คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ย้อนสู่อดีต
ณ ด่านซันไห่ ซึ่งได้ฉายาว่า “ด่านที่หนึ่งในไต้หล้า” ป้อมประตูหนึ่งของกำแพงเมืองจีน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ป้องกันการรุกรานจากทางทิศเหนือของกรุงปักกิ่ง เป็นด่านที่ถูกสร้างขึ้นในยุค ราชวงค์หมิง และมีบทบาทอย่างมากในประวัติศาสตร์ช่วงราชวงค์หมิงและราชวงค์ชิง เป็นจุดพลิกผันสถานการณ์ถึงขั้นเปลี่ยนแผ่นดินจีนเลยทีเดียว
และปัจจุบันด่านซันไห่เป็นจุดชมวิวที่สวยงามของกำแพงเมืองจีน มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสาย อาหลงก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวเหล่านั้น อาหลงมาถึงเมืองจีนได้สองวันแล้ว นึกย้อนไปนับตั้งแต่ลงเครื่องคุณน้าอี้หลงก็พาลูกน้องมารอรับถึงสนามบิน ซึ่งแกให้เหตุผลว่าไปตรวจดูงานในกระทรวงแต่ขบวนรถที่ติดตามราวกับว่าเป็นบุคคลสำคัญทำให้อาหลงถึงกับหน้าแดง เมื่อมาถึงบ้านใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของอากงและอาม่า อาหลงก็เข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ผู้ดูแลบ้านทั้งชายหญิงจัดห้องนอนให้อาหลงเป็นที่เรียบร้อย ในเย็นวันนั้นทางบ้านจัดงานเลี้ยงต้อนรับใหญ่โต ญาติพี่น้องจากทั่วสารทิศซึ่งบางคนอาหลงเคยได้ยินเพียงชื่อ ในวันนี้ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา แสดงให้เห็นว่าอาหลงมีความสำคัญต่อตระกูลมากเพียงไร
ตระกูลหลง เป็นตระกูลเก่าแก่ มีประวัติยาวนานนับร้อยปีผู้นำตระกูลในรุ่นแรกๆเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนัก สืบต่อมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานและเหลน อาหลงจัดอยู่ในรุ่นที่23 ซึ่งถือว่าเป็นสายตรงของตระกูล แม้แต่ชื่อเล่นยังเรียกเป็น อาหลง อากงกับอาม่ารักและเอ็นดูหลานคนนี้มาก ถึงกับมีข่าววงในของตระกูลว่าผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปอาจจะเป็นอาหลงคนนี้ก็เป็นได้
อากงและอาม่าในอดีตเคยเป็นผู้นำระดับสูงในกองทัพช่วงสงครามเย็น แม้จะผ่านการสู้รบและการเปลี่ยนแปลงจากสงครามโลกมามากเพียงใด แต่ความสำคัญของอากงและอาม่าในกองทัพยังคงไม่เสื่อมคลาย แม้ท่านจะพากันปลดประจำการอยู่กับบ้านดูแลบุตรหลาน ก็ยังคงมีคนในแวดวงการเมืองและหน่วยงานราชการคอยแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนและแสดงความเคารพอยู่เสมอๆ
บุตรของท่านมีทั้งสิ้นห้าคนบุตรคนโตเป็นแม่ของอาหลง คนรองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาสามเป็นคุณน้าอี้หลงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจนครบาลกรุงปักกิ่ง อาสี่เป็นนักการทูตกงสุลใหญ่ประจำประเทศอังกฤษ ส่วนอาห้าทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กิจการแทบครอบคลุมทั่วกรุงปักกิ่ง ซึ่งบุตรคนรองถึงคนที่ห้าได้มีการงานทำที่มั่นคง ส่วนหนึ่งเป็นความพากเพียรของอากงอาม่าและคุณแม่ของอาหลง สมัยเด็กๆคุณแม่ต้องช่วยงานของอากงอาม่าและคอยดูแลน้องๆทั้งสี่แทนเนื่องด้วยทั้งคู่วุ่นวายกับงานทางการทหาร ทำให้ไม่มีเวลามาดูแลลูกๆคุณแม่ของอาหลง ซึ่งตอนนั้นโตพอจึงทำหน้าที่ดูแลน้อง น้องๆทั้งสี่จึงให้ความเคารพรักพี่สาวคนโตนี้เป็นอย่างมากพลอยเผื่อแผ่ไปยังอาหลงซึ่งเป็นบุตรชาย
