คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ★ 12TH RIOT
มือบางกระชับสายกระเป๋านักเรียนของตนแน่น พลางคิดในใจว่าไม่เคยรู้สึกเลยสักครั้งว่าการเดินขึ้นอาคารเรียนจะลำบากขนาดนี้ ทุกคนที่เดินผ่านล้วนมองซองยอลด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป คนที่ไม่ค่อยเป็นที่สนใจกลายเป็นจุดศูยน์รวมสายตาภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ใช้เวลาไม่นานเดินจากชั้นหนึ่งมาบนชั้นสามซึ่งห้องเรียนของเขาตั้งอยู่ ซองยอลกลับรู้สึกว่าเวลานั้นมันเนิ่นนานเหลือเกิน
ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ตากลมเงยขึ้นมองไปเบื้องหน้าและแทบลืมหายใจ สายตาประสานกับคนที่มองอยู่อย่างเย้ยหยัน... อี ซองจง ยืนพิงระเบียงราวกับกำลังรอซองยอลอยู่ เขาพยายามหลบสายตาและเดินหนี ลอบสูดหายใจเข้าและถอนออกเฮือกใหญ่อย่างเป็นปกติที่สุด เสตามองลงต่ำ แต่ก็ต้องเงยกลับอีกครั้งเนื่องจากเสียงเรียกใสๆจากรุ่นน้องคนสนิท
“ซองยอลฮยองฮะ!”
โดคยองซูนั่นเองที่กล่าวทักซองยอลทั้งที่ยังไม่หายหอบ เขาวิ่งมาจากบันไดอีกฝั่งของอาคาร
ซองยอลไม่ได้กล่าวอะไรตอบไป เขาไม่พร้อมจะคุยกับใครใดๆทั้งสิ้น ณ ตอนนี้ แม้แต่กับคยองซูก็ตาม ใครทุกคนที่เตือนให้เขาคิดถึงเจ้าของห้องที่ไม่ได้เจอกันนับแต่วันที่เกิดเรื่อง... ซองยอลไม่ต้องการพบ เนื่องจากมันทำให้แผลจากอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจเขา ช้ำหนักมากกว่าเดิม
“เดี๋ยว!...เดี๋ยวฮะฮยอง! คุยกันก่อนสิฮะ” โด คยองซูจับแขนของซองยอลไว้ด้วยมือสองข้างขณะที่ร่างบางกำลังจะเดินเข้าห้องไป
“มีอะไรเหรอคยองซู” ซองยอลจำใจตอบหากแต่ยังไม่ยอมหันหน้าเข้าไปคุยดีๆ ลมหายใจเหนื่อยอ่อนถูกถอดถอนออกมาเฮือกโต
“เอ่อ... จะ จะคุยกันตรงนี้เลยเหรอฮะ เรื่องนั้นน่ะผมรู้หมดแล้วนะ... เราไปคุยกันข้างล่างดีไหม...”
“ไม่ต้องหรอก ตรงนี้แหล่ะ ถ้าจะพูด...”
คยองซูเหลือบมองซองจงที่ยืนกอดอกแสยะยิ้มบางอยู่ด้านหลังพวกเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ สิ่งที่เขากังวลมีเพียงสิ่งเดียว คือซองจงจะพูดแทรกขึ้นมาให้เรื่องมันบานปลายกว่าเดิม... อีซองจงน่ะ เก่งนักล่ะเรื่องแบบนี้!
“ก็ได้ฮะ... คือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะฮะ ทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่ฮยองเข้าใจ ฮยองไม่ผิดเลิกโทษตัวเองด้วยนะฮะ เรื่องนี้ผมอยากให้ฮยองกลับไปคุยกับแอลฮยองดีๆอีกรอบนะ ...นะฮะ เดี๋ยวผมกับไคจะคอยช่วยอีกแรง... กลับไปคุยกันดีๆเถอะนะฮะ เรื่องของแอลฮยองกับฮยองน่ะ...”
