาซะเลยเมื่อถึงเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ย่อมยากที่จะทนทานรับได้

                และแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน อาหลงไม่มองผลลัพธ์จากการเตะชายร่างเล็ก ก็ม้วนตัวประจันหน้ากับชายร่างผอมสูงอีกครั้งแม้หมัดกับเข่าจะทำให้ชายร่างสูงเจ็บหนัก แต่ก็ไม่ทำให้ถึงกับสลบ อาจเป็นเพราะร่างกายที่สูงดูมีกำลังแตกต่างจากชายร่างเล็กที่ดูอ่อนแอ ชายร่างสูงอยู่ในท่าที่มือข้างหนึ่งกุมใบหน้ามืออีกข้างกุมสีข้างแววตาประหวั่นพรั่นพรึง

                อาหลงเดินเข้าหาสองก้าว ชายร่างสูงก็ถอยสองก้าว อาหลงเตรียมการที่จะน๊อกชายร่างสูงนี้ให้สลบก่อนที่หัวหน้าแก๊งของมันจะเข้ามา แก๊กก ตุ้บ... ชายร่างสูงเดินสะดุดกิ่งไม้ล้มลง อาหลงฉวยโอกาสเข้าไปเตะซ้ำทันที มือที่กุมสีข้างไว้ถูกเตะเต็มๆ แรงเตะยังทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้น

                เท้าขวายกขึ้นกระทืบอย่างแรงลงบนหน้าท้อง ตุ้บ..อ๊อก ชายร่างสูงถึงกับสำลัก อาหลงเตะเท้าซ้ายเข้าขมับอีกครั้งหวังเผด็จศึก ผั๊ว...หัวสะบัดตามแรงเตะ

                “อะไรว๊ะ ยังไม่สลบอีก สลบไปซิโว้ย”อาหลงพูดไปบ่นไป แต่เท้าทั้งสองข้างยังคงตะบี้ตะบันเตะชายร่างสูงราวกับเตะกระสอบทราย

                “เปรี้ยงง..”เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด กระสุนปืนเฉียดแขนอาหลงแต่ก็ทำให้อาหลงยุติการเตะกระสอบทรายครั้งนี้ พุ่งม้วนตัวเข้าพงหญ้าอีกด้านหนึ่งทันที

                ชายถือปืนซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊ง เห็นว่าสมุนทั้งสองหายไปเป็นเวลานานยังไม่โผล่ออกมาซักที ชักเริ่มเอะใจ เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นในตอนแรกคาดว่าสมุนทั้งสองคนคงจัดการเรียบร้อย เพราะไอ้เป๋ลูกสมุนตัวสูงน่าจะจัดการกับอาหลงได้ไม่อยาก ยิ่งมีไอ้ตู่คอยช่วยเหลือ นับประสาอะไรกับสองรุมหนึ่ง แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เมื่อนานเข้าเสียงการต่อสู้เงียบไป แต่ลูกน้องทั้งสองก็ยังไม่โผล่ออกมา มันจึงตัดสินใจถือปืนพุ่งเข้าไปหา

                ภาพตรงหน้าทำให้แปลกใน ลูกน้องทั้งสองของมันถูกซ้อมจนน่วม มันจึงเล็งปืนแล้วยิงอาหลงจากด้านหลังหวังจัดการให้เรียบร้อย แต่เนื่องจากอาหลงกำลังเตะลูกน้องของมันอยู่ ร่างกายไม่อยู่นิ่งจึงยิงพลาดเป้าไป แต่ก็ถือว่าสร้างบาดแผลให้กับอาหลงได้

                “ลูกพี่ช่วยผมด้วย..”ชายร่างสูงเห็นลูกพี่เข้ามาก็ร้องเรียกให้ช่วย

                “มึงอยู่นี่ก่อนเดี๋ยวกูไปจัดการมันแล้วจะกลับมา”ชายถือปืนซึ่งเป็นลูกพี่มุดเข้าไปตามทางที่อาหลงพุ่งไป

                ชายถือปืนเดินไปสอดสายตา พลันเห็นพุ่มไม้ด้านข้างสั่นไหวจึงยกปืนเล็ง เปรี้ยงงง.. กระสุนแหวกทำลายพุ่มไม้แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันกำปืนกระชับมั่น เดินมองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นชายเสื้อคลุมสั่นไหวไปมา

                “อยู่นี่เองนะมึง”ชายถือปืนซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่เล็งปืนไปยังเงาเสื้อนั้น โดยกะว่ากระสุนจะพุ่งเข้าทะลุด้านหลัง เปรี้ยงง... ฟุบบ เมื่อยิงเสร็จก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันจึงพุ่งเข้าไปดูและเห็นว่าชายเสื้อดังกล่าวเป็นเสื้อคลุมของอาหลงนั่งเอง แสดงว่าอาหลงใช้เสื้อคลุมเป็นตัวล่อ ส่วนตนเองหนีไปอีกทางหนึ่ง

                “โธ่เว้ย...”ชายถือปืนโมโหคว้าเสื้อสะบัดลงกับพื้น และสักพักมันก็คิดได้ “ไอ้ห่า.. มันไปช่วยผู้หญิง”

                หลังจากที่แขวนเสื้อคลุมไว้กับพุ่มไม้ อาหลงก็หลบฉากออกมาอีกด้าน โดยจำแนกทิศทางและเดินมาโผล่ด้านหลังของหญิงสาวทั้งสอง

                “จุ๊ๆๆ เงียบๆไว้ เดี๋ยวผมแกะเชือกให้ ผมล่อไอ้ตัวหัวหน้ามันไปทางอื่นแล้ว” อาหลงกระซิบบองหญิงสาวทั้งสอง มือก็คอยแกะเชือกที่มันแขนของหญิงสาวทั้งสองที่ติดกัน

                หญิงสาวทั้งสองไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวไม่ได้หนีไปกับเพื่อน แต่ลอบแอบมาช่วยเหลือพวกเธอ ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นยินดี และพยักหน้ารับรู้ เมื่ออาหลงแกะผ้าปิดปากออก หญิงสาวผมสั่นรูปร่างเพรียวหน้าตาสะสวยใบหน้าเรียว ดวงตาสุขใสแฝงแววแตกตื่น ผิวขาวเนียนก็พูดขึ้น

                “พวกฉันถูกคนพวกนี้ฉุดมาตอนปั่นจักรยานขึ้นไปไหว้พระบนดอยค่ะ”สำเนียงฟังได้ชัดเจนว่าไม่ใช่คนไทยอย่างแน่นอน แม้เธอจะพูดภาษาไทยก็ตามที

                เมื่อหญิงสาวอีกคนได้รับการแกะผ้าปิดปากออก ก็ละล่ำละลักพูดขึ้น “พวกเราเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนไทยจีนค่ะ คุณอย่าทิ้งพวกเรานะ”พูดพลางก็มองซ้ายมองขวากลัวว่าพวกที่ฉุดเธอมาจะโผล่ออกจากที่ใดที่หนึ่ง ใบหน้ากลมมน ดวงตาโต มีเหงื่อผุดพราย แม้เธอจะเป็นหญิงสาวร่างท้วมแต่ก็มีใบหน้าที่น่ารัก

                ขณะที่อาหลงกำลังจะแก้เชือกที่มัดมือหญิงสาวทั้งสองก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด

    “เปรี้ยง...”กระสุนปืนแฉลบดินตรงข้างหญิงสาวทั้งสอง ราวกับว่าคนยิงตั้งใจข่มขู่

                “ว๊ายย..”หญิงสาวทั้งสองร้องอย่างตกใจ

                “ไอ้เชี่ย มึงออกมาเลย ไม่งั้นคราวนี้กูยิงพวกมึงทิ้งแน่”ชายร่างกำยำถือปืนเล็งมายังหญิงสาวทั้งสองและอาหลง

                “พี่พูดกันดีๆก็ได้ อย่าเพิ่งยิงนะ ผมออกมาล่ะ”อาหลงพูดพร้อมหันหน้ามา แขนข้างซ้ายตกห้อยมีเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่ถูกยิงแฉลบ มือขวายกชูขึ้น

                เมื่ออาหลงเห็นใบหน้าชายที่ถือปืนชัดเจนก็อุทานออกมาอย่างลืมตัว “ติ่ง ท่าช้าง!

