ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดนตรีสื่อหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 48


    บทที่ 1

                     รีสอร์ทบนเนินเขายามเช้า  ตะวันทอแสงต้อนรับวันใหม่  ผ้าม่านปลิวไสว



    ไปตามแรงลงที่ปะทะผ่านเข้ามาในห้องนอนของธิดา



                    “ ลูก ! ตื่นได้แล้วจ้ะ ”  วดีเคาะประตูห้องเพื่อปลุกลูกสาวของเธอ



                    ธิดานอนบิดกายอยู่บนเตียงนุ่ม  “ นี่ยังเช้าอยู่เลยนะคะ  จะรีบตื่นทำไมกัน ”



                    “ อ้าว ! ก็ลูกบอกแม่เองไม่ใช่เหรอว่าวันนี้เพื่อนลูกจะมาน่ะ \"



                    “ ตายแล้ว ! ” เธอเด้งตัวออกจากเตียงนอนอัตโนมัติ  “วันนี้ปรางมานี่นา  ลืมสนิทเลย \"





                                                                    **************************



                   ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในสนามบิน  รวมทั้งทนานันท์  ซึ่งขับรถมารับมะปรางตามคำ



    ขอของน้องสาวตัวดีของเขา



                  “ ยัยทิพย์นะ  ดูซิ  พี่ยังไม่รู้จักคนที่ชื่อมะปรางอะไรนี่เลย  วันนี้จะหาเจอมั้ยเนี่ย ”



    เขาบ่นพึมพำกับตัวเองต่อหน้ารูปของหญิงสาวผู้นั้นในมือ



                   ในขณะเดียวกัน  มะปรางกำลังกวาดสายตามองหาชายหนุ่มร่างสูงที่เพื่อนสาวบอกว่า



    เป็นพี่ชายของเธอจะมารับเธอที่สนามบินในวันนี้



                    “ คนไหนกันนะ ”  เธอบ่นพึมพำกับตัวเองเช่นกัน  แต่แล้วสายตาของเธอสะดุดเข้ากับมือ



    ใหญ่ของชายคนหนึ่งโบกไหวไปมา



                    เธอไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเป็นเขาหรือเปล่า  แต่จิตใต้สำนึกของเธอสั่งให้เธอ…ก้าวเดินไปหาเขาอย่างช้าๆ



    ใบหน้าคม เข้ม ของเขาทำให้เธอรู้สึกคุ้นตา



        ชายหนุ่มพิจารณาใบหน้านวลของหญิงสาวเล็กน้อยเพื่อความมั่นใจ



        “ คุณชื่อ มะปราง ใช่มั้ย ”



        หญิงสาวยิ้มรับ  “ ใช่ค่ะ  แล้วคุณคือ \"



        “ ผมเป็นพี่ชายของทิพย์เอง  ชื่อ ทนานันท์ “ เขารีบแนะนำตัวสับเสร็จ



        ลักษณะการพูดของเขายิ่งทำให้เธอมั่นใจว่า เขาคือคนที่เดินชนเธอในมหา’ลัยครั้งนั้น



        ชายหนุ่มขมวดคิ้ว  เมื่อเห็นสีหน้าฉงนของหญิงสาว  “ คุณเป็นอะไรรึเปล่า \"



        คำทักของเขา ทำให้เธอรู้สึกตัว  “ เออ…เปล่าค่ะ… \"



        “ ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ  งั้น…เราไปกันเถอะ “  ชายหนุ่มพูดพลางมองหาสัมภาระของหญิงสาว  



    แต่แล้วเขาก็พบแค่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เพียงใบเดียว  “คุณมีของแค่นี้เองเหรอ “



        ตอนนี้  เพราะความรู้สึกเกร็งของหญิงสาวทำให้เธอทำได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้น



        

                                                                            *********************





        “ ปราง ! “  ธิดาโผกอดเพื่อนสาวทันทีที่เดินลงจากรถโดยมีทนานันท์เดินตาม



    หลังมาติดๆ  “ ฉันคิดถึงเธอจังเลย ”