“หึ! จะกลับไปแก้ตัวอะไรอีกล่ะ คงไม่เหลืออะไรให้ใครเค้าเชื่อแล้วมั้ง”
สิ่งที่คยองซูกลัวเกิดขึ้นจริง... ซองจงขัดคำขอร้องของคยองซูและพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เส้นอดกลั้นของซองยอลขาดผึงหลังถูกยืดมานานเพราะสายตาของคนทั้งโรงเรียนเมื่อเช้า คำพูดของซองจงเป็นกรรไกรที่ตัดให้มันขาดออก ตากลมวาวฉ่ำด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ แต่ก็ไม่ได้ไหลออกมาให้เห็น ริมฝีปากบางเม้มแน่น ซองยอลตวัดสายตาแข็งกร้าวกลับไปมองซองจงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“มันก็แล้วแต่ใจอคติของคุณจะคิด แต่ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น แต่เพื่อความสะดวกใจ เย็นนี้ผมจะเก็บของและย้ายออกจากหอของแอล เราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกในแง่ใดๆก็ตาม คงสาแก่ใจคุณ จากนี้ก็เลิกแล้วต่อกันได้แล้ว นอกจากคุณจะเป็นพวกโรคจิตที่ชอบกัดไม่ปล่อย... ขอตัวนะ”
ซองยอลแกะมือคยองซูออกในตอนที่น้องเผลอและเดินเข้าห้องเรียนไป เป็นเวลาพอดีกับที่ออดเข้าห้องดัง คยองซูแม้จะห่วงพี่และยังกังวลที่ซองยอลยังคงเข้าใจผิดรวมถึงมองภาพรวมทั้งหมดไม่ออกเสียที แต่ก็จำใจต้องปล่อย ทำได้เพียงมองซองจงด้วยสายตาสาปแช่งและจิกกัด หากแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สะทกสะท้าน รอยยิ้มร้ายยังมีปรากฏอยู่บนใบหน้า
...จะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไร แผนการของเขากำลังดำเนินไปถูกที่ถูกทางเลยทีเดียว ของที่ขึ้นชื่อว่าได้เป็นของอีซองจงแล้ว เขาไม่ชอบแบ่ง ไม่ชอบใช้ร่วม และแม้มันจะเก่า เขาก็ไม่ให้ใคร...
ซองยอลหยุดยืนที่หน้าประตูบานที่เข้าคุ้นเคย บานเดียวบานเดิมกับที่เขาเคยนั่งตบยุงรอความเมตตาจากเจ้าของห้องเบื้องหลังแผ่นไม้นี้ให้เปิดเพื่อให้เขาเข้าไปอยู่ด้วย และเป็นหลังประตูนี้เองที่ความทรงจำมากมายเกิดขึ้นแม้จะภายในเวลาแสนสั้น แต่มันก็เป็นอะไรที่ซองยอลไม่เคยสัมผัสมาก่อน หากเปรียบแล้ว ประตูบานนี้คงเหมือนประตูที่เปิดกรงของซองยอลออกให้ไปพบกับอะไรที่เขาไม่เคยพบ คนที่ไม่เคยพบ หากแต่จะจำไม่มีวันลืม
น้ำตากลับมารื้นเต็มตาโตๆอีกครั้งเมื่อความทรงจำไหลย้อน ซองยอลมองขึ้นบนเพื่อกักกั้นมันไว้ ทั้งน้ำตา ความอ่อนแอ และความทรงจำราวกับกลัวว่ามันจะเหือดหายไป แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย มือสั่นๆยกขึ้นกดออดเก่าๆ เสียงขานรับดังมาจากเจ้าของห้องด้านในว่ากำลังจะมาเปิด เสียงทุ้มๆของแอล แค่เพียงเท่านั้นก็ทำให้เขื่อนน้ำตาและกำแพงที่ซองยอลคิดว่าแข็งแรงแทบพังทลายจนเขานึกกลัวใจตนเอง