                “หือ...มึงรู้จักกูด้วยเหรอว๊ะ”ชายที่ถือปืน หรือก็คือ ไอ้ติ่ง ฉายา ติ่ง ท่าช้าง เป็นนักเลงหัวไม้คุมร้านเหล้า มีประวัติโชกโชนไม่ว่าจะเป็นชิงทรัพย์ปล้น หรือแม้กระทั่งฉุดคร่าข่มขืน หมายจับมันว่อนไปทั่วเชียงใหม่ ตำรวจควานหาตัวมันแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่ก็ไร้วีแวว จนคาดว่ามันคงหนีกบดานในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนมากมันมักจะออกหาเหยื่อแถวร้านเหล้า แถวกาดคำเที่ยง ซึ่งมีร้านดังอย่าง ท่าช้าง ที่ผู้คนพลุกพล่าน

                มีอยู่ครั้งหนึ่งมันเมาและมีเรื่องกับลูกค้าคนอื่นที่ร้าน จึงควักปืนออกมายิ่งคู่อริจนตายหลังจากนั้นมันก็หนีหายไปกบดานบนดอยแถวเชียงดาวนานครึ่งปี กลับมาครั้งนี้มันไว้ผมยาวไว้หนวดไว้เคราปกปิดใบหน้า ไม่คิดว่าไอ้หนุ่มตรงหน้าจะจำมันได้

                ความจริงอาหลงย่อมไม่รู้จักไอ้ติ่ง ท่าช้างคนนี้ แต่ครั้งหลังสุดที่ไอ้ติ่ง ท่าช้าง ก่อคดียิงคู่อริในร้านเหล้าจนตาย และคู่อริคนที่มันยิงเป็นเฮียยุทธเจ้าของร้านเช่าหนังสือร้านใหญ่ในเชียงใหม่ที่อาหลงมักไปเช่ายืมอยู่บ่อยๆ จนรู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยนิสัยใจคอของคนรักการอ่านเหมือนกัน บางครั้งนิยายใหม่ๆเล่มไหนมา เฮียยุทธมักจะโทรบอกอาหลงเป็นคนแรก อาหลงจึงนับว่าเป็นลูกค้าเจ้าประจำของร้านหนังสือร้านนี้ เมื่อได้ทราบข่าวว่าเฮียยุทธถูกยิงเสียชีวิต นอกจากจะเสียใจต่อการตายแล้ว ยังเคียดแค้นที่คนยิงต้องการฆ่าเฮียยุทธเพียงแค่ไม่ยอมให้มันมายุ่งกับน้องสาวของเขา อาหลงจึงตั้งใจที่จะติดตามหาตัวคนร้ายรายนี้ให้จงได้  แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะผ่านไปนานนับปี แต่อาหลงก็ไม่มีวันลืมใบหน้าจากแฟ้มประวัติอาชญากรรมของกรมตำรวจไปได้

                “คนที่มึงยิงตายเมื่อปีก่อนเป็นคนรู้จักกับกู! เรื่องแค่นี้ถึงกับฆ่ากันตายเลยเหรอว๊ะ ไอ้เชี่ย” อาหลงด่าด้วยอารมณ์โกรธ โดยไม่สนว่าไอ้ติ่ง ถือปืนเล็งอยู่ตรงหน้า

                ไอ้ติ่ง ตั้งแต่มันตั้งแก๊งท่าช้างขึ้นมา ก็ไม่มีใครกล้าหือ หรือด่ามันมาก่อน นับว่าไอ้หนุ่มตรงหน้าบ้าดีเดือดจริงๆ

                “ไอ้นี่ มึงด่ากูเหรอว๊ะ เดี๋ยวกูจะให้มึงไปอยู่เป็นเพื่อนกับมัน.... แต่ก่อนอื่นขอเตะปากมึงให้หมามันหลุดออกหน่อยโว้ย”ไอ้ติ่งเตรียมสั่งสอนอาหลงก่อนแล้วค่อยฆ่า

                ขณะที่ไอ้ติ่งเดินมาใกล้จะถึงอาหลง ห่างกันเพียงแค่สองสามก้าวเท่านั้น อาหลงก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “นี่มึงคิดจะซ้อมกูก่อนเหรอ แล้วผู้หญิงสองคนนี่ล่ะ” พูดพลางหันหน้าเหลียวมองไปทางหญิงสาวทั้งสองที่ด้านหลัง

                ไอ้ติ่งชะงักนิดหนึ่งก่อนชะโงกมองตามอาหลงไปยังหญิงสาวทั้งสองที่มันกับพวกฉุดมา มันทันที่จะได้ระวังตัว อาหลงซึ่งเตรียมพร้อมวิธีรับมืออยู่ก่อนก็ใช้ช่วงเวลาที่พูดเบี่ยงเบนความสนใจของไอ้ติ่ง จังหวะที่เอี้ยวตัวมองไปด้านหลัง อาหลงก็ม้วนตัวตวัดเท้าขวาฟาดในท่าของมวยไทย จระเข้ฟาดหาง เป้าหมายไม่ใช่ใบหน้า หรือลำตัว แต่เป็นมือที่ถือปืนของไอ้ติ่งนั่นเอง

                ผั๊วว... ส้นเท้าที่สวมใส่รองเท้าผ้าใบฟาดโดนข้อมืออย่างจัง ถึงกับทำให้ปืนหลุดกระเด็นไปในพงหญ้า  ตุ๊บบ.. แม้จะเตะปืนกระเด็นแล้ว แต่อาหลงก็ยังมีท่าตามติด เมื่อเท้าขวาเหยียบพื้นอาหลงก็อาศัยแรงเหวี่ยงในตอนแรกหวดเท้าซ้ายเข้าข้อพับบริเวณน่องของไอ้ติ่งต่อทันที

                ไอ้ติ่งถูกเตะตามติดถึงสองครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว ถึงกับล้มลงในท่าคุกเข้า เมื่อเห็นเท้าของอาหลงเตรียมหวดซ้ำเข้ามาอีกครั้ง มันก็ยกแขนทั้งสองข้างตั้งการ์ดทันที ผั๊วว.. แรงเตะทำให้มันถึงกับผงะถอยหลัง

                ไอ้ติ่งกลัวจะถูกซ้ำอีกรอบ มันจึงม้วนกลิ้งตัวออกมาสามสี่ตลบ เมื่อเห็นว่าถอยตั้งหลังได้แล้ว มันก็ลุกขึ้นยืนตั้งการ์ดแบบมวยไทย นับตั้งแต่ที่มันเคยทะเลาะวิวาทมา มันมักจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ของมันอยู่เสมอ ไม่ว่าร่างกายที่สูงใหญ่ของมัน หรือแม้กระทั่งฝีมือการชกมวยเถื่อนแถวชายแดนไทยพม่าที่แม่สาย ก็มีแต่คู่ต่อสู้ถูกมันอัดซะมากกว่า แต่กับอาหลงซึ่งเตี้ยกว่ามัน แถมตัวยังเล็กกว่ามัน แต่มันกลับถูกไอ้หนุ่มตรงหน้าไล่เตะจนแทบต้องล้มลุกคลุกคลาน ไม่สร้างความแตกตื่นก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากแล้ว

                “ลอบกันนี่หว่า! เดี๋ยวเหอะมึง”ไอ้ติ่งล้วงไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง หยิบสนับมือสีดำขึ้นมาสวมลงบนมือขวา เมื่อกระชับกำหมัดก็เพิ่มความมั่นใจขึ้นอีกมาก ตั้งการ์ดย่างสามขุมเข้าไปหาอาหลง

                อาหลงเมื่อเห็นไอ้ติ่งม้วนตัวหนีก็ไม่ได้ตามไปซ้ำเติม เพียงยืนมองดูอยู่เฉยๆ เมื่อเห็นไอ้ติ่งเอาสนับมือขึ้นมาสวม แล้วตั้งการ์ดเดินเข้ามาช้าๆ ถึงกับยิ้มที่มุมปาก โธ่เอ้ยไอ้ลูกหมา! แค่นี้ก็ใช้เครื่องทุ่นแรง ตัวโตซะเปล่า อาหลงคิดในใจ สำหรับไอ้ติ่งที่ไม่มีปืนแล้ว อาหลงไม่เกรงกลัวเลยซักนิด การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเรียนรู้ยุทธวิธีต่อสู้ด้วยมือเปล่าเปรียบเทียบเหตุการณ์ตรงหน้ากับการฝึกซ้อมจากกรมตำรวจกรุงปักกิ่งของจีน นับว่าง่ายกว่ากันมากนัก เพียงแต่ในตอนแรกอาหลงกริ่งเกรงแค่ปืนที่อยู่ในมือเท่านั้น เพราะต่อให้เป็นเด็กหากถือปืนอยู่ในมือก็กลับเป็นคนอันตรายได้

                ไอ้ติ่งเดินเข้ามาใกล้ ลมหายใจหนักหน่วง หัวใจเต้นแรง หากเป็นเมื่อก่อนที่มันชกมวยคาดเชือกแถวแม่สายมันมีกำลังดีกว่านี้ แต่มันก็หันหลังจากมวยมานาน วันๆเอาแต่เที่ยวเตร่ดื่มเหล้าสูบยา ไม่ได้ออกกำลังกายหรือฝึกซ้อมเพิ่ม แค่เอาปืนยิงคู่อริก็ถือว่าจบเกม ไม่ต้องมาต่อยกันให้เหนื่อย

