ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาป่วนยุทธจักร

    ลำดับตอนที่ #3 : ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 57


    ณ.ส่วนลึกสุดของยอดเขาบู๊ตึง ที่ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนเหยียบย่างเข้าไป เนื่องด้วยหุบเขาที่สลับซับซ้อนเส้นทางที่เปี่ยมอันตราย สัตว์ร้ายมีพิษนานัปการ และที่สำคัญมีอากาศหนาวและหมอกหนาปกคลุมตลอดปี แม้กระทั่งพรานล่าสัตว์ยังหลีกหนีสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่าก็ตาม แต่ก็ยังคงไม่มีใครยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ซึ่งเหตุผลสำคัญคงหนีไม่พ้นตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเมื่อหลายพันปีก่อน

                เรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะเจ้าแม่หนี่วา ในวิหารของเจ้าแม่ ตามปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญขณะนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้ผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนี่วางดงามยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้าแม่งดงามขนาดนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดี

                เมื่อเจ้าแม่หนี่วาได้ ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนบ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตราย

                ในขณะนั้น มีนางงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหวาง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก จิ้งจอกเก้าหางได้แอบลอบฆ่าต๋าจี และสวมรอยเป็นต๋าจีเสียเองเพื่อลักลอบเข้าวัง

                เมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็รู้สึกพึงพอใจในตัวต๋าจีเป็นอย่างมาก เนื่องจากต๋าจีมีรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดามาแต่สรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลงในตัวนาง ซึ่งไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากมีความงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางนานวันก็ยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา

                ในที่สุดจิ้งจอกเก้าหางในร่างตาจี๋ ก็ได้ยุให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้าง หอสอยดาวนี้

                แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูก เจียงจื่อหยา ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง นักรบจากสวรรค์ให้มาปราบทุกข์เข็ญของเหล่าราษฎร พร้อมทั้ง นาจาศิษย์เอก

    ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนี่วา ตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น หาได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ไม่ การทำเกินกว่าคำสั่งแบบนี้จำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นหลบหนีการลงโทษไปได้(วิกีพีเดียจิ้งจอกเก้าหางของจีน) ทำให้เจ้าแม่หนี่วาทรงกริ้วเป็นอันมาก จึงได้ส่งนักรบเทพสัประยุทธ์ ไล่ตามล่าและกำจัดปีศาจจิ้งจอกตนนี้ให้จงได้ พร้อมทั้งได้มอบกระบี่เทพอัคคี ซึ่งว่ากันว่าเป็นกระบี่ที่หลอมสร้างจาก ดวงอาทิตย์ที่แตกดับทั้ง 9 ดวง จากฝีมือยิงธนู โหวอี้ นักยิงธนูบนสวรรค์ที่รับพระบัญชาจากองค์เง็กเซียนฮ่องเต้

                ซึ่งกระบี่เทพอัคคีนี้จัดเป็นอาวุธเทพที่ทรงอานุภาพที่สุดมีความร้อนแรง และเป็นอาวุธที่เหมาะสมที่จะกำจัดปีศาจจิ้งจอกเก้าหางซึ่งมีแนวทางกำลังภายในสุดเยือกเย็นนี้ได้ การต่อสู้ของเทพสัประยุทธ์และปีศาจจิ้งจอกเก้าหางกินเวลานานนับร้อยปีความรุนแรงของการต่อสู้ก่อให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ทั้งภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวผลปรากฏว่าปีศาจจิ้งจอกถูกกระบี่เทพอัคคีแทงเข้าไปในร่าง แม้ว่ากระบี่เทพอัคคีจะมีพลังที่ร้อนแรง แต่ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางก็นับได้ว่าเป็นราชาเหนือเหล่าปีศาจทั้งมวลในโลก มีการบำเพ็ญตบะนับพันปี ได้ทำการสะกดพลังอันร้อนแรงของกระบี่เทพอัคคีไว้ชั่วคราวและหนีรอดจากการต่อสู้เข้ามาหลบในหุบเขาบู้ตึงแห่งนี้

                เทพสัประยุทธ์เมื่อเห็นปีศาจจิ้งจอกหนีไปได้พร้อมทั้งกระบี่เทพอัคคีที่ฝังอยู่ในร่าง ก็ติดตามอย่างไม่ลดละ แต่เมื่อตามมาถึงบริเวณหุบเขาบู้ตึงแห่งนี้ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เนื่องจากความเย็นตามธรรมชาติผสมกับไอเย็นจากใต้พิภพ ทำให้เพิ่มพลังให้กับปีศาจจิ้งจอก ซ้ำเมื่อเทพสัประยุทธ์ปราศจากกระบี่เทพอัคคีแล้วพลังฝีมือย่อมไม่อาจเอาชัยได้โดยง่าย จึงกลับไปรายงานผลการต่อสู้ให้เจ้าแม่หนี่วาบนสรวงสวรรค์รับทราบ

                เจ้าแม่หนี่วาทรงทราบว่าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางตนนี้ยังไม่สิ้นอายุขัย แต่อย่างไรก็ตามกระบี่เทพอัคคีเป็นอาวุธเทพที่สร้างจากดวงอาทิตย์ที่แตกดับทั้งเก้าดวง ย่อมมีพลานุภาพมากมายมหาศาลสุดที่ปีศาจจิ้งจอกจะสยบได้ ต่อให้ได้รับไอเย็นจากพื้นพิภพก็ตามที เพียงแค่ยืดระยะเวลาแตกดับเท่านั้น

                แม้ไม่อาจกำจัดปีศาจจิ้งจอกแต่ ก็คงเป็นเพราะตบะบารมีของปีศาจจิ้งจอกที่ไม่สิ้นอายุขัยในเวลานี้ เจ้าแม่หนี่วาจึงไม่ทรงลงโทษเทพสัประยุทธ์ แต่เทพสัประยุทธ์ก็ยังคงเป็นเทพสัประยุทธ์ เห็นว่าตนเองไม่อาจกำจัดปีศาจได้ตามพระประสงค์ ซ้ำยังทำกระบี่เทพอัคคีหลุดมือไป จึงขอรับโทษในครั้งนี้ แม้เจ้าแม่หนี่วาจะห้ามยังไงก็ไม่เป็นผล สุดท้ายแล้วจึงได้ตัดสินใจส่งเทพสัประยุทธ์มาจุติเป็นมนุษย์นามว่านาม ต๊กโกวคิ้วป่าย (แปลว่า แสวงหาความพ่ายแพ้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ไร้พ่าย เป็นตำนานบทหนึ่งของประวัติศาสตร์ยุทธ์จักร เมื่อสิ้นอายุขัยก็ได้กลับไปบนสวรรค์สู่ตำแหน่งเทพสัประยุทธ์เช่นเดิม)

    ปี ค.ศ.1368 เป็นยุคราชวงค์ หยวน รัชกาลของพระเจ้าสุนตี้ฮ่องเต้(กุ๊ปไลข่าน)เป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง ประชาชนชาวฮั่นถูกกดขี่ข่มเหงจากชาวมองโกลเป็นอันมาก ในยุคนี้ได้มีการแบ่งชนชั้นวรรณะออกเป็น 4 ขั้น คือ ชาวมองโกล ชาวสือมู่(ชาวต่างชาติ) ชาวฮั่น และชนเผ่าทางตอนใต้ของประเทศเป็นยุคที่บ้านเมืองระส่ำระสาย

    แม้ว่าสุนตี้ฮ่องเต้พยายามที่จะปกครองบ้านเมืองโดยยึดหลักสันติสุข นับตั้งแต่พระองค์ ร่วมมือกับราชวงศ์ซ่งใต้ โจมตีอาณาจักรจินสิ้นชาติ เมื่อปี 1234 และต่อมาใน ปี 1271 ได้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนขึ้น และเริ่มเปิดศึกรวมแผ่นดินกับราชวงศ์ซ่งใต้ ปี 1279 กองทัพหยวนบุกเข้านครหลวงซ่งใต้สำเร็จ แผ่นดินจึงรวมเป็นหนึ่งภายใต้ชนต่างเผ่าเป็นครั้งแรก หลังจากชนะศึก กุ๊ปไลข่าน ใช้นโยบายผ่อนปรน โดยอนุญาตให้ชาวฮั่นรับราชการได้ แต่ก็ยังเป็นที่รังเกียจของชาวมองโกลส่วนใหญ่ ซึ่งยึดถือตนเองเป็นใหญ่เนื่องจากรบชนะจึงมักจะคอยกดขี่ข่มเหงชนชาวฮั่นอยู่ตลอด แม้พระองค์จะทรงทราบระแคะระคายแต่ก็ทำได้เพียงลืมตาข้างหลับตาข้าง ในยุคนี้จึงเกิดค่ายพรรค และนิกายต่างๆมากมาย เป็นยุคที่เหล่าผู้มีฝีมือเกลื่อนกล่นทั่วยุทธจักร

    ภายใต้หมอกอันหนาทึบในส่วนลึกสุดของหุบเขาบู้ตึง มีเงาร่างหนึ่งเดินผ่านมาตามทาง เมื่อเดินพ้นออกมาจากกลุ่มหมอกอันหนาทึบจึงเห็นว่าเงาร่างนี้เป็นชายหนุ่ม อายุราวสิบแปดสิบเก้าปี ร่างกายสมส่วนแม้นไม่ใช่คนสูงใหญ่แต่ก็ไม่ได้ต่ำเตี้ยแคระแกรน ใบหน้าเรียบเนียนผิวสีน้ำตาลอ่อน คิ้วที่ดกหนา ดวงตาอันกระจ่างใสแฝงแววซุกซนตามวัย ทรงผมแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป เพราะส่วนใหญ่บุรุษมักจะไว้ผมยาวและมัดรวมเป็นหางม้า บ้างก็ไว้เคราเพื่อความน่าเกรงขาม แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับมีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ทรงผมก็ตัดสั้นผมด้านข้างสั้นกว่าด้านบน มีปอยผมปรกมาด้านหน้าเล็กน้อยดูแปลกตา แต่เมื่อมารวมอยู่ในใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ กลับไม่เป็นที่ขัดตา แต่กลายเป็นเพิ่มประกายความคมเข้มขับเน้นใบหน้าให้ดูหล่อเหลา

    หันมาดูการแต่งกาย ถึงกับต้องตะลึงเนื่องด้วยชายผู้นี้ไม่มีการแต่งกายที่เหมือนกับคนทั่วไป ราวกับว่าการแต่งกายของเขาหลุดมาจากอีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้

    ชายคนนี้ก็คือ อาหลง ที่พลัดหลงผ่านประตูมิติกาลเวลา ย้อนอดีตมาอยู่ในยุคนี้ ซึ่งห่างจากยุคปัจจุบันถึงหกร้อยกว่าปีนั่นเอง การผ่านห้วงมิติประตูแห่งกาลเวลาได้ปรับเปลี่ยนพันธุกรรมทางด้านร่างกายของอาหลง ดีเอ็นเอได้ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ทั้งการมองเห็น การรับฟัง ตลอดจนการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ ก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายแทบทั้งสิ้น หากบอกว่าอาหลงเป็นเทพเซียนก็คงจะพออนุมานได้ แต่จำกัดแค่เพียงไม่สามารถเหาะเหิรเดินอากาศ ได้เท่านั้น