หลังงานเลี้ยงต้อนรับในวันต่อมาอาหลงก็ไปติดต่อกับมหาวิทยาลัยกรุงปักกิ่งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านใหญ่แค่เพียงเดินทางด้วยรถครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมื่อเสร็จเรื่องจากมหาลัยอาหลงก็แวะไปกรมตำรวจกรุงปักกิ่ง ไปเยี่ยมคุณน้าและพี่ๆทั้งหลายในกรมตำรวจรวมไปถึงเข้าฝึกซ้อมร่างกาย ในวันนี้คุณน้าอี้หลงได้มีของขวัญชิ้นพิเศษให้อาหลงตามที่เคยพูดไว้ทางโทรศัพท์ ของขวัญชิ้นนี้อาหลงชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นกระบองดิ้วส์ที่จัดสร้างโดยนักวิจัยและวิทยาศาสตร์ของกรมตำรวจ วันนี้ทั้งวันอาหลงจึงเฝ้าฝึกซ้อมการใช้กระบองดิ้วส์เพียงอย่างเดียว เพื่อต้องการความคุ้นเคยกับการใช้งาน
“อาหลง นายไม่ได้มาฝึกซ้อมเสียนานแต่ฝีมือยังไม่ตกลงไปเลยนะ”หวงต้าเฟย หนึ่งในหน่วยจู่โจมพิเศษของกรมตำรวจ ซึ่งมักจะเป็นคู่ฝึกซ้อมกับอาหลงอยู่เสมอ มีอายุมากกว่าอาหลงเพียงเจ็ดปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยที่สุดในกรมตำรวจก็ว่าได้ มีความสนิทสนมกับอาหลงเป็นพิเศษเพราะความชื่นชอบในศิลปะการป้องกันตัวที่เหมือนกัน ในการต่อสู้ฝึกซ้อมแต่ละครั้ง อาหลงมักจะแพ้ให้กับหวงต้าครึ่งท่ากระบวนเพลงอยู่เสมอ
“พี่หวงต้าก็ยังคงเก่งขึ้น นี่ถ้าพี่ออกแรงมากกว่านี้ผมแพ้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกเห็นจะได้”อาหลงตอบ ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในอาคารฝึกซ้อมของกรมตำรวจ อาคารแห่งนี้มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกหลากหลาย หากจะบอกว่าเป็นห้องฟิตเนสห้องหนึ่งก็เห็นจะได้ เพียงแต่ยังมีห้องซ้อมยิงปืน ห้องจำลองการช่วยเหลือตัวประกัน และอื่นๆอีกมากที่ฟิตเนสไม่มี รวมไปถึงห้องหนังสือที่รวบรวมศาสตร์วิชาการต่อสู้ทุกรูปแบบให้ได้หาอ่าน
อาหลงสวมชุดและหน้ากากป้องกันการกระแทก กำลังฝึกซ้อมใช้กระบองดิ้วส์กับหวงต้า เนื่องจากกระบองดิ้วส์มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากการฝึกซ้อมแค่ทำท่าทางมันขาดความรู้สึกถึงแรงปะทะเวลาฟาดฟัน ทำให้ทั้งสองตัดสินใจที่จะสวมใส่เครื่องป้องกัน และเอากระบองฟาดกันเต็มที่ แม้จะไม่ทำให้บาดเจ็บ แต่ก็ทำให้มึนๆบ้างในการจู่โจมบางครั้ง แต่ก็ทำให้ได้รสชาติถึงการต่อสู้แบบของจริง
“นายไปเรียนรู้วิธีใช้เข่ากับศอกจากไหนมาเหรอ ร้ายกาจมาก หากไม่มีเครื่องป้องกันรับรองว่าพี่ได้เจ็บหนักแน่นอน”หวงต้าถามขึ้น
“ก็มวยไทยครับพี่ ที่เมืองไทยโดยเฉพาะเชียงใหม่มีค่ายมวยดังๆเยอะ ชาวต่างชาติก็ไปร่ำเรียนกันมาก หากพี่มีเวลาได้ไปเที่ยวประเทศไทย ผมจะพาไปเยี่ยมค่ายมวยที่ผมเคยฝึกซ้อมอยู่”อาหลงพูดขึ้น ตอนนี้ทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นของสนามต่อสู้ที่ปูด้วยฟองน้ำกันกระแทก อาหลงถอดหมวกออกดื่มน้ำเย็นดับกระหาย