                ปึกก..ไอ้ติ่งหวดเท้าขวาเบาๆหยังเชิง อาหลงเพียงยกเท้าขวางอเล็กน้อยยันเท้าของไอ้ติ่งที่เตะมายังขาด้านซ้าย มือทั้งสองข้างยังปล่อยแนบข้างลำตัวอย่างสบาย สายตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าของไอ้ติ่งไม่วางตา

                หวืดด..หมัดขวาตามติดมา หมายตะบันเข้าขมับ อาหลงเพียงโยกร่างท่อนบนเล็กน้อย ก็หลบหมัดได้อย่างง่ายดาย ไอ้ติ่งหวดเท้าซ้ายตามติดมาหวังเตะขาขวา จังหวะที่ไอ้ติ่งดึงแขนกลับมาและหวดเท้าซ้ายแม้รวดเร็ว แต่อาหลงรวดเร็วกว่า อาหลงทั้งไม่ถลันหลบหรือยกขาป้องกันการเตะแบบมวยไทย แต่อาหลงกลับทำตรงกันข้าม ด้วยการพุ่งไปข้างหน้า ใช้หัวของตนซึ่งเป็นส่วนบนสุดของร่างกายพุ่งชนไปยังกึ่งปากกึ่งจมูกของไอ้ติ่งอย่างจัง

                ผั๊ว.. โอ้ยย ไอ้ติ่งร้องลั่น ปากแตกเลือดกำเดาไหล น้ำหูน้ำตาไหล ความเจ็บปวดทำให้มันลืมป้องกันตัวไปหมดสิ้น เอาแต่กุมมือป้องปากคลำดูจมูก

                เมื่อเห็นไอ้ติ่งเอามือกุมหน้าร้องอย่างเจ็บปวด อาหลงยิ้มขึ้นที่มุมปาก ตอนนี้อาหลงและไอ้ติ่งอยู่ใกล้กันมาก อาหลงตวัดเท้าเตะขึ้นตรงๆ ปึ้กก... อุปส์.. การเตะครั้งนี้อาหลงเล็งเป้ากางเกงของไอ้ติ่งเต็มๆ ถึงกับทำให้มันต้องปล่อยมือมากุมเป้าของตัวเอง และล้มคุกเข่าลง

                อาหลงเตะซ้ำเข้าปลายคางเต็มๆ ผั๊วว.. ใบหน้าไอ้ติ่งสะบัดไปตามแรง ถึงกับสลบเหมือดคาเท้า “โธ่นึกว่าจะแน่” อาหลงสบถและหันหลังเดินกลับมาหาหญิงสาวทั้งสอง

                หญิงสาวทั้งสองเห็นการต่อสู้ทั้งหมดอย่างชัดเจน ถึงกับตกตะลึง ไม่คิดว่าคนที่ตัวเล็กดูแสนจะธรรมดาๆคนนี้ถึงกับล้มคนตัวใหญ่แถมมีอาวุธโดยไม่ต้องใช้มือสองข้างเลย

                อาหลงไม่ได้สนใจในสายตาที่แตกตื่นของสองสาว มือขวาเพียงพยายามแกะเชือกออกจากมือและเท้าของหญิงสาวเท่านั้น เมื่อแก้เสร็จแล้วก็ลุกขึ้น เวลานี้จึงมีโอกาสสำรวจบาดแผลของตัวเอง ตอนนี้แม้เลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ก็มีคราบเลือดเกรอะกรัง หญิงสาวทั้งสองลูกขึ้น ปัดฝุ่นและใบไม้ที่อยู่ตามเนื้อตัวออก เห็นอาหลงสำรวจดูบาดแผล หญิงสาวผมสั้นหน้าตาสะสวยรูปร่างดี ก็เดินไปหยิบขวดน้ำจากเป้ของตัวเองที่อยู่ตรงข้าง เดินมาหาอาหลง

                “น้ำค่ะ ฉันและเพื่อนขอบคุณอย่างมากที่คุณช่วยเหลือพวกเรา พวกเราคิดว่าครั้งนี้ต้องตายแน่ๆแล้ว”หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆยื่นขวดน้ำมาให้อาหลง

                “อ้อ.. ขอบคุณครับ”อาหลงรับขวดน้ำมาดื่มอึกหนึ่งและเทน้ำลงบนแผลเพื่อชะล้างคราบเลือด หญิงสาวผมยาวอีกคนก็เดินเข้ามา ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อออกมาช่วยเช็ดคราบเลือดให้ เพราะเห็นว่าอาหลงเคลื่อนไหวได้เพียงแขนขวาทำอะไรไม่สะดวก

                “ให้พวกฉันช่วยคุณเป็นการตอบแทนนะ” หญิงสาวทั้งสองเช็ดล้างบาดแผลให้กับอาหลงเรียบร้อย ก็เอาผ้าเช็ดหน้าสีชมพูผืนใหญ่มาม้วนพันแขนอาหลงไว้ใช้แทนผ้าพันแผลชั่วคราว สักครู่ก็มีเสียง สวบสาบดับขึ้นจากราวป่าด้านข้าง

                ไอ้เก่งโผล่ออกมา เหลียวมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีพวกคนร้ายแล้ว ก็เดินมายังอาหลง ปากก็ถามขึ้น “ที่เหลือไปไหนหมดว๊ะ”

                “กองอยู่นี่ตัวหนึ่ง แล้วอยู่ในป่าตรงโน้นอีกสอง เดี๋ยวมึงกะกูไปช่วยกันลางมันมารวมๆกันไว้ เดี๋ยวไอ้เต๋อคงพาลุงของมันมา”อาหลงพูดขึ้นและชักชวนเพื่อน

                “แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไอ้เต๋อจะพาลุงมา แล้วมึงไม่ถามซักคำเหรอว่ากูเป็นไงมั่ง”ไอ้เก่งถามขึ้นอย่างแปลกใจ มือก็เอื้อมไปปลดเข็มขัดของไอ้วายร้ายติ่ง ช่วยอาหลงมัดสองมือของมัน

                “ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก ไอ้สองคนที่ตามพวกมึงไปตัวเล็กกว่าพวกมึงอีก แล้วนี่มึงก็โผล่ออกมาด้วยสภาพที่เจ็บนิดหน่อยเอง แสดงว่ามึงสองคนต้องอัดไอ้คนที่ตามไปเรียบร้อยแล้ว และแยกกันไอ้เต๋อต้องออกไปรอลุงของมัน หรือหากมีตำรวจคนอื่นมาก็ต้องรู้จักไอ้เต๋อดีเพราะลุงของมันเป็นผู้กับกับ ส่วนมึงก็ต้องตามมาดูว่ากูเป็นไงมั่ง ถ้าพลาดท่ายังไงก็จะได้ช่วยกัน”อาหลงแจกแจงรายละเอียด

                “แม๊ะ เป๊ะ.. ยังกะนักสืบเลยนะมึง หึหึ”ไอ้เก่งหัวเราะ เมื่อรู้ว่าเพื่อนรักคาดการได้ราวกับตาเห็น แล้วมันก็ยกโทรศัพท์ขึ้น กดเบอร์โทรหาไอ้เต๋อ

                “เฮ้ยเต๋อ ลุงมึงมายังว๊ะ ไอ้หลงปลอดภัยดีลูกพี่กับลูกน้องมันอีกสองคนไอ้หลงจัดการซะหมอบเลย ตอนนี้พวกกูกำลังจับมัดกันอยู่ ถ้าตำรวจมาอย่าลืมลากไอ้สองตัวเมื่อกี้มาด้วยล่ะ”พูดเสร็จก็วางสายไปแล้วก็แยกย้ายกันหอบหิ้วสมุนอีกสองคนจากในป่าด้านข้างมามัดรวมกันตรงกลางลานว่างๆ

    สักพักก็ได้ยินเสีย “วู้ๆๆ ไอ้เก่งไอ้หลงอยู่ไหนโว้ย”

    “ทางนี้..”ไอ้เก่งตะโกนก้อง

    เสียงฝีเท้าของคนหลายคนเดินเข้ามา คนนำหน้าเป็นไอ้เต๋อกำลังยิ้มร่า แม้มุมปากจะเจ่อซึงไม่ทราบว่าถูกต่อยหรือวิ่งหกล้มเองมากกว่า นำกำลังตำรวจหกเจ็ดนายเดินเข้ามา

    อาหลงกับไอ้เก่งยกมือไหว้นายตำรวจสูงอายุผู้หนึ่งที่เดินตามหลังไอ้เต๋อมา

    “สวัสดีครับคุณลุง”