    “ที่นี่มันที่ไหนกันว๊ะเนี๊ยะ! เดินมาตั้งนานเห็นมีแต่หมอก หมอก หมอก แล้วก็หมอก แล้วกำแพงเมืองจีนมันหายไปไหนแล้วว๊ะเนี่ยะ” อาหลงบ่นพึมพำ

    นับตั้งแต่อาหลงเดินเข้ามาตามทางประตูลับของกำแพงเมืองจีน ปาต๋าหลิ่ง แล้วเกิดปรากฏการแผ่นดินไหว ทำให้ผนังและเพดานถล่มลงมา และตัวอาหลงก็สลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในป่าที่เงียบสงบแห่งนี้ ซึ่งช่วงเวลาที่เกิดแผ่นดินไหวนั้น รอยต่อของประตูมิติได้เปิดขึ้นทำให้อาหลงหลุดเข้ามาอยู่ในห้วงมิติแห่งกาลเวลา อิเล็คตรอนอนุภาคขนาดเล็กวิ่งผ่านร่างกายอาหลงแสงสีฟ้าครอบคลุมทั่วร่าง ปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอ และโครงสร้างร่างกายอย่างรวดเร็ว หากในเวลานั้นอาหลงยังไม่สลบจะพบเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

    แม้ว่าอาหลงไม่เกรงกลัวเรื่องฝีสาง แต่ตอนนี้อดที่จะสยิวกายไม่ได้ “บรืออ..เย็นชิปเป๋ง” อาหลงนั่งคุกเข่าปลดกระเป๋าเป้เดินทางใบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลัง กระเป๋าใบนี้อาหลงซื้อเมื่อตอนมาเที่ยวหาอากงอาม่าเมื่อปิดเทอมครั้งก่อน ความที่ตัวกระเป๋ามีช่องให้ใส่ของได้หลากหลาย และการตัดเย็บก็ดูคงทนแข็งแรงซ้ำราคาก็ไม่แพงจึงกลายเป็นกระเป๋าคู่ใจของอาหลงทุกครั้งที่ออกเดินทางไปที่ต่างๆ

    “เสื้อกันหนาว เสื้อกันหนาว...  อ้าเจอล่ะ” อาหลงค้นหาเสื้อกันหนาวตัวโปรดที่ซื้อจากตลาดนัดเมืองเชียงใหม่ครั้งที่อยู่ประเทศไทย เสื้อกันหนาวสีเทาดำ มีช่องกระเป๋าใบเล็กให้ใส่ของได้หลายจุด บนปกคอเสื้อก็มีซิปเก็บฮู้ดคลุมหัว เมื่อต้องการใช้ก็รูดซิปเปิดออกใช้งานได้ทันที เนื้อผ้าหยาบหนากันละอองฝนและหมอกได้เป็นอย่างดี ภายในเป็นผ้าซับเนื้อนุ่มไม่ระคายผิว

    พรึบบ.. อาหลงสะบัดเสื้อให้คลายตัวจากการอุดอู้อยู่ในกระเป๋าเป็นเวลานาน แล้วสวมคลุมทับเสื้อเชิร์ตแขนยาวลายสก็อตสีฟ้าขาว หลังจากนั้นก็ควานหาของในกระเป๋าต่อไป

    “อืมม..จำได้ว่าซื้อมาด้วยนี่หว่า หยู่ไหนว๊ะ     อ้ออยู่นี่เอง” อาหลงค้นกระเป๋า ภายในมีของใช้ไม่น้อย ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องระเบียบอะไรมากมาย ภายในกระเป๋าจึงยัดไปด้วยสิ่งของสารพัดสารพัน ทั้งเสื้อผ้า กางเกงยีนต์ สเปร์ดับกลิ่น มีดพับเอนกประสงค์ ไฟฉาย ขนมขบเคี้ยว น้ำดื่ม แผนที่ประเทศจีน ไอพอร์ตของเพื่อนซี้ที่ให้มาในวันที่อาหลงขึ้นเครื่องเดินทางมาประเทศจีน สมุดจดบันทึกดินสอปากกา และกระบองดิ๊วส์

    กระบองดิ๊วส์ คือ กระบองที่ยืดหดได้ด้วยการสะบัดเพื่อยืดคล้ายเสาอากาศวิทยุของรถยนต์ และกระทุ้งกับพื้นเพื่อหด ที่คุณน้าอี้หลง น้องชายของแม่ หามาให้ ความจริงแล้วกระบองดิ๊วซ์นี้หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ป้องกันตัวทั่วไป เพียงแต่กระบองดิ๊วส์อันนี้เป็นผลงานการวิจัยของกรมตำรวจกรุงปักกิ่งจีนที่น้าชายของอาหลงทำงานอยู่ ได้ติดต่อให้เพื่อนในหน่วยงานจัดหาให้หนึ่งด้ามเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับหลานรัก เนื่องจากรู้ดีว่าหลานรักคนนี้มักจะมีวาสนากับดาววิวาทจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะมีเรื่องมีราวได้แทบทุกที่จึงได้จัดหาอุปกรณ์ให้หลานชายมีไว้เพื่อป้องกันตัว

    นอกจากตัวกระบองดิ๊วส์จะทำจากวัสดุโครงสร้างของโบรอนไน ไตรด์ผสมกับไททาเนียม  ที่มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษแล้วด้ามจับหุ้มด้วยยางชนิดพิเศษแม้นจะเปียกน้ำแต่ยังคงความยึดเหนียวทำให้ไม่หลุดมือเวลาใช้งานและส่วนล่างของด้ามจับยังมีปุ่มปริงกดเพื่อให้กระบองหดมาเองโดยไม่จำเป็นที่จะต้องกระทุ้งกับพื้น ส่วนปลายของกระบองยังฝังไปด้วยทองแดงบริสุทธ์เคลือบด้วยสารพิเศษที่มีความแข็งแรงทนทาน และเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อจี้ถูกตัวแล้วกดปุ่มด้านข้างของด้ามจับจะมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านช๊อตคนร้ายให้ล้มทั้งยืน โดยที่กระแสไฟที่ปล่อยออกมาไม่กระทบกับตัวผู้ใช้งาน ซ้ำแบตเตอร์รี่ก็เป็นแบบพิเศษอายุการใช้งานนานนับปี สามารถชาร์ตไฟง่ายๆเพียงแค่การรับพลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ของกรมตำรวจจีนที่ประสบความสำเร็จอีกชิ้นหนึ่ง

    แม้การนำอุปกรณ์ของหน่วยงานมาใช้ส่วนตัวจะถือว่าเป็นความผิด แต่ระดับผู้บังคับบัญชาระดับสูงอย่างน้าชายของอาหลงแล้วเรื่องแค่นี้ลำบากแค่เพียงยกมือเท่านั้น  หนำซ้ำอาหลงยังเคยเข้ามารับการฝึกของกรมตำรวจอยู่เสมอในทุกๆครั้งที่กลับมาประเทศจีน เนื่องจากภายในกรมมีการรวบรวมศาสตร์และศิลป์รวมทั้งวิธีการต่อสู้ป้องกันตัวทุกรูปแบบ เพื่อฝึกสอนให้เจ้าหน้าที่เตรียมรับมือกับเหตุไม่คาดหมาย

    โดยส่วนตัวอาหลงชื่นชอบศิลปะการป้องกันตัวเป็นทุนเดิม ทำให้แทบทุกคนในกรมตำรวจไม่มีใครไม่รู้จักนอกเหนือจากที่เป็นหลานชายสุดที่รักของผู้บัญชาการสูงสุดแล้วล่ะก้อ  และร่างกายที่เหมาะสมรวมทั้งการเรียนรู้ที่ฉับไว ทำให้อาหลงเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวหลายรูปแบบได้อย่างรวดเร็วและสามารถประยุกต์ใช้งานจริงได้อย่างช่ำชอง ถึงแม้ตัวอาหลงเองจะไม่ได้สังกัดหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมตำรวจก็ตามที

    “อึ๊กๆ.. ฮ่า ชื่นใจ ชาเขียวของไทยนี่มันสุดยอดดีแท้ อร่อยไม่แพ้ชาติใดในโลก” อาหลงควานหาชาเขียวชื่อดังของเมืองไทย และเปิดดื่มอย่างกระหายพร้อมยา พาราเซตามอน อีกหนึ่งเม็ด เนื่องจากเดินทางมาเป็นเวลานานและอากาศเริ่มเย็นกลัวว่าจะไม่สบาย

    อาหลงลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋าและมองไปยังเส้นทางเบื้อหน้า “เอาก็เอาว๊ะ  เดินมาซะขนาดนี้ล่ะ เดินไปดูอีกซักหน่อย เผื่อจะเจอคนมั่ง” อาหลงออกเดินทางไปยังเบื้อหน้า

    ตอนนี้หมอกยังไม่จางหายแต่ความเย็นกลับลดลง ในความเป็นจริงแล้วหมอกหนาทึบถึงเพียงนี้ แม้แต่สัตว์ป่าก็ไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่านเพราะไม่สามารถมองเห็นผ่านหมอกหนาเช่นนี้ได้ และอาจได้รับอันตรายจากสัตรูตามธรรมชาติของมัน แต่อาหลงในตอนนี้มองเห็นเพียงแค่ว่ามีไอหมอกบางๆเท่านั้นยังคงเห็นเส้นทางได้เป็นอย่างดี และสามารถมองเห็นทะลุหมอกหนาทึบไปไกลอีกหลายเมตร และความเย็นในตอนนี้ก็ไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด แต่ร่างกายของอาหลงผ่านการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดด สายตามองเห็นแม้ในยามค่ำคืน หมอกหนาแค่นี้ไม่นับเป็นอุปสรรค์ใหญ่หลวง อากาศที่หนาวเย็นรูขุมขนตามร่างกายก็หดตัวลงโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันความหนาวเย็นที่แทรกผ่านเข้ามา ระบบหมุนเวียนในร่างกายทำงานอย่างปกติ ความร้อนก่อตัวขึ้นจากภายในต้านทานอากาศหนาว จึงทำให้อาหลงไม่รู้สึกหนาว เพียงแค่เย็นๆเท่านั้น

    “ยีนส์ตัวนี้หนาดีแฮะ ใส่แล้วไม่ยักกะรู้สึกหนาวเลย” อาหลงพึมพำ ซึ่งกางเกงยีนต์สีเทา และรองเท้าคอนเวริสสีน้ำตาล และเสื้อเชริตแขนยาวลายสก็อตสีฟ้าขาวชุดนี้เป็นชุดเก่งของอาหลง เพราะใส่สบายและดูเรียบร้อย สามารถใส่ไปในช่วงเวลาไหนก็ได้ จึงเป็นชุดที่หยิบติดตัวทุกครั้งที่ออกเดินทาง

                อาหลงเดินไปตามทาง ทางเดินเริ่มเทลาดลงทำให้เดินสบายไม่ต้องออกแรงมาก เห็นที่ห่างไปประมาณร้อยเมตร มีเงาเลือนรางดูคล้ายบุคคลคนหนึ่ง “เฮ้ย... เจอคนซะที”อาหลงดีใจ และรีบวิ่งตรงไปยังเงานั้นทันที

                “หวัดดีคร้าบบ...อยากสอบถามเส้นทางหน่อยครับ” อาหลงกึ่งเดินกึ่งวิ่งพลางตะโกนถาม

                เงาร่างดังกล่าวเป็นชายแก่อายุราวหกเจ็ดสิบปีนั่งพักบนท่อนไม้ ด้านข้างมีมัดฟืนอยู่สามกองอยู่ใกล้ๆ ในมือถือหมวกงอบพัดวีให้คลายความร้อน ใบหน้ามีเหงื่อแต้มพราย เคราสีขาวยาวราวหนึ่งฝ่ามือการแต่งกายใส่เสื้อสีกระดำกระด่างทับกับสีเทาข้อมือมีผ้ามัดตามแขนเพื่อกระชับไม่ให้แขนเสื้อรุ่ย กางเกงขาก๊วยสีดำรุ่มร่าม รองเท้าที่สวมถักจากหญ้าปอกับหนังสัตว์ดูจากสภาพแสดงว่าผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน

                ชายแก่หันหน้ามองอาหลง แววตาแตกตื่น อาหลงเห็นสีหน้าท่าทางของชายแก่ก็พอเข้าใจถึงความกลัว จึงชิงถามไปว่า “ลุงไม่ต้องกลัวผม ผมแค่ผ่านทางมาเห็นลุงนั่งอยู่ ว่าจะถามทางซักหน่อย”อาหลงถามไปอย่างสุภาพ

                ชายแก่ทำหน้าฉงน แสดงว่าไม่เข้าใจในคำพูดของอาหลง “ท่านช่างพูดแปลกหูยิ่งนัก  ท่านเป็นชาวฮั่นหรือพวกตาดมองโกลกันแน่?