“มวยไทยที่พี่เคยเรียนมา ไม่มีท่าที่ร้ายกาจแบบนี้ เห็นทีต้องหาเวลาไปศึกษาเพิ่มเติมหน่อยล่ะ”หวงต้าพูดขึ้นอย่างหมายมั่นปั้นมือ
“มันเป็นมวยไทยโบราณพี่ มีการออกอาวุธที่อันตรายไม่เหมาะเวลาใช้ต่อสู้ในสนามบางท่าก็เป็นข้อห้ามของการแข่งในนัดนั้นๆ ที่เรียนที่เห็นชกกันอยู่ทุกวันนี้เป็นการประยุกต์ออกมาตัดทอนท่าทางที่อันตรายออกไปให้เหมาะสมกับการใช้ในการแข่งขันเท่านั้นแหละพี่”อาหลงอธิบายให้ทราบถึงความเป็นมา
หวงต้าเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น “ว่าแต่พรุ่งนี้นายมีโปรแกรมไปไหนหรือเปล่า”
“ไม่ครับ พี่มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”อาหลงตอบคำถามอย่างสงสัย
“พรุ่งนี้จะมีบุคคลสำคัญของประเทศอเมริกา เห็นว่าเป็นผู้ว่าการรัฐอะไรซักอย่างนี่แหละ มาเรื่องตกลงการเจรจาทางการเมืองกับจีน เสร็จแล้วจะแวะไปเยี่ยมชมด่านซันไห่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นด่านที่หนึ่งในใต้หล้า ทางผู้กำกับเลยจัดชุดรักษาความปลอดภัยโดยมอบหมายให้หน่วยจู่โจมพิเศษอารักขา”หวงต้าพูดขึ้น
“โห! ให้หน่วยจู่โจมพิเศษอารักขา มีอะไรหรือเปล่าพี่ ทำไมต้องใช้หน่วยงานถึงระดับนี้”อาหลงแปลกใจ เพราะหากให้หน่วยจู่โจมพิเศษออกโรง แสดงว่าเรื่องดังกล่าวต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และเป็นเรื่องที่มีผลกระทบในระดับสูง
หวงต้าเหลียวมองซ้ายขวาแล้วพูดเสียงกระซิบ “ได้ข่าวว่าผู้ว่าการรัฐคนนี้ถูกปองร้าย ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหน แต่ข่าววงในสืบทราบมาว่าอาจจะลงมือในประเทศจีน เพราะต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างจีนกับอเมริกา ยิ่งตอนนี้จีนของเรากำลังจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจแข่งขันกับอเมริกา คงมีมือที่สามต้องการป่วนให้เกิดสงคราม”
“แล้วพี่จะให้ผมช่วยอะไรได้ล่ะ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้”อาหลงไม่วายพูดขึ้นอย่างกังขา
“ด้วยฝีมือและชั้นเชิงอย่างนาย บวกกับที่นายเป็นแค่วัยรุ่นคงไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าพวกพี่ๆ จึงอยากให้นายคอยปะปนไปกับผู้คนคอยดูว่ามีบุคคลต้องสงสัยคนไหนบ้างแล้วรายงานให้พี่รู้”หวงต้าชี้แจงรายละเอียด
“อาอี้หลงรู้หรือเปล่าล่ะครับ ผมกลัวว่าอาจะไม่ให้ไปถ้ารู้เรื่องนี่สิ”อาหลงชั่งใจดู
“ในตอนแรกท่านผู้กำกับก็ห้ามอยู่เหมือนกัน แต่ทางหน่วยและคนอื่นๆให้การสนับสนุนนายและให้คำรับรองว่าจะไม่เกิดอันตรายโดยเด็ดขาด ท่านผู้กำกับจึงอนุญาต” หวงต้าพูดขึ้น
“อย่างนั้นก็ดีเลยสิพี่! แล้วจะให้ผมแต่งตัวยังไงล่ะ”อาหลงพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับหน่วยงานของกรมตำรวจ
“ก็แต่ตัวตามสบาย เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปนั่นแหละ จะได้ไม่เป็นที่สะสุดตา”หวงต้าแนะนำ