    “เป็นยังไงกันบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”นายตำรวจสูงอายุแต่งกายนอกเครื่องแบบแต่ยังคงไว้ซึ่งความน่าเคารพยำเกรงผู้นี้คือคุณลุงของไอ้เต๋อ ซึ่งเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจนครพิงค์นี่เอง

    “ไอ้หลงถูกยิ่งที่แขนครับลุง” ไอ้เก่งพูดขึ้น

    “หา! เป็นอะไรมากหรือเปล่า หมวดเรียกหมอที่อยู่ข้างนอกเข้ามานี่หน่อย”คุณลุงสั่งการไปยังนายตำรวจผู้หนึ่ง ให้วอเรียกหมอซึ่งติดตามมากับรถตำรวจเผื่อกรณีที่มีการปะทะกันจนได้รับบาดเจ็บ

    “ไม่เป็นไรมากครับลุง แค่เฉียดๆเท่านั้น”อาหลงพูดขึ้น

    นายตำรวจผู้หนึ่งเดินมาพร้อมรายงานเหตุการณ์ “ผู้กำกับครับ ไอ้หมอนี่คือติ่ง ท่าช้างที่มีหมายจับในคดีฆ่าคนตายเมื่อต้นปีที่แล้ว และอีกหลายๆคดีครับผม”

    “หืม จริงหรือนี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะโผล่มาแถวนี้ แถมยังถูกซ้อมซะน่วมแบบนี้ ใครเป็นคนจัดการหมอนี่กัน”ผู้กำกับมองหน้าอาหลงและไอ้เก่งสลับกัน

    “แหะๆ คุณลุงไม่ต้องมองผมหรอกครับ ผมเก่งกีร์ต้า ไม่ได้เก่งชกต่อยเหมือนไอ้หลงมัน”ไอ้เก่งยิ้มแหยๆ

    “โฮ่! เก่งเหมือนกันนี่เรา ได้ข่าวว่าไอ้หมอนี่มันนักมวยเก่า ฝีไม้ลายมือไม่ใช่ย่อย แต่เรากลับล้มมันได้เก่งจริงๆ”ผู้กำกับยกนิ้วชื่นชม

    “ลุงไม่รู้อะไร เพื่อนผมได้ฉายาถึงจอมยุทธ์เชียวนะ ถึงแม้จะเป็นจอมยุทธ์ซื่อบื้อก็ตามเหอะ ฮ่าๆๆ”ไอ้เต๋อพูดพร้อมกับหัวเราะ

    ผู้กำกับเพียงยิ้มนิดๆ ท่านรู้ดีว่าหลานคนนี้ชอบล้อเล่น และรู้ว่าไอ้ติ่ง ท่าช้างนี้ก่อคดีไว้มากแค่ไหน ลำพังตำรวจสองสามคนยังทำอะไรมันไม่ได้ นับประสาอะไรกับเด็กวัยรุ่น มอห้ามอหก อาหลงต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาเป็นแน่

    “ผู้กำกับครับสอบถามผู้เสียหาย และเคลียส์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับ”นายตำรวจหนุ่มยกมือวันทยาหัตรายงานผู้กำกับทราบ

    “งั้นก็กลับกัน คุมตัวผู้ต้องหาให้ดีด้วย งานนี้สงสัยได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่ซะหน่อยแล้ว”ผู้กำกับพูดขึ้นและชักชวนคนอื่นๆเดินทางกลับ

    ตอนนี้อาหลงได้รับการทำความสะอาดแผลและทายาใหม่เรียบร้อยแล้ว หมอที่มากับตำรวจได้จัดการพันแผลและฉีดยากันบาดทะยักให้เรียบร้อย ทั้งหมดจึงเก็บสัมภาระเดินทางออกจากพื้นที่

    เมื่อถึงศาลา จุดพักน้ำตกห้วยแก้ว รถตำรวจจอดเรียงรายสองสามคันมีรถกู้ภัยอีกหนึ่งคันจอดอยู่

    “ลุงครับพวกผมไม่ต้องไปให้ปากคำที่สถานีได้ไหม เดี๋ยวว่าจะเดินขึ้นดอยไปไหว้พระครับ”ไอ้เต๋อพูดกับคุณลุง

    “แล้วอาหลงเขาจะไหวเหรอ ยังเจ็บอยู่นี่”ผู้กำกับถามขึ้น และมองไปยังอาหลง

    “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้สบายมาก แล้วอีกอย่างพวกผมก็บนกับครูบาศรีวิชัยไว้กัน ไม่อยากผิดคำสาบานครับ”อาหลงพูดขึ้น

    “งั้นก็ตามใจหลานล่ะกัน แต่มีอะไรโทรเรียกลุงได้ตลอดนะ”ผู้กำกับพูดเสร็จแล้วหันไปสอบถามผู้เสียหายทั้งสอง

    “คุณสองคนต้องการให้รถตำรวจไปส่งที่ไหนบ้างครับ”

    สองสาวมองหน้ากัน แล้วสาวผมยาวร่างอวบก็พูดขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะพวกฉันก็อยากเดินขึ้นดอยเหมือนกัน ไปกับสามหนุ่มนี้ไม่น่าจะมีอะไรค่ะ”เธอยิ้มสายตามีประกาย แม้จะดูอวบแต่ผิวที่ขาวนวลและใบหน้ากลมมีลักยิ้มเพิ่มเสน่ห์อีกชั้น

    เมื่อรถตำรวจและรถกู้ภัยไปหมดแล้ว อาหลงและเพื่อนก็หันมามองหญิงสาวทั้งสอง ไอ้เต๋อผู้ซึ่งปากไวกว่าเพื่อนรีบพูดขึ้น”พวกคุณไม่ใช่คนไทยเหรอครับ แต่พูดไทยชัดจัง แถมน่ารักกว่าคนไทยเยอะเลย อิอิ”หน้าตาท่าทางที่พูดดูกะลิ้มกะเหลี่ย อาหลงและไอ้เก่งมองหน้ากันและส่ายหัวอย่างเอือมระอากับความน่าม่อของเพื่อนคนนี้

    “พวกคุณชื่ออะไรกับบ้างครับ แล้วจะเดินไปกับพวกผมจริงเหรอ พวกคุณไม่มีสัมพาระอะไรเหรอครับ” ไอ้เก่งถามเป็นชุด

    “ฉันชื่อเสี่ยวเหมยค่ะ ส่วนสาวสวยผมสั้นคนนี้ชื่อเสี่ยวอี๋ค่ะ เราเป็นญาติกัน และเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไทยจีนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เทอมนี้ค่ะ สัมภาระอะไรของเราไม่มีหรอกค่ะ อยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัย พอดีเช้ามืดนี้เราสองคนตั้งใจเดินมาสูดอากาศและวิ่งตอนเช้าที่สวนสาธารณะห้วยแก้ว ก็มาถูกไอ้พวกคนร้ายฉุดมานี่แหละค่ะ”หญิงสาวร่างอวบหรือเสี่ยวเหมยพูดขึ้น ดูแล้วเธอจะเป็นคนที่พูดเก่งกว่าเสี่ยวอี๋ที่ขี้อาย

    “อ้อ นักเรียนแลกเปลี่ยน ยินดีต้อนรับสู่เชียงใหม่ครับ แต่อย่าเอาพวกคนเลวเมื่อสักครู่มานับรวมคนเชียงใหม่ทั้งหมดนะครับ ส่วนใหญ่คนเชียงใหม่ใจดี เอาใจเก่ง และน่ารักอีกต่างหาก อย่างเช่นผมนี่ไง อิอิ”ไอ้เต๋ออดไม่ได้ที่จะหน้าม่อสอดเข้ามา

    อาหลงกับไอ้เก่งพากันเบิ๊ดกะโหลกคนละที เพี๊ยะ เพี๊ยะ “พอได้แล้วไอ้เต๋ออายเขามั่งหน้าม่อไม่เลือกเวลาเลยนะมึง” ไอ้เก่งพูดขึ้น

    “ผมสามคนเป็นเพื่อนกันครับ นี่ไอ้เต๋อ ส่วนผมชื่อเก่ง แล้วนี่ไอ้หลง เราตั้งใจจะเดินขึ้นดอยสุเทพกัน ก็ผ่านมาแล้วได้ยินเสียงพวกคุณเลยเข้าช่วยตามนิสัยคนไทยชอบช่วยเหลือน่ะครับ” ไอ้เก่งพูดขึ้น

    มาบัดนี้อาหลงไม่ได้สนทนาร่วมวงกับคนทั้งสาม เพียงแต่เปิดขวดน้ำชาเขียวจากถุงเสบียงของไอ้เต๋อออกดื่ม แล้วหันหน้าเดินไปตามทางต่อ