                อาหลงครุ่นคิดในใจ “เออยุคสมัยนี้ยังเรียกว่าชาวฮั่นชาวมองโกลกันอีกเหรอว๊ะ ตาลุงนี่คงอยู่หลังเขาโคตรๆ แถมแต่งตัวซะ..”

              “ลุงนี่พูดตลกเนอะ ผมเป็นคนไทยครับ มาเรียนต่อที่เมืองจีน พอดีมาเที่ยวแล้วหลงทางมาอยู่แถวนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ ว่าแต่ลุงรู้หรือป่าวแถวนี้มันที่ไหนกัน?” อาหลงถามขึ้น

                “หืม..คนไทย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ที่นี่คือยอดของหุบเขาบู้ตึง มณฑลโอ้วปัก ว่าแต่ท่านจะไปทางไหนรึ”ชายแก่ถามขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าดูแล้วไม่น่าจะใช่คนเลวร้าย จึงคลายใจลง

                “ห๊า... หุบเขาบู้ตึง แล้วผมมาอยู่แถวนี้ได้ไงอ่ะ มันห่างจากปักกิ่งเป็นพันกว่ากิโลเลยนะนั่น”อาหลงถึงกับตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองมาอยู่บนยอดเขาบู้ตึง ซึ่งห่างจากกำแพงเมืองจีนกรุงปักกิ่งครั้งล่าสุดที่อาหลงเดินเข้ามาตามทางประตูลับ “เออ นี่ลุงแถวนี้มีสถาณีรถไฟมั่งป่ะ หรือแท็กซี่มั่งไหมผมจะกลับบ้านล่ะ” อาหลงถามชายแก่อีกครั้ง

                ชายแก่ครุ่นคิดในใจ เจ้าหนุ่มคนนี้ท่าจะสติฟั่นเฟือน พูดพล่ามเรื่อยเปื่อย ตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงก็ไม่รู้อีก “ที่เจ้าถามนั่น ข้าไม่รู้สักอย่างเดียว แต่ไปตามเส้นทางนี้ราวสิบลี้จะมีทางแยกถ้าแยกลงเขาจะไปหมู่บ้านต้นเหมย แต่ถ้าแยกขึ้นเขาก็ไปยังสำนักบู้ตึง”

                อาหลงแปลกใจกับคำพูดของชายแก่ “หมู่บ้านต้นแหมะต้นเหมยอะไรนั่น มันมีรถผ่านหรือป่าวล่ะ แล้วไอ้สำนักบู้ตึงนี่ยังมีด้วยเหรอผมไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกอย่างไอ้สิบลี้ของลุงน่ะมันกี่กิโล เอาตามหลักสากลลุง ไม่ต้องใช้คำโบราณแบบนั้นคนหนุ่มฟังไม่เก็ต”อาหลงยิงคำถามเป็นชุด

                ชายแก่ถึงกับอ้าปากหวอ แทบไม่เข้าใจอะไรซักอย่างที่อาหลงพูดขึ้น ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเพียงเก็บมัดฟืนขึ้นสะพายบ่าเตรียมจะเดินจากไป แต่เมื่อเห็นว่าบุคคลตรงหน้าเป็นเพียงชายหนุ่มที่สติเลอะเลือน ตอนเองเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรถือสาหาความ ซ้ำช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด จึงกล่าว”อย่างนั้นเจ้าก็ตามหลังข้ามาก็แล้วกัน” พูดจบพลางก้าวเดินไปตามทาง

                อาหลงเห็นดังนั้นก็พูดขึ้น “ไรว๊ะ เอ๊าไปก็ไป” องหลงเดินตามหลังชายแก่ เมื่อเหลียวมองดูรอบๆสักเกตุว่าหมอกเริ่มจางลงทีละน้อย ต้นไม้แต่ละต้นใหญ่โต ต้นขนาดเล็กยังมีขนาดเท่าหนึ่งคนโอบ เห็นกระต่ายป่ากระโดดผ่านไปโดยไม่กลัวผู้คน ราวกับว่าไม่เคยสัมผัสกลิ่นอายมนุษย์มาก่อน สร้างความแปลกใจให้อาหลงเป็นอันมาก เพราะยุคสมัยนี้(คศ.2014)แทบจะไม่มีป่าเขาที่ไหนที่มนุษย์ไม่เคยไปถึง อย่าว่าแต่ต้นไม้เลย ท้องฟ้าก็ไม่แจ่มใสเท่าที่นี่

                เดินทางได้ประมาณครึ่งชั่วโมงอาหลงสังเกตเห็นข้างทางมีป้ายไม้ปักอยู่ ด้วยความอยากรู้จึงเดินเข้าไปดู “หุบเขาหมอกมรณะ” ด้านล่างมีอักษรเขียนบรรยาย “สถานที่สิ่งสู่ของปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ผู้มาพึงระวัง” ลายมือเขียนตวัดสวยงามเข้มแข็ง จุดเน้นหนักก็ตวัดหนัก จุดเน้นเบาก็แผ่วพลิ้วอ่านดูสบายตา แม้เพียงมองผ่านๆก็สามารถจดจำตัวหนังสือได้ แสดงว่าผู้เขียนข้อความเหล่านี้มีฝีมือในการขีดเขียนเป็นอย่างสูง

                “เออแฮะ ใครมาเขียนเล่นไว้เนี๊ยะ สมัยนี้มันมีปีสงปีศาจด้วยเหรอว๊ะ แล้วปีศาจจิ้งจอกเนี๊ยะมันมีจริงด้วยเหรอ หรือว่าไอ้คนเขียนมันนึกสนุก เขียนเล่นไปงั้นๆ” อาหลงพึมพำ

                ความจริงแล้วป้ายข้อความเหล่านี้เป็นป้ายที่สำนักบู้ตึงจัดทำขึ้น โดยมีศิษย์เอกลำดับห้าของปรามาจารย์จางซานฟง นามเตียชุ่ยซัว เป็นผู้เขียนเพื่อเตือนเหล่าพรานป่าและชาวบ้านอย่าหลวมตัวขึ้นเขาไป เพราะอาจได้รับอันตรายจากปีศาจจิ้งจอกตนนี้ ในความเป็นจริงปีศาจจิ้งจอกเคยประมือกับเหล่าศิษย์เอกของสำนักบู้ตึงมาบ้างแม้ไม่อาจกำชัยชนะแต่ก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ แต่หากศิษย์เอกทั้งห้ารวมตัวกันปีศาจจิ้งจอกก็ต้องพ่ายแพ้ หากไม่มีกระบี่เทพอัคคีคอยสะกดข่มอยู่ในร่าง สำนักบู้ตึงคงเหลือไว้เพียงชื่อเท่านั้น ปีศาจจิ้งจอกเมื่อเห็นว่าไม่อาจเอาชัยเหนือศิษย์สำนักบู้ตึงได้จึงหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาหมอกมรณะแห่งนี้ และเหล่าจอมยุทธ์แห่งสำนักบู้ตึงก็ไม่อาจต่อสู้ในถิ่นของปีศาจจิ้งจอกแห่งนี้ได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงคุมเชิงกันอยู่แบบนี้ เมื่อลงความเห็นว่าในเมื่อเข้าไปไม่ได้ ก็สมควรกักปีศาจตนนี้ให้อยู่แต่ในหุบเขาแห่งนี้ไม่ปล่อยให้หลุดออกไปทำร้ายชาวบ้านได้

                ทางสำนักบู้ตึงจึงได้จัดสร้างค่ายกล กักปีศาจ ที่ปรมาจารย์จางซานฟงเคยได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับปีศาจและเทพปราบมารในวัยเด็กช่วงที่ยังเป็นศิษย์วัดเส้าหลิน และท่านก็ได้ดัดแปลงเพื่อเพิ่มอานุภาพของค่ายกลดังกล่าว ให้ติดตั้งบริเวณทางลงเขา โดยจัดให้เหล่าศิษย์สำนักบู้ตึงคอยเฝ้า หากเห็นมีอะไรผิดแปลกให้เรียกเหลาพี่น้องเข้าร่วมต่อสู้

                “นี่ลุงๆ แถวนี้มีป้ายแปลกๆด้วย ใครนะมือบอนมาเขียนอะไรไร้สาระก็ไม่รู้”อาหลงกวักมือเรียกชายแก่โดยที่ตายังคงมองอยู่ที่ป้าย จู่ๆร่างกายของอาหลงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงประสาทสัมผัสเตือนภัยราวกับดังก้อง บริเวณต้นคอรู้สึกเสียวแปล๊บ อาหลงรีบก้มลงพร้อมเอามือกุมบนหัวตามสัญชาตญาณ

                เฟี้ยว... ตุ๊บ เสียงอะไรเฉียดผ่านข้างกายอาหลงไป และหล่นอยู่ตรงหน้าอาหลงราวสามเมตร เมื่ออาหลงเงยหน้าขึ้นถึงกับตกใจ “เฮ้ย! ลุงเป็นไรน่ะ แล้วฟันของลุงทำไมมันแปลกๆอย่างนั้นน่ะ” อาหลงถามและปลดเป้ควานหากระบองดิ้วส์ เพราะจากที่ดูๆคิดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลสักอย่าง

                “หึหึ  แฮ่... นับว่ามีประสาทสัมผัสที่รวดเร็วยิ่งนัก หึหึ ข้ารอเวลานี้มานานนับสิบปี เจ้าจะเป็นคนที่หนึ่งร้อยพอดิบพอดี และข้าจะได้ปลดเปลื้องความทรมานอันยาวนานนี้ไปได้ซะที” ชายแก่ท่าทางซ่อมซ่อดูเป็นคนบ้านนอก(ตามที่อาหลงคิด) กลับกลายเป็นใบหน้าดูเหี้ยมเกรียมเส้นผมชี้ชัน ปากอ้ากว้างเห็นฟันอันแหลมคมนับสิบ แขนขาใหญ่โตดูผิดรูป นิ้วมือทั้งห้ายื่นยาวกลายเป็นกรงเล็บที่แหลมคมสะท้องแสงแดดอ่อนๆยามเข้า