รอครู่เดียวประตูนั้นก็ถูกเปิดออกคนหลังประตูเบิกตากว้างอย่างตกใจ หัวใจภายใต้อกกว้างนั้นเต้นไม่เป็นส่ำ ความรู้สึกเหมือนต้นไม้ที่เพิ่งได้รับแสงอาทิตย์และน้ำ ใจนั้นสั่งให้เขาคว้าคนตรงหน้ามากอด หากแต่ก็ถูกสมองสั่งห้ามไว้ นัยน์ตาสีเฮเซลเข้มๆของซองยอลไม่ฉายแววใด แต่ก็รู้สึกใดถึงความเศร้าสร้อยบางอย่างที่พาเอาใจกระตุกวูบ ครู่หนึ่งที่ไม่มีใครสักคนยอมปริปาก ก่อนที่จะเป็นซองยอล ซึ่งทำลายความเงียบลง
“เรามาเก็บของ รบกวนขอเข้าไปหน่อยนะฮะ” สรรพนามแปลกใหม่แต่ห่างเหินทำให้บรรยากาศแย่ลงกว่าเก่า มันเต็มไปด้วยความเย็นชา น่าอึดอัด และห่างเหิน
ในตอนนั้น... หิมะตกลงในใจแอล
“เชิญครับ”
แอลเอ่ยไปอย่างไม่รู้ตัว ด้วยวาจาห่างเหินพอกัน
และนับจากวินาทีนั้น... ใจของซองยอลชุ่มด้วยน้ำตา
ของทุกอย่างถูกแพ็คลงในกระเป๋าเดินทางใบเดิมที่ซองยอลแบกมาด้วยในตอนแรกและยกมันลงมาที่หน้าหอพักซึ่งคนขับรถของซองยอลยืนรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าของห้องก็ลงมาส่งซองยอลด้วยเช่นกัน
ไร้ซึ่งคำว่าลาก่อน หากแต่มีเพียงรอยยิ้ม ซองยอลโค้งและยิ้มให้แอล แอลโค้งและยิ้มเช่นเดียวกันกลับไป ร่างบางหายเข้าไปในรถยุโรปสีดำสนิทและจากไป พร้อมๆกับรอยยิ้มของแอล...
คนตัวสูงกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ของทุกอย่างของซองยอลถูกเก็บไปโดยมีเขาคอยช่วยอยู่ห่างๆด้วยการเช็คโน่นนี่เพื่อให้คนที่มักจะขี้ลืมนั้นไม่ลืมอะไร
แอลหยิบกีต้าร์ของตัวเองและสมุดเพลงออกมาเพื่อฝึกซ้อม มันทำให้เขานึกถึงคนที่เคยทำกีต้าร์ตัวนี้หล่นและร้องไห้อย่างหนักเพราะกลัวเขาโกรธ แอลสะบัดหน้าไล่ความทรงจำ และพยายามยิ้มเพื่อให้ความทรงจำนั้นถูกพับเก็บกลับไปไว้ในกล่องความทรงจำดีๆแทนที่จะเป็นเจ็บปวด เขาพลิกหน้ากระดาษ คาบปิ๊กกีต้าร์ไว้ในปาก เมื่อเปิดไปเรื่อยๆ ปากกาแท่งหนึ่งก็ตกผล็อยออกมาจากหน้าสมุด... ซองยอลลืมของ มันคือปากกาของซองยอลที่เคยให้แอลยืม เมื่อตอนไหนก็ไม่รู้ แต่พอมาตอนนี้แอลกลับจำได้ว่ามันเป็นของอีกคน ทั้งๆที่ปากกาแท่งนี้ก็ดูเหมือนปากกาปกติทั่วไป... ความรู้สึกหวงแหนปากกาแท่งนั้นก่อตัวขึ้น อาจเพราะมันคือของอย่างเดียวที่ซองยอลทิ้งไว้ให้เขา แอลหยิบมันขึ้นมาวางไว้ และเดินไปหยิบปากกาแท่งอื่นมาใช้เขียนโน้ตแทน... เขาไม่อยากใช้มัน เพราะกลัววันหนึ่งหมึกนั้นมันจะหมดไป
เด็กหนุ่มรวบรวมสมาธิและเริ่มซ้อมเพลงโดยปรับแก้โน้ตไปด้วยเพื่อให้เหมาะสมกับการเล่น
“แอล... ที่เราเคยพูดน่ะ ลืมมันไปเถอะนะ”
“ลืม?”