        “ ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกันจ้ะ “



        ระหว่างที่ทั้งสองทักทายกันอยู่นานสองนาน กลับมีเสียงกระแอมจากชายหนุ่มดังมา



    ทางด้านหลังของทั้งสองเพื่อเรียกร้องความสนใจ  



        ธิดาเป็นคนแรกที่หันกลับมาสนใจพี่ชายของเธอ  “ แหม…พี่ทนานะ  คนเราไม่ได้เจอ



    เพื่อนกันมาตั้งนาน  จะทักทายกันให้หายคิดถึงหน่อยก็ไม่ได้ “



        “ เปล่าหรอก  พี่ไม่สนใจหรอกนะว่าใครจะคิดถึงใครมากแค่ไหน เพียงแต่ทิพย์น่า



    จะรู้ดีนะว่า  ต้องบอกอะไรพี่ “



        ธิดาแกล้งตีหน้าซื่อ  “ บอกอะไรหรือคะ “



        ทนานันท์ยิ้ม  เขารู้นิสัยน้องสาวดี  “ ก็เป็นอย่างนี้ทุกทีแหละเรา  วันหลังอย่ามาขอให้พี่ช่วยละกัน \"



    เขาทำท่าจะเดินหายไปในวินาทีนั้น  



                    ธิดากลัวพี่ชายงอนจึงรีบพูดดักคอ  “ ขอบคุณค่ะพี่ทนา “



                    ชายหนุ่มหันมายิ้มอย่างรู้ทันให้เธอ



                    แต่น้องสาวตัวดีกลับเหนือกว่า  เธอรีบพูดฝากฝังเพื่อนสาวไว้กับเขา “ แต่พี่ต้องพา



    ปรางไปเดินชมรีสอร์ทพรุ่งนี้ด้วยนะ \"  



                    รอยยิ้มบนใบหน้าหุบลงทันที  เขาได้แต่เดินเจ็บใจจากไป



                    มะปรางหัวเราะในความร้ายกาจของเพื่อนสาว  “ นี่  เธอจะบังคับพี่ชายไปถึงไหนกัน  



    แค่นี่เขาก็ดูเหมือนถูกบังคับให้กินยาขมจะแย่อยู่แล้ว \"



                   “ เอาเถอะน่ะ  ว่าแต่เธอเถอะ  คิดว่าพี่ชายฉันเป็นยังไงบ้าง \"



                     มะปรางมีสีหน้าฉงน  “ ถามฉันทำไม “



                  “ ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากรู้เฉย ๆ “



                 ด้วยความที่หญิงสาวเชื่อใจ  เธอจึงไม่ติดใจกับคำถามนั้น  



                “ เขาก็ดู….มาดดี…เก่ง…ฉลาด….แต่เสียอย่างเดียว “



                “ อะไรเหรอ “



                 มะปรางยิ้ม  “ ขี้เก๊กไปหน่อย  ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ เลย  ทำไมผู้ชายต้องวางท่าให้ดูดี



    อยู่ตลอดเวลา  แถมยังดูแข็ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้  บอกไม่ถูก ”



                     “ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันหนักใจอยู่  แต่พี่จะเก๊กท่าเฉพาะเวลาอยู่กับคนที่เขาไม่ค่อย



    สนิทนะ  ถ้าเวลาเขาอยู่กับคนงาน  หรือญาติ ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นเลย “



                    มะปรางพยักหน้ารับฟังคำวิจารณ์ของเพื่อนสาว



                    “ แต่ฉันรู้วิธีแก้นะ  ฉันคิดว่า ผู้หญิงนี่แหละที่จะทำให้เขาหายเก๊กได้ “



                   “ จะบ้าเหรอ ! เธอนี่ท่าทางจะเพี้ยน “



                    “อ้าว ! ไม่รู้อะไรเสียแล้ว  คอยดูเถอะสักวันฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็น “  พูดจบ  



    ธิดาก็มองเพื่อนสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า  “ ไหนลองหมุนตัวซิปราง “



                        หญิงสาวทำตามคำบอกของเพื่อนแต่โดยดี



      

                       มะปรางจัดเป็นหญิงสาวที่มีความน่ารักในตัวเอง  แต่การที่เธอค่อนข้างเรียบง่าย



    มากเกินไป  ทำให้ไม่ค่อยสะดุดตาผู้ชายส่วนใหญ่มากนัก  และนั่น…เป็นสิ่งที่ธิดาคิดว่า  