และอาหลงก็ได้มายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่าน ณ ใจกลางด่านซันไห่แห่งนี้ เป้ที่สะพายบนหลัง เสื้อเชริต กางเกงยีนต์รองเท้าผ้าใบ การแต่งตัวของอาหลงเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ในมือถือแผนที่และใบปลิวแนะนำสถานที่แห่งนี้ สายตาก็สอดส่ายมองไปทั่วราวกับชื่นชมทัศนียภาพ เห็นคนกลุ่มใหญ่สวมเสื้อสีสันหลากหลายห้อมล้อมบุคคลต่างชาติรูปร่างท้วมคนหนึ่ง มีนักข่าวมาสัมพาทย์พร้อมทั้งถ่ายภาพจากหลายสำนักข่าว นักท่องเที่ยวบางคนก็เข้าไปมุงดูด้วยความสนใจ
กลุ่มดังกล่าวคือคณะบุคคลสำคัญจากประเทศอเมริกา โดยกลุ่มคนที่อยู่รายล้อมอาหลงสังเกตเห็นหวงต้ารวมอยู่ตรงนั้น ขณะนี้เป็นเวลา 11.25 น. เป็นเวลาใกล้เที่ยง แต่อากาศไม่ได้ร้อนอบอ้าว เพราะช่วงนี้เป็นปลายฤดูหนาว แม้จะมีแดดออกแต่ก็ไม่ทำให้อากาศร้อนมากนัก
กลุ่มบุคคลสำคัญดูเหมือนจะเคลื่อนตัวออกจากพื้นที่กลับไปยังรถ อาหลงสอดส่องสายตาไปโดยรอบ ก็ยังไม่เห็นมีผู้ต้องสงสัย คาดว่าวันนี้คงผ่านไปโดยราบรื่น ขณะที่อาหลงหันหน้าเพื่อจะเดินไปซื้อน้ำที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของกำแพง สายตาก็พลันไปเห็นแสงกระพริบที่เกิดจากโลหะวัตถุต้องแสงอาทิตย์ ด้วยสัญชาตญาน อาหลงหันกลับไปตะโกนก้อง
“พี่หวงระวัง”
หวงต้าและกลุ่มผู้คุ้มกันเมื่อเห็นว่าบุคคลสำคัญคนนี้กำลังจะขึ้นรถ แสดงว่าเหตุการณ์ผ่านไปอย่างปกติจึงคลายความกังวลไปอย่างมาก แต่ก็ยังคอยติดตามอยู่อย่างใกล้ชิด แต่ใครจะคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดในช่วงท้ายรายการ เมื่อได้ยินเสียงร้องของอาหลง หวงต้ารีบเอาตัวเข้าบังและเอามือดันผู้ว่าการรัฐให้ก้มลงต่ำ
“ปุบ” ลูกปืนไรเฟิลไม่ทราบทิศทางวิ่งเข้าเจาะหัวไหล่ของหวงต้า ความแรงของกระสุนทะลุตัวไปโดนแขนของผู้ว่าการรัฐ แต่ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ผู้คุ้มกันชักปืนออกมาล้อมวงป้องกันกระสุนปริศนาเจ้าหน้าที่อีกสองคนรีบเดินไปเปิดประตูรถแวน พาผู้ว่าการรัฐขึ้นรถออกจากที่เกิดเหตุ ที่เหลือเรียกประสานงานรถพยาบาลรับตัวหวงต้าไปส่งโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่เหลือกระจายกำลังออกตามหาผู้ก่อเหตุ
อาหลงเมื่อเห็นว่าหวงต้าถูกยิง ก็ตกใจเป็นอันมาก แต่เมื่อเห็นหวงต้าเคลื่อนไหวตัวได้แสดงว่าไม่ถึงแก่ชีวิตอาหลงจึงเบนเข็มวิ่งไปยังทิศทางที่เห็นแสงกระพริบเมื่อสักครู่ทันที มุมกำแพงด้านทิศใต้มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาครึ้ม ซึ่งบริเวณนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยมาสำรวจสถานที่แล้วรอบหนึ่ง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนร้ายไปตั้งจุดยิงบนกำแพงเมืองจีน เนื่องจากจะมีผู้คนสัญจรไปมาแล้ว ยังเสี่ยงต่อการถูกกล้องจากดาวเทียมตรวจจับได้ แต่เมื่ออาหลงวิ่งมาถึงก็เห็นป้ายซ่อมแซมทางชำรุด วางขวางทางเข้า แสดงว่าคนร้ายปลอมตัวเป็นคนงาน แสร้งเป็นว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเข้ามาทางนี้ จุดดังกล่าวจึงกลายเป็นสถานที่ซุ่มยิงอันยอดเยี่ยม แต่เวลานี้ไม่มีแม้แต่เงาของคนร้าย