“ใช่... ลืมมันเถอะ เราก็จะลืมมัน แต่เราไม่ลืมแอลนะ เราไม่ลืมเวลาที่เราอยู่ด้วยกันหรอก เราดีใจมากๆที่ได้รู้จักแอลนะ... ดีใจที่เราเป็นเพื่อนกัน”
มือใหญ่ยกขึ้นเสยผม เขาไม่สามารถจดจ่อกับดนตรีได้แม้จะพยายาม บทสนทนาสุดท้ายกับร่างบางเล่นซ้ำราวกับตั้งใจกรีดเขาย้ำๆ
จะให้ฉันลืมยังไงเหรอ?
แล้วทำไม... ต้องลืมมันด้วย?
ฉันนึกว่าเราไม่ใช่เพื่อนกันเสียอีก...
ในที่สุดเขาก็ต้องออกมาจากห้องตัวเอง...แอลน่ะ... หลังจากเลิกล้มการเล่นกีต้าร์และหาอะไรทำหลายอย่างเพื่อระงับความคิดฟุ้งซ่านแต่มันก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จนจบลงด้วยการเดินงุ่นง่านไปมาในห้องของตน แอลเพิ่งสังเกตว่ายาสีฟันของเขาหมดอีกแล้ว เขาลงไปซื้อมาแล้วและยืนมองยาสีฟันสองหลอดที่อยู่ข้างกันอย่างเหม่อลอย
‘เอาอันนี้เหรอพ่อหนุ่ม?’
‘ครับ อันนี้ล่ะครับ’
เขายังจำสีหน้าและเสียงขำๆของอาจุมม่าร้านขายของตอนที่เขาเลือกยาสีฟันหลอดนี้มา แม้ว่าตอนนี้จะกลายเป็นว่าเขามียาสีฟันสองหลอด แต่แอลก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาซื้อมาผิดแต่อย่างใด เขามียาสีฟันรูปการ์ตูนหนุ่มน้อยเบ็นเท็นสองหลอด ลวดลายบนหลอดพลาสติคไม่ได้ต่างกันแต่แอลก็จำได้ว่าอันไหนเป็นอันไหนจากป้ายราคาของร้านอาจุมม่าที่ยังติดอยู่... ของอีกชิ้นที่เขาลืมไปว่าซองยอลให้มา เป็นของอีกอย่างที่แอลไม่กล้าจะหยิบมาใช้ แอลกลับมาเป็นเด็ก ที่ใช้ยาสีฟันเด็กๆที่เขาเคยไม่ชอบนักหนา
บนเตียงเดี่ยวขนาดพอดีสำหรับชายโสด แอลนอนอยู่ใต้ผ้าห่มพร้อมกับหนังสือนิยายที่เขาไม่ได้หยิบมาอ่านพักใหญ่ ในห้องมีแสงของโคมไฟและสว่างกว่าปกติเพราะดาวเรืองแสงที่ติดกระจายบนผนัง แอลไม่มั่นใจนักว่าตอนที่เขาแกะออกมาผนังปูนทาสีเก่าๆนั้นจะเป็นรอยหรือเปล่า และเขาจะโดนเจ้าของหอว่าหรือไม่ แต่เขาก็ติดมันลงไป ทุกชิ้นที่ซองยอลให้ จนห้องที่ซองยอลเคยบ่นว่ามืดเกินไป สว่างและน่ามองกว่าเก่า หากไม่ติดว่ามันเหงามากกว่าเดิมมากมายเหลือเกิน