                ชายแก่คนนี้แท้จริงแล้วก็คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่หลบหนีรอดจากการต่อสู้กับเทพสัประยุทธ์เมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้ากระบี่เทพอัคคีที่ฝังอยู่ในร่างก็คอยแผดเผาร่างของมันทีละนิด จนแทบประคองร่างกายไม่อยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ็บปวดจนแทบไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ ทนทรมานทั้งจากกระบี่เทพอัคคีและการอดอาหาร เมื่อมีพรานป่าออกมาล่าสัตว์จึงพลั้งมือฆ่าพรานป่าและกัดกินเป็นอาหารผลปรากฏว่า เลือดและเนื้อมนุษย์เป็นยาเพิ่มพลังวัตรให้กับปีศาจจิ้งจอกตนนี้ทำให้มีมีกำลังพอที่จะควบคุมกระบี่เทพอัคคีในร่างได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะดึงกระบี่ออกจากกาย มันจึงเข้าอาละวาดทำร้ายชาวบ้านและพรานป่าที่เดินทางผ่านภูเขาบู้ตึงแห่งนี้จากหนึ่งคน เป็นสองคน สามคน และเพิ่มขึ้นๆ ยิ่งฆ่าและกินมนุษย์มากเท่าไหร่มันก็รู้สึกว่ากำลังภายในเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะถอนกระบี่เทพอัคคีออกจากร่างได้ เมื่อมันฆ่ามนุษย์ถึงคนที่เก้าสิบเก้าก็สามารถรวบรวมกำลังถอนดึงกระบี่ออกมาได้เกือบหมดแต่ยังคงขาดอีกราวสองฝ่ามือกระบี่ก็จะหลุดออกจากร่าง มันจึงต้องเสาะหามนุษย์คนที่หนึ่งร้อยเพื่อที่จะเพิ่มพลังวัตรให้สูงสุดและถอนดึงกระบี่เล่มนี้ทิ้งไป

    จากการอาละวาดได้ทำให้ชาวบ้านรอบภูเขาบู้ตึงเดือดร้อนเป็นอันมาก จนวันหนึ่งมีนักพรตนาม เตียกุนป้อ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงวัยสี่สิบต้นๆแต่กลับมีฝีมือสูงเยี่ยมเดินทางผ่านมา และรับทราบถึงความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน จึงอาสาที่จะจัดการปีศาจตนนี้ ท่านได้เข้าต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกและขับไล่ไปจนถึงหุบเขาหมอกมรณะ แม้ไม่อาจกำจัดปีศาจตนนี้ให้สิ้นซากได้แต่ก็ทำให้มันไม่กล้าย่างกรายออกจากหุบเขาอีกเลย ชาวบ้านจึงได้ทำการก่อสร้างศาลเจ้าเพื่อแสดงความเคารพนักพรตรูปนี้ ต่อมาจึงได้ก่อสร้างอาคารสถานที่ และเรียนเชิญนักพรตรูปนี้พนักอยู่สถานที่แห่งนี้ นักพรตเห็นว่าเป็นสถานที่อันเหมาะแก่การฝึกวิชาฝีมือ จึงได้ทำการจัดตั้งเป็นสำนักขึ้น นามว่าสำนักบู้ตึง ต่อมาท่านได้เปลี่ยนชื่อตนเองมาเป็น จางซานฟง และรับลูกศิษย์ฝึกสอนวิชาฝีมือ จนเป็นที่เลื่องลือเทียบเคียงกับวัดเส้าหลิน

    “นี่ลุง! กำลังถ่ายหนังกันอยู่หรือป่าวน่ะ.. สเปเชียลเอฟเฟคสุดยอด ฮอลีวู้ดยังอาย แต่ผมไม่เล่นด้วยนะ” แม้จะเจอกับเรื่องแปลกประหลาดแต่อาหลงก็สรุปได้ว่า เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์กำลังภายในหรือเกี่ยวกับปีศาจอะไรซักอย่าง เพราะคงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์หมาป่าในยุคสมัยนี้ได้ จึงลดกระบองลงและคลายความกังวลใจ หันไปมองรอบๆเพื่อที่จะดูว่ามีการตั้งกล้องถ่ายทำกันตรงไหน

    “นี่ลุง ผู้กำกับอยู่ไหนล่ะ แล้วช่างภาพช่างกล้องไปแอบซ่อนกันอยู่ตรงไหน” อาหลงเหลียวซ้ายแลขวามองหาช่างภาพและทีมงาน เฟี้ยว.... ฉั๊ว “อ๊ากก..” อาหลงกรีดร้อง เมื่อเห็นว่าหัวไหล่ตนเองถูกฟันอันแหลมคมของชายแก่งับเข้าให้จมเขี้ยว  ความจริงแล้วปีศาจจิ้งจอกหวังเผด็จศึกในคราวเดียวจึงเล็งต้นคอของอาหลง ซึ่งเป็นจุดตายเอาไว้ ครั้นเมื่อเห็นอาหลงมองไปทางอื่น มันจึงกระโจนเข้าใส่หมายตาก้านคอ แต่ด้วยประสาทสัมผัสอันฉับไวของอาหลง ที่ผ่านการพัฒนาในห้วงกาลเวลาจึงรับรู้ถึงอันตราย แม้จะเบี่ยงตัวหลบรอดจากจุดตายไปได้ แต่ภายใต้ความรวดเร็วของท่าร่างปีศาจจิ้งจอกจึงถูกกัดเข้าบริเวณหัวไหล่เต็มๆ

    “โอ้ยย... ทำเชี่ยไรว๊ะ ปล่อยนะโว้ย” อาหลงตะโกนก้องด้วยความแตกตื่นระคนเจ็บปวด มือด้านขวาที่กำกระบองดิ้วส์แทงสวนเข้าสีข้างปีศาจจิ้งจอกในคราบชายแก่ตามสัญชาติญาณ ปึ๊ก.. แม้ความแรงในการแทงถึงกับทำให้ปีศาจจิ้งจอกต้องอ้าปากแต่ก็ไม่อาจทะลุร่างกายไปได้ เมื่ออาหลงหลุดรอดจากการกัดจึงเบี่ยงตัวฉากหลบมาด้านข้าง มือขวาดึงรั้งและแทงสวนเข้าไปใหม่

    “แน่นักเหรอว๊ะ เอานี่ไปกิน” อาหลงแทงกระบองดิ้วส์อีกครั้ง ปึก.. กระบองแทงตรงแม้เป็นการแทงที่รวดเร็วแต่กับปีศาจจิ้งจอกเห็นราวกับเป็นภาพช้าเท่านั้น

    “หึหึ มีฝีมือเพียงเท่านี้ คิดว่าจะรอดไปได้รึ” ปีศาจจิ้งจอกไม่หลบหนีการแทงในครานี้แต่ตวัดกรงเล็บจับกระบองไว้อย่างแม่นยำ

    แม้จะอยู่ในสภาพที่ประหลาดพิสดาร แถมร่างกายยังได้รับบาดแผล แต่อาหลงยังคงยิ้มเมื่อเห็นว่าชายแก่ตรงหน้ากำกระบองดิ้วส์ไว้ “เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะเจ็บตัว” อาหลงกดสวิทซ์ที่ด้ามจับทันที กระแสไฟจากแบตเตอร์รี่วิ่งผ่านตัวนำไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายปีศาจจิ้งจอกทันที

    “อ๊ากกกก...”แม้จะเป็นปีศาจ แต่ก็มีร่างกายเลือดเนื้อมีหรือที่จะต้านทานกระแสไฟฟ้าไปได้ ความแรงของกระแสไฟหากเป็นคนปกติทั่วไปต้องถึงกับล้มทั้งยืน แต่ปีศาจจิ้งจอกมีความแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปเป็นอันมากไม่อาจนับวิจารร่วมกันได้  มันกระเด็นถอยไปเกือบห้าวาเท่านั้น แต่ร่างกายยังคงไม่มีส่วนใดได้รับบาดเจ็บ

    “หืม.. นี่มันอะไรกัน หรือเจ้าหนุ่มนี่ครอบครองอาวุธเทพสายฟ้า? ไม่น่าจะใช่ หากเป็นอาวุธเทพจริงต้องมีความรุนแรงมากกว่านี้ถึงจะถูก”ปีศาจจิ้งจอกคิดในใจ เพราะไม่เคยเห็นอาวุธที่แปลกตาเช่นนี้มาก่อน

    “เจ้าหนุ่ม  ที่เจ้าถือมันคืออะไร ใช่เป็นอาวุธเทพสายฟ้าหรือไม่”ปีศาจจิ้งจอกถาม ตาคอยจับจ้องกระบองดิ้วส์อย่างไม่คลาดสายตา ถึงแม้นกระแสไฟจะไม่สามารถทำอะไรมันได้ แต่ก็สร้างความเจ็บปวดแกมันไม่ใช่น้อย ราวกับว่ามีเข็มแหลมนับพันทิ่มแทงทั่วร่างกาย

    มีมันเรื่องบ้าอะไรกันว๊ะ ตาลุงนี่กัดจริงเหรอว๊ะเนี๊ยะ อาหลงมือขวากำกระบองดิ้วส์ชี้ตรงไปยังปีศาจจิ้งจอก แขนซ้ายตกห้อย เลือดไหลชุ่มออกจากบาดแผลจนรู้สึกได้ การกัดของปีศาจจิ้งจอกนับว่ารุนแรง จนทะลุเสื้อผ้าและเลือดเนื้อ แต่ก็ไม่อาจกัดกระดูกบริเวณหัวไหล่ให้แหลกเหลวไปได้ ซึ่งนับว่าสร้างความฉงนให้กับปีศาจจิ้งจอกเป็นอันมาก เพราะมันมั่นใจในพละกำลังของตนเอง หากเป็นจอมยุทธ์ทั่วไปคงต้องตายจากการกัดในครั้งแรกแล้ว กับอาหลงแม้จะถูกกัดแต่ร่างกายก็ตอบสนองโดยอัตโนมัติ รูขุมขนและกล้ามเนื้อหดเกร็งในทันที ทำให้การกัดของปีศาจจิ้งจอกทำได้เพียงทะลุเลือดเนื้อแต่ไม่ถึงกระดูก นี่ต้องนับว่าการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมจากห้วงกาลเวลาได้ช่วยชีวิตอาหลงเอาไว้ได้จริงๆ

    “ลุงเป็นตัวอะไร ผมทำอะไรเหรอ เล่นแรงไปหรือป่าว เรียกทีมงานออกมารับผิดชอบเลย ผมต้องไปหาหมอนะ” อาหลงตะโกนก้อง หวังว่าเสียงร้องของตัวเองจะกระตุ้นให้ทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์ออกมา แต่มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา ความรู้สึกกลัวเริ่มเข้ามาแทนนี้

    ไปไหนกันหมดว๊ะ อูย... เจ็บชะมัด หรือว่านี่มันของจริงว๊ะเนียะ อาหลงคิดในใจ แม้นตอนนี้เลือดจะหยุดไหลแล้วซึ่งอาหลงก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมเลือดถึงหยุดไหลเร็วถึงเพียงนี้ แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลยังคงอยู่ ในใจคอยคิดหาทางหนีไปจากเหตุการณ์ตรงหน้านี้ให้ได้