อาหลงได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก จึงชะโงกตัวไปมองด้านข้าง เห็นเงาคนเคลื่อนไหวไปมาตามพุ่มไม้ คนร้ายสวมชุดของคนงานก่อสร้าง ถือปืนไรเฟิลวิ่งลัดเลาะตามสุมทุมพุ่มไม้ อาหลงละล้าละลัง แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเชือกขนาดใหญ่ห้อยลงไปถึงราวป่าด้านล่าง แสดงว่าคนร้ายเตรียมการมาพร้อมสรรพ จัดวางสถานที่ซุ่มยิงรวมทั้งทางหนีเอาไว้พร้อม อาหลงตัดสินใจไต่เชือกลงจากกำแพง ไล่กวดคนร้าย
ระยะเวลาที่อาหลงไต่ลงมา คนร้ายเริ่มหนีไกลออกห่างจากพื้นที่ อาหลงเห็นว่าไม่อาจตามทันจึงตัดสินใจวิ่งอ้อมไปอีกทาง ซึ่งทางนี้แม้จะสามารถอ้อมไปดักหน้าคนร้ายได้ แต่ทางก็เต็มไปด้วยกิ่งไม้พุ่มไม้ ซ้ำยังลาดชัน แต่อาหลงไม่คิดมากความพุ่งตรงไปทันที
เพี๊ยะ พ๊ะ เสียงกิ่งไม้หัก อาหลงพุ่งชนกิ่งไม้เล็กๆถูลู่ถูกังไปตามทาง อาศัยทักษะเฉพาะตัวหลบหลีกต้นไม้ใหญ่ บางครั้งก็กระโดดห้อยโหนราวกับลิงใหญ่ เมื่อมาถึงริมตลิ่งสูงราวสิบเมตรก็เห็นคนร้ายกำลังจะวิ่งผ่านมาทางนี้ อาหลงจึงตัดสินใจไถลตัวลงมาตามแนวลาดชัดร่างกายล้มลุกคลุกคลาน ฝุ่นจากก้อนดินก้อนกรวดฟุ้งกระจาย เมื่อใกล้จะถึงพื้นห่างประมาณสองเมตรก็พอดีกับที่คนร้ายผ่านมา อาหลงเอาเท้าเบรกพื้นแล้วกระโจนตัวพุ่งเข้าหาทันที
คนร้ายเมื่อวิ่งมาถึงริมตลิ่งเห็นคนผู้หนึ่งไถลตัวลงมา ก็รู้ตัวว่าถูกติดตามจึงพยายามจะวิ่งให้พ้นจากเส้นทางนี้ เนื่องจากด้านข้างก็เป็นตลิ่งสูงชันเช่นเดียวกัน เปรียบเสมือนเส้นทางที่บังคับให้วิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น เมื่ออาหลงพุ่งตัวเข้ามา จึงปะทะกันเต็มๆ
อาหลงกระเด็นกลิ้งไปอีกทาง คนร้ายกระล้มไปอีกทางปืนหลุดจากมือ กระเป๋าเป้ของอาหลงก็หลุดออกมาตอนไหนไม่ทราบ อาหลงลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามร่างกายก็เป็นเวลาเดียวกับที่คนร้ายลุกขึ้นพุ่งตัวเข้าหาอาหลงราวนักรักบี้ อาหลงถูกพุ่งชนจนล้มลง คนร้ายคร่อมร่างอาหลงเอาไว้ มือทั้งสองขย้ำคอของอาหลงราวกับจะบีบเค้นให้คอหัก อาหลงหลังจากมึนกับการพุ่งชนซ้ำยังมาถูกบีบเค้นลำคอ ทำให้แทบไม่มีเวลาหายใจ มือที่กำรอบข้อมือของคนร้ายเริ่มอ่อนแรง ขณะที่สติใกล้จะหลุดลอยก็นึกถึงคำสอนของอากงที่เคยแนะนำวิชามวยหย่งชุนให้กับอาหลง ซึ่งวิชานี้เหมาะสมกับการรับมือระยะประชิด
อาหลงปล่อยมือทั้งสองออกจากข้อมือของคนร้าย แล้วประนมมือสอดแทงขึ้นลอดระหว่างแขนทั้งสองที่กำลังขย้ำลำคอของอาหลง ใช้หลังฝ่ามือดันข้อพับแขนบริเวณข้อสองของคนร้าย ทำให้คนร้ายถึงกับถลำหน้าลงมา มือทั้งสองของอาหลงก็กดหัวคนร้ายลงมาพร้อมทั้งกระดกหัวตัวเองโขกเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกอย่างแรง
การโขกหัวครั้งนี้แทบใช้แรงที่มีทั้งหมดเดิมพัน ผลปรากฏว่าคนร้ายถึงกับดั้งจมูกหัก เลือดไหล และคลายมือออกจากลำคอ อาหลงม้วนตัวหนีทันที แล้วลุกขึ้นมาสูดอากาศหายใจให้เต็มปอด