ฟูกนอนและผ้าห่มของซองยอลถูกเก็บเข้าไปไว้ในตู้เสื้อผ้าโดยซองยอลตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวมาเก็บกระเป๋า หมอนอันหนึ่งที่ซองยอลเอาไปหนุนตอนนี้มาอยู่บนที่นอนของแอล เขาอยู่ในหอนี้มาก็หลายปี แต่คืนนี้เป็นคืนแรกที่รู้สึกกลัวการหลับ เขาเอาหมอนหลายใบมาหนุนหวังจะให้นอนหลับสนิทอย่างอุ่นใจ เขาไม่ได้กลัวอะไร นอกจากความทรงจำที่ไหลมาและทำให้เขาหลับไม่ลงเสียที จนต้องพึ่งนวนิยายฝรั่ง ภาษายากๆและสำนวนชวนหลับก็ยังไม่สามารถข่มเปลือกตาให้ปิดและสั่งชัทดาวน์สมองได้ซักที
เป็นคืนแรกและครั้งแรก ที่หัวใจของเจ้าของห้อง ถูกทักทายด้วยหิมะจนชาก่อนจะเจ็บหนึบ ถูกทักทายด้วยคำว่าเหงา และคิดถึง...จับใจ
50%
“ว่ายังไงนะจงอิน!!!! ซองจงกับแอลฮยองเลิกกันตั้งแต่วันโน้น แล้วทำไมเพิ่งมาบอกอ้ะ!!!!!”
ตาโตๆของคยองซูเบิกกว้างขณะที่มือก็ประสานอย่างดีจับคอเสื้อแฟนตัวเองเขย่าไม่ยั้ง จนมือใหญ่ของจงอินต้องเลื่อนมาจับทับมือเล็กไว้เพื่อปรามให้หยุด
“จะ...ใจเย็นๆนะคยอง เราก็เพิ่งรู้ มะ...เมื่อวานเอง”
“เฮ้ย! โอ๊ยตาย นี่เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วนะ นี่ซองยอลฮยองบอกว่าจะไปหอบข้าวของออกจากห้องแอลฮยองแล้วด้วย เพราอีซองจง อีซองจงแท้ๆเลย!!” คยองซูโวยวายและทำหน้าราวกับจำฆ่าใครซักคนให้ได้ซึ่งย่อมไม่มีใครเคยเห็นนอกจากคิมจงอิน แขนยาวรีบรวบเอวแฟนเข้ามากอดและลูบศีรษะแผ่วเบาหวังให้คนตัวเล็กใจเย็นขึ้น คยองซูน่ะใจใหญ่คับตัวไปมากเลยจะบอก
“ใจเย็นนะ ค่อยๆคิด เรารู้ว่าคยองของเราแก้ปัญหาได้นะ” จงอินค่อยๆบอกในขณะที่ยังไม่หยุดลูกศีรษะแฟน แต่คยองซูก็เหมือนจะยังไม่ใจเย็นลงง่ายๆ ใบหน้าหวานและอ่อนเยาว์กว่าอายุยู่ลงเหมือนเด็กถูกขัดใจ เท้าแขนกับหน้าขาตัวเองซึ่งตอนนี้นั่งอยู่บนตักจงอินและเคาะนิ้วกับแก้มใสเบาๆอย่างใช้ความคิดหนัก
“ไปหาแอลฮยองก่อนดีมั้ย ไปดูอาการแอลฮยองก่อนแล้วกัน” คยองซูหันไปมองจงอินและจับมือแฟนเพื่อให้ลุกขึ้น จงอินยิ้มบางๆและเดินตามแรงจูงเบาๆของคยองซู
มอเตอร์ไซค์ราคาแพงของจงอินจอดอยู่ที่หน้าหอ ส่วนเจ้าของและแฟนเจ้าของนั้นนั่งอยู่ในห้องของแอล สภาพรุ่นพี่ของพวกเขาตอนนี้นั้นดูไม่จืดเลยทีเดียว แอลวางแก้วน้ำและขวดน้ำลงบนโต๊ะกระจกหน้าทีวีและนั่งขัดสมาธิลงที่อีกฝั่งของโต๊ะ ตรงข้ามกับจงอินและคยองซู
“ทำไมฮยองไม่รั้งซองยอลฮยองไว้ฮะ!” คยองซูถามเสียงกร้าว มือกอดอกและคิ้วก็ขมวด
“……………………..”