    “ไปหรือป่าว๊ะ ไปก็ไปนะ ไม่ไปก็รออยู่ตรงนี้แหละ”

    “ไปดิโว้ย รอด้วย”ไอ้เก่งพูดขึ้น พร้อมชักชวนคนทั้งหมดเดินตามอาหลง

    “คุณเก่งคะเพื่อนคุณคนนี้เป็นใครเหรอคะ”สาวผมสั้นหรือเสี่ยอี๋ซึ่งตลอดเวลาไม่ได้พูดมาตอนนี้อดถามขึ้นไม่ได้

    “ก็ไอ้หลงไงครับ นักเรียนมัทธยมปีที่หก อาทิตตย์หน้ามันก็ไปเรียนต่อที่เมืองจีน มีอะไรเหรอครับ หรือว่ารู้จักกัน”ไอ้เต๋ออดไม่ได้ที่จะสอดขึ้น

    “เปล่าหรอกค่ะเมื่อกี้ฉันเห็นเขาจัดการกับคนตัวใหญ่ซะหมอบ แถมไม่ได้ใช้มือด้วยซ้ำ แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ”เสี่ยวเหมยพูดขึ้นแทน

    ดูแล้วเสี่ยวเหมยและไอ้เต๋อนี่ช่างเข้าขากันจริงๆ ยังไม่ถึงรอบชอบสอดได้ทุกเรื่อง ไอ้เก่งคิดในใจ

    “อ๋อ เรื่องแบบนี้มันเก่งนักหล่ะครับ ทะเลาะวิวาทต่อยตี อยู่กับมันเดือนหนึ่งต้องมีเรื่องให้ต่อยตีไม่ต่ำกว่าสองสามครั้งแหละครับ มันมีดวงหายนะ เหอะๆ”ไอ้เก่งพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะ

    คนทั้งห้าเดินขึ้นเขาอย่างสนุกสนาน เพราะไอ้เต๋อที่มักจะมีมุขตลกคุยสอดแทรกแล้วเสี่ยวเหมยยังเป็นลูกคู่รับมุขได้ตลอด แสดงว่าสองสาวต้องเคยเรียนรู้เรื่องเมืองไทยมาไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่เข้าใจมุขตลกของไอ้เต๋อได้ ส่วนไอ้เก่งก็พยายามชักชวนเสี่ยวอี๋คุยด้วยตลอดเวลาที่มีโอกาส สาวสวยหุ่นดีผิวขาวชาวต่างชาติแบบนี้ ตรงเสป็กของมันเลย แต่เสี่ยวอี๋คอยแต่แอบมองอาหลงที่เดินนำหน้าโดยไม่พูดไม่จากับใครเลย ซึ่งตอนนี้ไอพอร์ตของไอ้เก่งอาหลงยึดเอาไปฟังคนเดียว โดยเสียบหูฟังปัดเสียงรบกวนภายนอกไปสิ้น ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ เพียงเดินนำหน้าอย่างเดียว

    “นี่คุณเก่ง เพื่อนของคุณไม่คิดจะร่วมวงคุยกับพวกเราบ้างเหรอ เดินนำหน้าไม่สนใจใครเลย” เสี่ยวเหมยถามขึ้น

    “หลงโว้ย เดินไปตามควายหายที่ไหนว๊ะ มาคุยกันหน่อยซิเฟ้ย...”ไอ้เต๋อตะโกนเรียกเพื่อน

    อาหลงยังคงไม่ได้ยินเพราะเปิดเพลงเสียบหูฟัง ไอ้เก่งเลยหยิบกิ่งไม้แห้งข้างทาง ขว้างใส่อาหลง

    หืม.. อาหลงรู้สึกตัวว่ามีอะไรมาโดนตรงข้างหลังจึงเหลียวหน้ากลับไป เห็นเพื่อนๆทั้งสองมองมา สายตาบ่งบอกความเซ็งอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสองสาวนั้นก็ไม่แตกต่างกัน สายตาออกจะตกตะลึง แถมยังมีแอบหัวเราะนิดๆ ไม่ทราบว่าตนเองทำอะไรถึงได้ทำให้เพื่อนซี้ทั้งสองและสองสาวทำหน้าเช่นนี้

    “ไอ้หลง นี่ขนาดผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นมาหยกๆ แถมกำลังเดินอยู่ริมถนน แล้วยังมีสองสาวเดินมาด้วย มึงยังมีกะจิตกะใจอ่านนิยายอยู่เหรอว๊ะ”ไอ้เก่งพูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อเมื่อเห็นเพื่อนซี้สามารถอ่านหนังสือไปด้วยแล้วยังเดินไปด้วย ไม่ทราบว่ามันใช้ตาไหนมองทางถึงไม่เดินออกกลางถนน

    ทุกคนเห็นอาหลงที่หันหน้ากลับมา ในมือถือหนังสือเล่มหนา สำหรับเพื่อนทั้งสองรู้ได้เลยว่ามันกำลังเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการไปซะแล้ว ส่วนสองสาวที่ตกตะตึงเพราะว่าไม่คาดคิดว่าอาหลงจะสามารถอ่านหนังสือไปด้วยแล้วเดินไปด้วย หากเดินอยู่ในห้องหรือในบ้านยังพอทำเนา แต่นี่เล่นอ่านหนังสือเดินบนถนน ไม่บอกว่าบ้าก็คงซื่อบื้อ

    อาหลงถอดหูฟังแล้วพูดขึ้น “เมื่อกี้ว่าไรเหรอว๊ะ หรือว่าจะพักกันล่ะ”อาหลงยังคงไม่เข้าใจความหมายของเพื่อนทั้งสอง

    “มึงจะยังอ่านนิยายทำบ้าอะไรอยู่ว๊ะ เรามาเดินเที่ยวขึ้นดอยนะโว้ย สนุกสนานกันหน่อย ดูอย่างสองสาวนี่สิ แม้จะผ่านเรื่องเมื่อกี้มา เขายังปรับตัวสนุกสนานได้เลย”ไอ้เต๋อพูดขึ้น

    “โธ่! วันจันทร์กูก็จะเดินทางล่ะ นิยายยังอีกตั้งเยอะกูยังอ่านไม่จบเลย เดี๋ยวโดนค่าปรับบาน”อาหลงแย้งขึ้น

    “เดี๋ยวกูซื้อใหม่ให้มึงทั้งชุดเลยเอ้า! เอาไปอ่านเต็มที่ แต่ตอนนี้ขอเรียนเชิญมึงมาเสวนากะพวกกูสักหน่อยเหอะ”ไอ้เก่งพูดตัดความรำคาญ

    “มึงสัญญากะกูแล้วนะ”อาหลงพูดและเดินกลับมายัดหนังสือเข้ากับเป้ข้างหลัง และปิดไอพอร์ตส่งคืนให้ไอ้เก่ง

    “คุณหลงนี่เก่งนะคะ เดินไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย มีความสามารถมากๆ คิคิ”เสี่ยวเหมยพูดพร้อมกับหัวเราะ

    “อย่าลอกเลียนแบบล่ะกันครับ เหอเหอ”ไอ้เต๋อผสมโรง

    สามหนุ่มสองสาวพากันเดินไปอย่างสนุกสนาน เมื่อมีจุดชมวิวตรงไหนก็แวะถ่ายรูปนั่งกินน้ำกินขนมกันไป เดินมาได้เกือบบ่ายโมงก็ถึงเชิงบันไดวัดพระธาติดอยสุเทพ

    “ไงไอ้เต๋อ แค่นี้หอบเลยเหรอว๊ะ ออกกำลังกายมั่งสิโว้ย หึหึ”อาหลงแซวเพื่อนตุ้ยนุ้ย เพราะตอนนี้เหงื่อออกเต็มใบหน้า หนั่งหอบอยู่บนขั้นบันได วันนี้เป็นวันเสาร์มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ไอ้เก่งไม่รู้ว่าไปแอบซื้อน้ำซื้อขนมไว้ตอนไหน เห็นเอาสตรอเบอร์รี่ใส่แก้วมาให้สองสาวทาน ส่งน้ำมะพร้าวให้ไอ้เต๋อ ส่วนตัวเองดื่มชาเขียวยี่ห้อดัง

    “ไอ้เก่ง แล้วไม่มีของกูมังเหรอว๊ะ”อาหลงโวยขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักไม่ได้ซื้ออะไรให้มันบ้างเลย

    “กูต้องเก็บเงินซื้อหนังสือให้มึงอีกตามที่สัญญา เลยไม่มีตังก์พอซื้อของว๊ะ”ไอ้เก่งตอบหน้าตาย

    อาหลงเห็นไอ้เต๋อกำลังดูดน้ำมะพร้าวดูอร่อย จึงแย่งมากินบ้าง “เฮ้ยๆ ของกูเฟ้ย”ไอ้เต๋อโวยวาย