แม้จะถูกพลิกสถาณการณ์และดั้งจมูกหักจนเลือดไหลแต่คนร้ายรายนี้ก็ถึงกับลืมเลือนความเจ็บปวดชักมีดพับออกจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าผ่านการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง เมื่อตั้งตัวได้อาหลงสังเกตุเห็นว่าคนร้ายรายนี้ถึงกับเป็นชาวต่างชาติ ร่างกายที่ใหญ่โตราวกับนักเพาะกายแทบทำให้เสื้อผ้าคนงานก่อสร้างที่สวมใส่ปริแตกออกมาได้
ไม่ทันที่ความคิดจะสิ้นสุดคนร้ายพุ่งมีดเข้าแทงทันที อาหลงหลบฉากออกมาด้านข้าง มีดถูกสบัดกลับกลายจากแทงเป็นฟัน อาหลงรีบใช้สันมือฟันบริเวณกลางท่อนแขนทำให้ปลายมีดชะงักหยุดลง คนร้ายเมื่อเห็นอาหลงสามารถรับมือได้จึงรู้ว่าหากจะหนีให้ได้จำเป็นต้องจัดการอาหลงให้เรียบร้อย หากชักช้าจะถูกจับตัวได้มันจึงยกเท้าถีบด้านข้างราวนักคาราเต้ อาหลงสามารถคาดเดาการโจมตีครั้งต่อไปได้จึงปล่อยมือม้วนตัวก้มลงกับพื้นโดยใช้มือทั้งสองเป็นแกนกลางในการหมุน สะบัดเท้าขวากลับหลังเกี่ยวขาคนร้ายที่ยืนข้างเดียวจนล้มลง
ตึง.. คนร้ายเสียท่าทันที ไม่คาดคิดว่าอาหลงจะสามารถหลบรอดและรุกได้ในคราเดียว ผั๊ว..ข้อมือถูกอาหลงเตะอย่างจังจนมีดกระเด็นไปไกล ขณะที่อาหลงจะเตะซ้ำคนร้ายก็ยกมือขึ้นกันใบหน้า แล้วจับเท้าของอาหลงกระชากอย่างแรงจนอาหลงล้มตามไปด้วย
แรงฉุดของคนร้ายทำให้อาหลงล้มลง ซ้ำร้ายคนร้ายรายนี้ดูจะช่ำชองการต่อสู้แบบฉบับมวยยูจิตสูของญี่ปุ่น คนร้ายม้วนตัวเอาขาทั้งสองล๊อกขาข้างขวาของอาหลงแล้วใช้มือทั้งสองเค้นข้อเท้าไว้ ราวกับจะกระชากขาให้หลุดออกมาทันที
อาหลงเจ็บปวดจนเหงื่อไหล ขาซ้ายไม่อาจตวัดรัดได้ เนื่องจากคนร้ายเบี่ยงตัวหลบหลีกตลอดเวลา มือทั้งสองของอาหลงไขว่คว้าไปตามพื้น พลันกำมือแน่น แล้วขว้างฝุ่นพร้อมกับก้อนหินก้อนกรวดเข้าใส่ใบหน้าคนร้ายทันที
หากเป็นบนเวทีต่อสู้ซึ่งเป็นพื้นราบ อาหลงคงถูกจัดการเรียบร้อย แต่สถานที่ตอนนี้ทั้งไม่ใช่เวทีมวย และพื้นก็ยังขรุขระและเต็มไปด้วยหินเล็กๆและฝุ่นจำนวนมาก การขว้างของอาหลงครั้งนี้จึงเป็นการช่วยให้รอดจากการหักขาไปได้
อาหลงใช้มือสองข้างดันพื้นไถลตัวถอยหลังออกมา เห็นคนร้ายยกมือปัดหน้าขยี้ตาไล่ฝุ่นละอองในเวลาอันสั้นยากจะเข้ามาทำร้ายอาหลงได้ อาหลงพยายามที่จะลุกขึ้นยืน เท้าขวามีอาการปวดแปล๊บแทบทำให้ล้มอีกครั้ง อาหลงพยายามนวดเฟ้นเพื่อคลายปวด คนร้ายเมื่อขยี้ตาพอมองเห็นเลือนรางก็ตั้งการ์ดเดินเข้าหาอาหลง เห็นอาหลงยืนขากะเผลกก็ดีใจทันที รีบหวดเท้าหวังเตะขาขวาอาหลงซ้ำ
อาหลงรู้ตัวว่าไม่สามารถหลบจากการเตะครั้งนี้ไปได้ จึงเตรียมพร้อมที่จะรับมือ เมื่อคนร้ายเตะโดน อาหลงก็ใช้แรงเตะส่งตัวหมุนเป็นวงกลมเท้าขวาหมุนตามแรงเหวี่ยงเพิ่มความแรงกลับกลายเป็นเตะหวดโดนใบหน้าของคนร้ายเต็มๆ ผั๊วว...คนร้ายถึงกับตัวเซ อาหลงก็เจ็บเท้าขวาเพิ่มขึ้นแทบจะล้มลง อาหลงเห็นว่าได้โอกาสเหมาะ จึงม้วนตัวลง ใช้มือยันพื้นหมุนตัวตีลังกาโดยใช้เท้าซ้ายเป็นฐานแบบนักยีมนาสติก หมุนสองรอบลอยตัวอยู่เหนือหัวของคนร้าย เมื่อคนร้ายหันมามองก็เจอเข่าคู่ของอาหลงที่แทงสวนลงมาเต็มๆ
ตู้ม..แรงจากเข่าคู่โดนใบหน้าของคนร้ายเต็มๆทำให้ถึงกับสลบเหมือด อาหลงก็ล้มกลิ้งไปด้วยกัน การโจมตีครั้งนี้อาหลงอาศัยทักษะทางด้านการฝึกซ้อมยีมนาสติกล้วนๆผสมผสานกับการใช้เข่าคู่ของมวยไทย ทำให้สามารถล้มคนร้ายรายนี้ได้