    “เจ้าจะร้องเรียกให้ใครช่วยก็คงสายไปแล้ว รัศมีห้าลี้นี้ไม่มีมนุษย์คนไหนย่างกรายเข้ามาได้ นับว่าเจ้าโชคร้ายแล้ว จงยอมให้ข้ากินเจ้าเสียแต่โดยดีเถอะแล้วข้าจะจัดการให้เจ้าไม่ต้องทุกข์ทรมานนานนักหรอก หึหึ”ปีศาจจิ้งจอกพูดขึ้นพร้อมกับเปล่งพลังในร่าง

    ชายแก่ที่ดูธรรมดาตอนนี้เริ่มเปลี่ยนแปลง ร่างกายที่ดูบอบบางเริ่มปริแตก เสื้อผ้าที่สวมใส่ฉีกขาดเผยให้เห็นขนสีขาว แขนขาเริ่มขดงอกลายเป็นเท้าสุนัขทั้งสี่ข้าง ใบหน้าเริ่มมีขนขึ้น หูขยายยาวชี้ขึ้นเส้นผมหลุดร่วงแทนที่ด้วยขนสีขาวนวล ปากยื่นยาวออกมาฟันนับสิบซี่แหลมคม บริเวณบั้นท้ายมีหางโผล่ออกมา นับแล้วรวมเก้าหาง ขนสีขาวนวลช่างดูงดงามเมื่อต้องแสงแดด ดูราวนุ่มนวลดังปุยเมฆ หากไม่บอกว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ฆ่ามนุษย์มาเกือบร้อยต้องไม่มีใครเชื่อเป็นแน่

    มือทั้งสองข้างกลายเป็นเท้า ชายแก่กลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกเต็มตัว มีขนาดใหญ่โตราวกับวัวตัวใหญ่ๆ ปีศาจจิ้งจอกเมื่อกลายร่างก็มีพละกำลังเพิ่มขึ้น แสยะยิ้มจ้องมองเหยื่อตรงหน้าที่ดูแตกตื่น แม้นร่างกายจะปกคลุมไปด้วยขนสีขาว แต่มีจุดหนึ่งที่ดูแปลกตา บริเวณกลางอกของปีศาจจิ้งจอกมีกระบี่เล่มหนึ่งโผล่ออกมา ตัวกระบี่ดูโบราณด้ามจับสลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม ตัวกระบี่เปล่งประกายสีแดงเรืองๆ แต่ส่วนปลายสุดยังคงติดอยู่กับร่างกายของปีศาจจิ้งจอกตนนี้ กระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่เทพอัคคีนั่นเอง

    “เฮ้ย!... เป็นไปได้ไงว๊ะนั่น” อาหลงถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นว่าชายแก่กลายร่างเป็นหมาจิ้งจอกขนาดใหญ่ แถมยังมีหางถึงเก้าหาง

    “มาให้ข้ากินซะดีดี  แฮ่....”ปีศาจจิ้งจอกกระโจนด้วยความเร็ว กรงเล็บเท้าหน้าทั้งสองเตรียมแทงทะลุอกของอาหลงในทันที

    เฟี้ยว ... พั๊วว.. แม้การพุ่งกระโจนของปีศาจจิ้งจอกจะรวดเร็ว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของอาหลงกลับรวดเร็วกว่า สัญญาณเตือนภัยดังก้องในหัว อาหลงไม่ทราบว่าทำไมร่างกายตนเองถึงรับรู้และตอบสนองได้รวดเร็วเพียงนี้ เพียงแค่คิดร่างกายก็ขยับทันที อาหลงเห็นการกระโจนเข้ามาอย่างเด่นชัด จึงเบี่ยงตัวหลบฉากมาด้านข้าง พร้อมทั้งฟาดหวดกระบองดิ้วส์อย่างแรงเข้าบริเวณขมับด้านข้างของปีศาจจิ้งจอกทันที  ทำให้จากการกระโจนกลับกลายเป็นการถูกฟาดกระเด็นในทันทันที

    ตู้มมม... ร่างกายของปีศาจจิ้งจอกกระเด็นใส่ต้นไม้โบราณหักโค่นลงมา มันชันตัวลุกขึ้นสะบัดหัวไปมาขับไล่ความเจ็บปวด นี่มันอะไรกัน! เจ้าหนุ่มนี่สามารถหลบรอดการจู่โจมของเราได้ถึงสองครั้ง ซ้ำยังสามารถโจมตีกลับด้วยความรุนแรง ยังไม่เคยเจอใครที่มีกำลังมหาศาลเท่านี้มาก่อน นอกจากเจ้านักพรตบ้านั่น ปีศาจจิ้งจอกคิดในใจและคาดคิดไปว่าอาหลงตรงหน้าต้องเป็นศิษย์เอกของ นักพรตจางซานฟง ที่ถูกส่งมากำจัดปีศาจจิ้งจอกอย่างมันเป็นแน่

    เมื่อลุกขึ้นยืนได้มันจ้องมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง การจ้องมองคราวนี้แตกต่างจากครั้งแรก แววตาอาฆาตแค้นอยู่หกส่วน ประหวั่นพรั่นกลัวอีกสามส่วน และแปลกใจอีกหนึ่งส่วน มันเริ่มเดินวนไปวนมาดูท่าที

    มันจะเอายังไงของมันกันแน่ว๊ะ อาหลงคิดในใจ แล้วก็เห็นว่าปีศาจจิ้งจอกตรงหน้าหยุดเดินไปเดินมา และแสยะเขี้ยวอ้าปากกว้าง ฮูม..เสียงร้องก้องออกจากปาก กลุ่มควันสีขาวชวนเยือกเย็นพุ่งออกมาจากปาก ตรงเข้าหาอาหลงอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย!”อาหลงตกใจแต่ไม่แตกตื่น ยกมือกำกระบองดิ้วส์ฟาดเข้าใส่กลุ่มหมอกดังกล่าวอย่างแรง ฟุบบ..กลุ่มหมอกที่พุงมาเป็นสายถูกกระบองผ่าแยกออกเป็นสองราวผ่าผลแตง

    และเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกลุ่มหมอกที่ถูกผ่ากลับกระจายตัว ทำให้บริเวณโดยรอบมีแต่กลุ่มหมอกสีขาวหนาทึบอันแสนเย็นยะเยือก อาหลงมองซ้ายมองขวาด้วยความแตกตื่น มือกำกระบองไว้แน่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

    “อยู่ไหนว๊ะ หมอกบ้าไรว๊ะเนียะ..”อาหลงพึมพำด้วยความกังวล กลุ่มหมอกเหล่านี้ยังหนาทึบกว่าหมอกที่อยู่บนยอดเขาเสียอีก ซ้ำความเย็นยังเยือกเย็นกว่าหลายเท่า นี่เป็นลมปราณสุดเยือกเย็นของปีศาจจิ้งจอก ใช้พรางตัวและความเย็นยังคอยรบกวนคู่ต่อสู้ตลอดเวลา ทำให้พิชิตสัตรูในเวลาอันรวดเร็ว แต่หากคู่ต่อสู้เป็นนักบู๊ฝีมือดีย่อมใช้ลมปราณธาตุหยินสะกดความเย็น และคอยจับทิศทางด้วยการจำแนกฟังเสียไม่จำเป็นที่จะต้องมองเห็นก็สามารถรับมือได้ แต่อาหลงทั้งไม่ใช่นักบู๊และไม่อาจนับได้ว่ามีฝีมือดี(ยกเว้นเรื่องการวิวาทต่อยตี)ยิ่งอย่าว่าการใช้ลมปราณสะกดความเยือกเย็น เพียงแต่อาหลงมีร่างกายที่ผ่านห้วงกาลเวลาประสาทสัมผัสทั้ง5มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดทำให้พอที่จะฝืนประคองตัวได้จนถึงเวลานี้ หากอาหลงได้รับรู้ถึงความสามารถของตนเอง และทำความเข้าใจเพื่อดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างเต็มที่ ต่อให้เป็นราชาปีศาจจิ้งจอกก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของอาหลงได้

    ตุ๊บ ตุ๊บ... เสียงฝีเท้าของปีศาจจิ้งจอกวิ่งวนซ้าย วนขวา อาหลงกำกระบองหันซ้ายหันขวาตามทิศทางเสียง แม้ร่างกายจะผ่านวิวัฒนาการมาอย่างดี แม้สายตาจะสามารถมองทะลุหมอกที่หนาทึบ แม้จะสามารถจำแนกเสียงได้ว่ามาจากทิศทางไหน แม้จะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมเพียงใด แต่อาหลงก็ไม่สามารถดึงเอามาใช้ได้เลย

    เฟี้ยว....ฉั๊ว... ปีศาจจิ้งจอกกระโจนจากทางซ้ายมือของอาหลง ร่างกายเคลื่อนไหวไม่ทันกับประสาทสัมผัส ผลลัพธ์ที่ได้คือรอยเล็บสี่รอยบนแขนซ้าย

    “อ๊าก..”บาดแผลทั้งยาวและลึก บวกกับแรงปะทะทำให้อาหลงถึงกับม้วนกระเด็นไปสามสี่ทอด

    “หึหึ ข้าจะทรมาณให้เจ้าต้องอ้อนวอนขอร้องให้ฆ่า ฮ่า ฮ่าๆ”เสียงปีศาจจิ้งจอกดังขึ้น

    อาหลงลุกขึ้นนั่ง ก้มมองดูแขนซ้าย เลือดไหลไม่หยุด แม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่เท่ากับความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น ในชีวิตของอาหลงแม้จะเคยทะเลาะวิวาทต่อยตีมามากมายแต่การฆ่ากันหรือการทรมาณเช่นนี้ไม่เคยคิดมาก่อน “อย่าตื่นเต้นอาหลง อย่าตื่นเต้น จะมาตายตรงนี้ไม่ได้แกยังมีพ่อมีแม่มีน้องและเพื่อนๆรออยู่ ตั้งสติๆ หาทางออก” อาหลงพึมพำ พยายามสงบจิตใจเพื่อหาทางรอด แม้เสียงฝีเท้าของปีศาจจิ้งจอกจะวิ่งวนไปมา แต่ก็ยังไม่โจมตีราวกับว่ามันจะรอคอยให้อาหลงลิ้มรสกับความเจ็บปวดให้เต็มที่ และจะได้โจมตีอีกครั้ง

    ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ หัวใจของอาหลงจากที่เคยเต้นแรงราวรัวกลอง มาเวลานี้เริ่มที่จะเต้นช้าลงจนเกือบจะเป็นปกติ ในท่านั่งคุกเข่าอาหลงมองไปทางซ้ายทางขวาด้วยความระแวดระวัง ความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มเบาบางลงทีละนิดๆ อะไรว๊ะ ไหงไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ อาหลงคิดในใจแล้วหันไปมองที่แขนถึงกับต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าบาดแผลที่ดูน่ากลัว บัดนี้เริ่มสมานตัวเองทีละนิดๆ เลือดก็หยุดไหล เมื่อหันมามองดูแผลที่หัวไหลจากการโดนกัดในครั้งแรก ก็เห็นว่ารอยเขี้ยวหายไปแล้ว แผลสมานตัวจนแทบไม่เห็นถึงรอยแผล ทิ้งไว้เพียงคราบเลือดหย่อมหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ว่าบริเวณนี้เคยมีบาดแผลร้ายแรง