    “ฮ่าห์ ชื่นใจ ขอบใจว๊ะเพื่อน”อาหลงยื่นแก้วเปล่าคืนให้ไอ้เต๋อ

    “หมดเลยกู เพิ่งกินได้นิดเดียว”ไอ้เต๋อบ่นพึมพำ

    คิกคิก สองสาวหัวเราะกับนิสัยของหนุ่มทั้งสามคน “พวกคุณนี่สงสัยจะเป็นเพื่อนซี้กันมากนะคะ”เสี่ยวอี๋พูดขึ้น

    “ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆล่ะครับ พ่อแม่ของพวกผมเป็นเพื่อนกันมา พอมาถึงรุ่นลูกก็เลยเหมือนสืบทอดเจตนารมณ์มาด้วยมั๊ง”ไอ้เก่งพูด

    “พักหายเหนื่อยหรือยังไอ้เต๋อ ไปต่อได้ล่ะ”อาหลงพูดขึ้น และหันมาถามสองสาว”ไหวไหมครับ เดินขึ้นบันไดดีกว่าไหม! เดินมาทั้งทีก็ต้องเดินให้ถึง ไม่อยากขึ้นกระเช้า”

    “ไหวค่ะ แค่นี้จิ๊บๆ”เสี่ยวเหมยพูดขึ้น แม้เธอจะเป็นหญิงสาวเจ้าเนื้อ แต่ดูแล้วคงหมั่นออกกำลังกายมาพอสมควร เดินขึ้นดอยครั้งนี้เลยไม่ค่อยมีอาการหอบเหนื่อยมากนัก แตกต่างกับไอ้เต๋อที่ดูจะล้มตัวนอนลงซะให้ได้

    ทั้งหมดพากันเดินขึ้นบันไดไป และเมื่อถึงบนวิหาร ไอ้เก่งแนะนำให้สองสาวไปเช่าผ้าซิ่นมาสวมใส่ เพราะสองสาวใส่กางเกงยีนต์ขาสั้นโชว์เรียวขาขาวนวล ซึ่งคงไม่เหมาะสมนักหากจะขึ้นไปไหว้พระ ส่วนเสื้อผ้าเสี่ยวอี๋และเสี่ยวเหมยเป็นเสื้อยืดคอปกจึงดูไม่น่ารังเกียจ

    เมื่อสองสาวใส่ผ้าซิ่นแล้วก็ชักชวนสามหนุ่มมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ทั้งห้าพากันไปไหว้พระ และเดินเวียนรอบพระธาตุ เสี่ยงเซียมซี ทำบุญ และพากันลงมาถ่ายรูปที่จุดชมวิวอีกหลายภาพ ไอ้เก่งดูจะแอบชอบเสี่ยวอี๋อย่างมาก มักจะขอถ่ายรูปคู่ด้วยเสมอๆ ส่วนไอ้เต๋อเฮฮาสนุกสนานกับเสี่ยวเหมยตลอดเวลา สำหรับอาหลงถ้าใครชวนถ่ายรูปก็ไปถ่ายรูปกับเขาบ้างแต่ถ้ามีเวลาก็อดที่จะหยิบนิยายในเป้ออกมาอ่านเสียไม่ได้

    แม้ไอ้เก่งจะชวนเสี่ยวอี๋ถ่ายรูปด้วย และคอยเอาอกเอาใจเสี่ยวอี๋จนออกนอกหน้า แต่เสี่ยวอี๋ก็คอยพยายามจะชวนอาหลงพูดคุยด้วยตลอดเวลา แต่ด้วยที่อาหลงเมื่อมีเวลาก็จะอ่านนิยายไม่ก็ตอบคำถามแค่คำสองคำเท่านั้น ความจริงแล้วอาหลงก็คาดคิดได้ว่าไอ้เก่งกำลังจีบเสี่ยวอี๋อยู่และเสี่ยวอี๋ก็กำลังมองมันอยู่เช่นกัน กลายเป็นเรื่องของคนสามคน สำหรับอาหลงเรื่องผู้หญิงในเวลานี้ไม่ได้อยู่ในหัวซักเท่าไหร่ ตั้งแต่เลิกรากันไปกับแฟนเก่าคนล่าสุด มันจึงเห็นว่าการอยู่คนเดียวช่างอิสระที่สุดแล้ว จะทำอะไรก็ได้ จะไปไหนมาไหนก็ได้ และตอนนี้มันก็ไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ จึงคอยปลีกตัวออกห่างจากเสี่ยวอี๋เพื่อให้โอกาสเพื่อนของไอ้เก่งมัน

    “เสี่ยวอี๋ฉันอยากเข้าห้องน้ำ ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”เสี่ยวเหมยชักชวนเสี่ยวอี๋

    “อืม..”เสี่ยวอี๋ตอบรับ เมื่อเห็นว่าอาหลงไม่มีทีท่าที่จะสนใจเธอสักเท่าไหร่จึงอดไม่ได้ที่จะอารมณ์บูด

    เมื่อสองสาวเดินไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้สามหนุ่มนั่งรอตรงจุดชมวิวบนลานพระธาตุ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยชาวต่างชาติทยอยมากันเรื่อยๆ จุดชมวิวยิ่งมีคนมาถ่ายรูปอย่างไม่ขาดสาย

    “ไอ้หลงมึงคิดว่าไงมั่งว๊ะกับเสี่ยวอี๋”ไอ้เก่งถามขึ้น

    “ก็ดี ทำไมว๊ะ”อาหลงตอบ แต่สายตายังคงอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิม ดูแล้วต่อให้ไอ้เก่งพูดว่าจะซื้อหนังสือนิยายให้มันใหม่ทั้งชุด ก็คงไม่ทำให้อาหลงหยุดอ่านหนังสือที่อยู่มือตอนนี้ได้

    “แล้วมึงล่ะไอ้เต๋อ เสี่ยวอี๋เป็นไงมั่ง”ไอ้เก่งยังคงถามต่อ แต่หันไปถามเพื่อนซี้อีกคน

    “ก็น่ารักดี แต่กูว่าเสี่ยวเหมยน่ารักกว่า คุยสนุกด้วย” ไอ้เต๋อพูดขึ้น ดูท่าทางแล้วทั้งสองดูจะเหมาะสมกันจริงๆ

    “กูว่ากูจะจีบเสี่ยวอี๋ว๊ะ ถ้าขอเบอร์เขา จะน่าเกลียดไหมว๊ะ”ไอ้เก่งถามไปยังเพื่อนทั้งสอง

    “แล้วเย็นนี้ตอนลงไป ชวนเธอไปนั่งกินหมูจุ่มกันดีไหมว๊ะ”ไอ้เก่งยังคงสอบถามเพื่อนทั้งสอง

    “ก็ดีสิ พูดแล้วก็หิวขึ้นมาเลยว๊ะ”ไอ้เต๋อผู้ที่พูดเรื่องกินทีไรจะหิวได้ตลอดเวลา

    “กูไม่ไปนะโว้ย เย็นนี้ก็รู้อยู่ ต้องไปขายของที่ถนนคนเดินด้วย”อาหลงพูดขึ้น

    “ขนาดวันมะรืนมึงจะไปเรียนต่อที่จีนแล้ว มึงยังจะไปขายของอยู่อีกเหรอว๊ะ ไม่คิดว่าพวกกูอยากเลี้ยงส่งเพื่อนมั่งเหรอ”ไอ้เต๋อแย้งขึ้น

    “ถ้าพวกมึงอยากเลี้ยงส่ง ทำไมไม่จัดกันที่ร้านไอ้เก่งว๊ะ กูก็ตั้งแผงขายอยู่หน้าร้านไอ้เก่งมันอยู่แล้ว อีกอย่างสองสาวก็ไม่รู้ว่าเคยไปถนนคนเดินวันเสาร์หรือป่าว ถ้าไม่เคยไปก็ถือว่าเป็นการเชิญชวนแนะนำไปซะเลย ของกินก็มีให้เลือกซื้อเพียง เผื่อเขาอยากได้ของติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนๆไอ้เต๋อก็ได้กินเลี้ยง ไอ้เก่งก็ได้ชวนให้เสี่ยวอี๋ไปเที่ยวบ้านส่วนกูก็ได้ขายของ สองสาวก็ได้ท่องเที่ยวช๊อปปิ้ง วินๆเห็นป่ะ”อาหลงชี้แจงรายละเอียด

    “จริงของมันว๊ะเต๋อ เดี๋ยวรอถามสองสาวก่อน”ไอ้เก่งพูดขึ้น สักพักเสี่ยวเหมยและเสี่ยวอี๋ก็เดินเข้ามา