    จะสามารถมัดใจพี่ชายของเธอได้ไม่มากก็น้อย



                         “ พอจ้ะ  ฉันว่า ฉันเจอผู้หญิงคนนั้นแล้วล่ะ “



                        คำพูดของเพื่อนสาวทำให้เธอหยุดหมุนทันที  “ หมายความว่าไง ”



                         ธิดาแกล้งตีหน้าซื่อ  “ เปล่า  เออ…ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอมานานแล้ว  งั้น….ฉันพาเธอไปพบพ่อ แม่ก่อนดีกว่า “





                                                                         *************************





                         ตกเย็น  ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะรับประทานอาหาร  แต่ละคนต่างเล่าเรื่องของตัว



    เองเพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน



                        “ เวลาว่างหนูปรางชอบทำอะไรจ๊ะ “  วดีถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล



                       “ส่วนมากชอบฟังเพลงค่ะ  แต่ถ้ามีเวลาว่างจริง ๆ ก็จะอ่านหนังสือนิยายบ้าง  สารคดี



    บ้างตามอารมณ์ในตอนนั้น “



                       “ อืม…ท่าทางหนูจะอารมณ์ศิลป์นะจ๊ะ เหมือนเจ้าทนาเลย “



                        ส่วนธิดาได้แต่มองพี่ชายของเธอที่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้า  ไม่สนใจใครทั้งสิ้น



                       “ ใช่แล้วค่ะแม่  แล้วปรางเนี่ยเป็นคนน่ารักนะคะ  ชอบช่วยเหลือเพื่อนเสมอเลย  “



                        คำชมของเพื่อนสาวทำให้เธอเขินอยู่บ้าง



                        “ แต่เสียอย่างเดียว…ซุ่มซ่ามไปหน่อย “



                        มะปรางถึงกับช้อนหลุดมือ  เมื่อได้ยินประโยคท้ายสุดของธิดา



                         “ เห็นมั้ยคะ  พูดยังไม่ทันขาดคำ “



                           สาทรรีบปรามลูกสาว  “ พอแล้วลูก “



                        ในขณะที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน  มีเพียงทนานันท์ที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทานต่อไป



                        วดีอดห่วงลูกชายคนเดียวของเธอไม่ได้  จึงเอ่ยถาม  “ วันนี้ลูกเป็นอะไรรึเปล่า  



    ไม่เห็นลูกพูดอะไรเลย “



                        ทนานันท์รวบช้อน ส้อม  “ ผมคงหิวน่ะครับ  แต่ตอนนี้อิ่มแล้ว  ผมขอตัวไปดูคนงานก่อนนะครับ “



                       ทุกคนมองชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไปด้วยความงุนงง





                        ภายในกระท่อมหลังไร่  กลุ่มคนงานกำลังครื้นเครงอยู่ในวงเหล้า  และเสียงดนตรี



                          ทนานันท์เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย



                       “ ว่าไง  ทำอะไรอยู่เอ่ย “



                       ‘ ไก่ ‘ ซึ่งเป็นคนงานสนิทของทนานันท์รีบเขยิบมานั่งข้าง ๆ “ อ้าว ! เจ้านายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ  



    ไม่ไปอยู่ต้อนรับเพื่อนคุณทิพย์ที่บ้านใหญ่เหรอ “



                         ทนานันท์ถอนหายใจ  “ ….ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรกัน  ออกจะคุณหนูขนาดนั้น  



    เชื่อสิอยู่ที่นี่ได้ไม่นานหรอก  เดี๋ยวก็ต้องรีบเผ่นกลับแทบไม่ทัน “



                          ไก่หัวเราะ “ เจ้านายอย่าเพิ่งด่วนตัดสินคนแต่ภายนอกสิ  ไม่แน่เธออาจจะนิสัยดี  



    น่ารักตรงสเป๊กเจ้านายก็ได้นะ “



                          “นี่ แกไม่เข้าข้างฉันแล้วยังมาชื่นชมเธออีกนะ  เดี๋ยวก็โดนเสียหรอก “  ชายหนุ่ม



    ทำท่าจะยกเท้าขึ้น ‘ ถีบ ‘ เขา  



                           แต่เป้าหมายกลับหลบทัน  เพราะเขารู้นิสัยเจ้านายคนนี้ดี  “ เจ้านายเป็นแบบนี้ทุกทีเลย  