ตรู้ดดด...เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อาหลงรู้ว่าตอนนี้หน่วยจู่โจมพิเศษของน้าอี้หลงกำลังตามหาตัวคนร้ายและอาหลงอยู่ เนื่องด้วยหลังจากเกิดเหตุกาณ์อาหลงก็หายตัวไป และเมื่อก่อนหน้านี้ก็มีโทรศัพท์เข้ามา แต่อาหลงมัวแต่วิ่งไล่กวดคนร้ายจึงไม่มีเวลารับสาย
“สวัสดีครับอาหลงพูดสาย”อาหลงพูดพร้อมหอบเหนื่อย
“อาหลง นายอยู่ไหน พวกเราตามหาตัวคนร้ายกันอยู่ แล้วนายก็หายไปเลย”เสียงตามสายฟังดูกระตือรือร้น
“โทษครับพี่เฟยหลง พอดีติดพันกับคนร้าย ตอนนี้ผมจับตัวคนร้ายได้แล้ว ส่วนอยู่ตรงไหนผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน พี่ตามสัญญาณจีพีอาร์เอสจากโทรศัพท์ผมก็แล้วกัน อ้อพาหมอมาด้วยล่ะ ปวดจะแย่อยู่แล้ว”อาหลงพูดแล้วล้มตัวลงนอน เวลานี้ขอแค่ได้นอนพักผ่อนก็พอ ไม่สนว่าพื้นจะเป็นหินหรือกรวดทราย
ณ โรงพยาบาลห้องผู้ป่วยพิเศษ อาหลงในตอนนี้อยู่ในเสื้อยืดคอปกสีฟ้า กางเกงขาสั้นร่างกายได้รับการรักษา แม้ขาข้างขวาของอาหลงไม่หักแต่ก็มีกล้ามเนื้ออักเสบจึงพันฝ้าพันแผลไว้กันข้อเท้าพลิก ทำให้ต้องใช้ไม้ค้ำยันในการพยุงตัวเดิน อาหลงเดินมาเยี่ยมพี่หวงต้าที่ถูกยิง
“เป็นยังไงมั่งพี่ เจ็บหนักเลยทีนี้สงสัยอดซ้อมมือไปอีกนานเลย”อาหลงยิ้มทักทาย
ในห้องพักผู้ป่วย อาหลงยืนมองหวงต้าที่นอนให้น้ำเกลือบนเตียง ในห้องยังยืนไว้ด้วยคนอีกหลายคน หนึ่งในนั้นมีคุณน้าอี้หลง และเฟยหลงที่โทรศัพท์หาอาหลงจนสามารถติดตามอาหลงจนเจอพร้อมกับคนร้ายที่สลบเหมือด และเพื่อนๆในหน่วยงานตำรวจก็มาเยี่ยมเยือนเอาของติดไม้ติดมือมาฝาก
“นิดหน่อยเท่านั้น แค่นี้รับรองว่ายังเตะนายได้สบาย”หวงต้าโม้ขึ้นทันที
“การลอบสังหารในครั้งนี้แม้จะหวาดเสียวแต่โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต ท่านผู้ว่าการรัฐฝากขอบคุณมายังพวกเราที่อารักขาช่วยให้ท่านรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ ที่สำคัญเรายังสามารถจับตัวคนร้ายได้ ตอนนี้ถูกคุมเข้มไว้อย่างแน่นหนา” คุณน้าอี้หลงผู้กำกับการพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทุกคนรับฟังอย่างยิ้มแย้ม เพราะผลงานแทบทั้งหมดต้องยกให้อาหลงที่สามารถจับตัวคนร้ายได้ ผู้กำกับถึงกับแสดงความดีใจออกทางสีหน้า
“อาหลงเดี๋ยวหลานกลับไปพร้อมเฟยหลงนะ อาต้องไปแถลงข่าวเรื่องการจับกุมครั้งนี้”คุณน้าอี้หลงพูดขึ้น
นับจากเหตุการณ์ในวันนั้น อาหลงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านนานถึงสิบห้าวัน จนอาการหายเป็นปกติ ตอนนี้ยังห่างจากวันเปิดภาคเรียนใหม่อีกสองสัปดาห์ เช้าวันนี้อาหลงเห็นว่าไม่มีอะไรทำจึงคิดจะออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะมีบางอย่างที่อาหลงต้องการไปสำรวจและยังไม่ได้บอกให้ใครทราบ อาหลงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมของลงในเป้ แล้วแจ้งให้ทางบ้านทราบ ทุกคนรู้ดีว่าอาหลงหายดีแล้วจึงไม่เป็นห่วงมากนัก ในตอนแรกอากงจะให้คนขับรถไปส่ง เมื่อถึงกำแพงเมืองจีนด่านซันไห่อีกครั้ง อาหลงก็ให้คนขับรถกลับบ้านเลย เพราะตอนกลับตนเองจะขึ้นรถกลับไปเอง