    แม้จะแปลกใจกับร่างกายตนเอง แต่เวลานี้อาหลงต้องตั้งสติให้มั่นคงเพื่อเอาตัวรอดจากปีศาจจิ้งจอกให้ได้ เห็นด้านข้างเกลื่อนไปด้วยก้อนหินเล็กใหญ่สามสี่ก้อน อาหลงเลือกหยิบมาหนึ่งก้อนขนาดเท่ากำปั้น เมื่อเดาะชั่งน้ำหนักดูเห็นว่าเหมาะมือยิ่ง รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่มุมปาก หึหึ เดี๋ยวได้เวลาเอาคืนซะที อาหลงวางแผนการในใจ

    ปีศาจจิ้งจอกเห็นอาหลงยืนขึ้น ราวกับว่าการโจมตีของมันไม่อาจทำอย่างไรอาหลงได้ ครั้งนี้มันจึงวิ่งวนมาทางด้านขวามือบ้าง เฟี้ยว..... ฟุบ ปีศาจจิ้งจอกเล็งต้นคออีกครั้ง แล้วกระโจนด้วยความรวดเร็ว หมายตาที่จะกัดเส้นเลือดบริเวณต้นคอให้กระฉูด

    อาหลงได้ยินเสียงก็รู้ว่าจะมาทางไหน เมื่อได้จังหวะอาหลงทรุดนั่งลงทันที ทำให้ปีศาจจิ้งจอกพลาดเป้าหมายสำคัญและกระโดดข้ามหัวอาหลงไป เสียงปีศาจจิ้งจอกตกลงไม่ห่างจากตัวอาหลง เมื่อยืนขึ้นมือขวาที่ถือกระบองตอนนี้มีหินก้อนใหญ่มาแทนที่ “เอาไปกิน” อาหลงตะโกนก้องแล้วคว้างไปสุดแรง

    เฟี้ยววววว ตู้มม แม้อาหลงจะมันใจว่าตัวเองมีกำลังแขนแต่ไม่คิดว่าจะมีกำลังถึงเพียงนี้ ก้อนหินพุ่งจากมือด้วยความเร็วสูง เป็นจังหวะที่ปีศาจจิ้งจอกเอี้ยวตัวมาจึงโดนก้อนหินกระแทกเข้าอย่างจัง

    อั๊ก.. ปีศาจจิ้งถึงกับกระอักเลือดกระเด็นไปไกลราวห้าหกวา ขนสีขาวบัดนี้มีจุดสีแดงแต้มเป็นหย่อมๆ ร้ายกาจ ไม่คิดว่าก้อนหินเล็กๆจะทำให้เราบาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้ ปีศาจจิ้งจอกคิดในใจ

    เมื่ออาหลงเห็นว่าการขว้างหินครั้งนี้ได้ผลดีเกินคาดก็ออกตัววิ่งทันที แม้หมอกจะหนาแต่อาหลงก็ยังพอมองเห็นเส้นทาง  วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง ความคิดและร่างกายสั่งให้วิ่งออกจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด แม้จะรู้สึกปวดจากบาดแผล แต่อาหลงก็วิ่งไม่หยุดโดยไม่หันกลับมาดูด้านหลัง

    ตุบ ตุบ ตุบ เสียงฝีเท้าของปีศาจจิ้งจอกวิ่งตามติดมา วิ่งมาได้ระยะทางราวสองร้อยเมตรอาหลงก็หันกลับไปดูเมื่อไม่เห็นว่าปีศาจจิ้งจอกตามมาแล้วก็เริ่มโล่งอกและกลับหันหน้าจะวิ่งไปต่อ เมื่อหันกลับมาถึงกับต้องตะลึง เมื่อเห็นว่าห่างไปตรงหน้าราวห้าเมตรปีศาจจิ้งจอกยืนจังก้าดักรออยู่ตรงนั้น

    “มาได้ไงว๊ะ..อย่าเข้ามานะโว้ย ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”อาหลงตะโกนไปอย่างกล้าๆกลัวๆ และรีบตั้งสติเตรียมพร้อมรับการโจมตีอีกครั้ง

    ปีศาจจิ้งจอกไม่ฟังเสียง พุ่งสวนเข้ามาทันที อาหลงรีบปลดเป้ลงมาถือด้วยมือซ้าย เมื่อปีศาจจิ้งจอกพุ่งเข้ามาตรงหน้า อาหลงก็โยนเป้เข้าใส่ทันที

    หึหึ แค่นี้จะทำอะไรข้าได้ คิดจะถ่วงเวลาหลบหนีอีกล่ะสิ ปีศาจจิ้งจอกคาดคิดว่าการโยนเป้ของอาหลงครั้งนี้ เพียงต้องการที่จะสกัดกั้นการพุ่งกระโจนครั้งนี้ เพื่อที่จะมีเวลาหลบหนี  ปุ๊บ.. ไม่จำเป็นที่จะต้องหลบ ปีศาจจิ้งจอกเพียงใช้เท้าหน้าสะบัดกระเป๋าเป้กระเด็นไปด้านข้าง ผั๊ว...ตู้ม ปีศาจจิ้งจอกถูกฟาดหวดตรงกลางหัวการกระโจนถึงกลับกลายเป็นการพุ่งลงพื้น

    อาหลงเห็นว่าปีศาจจิ้งจอกรวดเร็วถึงเพียงนี้ ต่อให้หนีก็คงหนีไม่พ้น จึงตัดสินใจที่จะสู้ตาย หากไม่รอดก็ขอลากเจ้าปีศาจตัวนี้ตามไปด้วย การโยนเป้เป็นเพียงการเบี่ยงเบนสายตาของปีศาจจิ้งจอก เมื่อเห็นว่าปีศาจจิ้งจอกตวัดเท้าใส่เป้ให้พ้นทาง อาหลงจึงพุ่งสวนฟาดกระบองดิ้วส์ใส่บริเวณหัวเต็มๆ การพุ่งสวนของอาหลงสร้างความแปลกใจให้ปีศาจจิ้งจอก เนื่องจากมันคิดว่าอาหลงจะต้องวิ่งหนีเป็นแน่ไม่คิดว่าจะยินยอมสู้ตาย ผลลัพท์ที่ได้จึงกลายเป็นว่าตัวมันถูกฟาดด้วยกระบองเสียเอง

    ไม่รอให้เวลาเสียเปล่า อาหลงหวดเท้าขวาเข้าสีข้างปีศาจจิ้งจอกเต็มๆ ตู้มมม... ปีศาจจิ้งจอกยังไม่ทันตั้งตัว การถูกฟาดยังทำให้งงงวยไม่หายร่างก็ถูกเตะเข้าอย่างจัง ปีศาจจิ้งจอกกระเด็นไปสองสามเมตร อาหลงยังแปลกใจในพละกำลังของตนเอง ตั้งแต่การขว้างก้อนหินในครั้งแรกแล้ว การฟาดการเตะยังสร้างความรุนแรงได้ถึงเพียงนี้ ไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีความแข็งแรงสามารถที่จะต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกได้

    สลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไป อาหลงรีบพุ่งตัวตามติดปีศาจจิ้งจอกหวังที่จะฟาดซ้ำอีกครั้ง เอานี่ไปกิน อาหลงสะบัดแขนแทงตรงอย่างแรง การเคลื่อนไหวตั้งแต่ฟาดหวด เตะ และพุ่ง กระทำตามติดกันด้วยความรวดเร็ว หากปีศาจจิ้งจอกไม่ประมาทคู่ต่อสู้ ย่อมสามารถจัดการอาหลงได้โดยง่ายดาย เพียงแต่คิดตอนนี้นับว่าสายเกินไป ปลายกระบองแทงทะลุเข้าร่างปีศาจจิ้งจอกตรงช่วงไหล่ถึงสามนิ้ว แม้ปีศาจจิ้งจอกจะมีร่างกายที่แข็งแรง ดาบกระบี่ทั่วไปไม่อาจทำร้ายได้ แต่กระบองดิ้วส์เป็นวัสดุจากโลกอนาคต ความแข็งแกร่งยังเหนือล้ำกว่ากระบี่และดาบวิเศษทั่วไปเสียอีก เนื่องจากตัวกระบองทำจากวัสดุสังเคราะห์ซึ่งยุคนี้ไม่สามารถจัดสร้างขึ้นได้ บวกกับความแรงและเร็วในการแทงจึงทำให้กระบองทะลุผิดเนื้อเข้าไปได้

    “ไหม้ไปซะเถอะมึง...”อาหลงคำรามก้อง กดสวิทซ์ปล่อยกระแสไฟเข้าไปเต็มที่

    “อ๊ากก......โฮก.....”ปีศาจจิ้งจอกส่งเสียงร้องโหยหวน ความเจ็บปวดครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดตั้งแต่มันหนีรอดจากการต่อสู้กับเทพสับประยุทธ์ ฮืมมม มันฝืนร่างกลิ้งตัวไปกับพื้น หลุดรอดไปได้ แต่ก็บาดเจ็บสาหัส เมื่อกลิ้งตัวหลุดได้แล้วมันก็ลุกขึ้นยืน พุ่งถอยหลังเพื่อตั้งหลักและป้องกันการโจมตีซ้ำของอาหลง

    ตอนนี้สถานการณ์ กลับกลายมาเป็นการจ้องคุมเชิงกัน อาหลงเมื่อเห็นว่าปีศาจจิ้งจอกรอดไปได้ก็ไม่ได้ซ้ำเติม เพราะการจู่โจมที่ผ่านมาทำให้เหนื่อยแทบอ่อนแรง ซ้ำอาการปวดยังคอยรบกวนอยู่ตลอด แม้เวลานี้จะไม่ได้ปวดมากเหมือนตอนแรกแล้วก็ตาม

    แฮ่..ฮืม ปีศาจจิ้งจอกขู่คำราม หางทั้งเก้าสั่นไหวไปมา แล้วทันใดนั้นมันก็สะบัดหางหนึ่งข้างปล่อยขนหางออกมา ขนจากหางปีศาจจิ้งจอกเมื่อหลุดออกจากร่างกายกลับแข็งเป็นแท่งตรงราวกับเข็ม พุ่งออกมานับสิบเป้าหมายคืออาหลงที่อยู่ตรงหน้า

    “เฮ้ย..”อาหลงตกใจรีบม้วนตัวล้มกลิ้งไปทางซ้ายมือ ฉึกๆๆ เสียงขนหางปักลงบนพื้นแสดงถึงความรุนแรงหากแม้นโดนร่างกายคงอาหลงคงกลับกลายเป็นเม่นตัวหนึ่ง

    เมื่อเห็นว่าอาหลงยังหลบรอดได้ ครั้งนี้ปีศาจจิ้งจอกไม่ออมรั้งยั้งมืออีกต่อไป หางทั้งเก้าสะบัดเหวี่ยงพร้อมกัน ขนหางพุ่งออกมานับร้อยครอบคลุมพื้นที่ห้าหกวา กิ๊ง กิ้ง ๆๆ อาหลงไม่มีที่ให้หลบ จึงฝืนใจหวดกระบองปัดป่ายอาวุธลับขนหางนับร้อยเหล่านั้น

    แม้อาหลงจะสามารถปัดป่ายไปได้นับสิบ ป้องกันไม่ให้โดนใบหน้าใด้ แต่ด้วยจำนวนอันมากมายย่อมมีส่วนใหญ่ที่โดนจุดอื่นๆตามร่างกาย หัวไหล่แขนขา ลำตัว เต็มไปด้วยขนหางความแรงถึงกับส่งร่างอาหลงกระเด็นไปหลายก้าว ตุบ ตุบ ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ปีศาจจิ้งจอกกระโจนคร่อมร่างอาหลงทันที