    มา ๆ ดื่มเหล้ากันดีกว่า “



                          บรรดาผู้ชายทั้งหลายชนแก้วกันอย่างครึกครื้น  แตกต่างจากฝ่ายหญิงที่ต้องคอย



    ปรนนิบัติ  คอยเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์  และกับแกล้มต่าง ๆ อยู่ตลอดทั้งคืน





                                                                     ***************************





                          “ ปราง ! เธออยู่ไหน ! “ ธิดาตะโกนเรียกเพื่อนสาวของเธอ



                           ตั้งแต่เช้ามะปรางก็หายตัวไป  มองหาในห้องนอน  ห้องนั่งเล่น  ห้องรับแขก  



    หรือแม้กระทั่งห้องครัว  ก็ไม่เห็นจะมีวี่แววของเพื่อนสาวเลยแม้แต่น้อย



                           เธอตัดสินใจเคาะประตูห้องนอนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องนอนของมะปราง  “ พี่ทนา ! พี่ทนา ! “



                             “ อะไร ! “ ทนานันท์ในคราบชุดนอนเปิดประตูต้อนรับน้องสาวอย่างหงุดหงิด



                           “ อ้าว ! พี่ยังอยู่ในห้องอีกเหรอ  ทิพย์นึกว่า พี่พาปรางไปเดินชมรีสอร์ทแล้วเสียอีก “



                          “ เปล่า  เมื่อคืนพี่นอนดึกไปหน่อย  เลยตื่นสาย “



                           หญิงสาวเท้าสะเอว  “ รู้ตัวก็ดีแล้ว  แสดงว่าเมื่อคืนพี่ไปดื่มเหล้ากับคนงานอีกแล้วใช่มั้ย “



                            คำทักของน้องสาวทำให้เขาก้มมองดูสภาพตัวเอง  ที่จริงชุดที่เขาสวมอยู่จะเรียกว่าชุดนอน



    ก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว  เพราะมันเป็นเสื้อเชิ้ตตัวเมื่อวานที่เขาใส่ไปในไร่ครั้งสุดท้าย  และธิดาก็คงจำมันได้ดี



                           “ ทิพย์ไม่ว่าอะไรพี่หรอกนะ  แต่ตอนนี้พี่ต้องไปอาบน้ำ  เปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้  



    และรีบออกตามหาตัวปรางด่วนเลย  ไม่รู้ป่านนี้ไปหลงทางที่ไหนรึเปล่า “



                              “ เออ  เดี๋ยวพี่ลงไป “



                               ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะปิดประตู  หญิงสาวกลับคว้าประตูบานนั้นไว้เสียก่อน  



    “แต่ทิพย์ไม่ขอไปหาปรางในไร่นะ  ไม่ชอบ  เดี๋ยวทิพย์หาปรางแถวนี้เอง  พี่ลงไปหาปรางที่ไร่แทนแล้วกัน “



                                “ อยู่แล้วล่ะ “ ชายหนุ่มรับปากแต่โดยดี  เขารู้นิสัยน้องสาวคนนี้ดีว่า



    ไร่กับเธอไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่  และการที่น้องสาวของเขาเป็นแบบนี้  จึงทำให้เขาคิดว่า  



    มะปรางจะเป็นแบบเดียวกับเธอด้วย





                                                                ******************************





                    “ ฮืม…ฮืม “ มะปรางเดินฮัมจังหวะเพลงไปตามทางเดินในไร่องุ่นของรีสอร์ท  



    แต่แล้ว…. “ ว้าย ! “  ขาของเธอสะดุดเข้ากับกิ่งไม้ข้างทาง

      

        เสียงหัวเราะของใครบางคนดังไล่หลังเธอมา  หญิงสาวหันไปทางต้นเสียงนั้น  “ พี่ทนา ! “