“ใจเย็นๆนะคยอง อะ น้ำ...”
“ฮยอง อย่าป๊อดเรื่องแบบนี้สิ ฮยองจะยอมให้มันเป็นงี้เหรอ ฮยองรักซองยอลฮยองฮยองก็รู้นี่! หรือฮยองไม่ได้รักเขาจริง”
“คยองซู ฮยอง... ฮยองไม่รู้”
“อย่าตอบแบบพระเอกนิยายกำลังหลงทางสิวะฮยอง! ฮยองคิดถึงซองยอลฮยองมั้ย?”
หางเสียงของคยองซูเปลี่ยนไปจนแฟนอย่างจงอินต้องนั่งระวังตัวอยู่ข้างๆและจิบน้ำเงียบๆ คนตัวเล็กตอนนี้เหมือนมีพลังตัวพองจนตัวใหญ่คับห้องส่วนแอลที่โดนเด็กดุก็ตัวลีบลงๆ... นั่นคือมโนภาพจากความรู้สึกของคิมจงอิน บอกแล้วว่าคยองซูใจใหญ่คับตัว
“…………………”
“ตอบ!”
“คะ...คิด คิดถึง....” แอลฮยองผู้น่าสงสารตอบอย่างเจี๋ยมเจี้ยมเมื่อน้องถามย้ำเสียงแข็ง
“นั่นแหล่ะ แล้วฮยองก็รักซองยอลฮยองด้วย แบบที่ไม่เหมือนตอนซองจงน่ะ รู้มั้ย! เอาล่ะที่นี้ผมให้เวลาฮยองคิดว่าจะไปง้อให้ซองยอลฮยองกลับมายังไง ถ้าคิดได้ผมจะยอมช่วย”
คยองซูกอดอกและจิกตามองแอลอย่างกดดัน คนเป็นพี่ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาจากตักที่กำลังขัดสมาธิอยู่ คยองซูแกล้งตบเบาะที่นั่งและถามย้ำ แต่คำตอบของแอลก็คือ ‘ฮยองไม่รู้’ และนั่นขัดใจโดคยองซูมากโข
“ฮยอง!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ย๊า จริงๆเลย อึดอัดอ้ะ!!”
“เอ่อ เอางี้มั้ย นัดให้สองคนมาเจอกันที่ร้านกาแฟพี่ซูโฮ แล้วแอลฮยองก็ช่วยพูดดีๆแก้ตัวเองด้วยนะครับถ้าวันนั้นมาถึง”
จงอินพูดขึ้นอย่าง(พยายาม)กล้า เหล่มองไปดูแฟนตัวเล็กและรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่คยองซูก็พยักหน้าเห็นด้วยกับตน ส่วนแอลนั้น... ไม่มีทางเลือกอะไรมากอยู่แล้ว
“งั้นผมจะพยายามตื๊อซองยอลฮยองให้ และผมก็จะไม่ปล่อยให้ฮยองพลาดแน่แอลฮยอง สาบานเอาจงอินเป็นตัวประกัน!”
“คะ คยองอา...”
โดคยองซูเผยยิ้มในใจแต่ก็ไม่แสดงออกที่ริมฝีปาก เขามีแผนการในหัว และรับรองด้วยเกียรติว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปเด็ดขาด! คอยดูตอนสองคนนี้คบกันเถอะ โดคยองซูจะเรียกค่าเหนื่อยทบต้นทบดอกให้สมกับที่ใช้สมองมาทั้งเรื่องเลยเชียว!