    “กำลังวางแผนไปเที่ยวต่อที่ไหนล่ะซิ ดูท่าทางแล้ว”เสี่ยวเหมยพูดขึ้นอย่างรู้ทัน

    “ก็กำลังจะถามคุณทั้งสองว่าเคยไปถนนคนเดินวันเสาร์ไหม อาหลงมันเปิดแผงขายผ้าที่หน้าบ้านของผมเอง พวกเราก็จะจัดเลี้ยงส่งอาหลงที่นั่นเลย จึงอยากชวนคุณทั้งสองไปร่วมด้วย จะรังเกียงไหมครับ”ไอ้เก่งพูดขึ้นใจก็คอยลุ้นว่าสองสาวจะตอบตกลงไหม

    “จริงเหรอคะ! ไปสิ พวกเราอยากจะไปเที่ยวหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีเวลา และอีกอย่างคนเยอะมากๆ ไม่มีที่พักเลย ถ้าบ้านคุณเก่งอยู่ตรงนั้นก็ดีสิ”เสี่ยวเหมยพูดขึ้น

    “งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ ว่าแต่จะกลับกันหรือยังครับ”ไอ้เก่งถามขึ้น

    “ค่ะ กลับกันเถอะ เดี๋ยวพวกคุณจะจัดเตรียมของไม่ทัน”เสี่ยวอี๋พูดขึ้น

    ทั้งห้าพากันกลับ ขาลงได้โบกรถสองแถวกลับ เพราะต่างเหนื่อยมากันมากแล้ว เมื่อมาถึงสวนสาธารณะห้วยแก้ว ไอ้เก่งก็อาสาพาสองสาวขึ้นรถยนต์ส่วนตัวไปส่งในมหาวิทยาลัยพร้อมกันไอ้เต๋อ เพราะมาด้วยกัน ส่วนอาหลงขอตัวรีบไปตั้งแผงขายของจึงขับรถกลับไปก่อน

    เวลา 16.30 ณ ร้านเครื่องเงินวิจิตรา อาหลงกำลังสาละวนตั้งแผงขายพวงกุญแจ ส่วนเพื่อนทั้งสองก็ไปช่วยคุณอาวิจิตรา แม่ของไอ้เก่งจัดเตรียมของทำหมูจุ่ม

    “วันนี้ตั้งแผงแต่เช้าเลยนะอาหลง”ป้าจุลาแม่ค้าขายเสื้อผ้าพื้นเมืองที่ตั้งแผงข้างๆอาหลงทักขึ้น

    อาหลงยิ้มรับพร้อมจัดวางสินค้าลงบนชั้น

    “แล้วแขนไปโดนอะไรมาล่ะนั่นอาหลง”ป้าจุลาลังคงถามต่อ

    “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะป้า หนามมันเกี่ยวเอาน่ะ”อาหลงแต่เรื่องขึ้น หากจะบอกว่าเกิดจากโดนยิง คงเป็นเรื่องใหญ่เพราะวันนี้เมื่อกลับถึงบ้านทั้งบ้านแทบแตก อาหลงโดนคุณแม่สวดซะชุดใหญ่ ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์จากคุณน้าของไอ้เต๋อว่าอาหลงช่วยจับผู้ต้องหารายสำคัญได้

    ไอ้เก่งเดินออกมายื่นน้ำโค้กให้เพื่อน “ไง ตั้งของเสร็จยังว๊ะ ทางโน้นจัดของเรียบร้อยล่ะ ส่วนแม่เห็นว่าเดี๋ยวจะรีบไปดูร้านที่เซ็นต์ทรัล ให้เรากินกันเองไม่ต้องรอ”

    “เดี๋ยวก็ใกล้เสร็จล่ะ แล้วสาวๆของมึงล่ะจะไปรับเขาไหม”อาหลงดื่มโค้กเสร็จและถามขึ้น

    “เมื่อกี้โทรไปเห็นบอกว่ากำลังแต่ตัวอยู่ เดี๋ยวจะนั่งรถสองแถวมาลงตรงหน้าทางเข้า แล้วจะไปรับเอง”ไอ้เก่งพูดขึ้น

    “บ๊ะ! ร้ายนิเพื่อนเรา ได้เบอร์สาวแล้วล่ะสิ”อาหลงแซวขึ้น

    “หึหึ นิดหน่อยเพื่อน คนมันดูดีไปซะหมดก็งี้ ใครเห็นใครก็รัก”ไอ้เก่งได้ทียืดซะยกใหญ่

    “เออๆพ่อสุดหล่อ ถ้าว่างก็มาช่วยกูหน่อย”อาหลงรำคาญเพื่อนซี้ซะเต็มประดา

     

    เวลา17.30 น. สองสาวก็เดินมาถึงหน้าร้าน ไอ้เก่งกุลีกุจอออกไปรับ แล้วทั้งสองหนุ่มสองสาวก็จัดแจงยกโต๊ะมาจัดวางอยู่ด้านหลังแผงของอาหลง เนื่องจากหน้าร้านเครื่องเงินของไอ้เก่งมีพื้นที่กว้างขวาง ส่วนร้านขายของต่างๆตั้งอยู่ริมถนนจึงมีพื้นที่พอจะเอาโต๊ะเอาเก้าอี้มาจัดวางนั่งกินหมูจุ่มกันได้ อาหลงสาละวนกับการขายของ เมื่อว่างก็มานั่งกินกับเพื่อนๆ ช่วงเวลานี้เป็นไฮซีซั่นของเมืองเชียงใหม่ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากันอย่างคับคั่ง สองสาวสังเกตว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลากหลายภาษาเมื่อแวะเวียนมาซื้อของที่ร้านอาหลง อาหลงก็มักจะสนทนาด้วยภาษาของชาตินั้นๆ คนจีนอาหลงก็สนทนาภาษาจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลี หรือแม้แต่ฝรั่งเศส อาหลงก็สามารถพูดจากโต้ตอบได้เป็นอย่างดี แม้สำเนียงจะไม่ใช่ซะทีเดียวแต่ก็สื่อสารได้อย่างเข้าใจ

    “เพื่อนคุณนี่พูดได้หลายภาษาเหรอคะ”เสี่ยวเหมยถามไอ้เต๋อที่กำลังสาละวนอยู่กับเนื้อในหม้อ

    “โอ้ย! มันคุยได้หมดแหละครับ สำเนียงอาจจะไม่ตรงแต่ก็สื่อสารกันได้ มันบอกจะขายของให้ฝรั่งก็ต้องคุยกะเขาให้รู้เรื่อง เดี๋ยวขายของไม่ได้กันพอดี”ไอ้เต๋อพูดขึ้น

    ทั้งสี่คุยกันไปกินกันไป มองดูนักท่องเที่ยวเดินจับจ่ายซื้อของ แล้วไอ้เก่งก็ถามขึ้น “ว่าแต่สาวๆจะหาซื้ออะไรไหมครับ ผมนำเที่ยวได้นะ แถวนี้ผมรู้จักหมดแหละตั้งแต่ร้านแรกจนถึงร้านสุดท้าย”

    “เอาไงเสี่ยวอี๋ เดินดูสักหน่อยไหม จะได้ย่อยอาหารด้วย ฉันอยากไปดูเสื้อสวยๆไว้ใส่ซักตัว”เสี่ยวเหมยชวนเพื่อนสาว แล้วทั้งสี่ก็จัดเก็บโต๊ะเก้าอี้ และพากันเดินไปตามทาง ผู้คนมากมายจับจ่ายซื้อของเบียดเสียดกันไป

    เมื่อเพื่อนๆไปเดินเที่ยวเล่น อาหลงก็มีเวลาหยิบเอาหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ ตั้งใจว่าจะอ่านให้จบก่อนเดินทางไปเมืองจีน

    เมื่อถึงเวลา 22.00 น.เพื่อนทั้งสองก็พาสองสาวกลับมา ใช้เวลาเดินชมสินค้าเดินเที่ยวราวสามชั่วโมง

    “ไปไหนกันมามั่งว๊ะ เห็นไปตั้งนาน”อาหลงทักขึ้น

    “ก็ไปนั่นไปนี่แหละ แวะไปวัดไปนวดฝ่าเท้าด้วยเลยนานไปหน่อย แล้วมึงล่ะวันนี้เป็นไงมั่งขายดีป่ะ”ไอ้เต๋อพูดขึ้น

    “ก็เรื่อยๆว๊ะ แต่ขายดีกว่าอาทิตย์ที่แล้ว นี่ก็ว่าจะเก็บของล่ะ เหลืออยู่นิดเดียว”อาหลงพูดและทยอยเก็บของใส่ในกล่อง

    เมื่อเก็บของเสร็จเพื่อนทั้งสองก็ช่วยกันยกของเข้าไปเก็บในร้าน อาหลงเอาของทั้งหลายฝากไว้ที่บ้านไอ้เก่งทุกครั้งที่มาขายของจึงสะดวกสบายในการจัดเก็บ