    ฮ่าห์... ปากกว้างฟันอันแหลมคมพุ่งตรงขย้ำคอของอาหลง คราครั้งนี้ปีศาจจิ้งจอกเล็งจุดตายได้อย่างแม่นยำ อาหลงมันมีเวลาให้หลบหลีกก็ถูกกัดที่ต้นคออย่างแรง เลือดพุ่งกระฉูดออกมาราวเทน้ำ

    “อ๊ากก...”อาหลงร้องลั่น ร่างกายอ่อนล้า สติเริ่มเลือนราง ก่อนที่สายตาจะปิดก็พลันไปเห็นกระบี่ที่เสียบอยู่กลางอกของปีศาจจิ้งจอกตนนี้ ซึ่งอยู่เหนือปลายเท้าเพียงสองฝ่ามือ อาหลงตัดสินใจรวบรวมกำลังที่เหลือตวัดเท้าเตะเต็มแรงไปยังด้ามจับกระบี่เล่มนั้น หวังไว้ว่ากระบี่เล่มนี้จะซ้ำเติมเจ้าปีศาจจิ้งจอกให้ตกตายไปพร้อมกับตนเอง

    หากปีศาจจิ้งจอกใช้ยุทธวิธีคอยสร้างบาดแผลไปเรื่อยๆหรือเข้ากัดทางด้านอื่นยังพอทำเนา แต่มันกลับลืมเลือนไปว่ากลางอกของตัวมันมีกระบี่เทพอัคคีปักอยู่ เมื่อมันคร่อมอยู่บนตัวอาหลงก็ไม่ต่างกับการเสนอหน้าอกให้สัตรูซ้ำกระบี่ “อ๊ากกกก....”ปีศาจจิ้งจอกถึงกับอ้าปากปล่อยอาหลง เสียงร้องครั้งนี้ดังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา กระบี่เทพอัคคีที่มันใช้ชีวิตมนุษย์เก้าสิบเก้าคนในการถอนออกมาเกือบจะหมดกลับถูกมนุษย์ตรงหน้าซ้ำเติมกลับเข้าไปอีกความแรงในการเตะแม้จะไม่มากแต่ก็เพียงพอให้กระบี่แหวกฝ่าทะลุเข้าไปถึงหัวใจของปีศาจจิ้งจอก

    ตุ้มม. ร่างกายอันใหญ่โตของปีศาจจิ้งจอกกระตุกและล้มทับอาหลงที่อยู่ใต้ท้อง เลือดไหลออกจากตัวกระบี่ไหลย้อมร่างกายของอาหลงราวกับเป็นมนุษย์โลหิตตัวหนึ่ง ความเจ็บปวดจากบาดแผล ความแรงจากการล้มทับของปีศาจจิ้งจอกทำให้อาหลงถึงกับหมดสติไปทันที

    ทันใดนั้น ร่างกายของปีศาจจิ้งจอกเริ่มมีกลุ่มควันพวยพุ่ง กระบี่เทพอัคคีเมื่อไม่มีพลังอื่นใดมากดดัน ก็เปล่งอานุภาพได้อย่างเต็มที่เผาผลาญร่างกายเลือดเนื้อของปีศาจจิ้งจอกไปในทันที ส่วนตัวอาหลงที่อยู่ใต้ร่างกายของปีศาจจิ้งจอกก็ถูกพลังจากกระบี่เทพอัคคีเผาผลาญไปด้วยเช่นกัน แต่เรื่องไม่คาดหมายก็เกิดขึ้น เลือดของปีศาจจิ้งจอกที่ไหลย้อมทั่วร่างของอาหลงกลับไหลเข้าสู่ร่างกายของอาหลงตามบาดแผลต่างๆ และแล้วร่างกายของปีศาจจิ้งจอกก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน ขนหางที่ปักอยู่ตามร่างกายของอาหลงก็ถูกเผาไหม้ไปด้วย คงเหลือเพียงอาหลงที่ไม่ถูกพลังกระบี่เผาไหม้ไปหมด เพียงแต่มีบาดแผลจากการถูกไฟไหม้ขนาดใหญ่ทั่วตัว เสื้อผ้าถูกเผาไหม้จนหมดคงเหลือแต่กางเกงและร้องเท้า

    และร่างกายอันพิสดารของอาหลงก็ทำการสมานตัวเองในทันที ความรวดเร็วในการฟื้นคืนนับว่ารวดเร็วกว่าครั้งแรกมากนัก เมื่อเวลาผ่านไปราวธูปไหม้ครึ่งดอก บาดแผลของอาหลงก็สมานตัวเองไปหมดสิ้นไม่หลงเหลือบาดแผลใดๆให้เห็น เศษเถ้าจากการเผาไหม้ของปีศาจจิ้งจอกก็ปลิวหายไปกับสายลม เหลือเพียงกระบี่โบราณสีดำทึมๆตกอยู่ข้างกาย

    ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งขึ้นมาตามทาง เวลานี้เมฆหมอกที่ปกคลุมเริ่มสลายหายไปหมดแล้วนับตั้งแต่ปีศาจจิ้งจอกตายไป เห็นเงาร่างห้าร่างพุ่งตรงมายังบริเวณที่อาหลงนอนสลบอยู่ เมื่อเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าคนเหล่านี้แต่งกายเช่นนักพรต ข้างกายมีกระบี่ห้อยอยู่ นักพรตทั้งห้าคนอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์  ใบหน้าแดงเปล่งปลังแสดงให้เห็นถึงพลังลมปราณที่สมบูรณ์เปี่ยมล้น

    นักพรตทั้งห้านี้ก็คือศิษย์เอกของปรมาจารย์จางซานฟงแห่งสำนักบู้ตึงนั่นเอง ประกอบไปด้วย ซ่งเอี๋ยงเกี๊ย,หยู่เหน่ยจิว, หยู่ไต่ง้ำ, เตียส่งโคย ,เตียชุ่ยซัว เสียงร้องครั้งสุดท้ายของปีศาจจิ้งจอกดังก้องไปไกลนับสิบลี้ เหล่าลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่รักษาค่ายกลกักปีศาจจึงรีบไปแจ้งยังอาจารย์ และอาจารย์ก็มอบหมายให้ศิษย์เอกทั้งห้ามาตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น

    “พี่ใหญ่บรุษหนุ่มผู้นี้ยังไม่ตาย” ยู่เหน่ยจิวพูดขึ้นหลังจากจับชีพจรข้อมือของอาหลง

    “อืม..” ซ่งเอี๋ยงเกี๊ยหรือพี่ใหญ่คือศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักบู้ตึง มีความคิดที่รอบคอบเป็นคนที่สุขุมจึงได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์ให้คอยดูแลเหล่าศิษย์น้องในสำนักทุกครั้งที่ท่านเก็บตัวค้นคว้าวิชาฝีมือ

    “บรุษหนุ่มผู้นี้ช่างแต่งกายแปลกประหลาดนัก หรือว่าเป็นคนนอกแผ่นดินใหญ่(ชาวต่างชาติ)”หยู่ไต่ง้ำพิจารณาการแต่งกายของอาหลง ซึ่งหยู่ไต้ง้ำเป็นคนช่างสังเกต แม้จะเหลือเพียงกางเกงกับรองเท้าก็พอจะดูออกว่าไม่ใช่เสื้อผ้าของชาวฮั่น

    “รอบบริเวณแห่งนี้มีต้นไม้หักโค่น ราวกับว่าเกิดการต่อสู้ขนาดใหญ่ขึ้น แต่ดูจากร่างกายของบรุษหนุ่มผู้นี้ไม่น่าจะเกิดจากฝีมือของเขา”เตียชุ่ยซัวศิษย์ลำดับที่ห้าพูดขึ้น

    “แล้วเจ้าล่ะน้องสาม เจ้ามีความคิดเห็นว่ายังไง”ซ่งเอี๋ยงเกี๊ยถามไปยังเตียส่งโค้ยศิษย์ลำดับสี่ ที่เวลานี้ไม่ได้สนใจใจตัวอาหลงหรือร่องรอยการต่อสู้ต่างๆ แต่มองไปรอบทิศราวกับสักเกตุถึงอะไรบางอย่าง

    “ศิษย์พี่ ท่านรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้แปลกๆไปไหม ครั้งก่อนที่เราขึ้นมาถึงบริเวณนี้อากาศเย็นกว่านี้มาก และหมอกก็หนามากแทบไม่อาจเห็นหนทางได้เลย หากบอกว่าเวลานี้ใกล้ยามเที่ยงแล้วหมอกถึงจางก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะพื้นที่โดยรอบของหุบเขาหมอกมรณะมีหมอกปกคลุมทั้งปี ต่อให้ย่างเข้าฤดูร้อนก็ตาม”เตียส่งโค้ยกล่าวขึ้น

    ทุกคนจึงเหลียวมองไปรอบๆและก็สังเกตได้ถึงบรรยากาศดังกล่าว อากาศสดชื่น แสงแดดทอดผ่านตามแนวต้นไม้ เสียงนกกาขับร้อง ซึ่งแตกต่างจากช่วงเวลาปกติ

    “เป็นอย่างที่น้องสี่พูด เวลานี้กลิ่นอายปีศาจก็ไม่มีแล้ว แปลกจริง ปกติพื้นที่ตรงนี้เป็นรัศมีหากินของปีศาจจิ้งจอก”ซ่งเอี๋ยงเกี้ยขานรับ และกล่าวพึมพำ

    “ทุกคนแยกย้ายกันออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบรัศมีห้าสิบก้าว หากมีอะไรผิดปกติให้ส่งสัญญาณบอกคนอื่นๆ”ซ่งเอี๋ยงเกี้ยสั่งการเหล่าศิษย์น้อง

    ทุกคนแยกย้ายกันออกสำรวจ ตัวซ่งเอี๋ยงเกี้ย ยืนพิจารณาอาหลงอยู่เงียบๆ เมื่อเหลือบมองไปยังกระบี่ที่วางอยู่ข้างตัวอาหลงเห็นว่าตัวกระบี่ดูธรรมดา ฝักกระบี่ก็ไม่มี ด้ามจับแม้จะมีลวดลายที่ดูแปลกตา แต่ตัวกระบี่กลับไร้ประกาย หากเป็นกระบีที่ดี ตัวกระบี่ต้องผ่านการเผาไหม้นับสิบครั้ง ผ่านการทุบนับร้อยครั้งเหล็กที่ใช้ก็ต้องเป็นเหล็กที่มีคุณภาพ แต่นี่กลับดำทึมๆ ราวกระบี่ขึ้นสนิมก็ไม่ปาน

    แล้วสายตาก็ไปหยุดตรงบริเวณด้านข้างอาหลง ซ่งเอี๋ยงเกี้ยก้มกายลงจ้องมองไปยังพื้นดินตรงนั้น รอยเท้าขนาดฝ่ามือแม้จะดูเลือนราง แต่หากสักเกตุให้ดีจะเห็นว่าเป็นรอยเท้าของสัตว์สี่เท้าประเภทสุนัขขนาดใหญ่ ซึ่งรอยเท้านี้เกิดขึ้นตอนที่ปีศาจจิ้งจอกกระโจนคร่อมร่างอาหลง