เมื่อมาถึงตรงจุดที่เกิดเหตุคนร้ายซุ่มยิงผู้ว่าการรัฐของอเมริกา อาหลงก็เห็นป้ายห้ามเข้าพร้อมแถบคาดกั้นไว้ อาหลงเดินเลียบมาตามกำแพงด้านหลังตรงจุดที่ใต่เชือกลงมา อาหลงพยายามทบทวนความจำ มือก็ไล้ลูบไปตามก้อนหินตามกำแพง สักพักก็มาถึงตรงจุดๆหนึ่งหินก้อนหนึ่งโผล่ออกมาเล็กน้อยหากไม่สังเกตุจะดูไม่ออกเลย แต่วันที่อาหลงไล่กวดคนร้ายได้เผลอเหยียบหินก้อนดังกล่าว ความรู้สึกบอกได้ว่ามีอะไรมากกว่าก้อนหินที่อยู่ตรงนี้ เมื่อรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บเสร็จอาหลงจึงกลับมาอีกครั้งเพื่อไขข้อสงสัย
อาหลงทดลองกดก้อนหินดังกล่าว กริ๊กก..เสียงสลักอะไรบางอย่างดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก้อนหินด้านขวามือห่างไปราวสี่ก้อนเคลื่อนนูนออกมาเล็กน้อย อาหลงสังเกตเห็นจึงเดินไปและทดลงกดลงอีกครั้ง กริ๊กก.. เสียงสลักดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ก้อนหินที่อยู่ด้านซ้ายมือกลับนูนขึ้นมา ระยะห่างจากหินด้านขวาและด้านซ้าย หากใช้หินก้อนแรกเป็นแกนกลางจะเห็นว่าระยะห่างของทั้งสองก้อนมีระยะพอดีกัน
คราวนี้อาหลงเดินไปกดหินด้านซ้ายมือ เสียงครืนนน ดังขึ้น ระยะห่างระหว่าก้อนหินด้านซ้ายและขวาปรากฏผนังเคลื่อนตัวยุบเข้าไปเมื่อเอามือผลักก็เห็นว่าเป็นอุโมงสายหนึ่ง อาหลงจึงตัดสินใจเดินไปตามทาง
ครืน ไม่ทันที่จะเดินไปได้กี่ก้าว ผนังที่เดินผ่านมาก็ปิดตัวลง แสงสว่างเลือนหายไปในทันที อาหลงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น รีบเข้าไปสำรวจยังผนังทันที มือคอยลูบคลำก็ไม่เห็นมีสิ่งผิดปกติ ทุบตะโกนเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงตัวเองดังก้องไปมา แสดงให้เห็นว่าไม่มีเสียงเล็ดรอดออกไปภายนอกได้ อาหลงจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อไป แม้อุโมงค์จะมืดมิด อาหลงก็เอามือสัมผัสผนังไว้และคอยเดินไปตามทาง
ฉับพลันก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น แผ่นดินเคลื่อนตัวสั่นไหว ร่างกายไม่สามารถยืนนิ่ง อาหลงรู้ในทันทีว่าเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว หากตนเองยังอยู่ตรงนี้ มีหวังได้ถูกฝังทั้งเป็นแน่ จึงตัดสินใจวิ่งฝ่ากลุ่มฝุ่นและเศษหินที่ร่วงหล่นจากเพดานวิ่งตรงไปด้านหน้าทันที
ครืนนนน ผนังหินร่วงหล่นลงมาทับอาหลงเต็มๆ อ๊ากก...... อาหลงล้มฟุบสลบลงกับพื้น แผ่นดินข้างๆตัวเกิดรอยแยก เผยให้เห็นกลุ่มควันสีฟ้าขาวพวยพุ่งขึ้น กลุ่มควันตลบอบอวนไปทั่วทั้งอุโมงค์แล้วทันใดนั้นก็มีลำแสงสีฟ้าใสพวยพุ่งขึ้นห้อมล้อมรอบตัวอาหลง แล้วแผ่นดินก็เงียบสงบ
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้มีผู้ได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง กำแพงเมืองจีนหลายจุดพังทลายลงตามภัยธรรมชาติ ข่าวการรายงานผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้คนได้รับผลกระทบนับหมื่นครัวเรือน มูลค่าความเสียหายนับร้อยล้าน
ความคิดเห็น