    “ไว้แค่นี้ก่อนว๊ะ ขอบใจมากเพื่อนที่วันนี้จัดเลี้ยงให้ ขอตัวกลับก่อนล่ะ พรุ่งนี้ตื่นเช้าพาแม่กับพ่อไปทำบุญ แล้ววันจันทร์ไปส่งกูที่สนามบินหรือป่าวว๊ะ”อาหลงพูดขึ้น

    “ไปสิโว้ย แล้วยังไงเจอกันวันจันทร์ล่ะ พวกกูจะไปรับมาขึ้นเครื่องเอง”ไอ้เก่งพูดขึ้น

    “ไปล่ะครับสาวๆ ยินดีที่ได้รู้จัก เสียดายไม่ได้ไปเที่ยวด้วย หวังว่าจะได้เจอกันที่เมืองจีนนะครับ”อาหลงลาสองสาว หิ้วกระเป๋ากลับที่จอดรถ

     

    ณ สนามบินเชียงใหม่

              อาหลงพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบเดินลงจากรถ ไอ้เก่งขับพาอาหลงมาจอดที่ประตูทางเข้า ส่วนไอ้เต๋อช่วยเพื่อนหิ้วของพะรุงพะรัง

                “เดี๋ยวกูเอารถไปจอดก่อน พวกมึงเข้าไปรอข้างในก่อนเลย”ไอ้เก่งพูดขึ้น

                ทั้งสองลากกระเป๋าไปตามทาง แล้วนั่งรอไอ้เก่งใกล้กับทางส่งผู้โดยสารขึ้นเครื่อง เมื่อไอ้เก่งมาสมทบทั้งสามก็นั่งคุยกันรอเวลาขึ้นเครื่อง

                “ไอ้หลง ไปอยู่โน่นมึงก็อย่าลืมพวกกูทั้งสองนะโว้ย”ไอ้เต๋อพูดขึ้นยิ้มๆ

                “ใครจะไปลืมว๊ะ ไล่เตะตูดกันมาตั้งกะอนุบาล”อาหลงตอบกลับ

                “เฮ้ยหลง กูให้ไอ้นี่มึงว๊ะ เอาไว้ฟังเวลาคิดถึงเมืองไทย”ไอ้เก่งยื่นไอพอร์ตสีขาวที่มักจะพกติดตัวทุกครั้งให้อาหลง

                “ฮ้า แล้วมึงไม่ใช้เหรอว๊ะ เห็นพกติดตัวประจำ”อาหลงถามขึ้นอย่างแปลกใจ

                “ของแค่นี้หาซื้อใหม่ได้ นี่อัดเพลงไว้เป็นพันๆ ฟังแก้เซ็งล่ะกัน”ไอ้เก่งคะยั้นคะยอ อาหลงจึงรับมา

                “ขอบใจว๊ะเพื่อน”

                “ส่วนของกูก็มีนี่ให้มึง”ไอ้เต๋อที่สาละวนอยู่กับไอโฟน4ของอาหลงก็ยกโทรศัพท์ของอาหลงให้ทุกคนดู ตั้งแต่นักพักไอ้เต๋อก็ขอยืมโทรศัพท์ของอาหลง ซึ่งอาหลงคิดว่ามันคงเอาไปเล่นเกมส์ฆ่าเวลา

                “แอ็ปฯใหม่ กูเขียนไว้ได้สักพักล่ะ แต่ยังไม่ได้ทำให้โหลดลงมือถือ กะว่าไว้อีกสักกลางปีรอราคาปรับตัวขึ้นก่อน ตอนนี้มีเป็นแบบทดลองใช้ให้โหลดในเพลย์สโตร์ ส่วนของมึงกูจัดแบบตัวจริงให้เลย เหมาะกะคนอย่างมึงที่มักจะมีปัญหากับชาวบ้านชาวช่องเลยว๊ะอาหลง”ไอ้เต๋อบรรยายสัพคุณโปรแกรมที่มันเขียนขึ้น

                “มันเป็นยังไงว๊ะที่ว่าเหมาะกะคนอย่างกู”อาหลงถามขึ้นอย่างแปลกใจ

                “บอกพิกัดแผนที่เส้นรุ้งเส้นแวง เป็นกล้องส่องกลางคืนก็ได้โดยแค่เพียงเปิดโปรแกรมตรงนี้มันจะเชื่อมต่อกับกล้องด้านหน้า ต่อให้เป็นคืนเดือนมืดมึงก็เห็น ส่วนนี่สามารถบันทึกเสียงได้นานเป็นชั่วโมง ถ่ายวีดีโอก็ได้อยู่ในตัวเดียวกัน แถมยังมีเป็นปุ่มสัญญาณเตือนภัยด้วยนะ กูทำเป็นเสียงหวอของรถตำรวจ ถ้ามึงจวนตัวก็เปิดตรงนี้ มันจะส่งเสียงหวอของรถตำรวจดังไปสามบ้านแปดบ้านเลยล่ะมึง อันนี้เจ๋งสุด กล้องแปลคำพูดไม่ใช่แบบที่พูดเข้าใส่แล้วจะแปลภาษาให้นะ มันเชยไปแล้วกูก็รู้ว่ามึงเรียนรู้ได้หลายภาษา แต่นี่คือกล้องประมาณว่าสอดแนม ส่องกล้องไป และซูมตรงปากถ้าคนๆนั้นพูดอะไรมันจะประมวลผลออกจากการขยับปาก แล้วแปลออกมาว่าเขาพูดอะไร ก็เหมือนกับพวกสายลับใช้กล้องส่องทางไกลดูว่าเป้าหมายคุยอะไรกันโดยการอ่านจากริมฝีปากยังไงล่ะ อันนี้กูใช้เวลาเป็นสองสามปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลมาเขียนโปรแกรมเลยนะโว้ย”ไอ้เต๋อโม้คุณสมบัติของแอ็ปพลิเคชั่นที่เขียนขึ้น

                “โหโคตรเจ๋งเลยว๊ะ ลงให้กูมั่งดิว๊ะ”ไอ้เก่งพูดขึ้นเมื่อรู้ถึงคุณสมบัติต่างๆที่น่าทึ่ง เพราะมันรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้แม้ท่าทางจะดูเป็นพวกเด็กเนิร์ด แต่ความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ของมันถือว่าเป็นหนึ่งในระดับประเทศเลยก็ว่าได้ การันตีจากรางวัลต่างๆที่มันประกวดแล้วได้ถ้วยมา

                “มึงวันๆเอาแต่เล่นกีร์ต้า ไม่ได้เจอเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทบ่อยๆเหมือนไอ้หลงมันนิ ไอ้หลงมันดวงซวยเจอแต่เรื่องแต่ราว มันก็ต้องมีไว้ป้องกันตัวบ้าง”ไอ้เต๋อแย้งขึ้น

                “เอ ฟังดูทะแม่งๆว๊ะ มึงแช่งกูหรือป่าวว๊ะ”อาหลงพูดขึ้น

     

    “ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง กับสายการบินแอร์เอเชีย”เสียงตามสายประกาศแจ้งเตือนขึ้น อาหลงเมื่อได้ยินจึงลุกขึ้นจัดเตรียมกระเป๋าเดินทาง ไอ้เก่งและไอ้เต๋อช่วยอาหลงเอากระเป๋าไปวางที่สายพานลำเลียงสัมภาระ

    “ไปถึงเมืองจีนเมื่อไหร่ออนเฟสมาบอกด้วยนะโว้ย”ไอ้เก่งสวมกอดเพื่อนรัก

    “เจอสาวสวยๆถ่ายรูปมาอวดกันมั่งนะเพื่อน”ไอ้เต๋อเข้ามาตบหลังเพื่อล่ำลา

    “ไปก่อนว๊ะ แล้วเจอกันใหม่ แล้วกูจะออนเฟสมาหา”อาหลงโบกมือลาเพื่อนทั้งสองและเดินไปตามทางเพื่อขึ้นเครื่อง

    ทีวีจอแบนที่ติดตั้งอยู่บนผนัง ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานผลกระทบที่จะเกิดปรากฏการทางธรรมชาติในเร็วๆนี้

    “ปรากฏการณ์สุริยุปราคา ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ นักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณเทือกเขา เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวจะเกิดการเคลื่อนตัวของผิวเปลือกโลก ภูเขาไฟที่คุกรุ่นอาจเกิดการปะทุก่อนกำหนดจึงแจ้งเตือนมายังประชาชนให้ทราบและเฝ้าระวังพื้นที่ดังกล่าว  โดยคาดการณ์ว่าประเทศจีนอาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าวมากกว่าพื้นที่อื่นเนื่องจากแนวรอยต่อของเปลือกโลกมีการขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×