    “แปลกมาก หากเจ้าหนุ่มนี่ต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอก ทำไมร่างกายจึงไม่มีบาดแผลอะไรเลย แล้วปีศาจจิ้งจอกหายไปไหน ทำไมถึงปล่อยมนุษย์ที่เป็นเหยื่อชั้นดีทิ้งไว้”ซ่งเอี๋ยงเกี้ยรำพึงสันนิฐานขึ้น

    เสียงสวบสาบดังมาจากซ้ายมือ เตียชุ่ยซัวเดินออกจากเงาไม้ในมือถือถุงผ้าใบใหญ่ รูปลักษณ์ที่แปลกตา

    “ศิษย์พี่ ข้าเจอถุงผ้าประหลาดตรงพุ่มไม้ด้านโน้น”เตียชุ่ยซัวพูดพร้อมชี้มือไปยังทิศทางที่ตัวเองเดินจากมา ซึ่งถุงผ้านี้ก็คือกระเป๋าเป้ของอาหลงที่ปีศาจจิ้งจอกปัดทิ้งไป

    แล้วหยู่เหน่ยจิว, หยู่ไต่ง้ำ, เตียส่งโคย เดินออกมาโดยพร้อมเพรียง ในมือหยู่ไต้ง้ำถือแท่งเหล็กประหลาดยาวราว 3 เชี๊ยะ ซึ่งก็คือกระบองดิ้วส์ของอาหลง ครั้งสุดท้ายที่อาหลงถือคือตอนที่ปัดป่ายขนหางของปีศาจจิ้งจอก ด้วยความแรงถึงแม้จะปัดไปได้นับสิบแต่ก็ทำให้กระบองดิ้วส์กระเด็นหลุดจากมือ

    “ศิษย์พี่ ข้าพบรอยเท้าสัตว์ประเภทสุนัขขนาดใหญ่หลายสิบรอยรอบพื้นที่ตรงนี้”หยู่เหน่ยจิวกล่าวขึ้น

    “ส่วนข้าเจอแท่งเหล็กประหลาดๆ ตกอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่ทราบว่าทำจากอะไรแข็งแรงทนทานยิ่ง ข้าลองเกร็งกำลังฟาดกับต้นไม้ดู ปรากฏว่าต้นไม้ขนาดท่อนแขนถึงกับหักโค่นลงมา”หยู่ไต้ง้ำกล่าวด้วยความตื่นเต้น

    “บริเวณโดยรอบรัศมีห้าถึงสิบก้าวไม่มีร่องรอยของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเลย แต่พบสัตว์ป่ามากมายเดินออกมาเพ่นพ่าน ราวกับว่าไม่เกรงกลัวปีศาจจิ้งจอกเหมือนที่ผ่านมา”เตียส่งโค้ยกล่าวพร้อมทั้งสันนิฐาน

    “ที่นี่เกิดอะไรขึ้น บุรุษหนุ่มนี้เป็นใคร ไฉนถึงมาสลบอยู่ตรงนี้ได้ แท่งเหล็กประหลาดที่ศิษย์น้องสามพบรวมทั้งการหายไปของปีศาจจิ้งจอก ทั้งหมดคงต้องรอให้ผู้คนฟื้นขึ้นมาถึงจะสอบถามได้ ตอนนี้พาคนผู้นี้ขึ้นเขาก่อน กราบเรียนให้อาจารย์ทราบเพื่อจะดำเนินการต่อไป”ซ่งเอี๋ยงเกี้ยกล่าวพร้อมกับโอบอุ้มร่างอาหลง

    ทุกคนกำลังจะติดตามไป แต่เตียชุ่ยซัวกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ แล้วกระบี่เล่มนี้ล่ะเอาไปด้วยไหม”

    “อืม  คิดว่าคงเป็นอาวุธของชายหนุ่มคนนี้ เจ้าก็หยิบติดมือมาด้วยก็แล้วกัน”พูดจบก็หันหน้าออกเดิน

    เตียชุ่ยซัวก้มลงเก็บกระบี่ อึ้บ... เรื่องประหลาดพลันเกิดขึ้น กระบี่เหล็กที่ดูขึ้นสนิมไร้ราคากลับมีน้ำหนักมากถึงเพียงนี้ เตียชุ่ยซัวเป็นศิษย์ลำดับห้าของเจ้าสำนักบู้ตึงย่อมมีวิชาฝีมือไม่ต่ำทราม แต่กลับไม่สามารถยกกระบี่เล่มนี้ขึ้นได้ เมื่อเกร็งกำลังที่แขนจับด้ามกระบี่ ย๊ากกก... แม้จะใช้กำลังถึงหกส่วนก็ไม่อาจโยกคลอนกระบี่แม้เพียงเล็กน้อง

    ตุบๆๆ.. เหงื่อจากฝ่ามือทำให้เตียชุ่ยซัวไม่อาจถือกระบี่มั่น ทำให้ตนเองล้มก้นจ้ำเบ้า คนอื่นๆได้ยินเสียงจึงหันมามองด้วยความแปลกใจ

    “ศิษย์น้องห้า เจ้ากำลังเล่นอะไรเหรอ”หยู่ไต้ง้ำกล่าวขึ้นพร้อมเดินกลับมาหา

    “ศิษย์พี่กระบี่เล่มนี้มีอาถรรพ์นัก ข้ายกเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น”เตียชุ่ยซัวกล่าวพร้อมชี้มือไปยังกระบี่

    ทุกผู้คนได้ยินดังนั้นจึงเดินกลับมาดู กระบี่ก็ยังคงดูเป็นกระบี่ขึ้นสนิมเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างจากกระบี่ทั่วไปนัก

    “น้องห้า ท่านล้อพวกเราเล่นหรือเปล่า”หยู่เน้ยจิวกล่าวขึ้น เนื่องจากรู้จักนิสัยศิษย์น้องคนนี้ดี แม้จะอายุสิบเก้าปีแล้ว แต่ก็ยังมีการละเล่นแบบเด็กๆ บางครั้งก็มักจะบางครั้งก็มักจะคอยหาเรื่องแกล้งให้ศิษย์พี่ได้ปวดหัวอยู่เสมอ

    “ข้าไม่ได้แกล้งพวกท่านนะ หากไม่เชื่อศิษย์พี่ลองเข้ามาทดสอบดูเอาเอง”เตียชุ่ยซัวลุกขึ้นยืนพร้อมปัดฝุ่นที่เกิดจากการล้มลง

    “ไหน จะลองดูหน่อยซิว่ามันจะมีอาถรรพ์ขนาดไหน”หยู่เน้ยจิวเดินเข้าไปมือขวากำด้ามกระบี่แน่นมือซ้ายกุมข้อมือขวาอีกที ฮึบ... กระบี่ไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อนแม้เพียงนิดเดียว

    ซ่งเอี๋ยงเกี้ยสังเกต เห็นว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา เพราะหยู่เน้ยจิวเป็นศิษย์น้องที่มีฝีมือดีพลังวัตรและลมปราณไม่ห่างจากตนเองสักเท่าไร เพียงแค่กระบี่ธรรมดาๆเล่มหนึ่งไม่น่าจะกินแรงมากถึงเพียงนี้ แล้วพลันเห็นว่าหยู่เน้ยจิว เกร็งลมปราณแห่งเต๋า อันเป็นพลังลมปราณที่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านอาจารย์ อืบบ  ย้ากกก.. ผลุบ โอ้ย หยู่เน้ยจิวเกร็งลมปราณและออกแรงดึง แต่ก็ไม่อาจโยกคลอนกระบี่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเองออกแรงมากจนกระดูกข้อศอกหลุดเป็นเหตุให้ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า

    ทุกคนถึงกับตกใจรีบเข้าไปช่วยเหลือศิษย์พี่ “พี่ใหญ่ พี่รองกระดูกหลุด ทำยังไงดี”เตียชุ่ยซัวกล่าวอย่างกระวนกระวาย

    ซ่งเอี๋ยงเกี้ยวางร่างอาหลงลง และเดินเข้าไปดู “ไต้ง้ำ เจ้าไปหาท่อนไม้มาศิษย์พี่จะทำการเชื่อมต่อกระดูก ชุ่ยซัวเจ้ากับส่งโคย ไปจัดทำแคร่ไม้ไผ่ เมื่อแยกย้ายกันไป ซ่งเอี๋ยงเกี้ยก็ลูบคลำบริเวณข้อศอก เห็นว่าไม่มีกระดูกหักเพียงแค่หลุดออกจากข้อต่อจึงกล่าวกับศิษย์น้อง “เน้ยจิว ทนเจ็บหน่อยนะ

    “ข้าพร้อมแล้วศิษย์พี่”หยู่เน้ยจิวกล่าวพร้อมกัดฟันเตรียมรับความเจ็บปวด

    กึก กึก อืมมมม  หยู่เน้ยจิ้วถึงกับส่งเสียงร้องออกมาเมื่อซ่งเอี๋ยงเกี้ยดันกระดูกให้เข้าที่ สักพักยู้ไต้ง้ำก็เดินมาพร้อมกับท่อนไม้ขนาดเล็กสองสามท่อน ซ่งเอี๋ยงเกี้ยประกบท่อนไม้บริเวณแขน และใช้ผ้าคาดเอวมัดยึดให้แน่น “เน้ยจิ้วเจ้าพยายามอย่าขยับแขนข้างนี้ เมื่อกลับถึงสำนักค่อยขอยาเชื่อมต่อฟ้าจากอาจารย์ ไม่เกินสิบวันแขนเจ้าก็กลับมาใช้งานได้เป็นปกติ”ซ่งเอี๋ยงเกี้ยกล่าวปลอบโยนศิษย์น้อง

    “ขอบคุณศิษย์พี่”หยู่เน้ยจิวกล่าว พอดีกับที่เตียชุ่ยซัวและเตียส่งโคยจัดทำแคร่ไม้ไผ่เดินเข้ามา เมื่อจัดแจงให้หยู่เน้ยจิวนั่งบนแคร่ไม้ไผ่แล้ว ซ่งเอียงเกี้ยก็โอบอุ้มอาหลงขึ้น “พวกเรารีบกลับสำนักกันเถอะ เน้ยจิวต้องรีบรับการรักษา ชุ่ยซัวกับส่งโคยหาบแคร่ ไต้ง้ำเก็บของที่เหลือ”

    “ศิษย์พี่ แล้วกระบี่นี่ล่ะจะทำยังไงดี”ยู้ไต้ง้ำกล่าวขึ้น

    “ปล่อยไว้อย่างนี้ก่อน เรียนอาจารย์ให้ทราบแล้วค่อยคิดอ่านกันอีกที”ซ่งเอี๋ยงเกี้ยพูดขึ้น

    “แล้วถ้ากลับมามันไม่อยู่ที่เดิมล่ะศิษย์พี่”ยู้ไต้ง้ำยังซักถามข้อข้องใจ

    ซ่งเอี๋ยงเกี้ยก็ไม่ตำหนิศิษย์น้องที่ถามมากความ เพียงยิ้มที่มุมปาก “เจ้าคิดว่าระดับศิษย์พี่รองออกแรงจนเป็นแบบนี้ยังไม่อาจยกกระบี่ขึ้นได้ แล้วจะมีใครสามารถเคลื่อนย้ายมันไปได้ล่ะ หากไม่ใช่อาจารย์มาเอง มันก็คงอยู่แบบนี้ไม่ไปไหนหรอก” และแล้วทุกคนก็เคลื่อนตัวออกจากบริเวณดังกล่าว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×