        ผู้ชายตรงหน้ากำลังยืนหัวเราะเธออยู๋ไม่ห่าง  “ คุณนี้ซุ่มซ่ามอย่างที่ยัยทิพย์บอกไว้จริง ๆ ด้วย “



        หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน  เธอไม่ต่อว่าเขา  แต่กลับเดินหนีเขาแทน



        ชายหนุ่มวิ่งมาดักเธอไว้  “ ทำไมคุณหลบมาอยู่นี่คนเดียว  โดยที่ไม่รอผม  คุณก็รู้อยู่แล้วว่าผม



    ต้องเป็นคนพาคุณมา “



        หญิงสาวกอดอก พลางถอนหายใจ  “แต่ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากพาฉันมาหรอก  ฉันก็เลยขอมา



    เดินดูคนเดียวดีกว่า “



        “ แต่ตอนนี้ทั้งบ้านหาคุณให้วุ่น “



        “ ตาย ! ฉันขอโทษค่ะ  ที่จริงฉันก็คิดไว้ว่าจะบอกตั้งแต่ก่อนออกมา  แต่เห็นว่ายังเช้าอยู่  



    คงยังไม่มีใครตื่นก็เลยไม่ได้บอก “



        ชายหนุ่มยิ้ม  “ ช่างมันเถอะ  ยังไงผมก็เจอคุณแล้ว  คุณนี่ตื่นเร็วดีนะ  ตอนแรก…ผมนึกว่า… ”  



    ชายหนุ่มชะงักคำพูดไว้ทัน



        แต่กลับทำให้หญิงสาวสงสัย  “ นึกว่าอะไรคะ “



        “ …เปล่า…ผมนึกว่า…คุณไม่อยากรู้เหรอว่า เราปลูกองุ่นกันยังไงถึงได้ออกมาเต็มต้นขนาดนี้”



        หญิงสาวยิ้ม  “ อยากรู้สิคะ  ฉันสังเกตเห็นมาหลายต้นแล้ว ทุกต้นต้องมีองุ่นติดอยู่ไม่ต่ำกว่าสองพวงได้มั้งคะ “



        “ มันก็ไม่อยากเลยนะ  แค่คุณตัดกิ่งองุ่น  โดยที่ไม่ให้เหลือใบเลยนะ  พอหลังจากนั้นกิ่งองุ่นก็



    จะเริ่มแตกตาใหม่  และมีใบอ่อนงอกขึ้นมา  ตามด้วยช่อดอกมากมาย  และ… ”



        หญิงสาวตั้งใจฟังชายหนุ่มอธิบาย  แววตาของเธอดูมีความสุขเมื่อได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น





        ไม่นานทั้งสองลัดเลาะมาถึงกระท่อมหลังไร่  ซึ่งคนงานบางส่วนกำลังพักผ่อนตามอัธยาศัย  



    รวมทั้ง ไก่ คนงานคนสนิทของเขาด้วย



                    “ เจ้านายครับ  วันนี้ลุยมาถึงหลังสวนตั้งแต่เช้าเลยนะครับ “ ไก่ทัก



                      ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มให้  เขาต้องวาดมาดให้ดูดีอยู่เสมอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิง  



    โดยเฉพาะเพื่อนของน้องสาวตัวเอง



                        ไก่สังเกตได้ถึงอาการผิดปกติของเขา  และการที่มีหญิงสาวยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มในตอนนี้คือคำตอบ



                       “ แหม…วันนี้ควงสาวมาด้วย  ไม่คิดจะแนะนำให้รู้จักกันบ้างหรือครับ “ ไก่กระซิบที่ข้างหูทนานันท์



                      คำเอ่ยแซวของคนงานทำให้เขาเกิดอาการประหม่า  “ เออ…นี่…คุณมะปราง…เป็นเพื่อนของคุณทิพย์ “



        หญิงสาวยิ้มหวาน “ เรียกปรางเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ  ดูสนิทมากกว่า “  ด้วยความที่หญิงสาวไม่เป็น



    คนถือตัวจึงได้พูดออกไปเช่นนั้น  



                      แต่คำพูดของเธอได้ทำให้ใครบางคนได้รู้ว่า  เขามองคนผิดไปจริง ๆ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×