แอลกำลังตื่นเต้นแบบสุดๆ ยิ่งกว่าตอนสอบปลายภาคจบม.ต้น ยิ่งกว่าตอนขึ้นเวทีเล่นดนตรีครั้งแรก ยิ่งกว่าตอนไหนๆที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตของเขา เขานั่งอยู่ในร้านกาแฟของพี่ซูโฮกับแก้วคาปูชิโน่ร้อนที่หมดไปอีกถ้วย เข็มนาฬิกาปัดผ่านไปรอบแล้วรอบเล่า มันเลยเวลาเลิกเรียนมานานแล้ว หากแต่แอลก็ยังคงรอ ทุกชั่วโมงที่ผ่านไปนั้นเหมือนลมแรงๆที่พัดจนความหวังของเขาริบหรี่ลงทุกที แต่แอลก็ใช้มือประคองให้มันยังคงอยู่ แม้จะดูเหมือนการหลอกตัวเองก็ตาม เขาส่งข้อความเสียงไปหาซองยอลเมื่อเช้านี้ นัดให้มาเจอกันที่ร้านกาแฟของพี่ซูโฮ เขาไม่มีความกล้ามากพอที่จะโทรไปเนื่องจากเสียงของซองยอลที่ตอบมานั้นอาจทำให้เขารวนจนลืมสิ่งที่ตั้งใจจะพูด
แอลเชื่อ เชื่อว่าตนจะได้พูดกับซองยอล แม้มันอาจเป็นครั้งสุดท้าย แม้เขาอาจะต้องเสียใจเพราะคำปฏิเสธ แต่สำหรับผู้ชายที่เพิ่งโดน ‘รัก’ จริงๆทักทายอย่างเขา แอลก็อยากลองเสี่ยงสักครั้งในชีวิต แม้จะไม่รู้นิยามที่แท้จริงของมัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือรักจริงหรือไม่ ไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แอลก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนจริงๆ
เงยหน้าขึ้นมองเข็มนาฬิกา เข็มสั้นชี้ที่กึ่งกลางระหว่างเลขเก้าและสิบ เข็มยาวบอกนาทีใกล้เลขสิบสองบนหน้าปัดเข้าไปทุกที แม้ร้านของซูโฮฮยองจะปิดสี่ทุ่มทุกวัน แต่ก็ไม่เคยมีลูกค้าคนไหนนั่งนานถึงขนาดนั้น หลังจากสองทุ่มครึ่งเป็นต้นไปก็มักจะไม่มีคนแล้ว แต่วันนี้เจ้าของร้านต้องนั่นรอเขา แม้ซูโฮจะไม่ได้มากดดันหนำซ้ำยังเอาขนมมาให้ทานเล่นๆ แต่นั่นกลับทำให้แอลเกรงใจซูโฮมากขึ้นไปอีก ความพยายามของเขาไม่เคยลดน้อยลง แต่โอกาสของเขาต่างหาก ประตูนั้นใกล้จะปิด แต่ซองยอลก็ยังไม่เดินออกมาเสียที...
แอลฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ใช้แขนสองข้างรองบนโต๊ะไม้และแนบแก้มลงไปทับ แต่ไม่นานเขาก็ต้องผงกหัวกลับขึ้นมานั่งตรง
เมื่อเก้าอี้ตรงข้ามถูกลากออก และใครคนหนึ่ง นั่งลงบนนั้น
หัวใจของแอลเต้นรัวและแรงอีกครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าน่ารักราวเด็กผู้หญิง ดวงตาสีเฮเซลเข้ม ผิวขาวและริมฝีปากแดงอิ่มที่คุ้นเคย เขาเผยยิ้มโดยไม่รู้ตัวในตอนนั้น...
“สวัสดี” คำทักทายยังคงเย็นชา ซองยอลกล่าวในขณะที่ไม่ได้ละสายตาออกจากแก้วโกโก้อุ่น และยกมันขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางสบายๆ
“คือ... นายสบายดีไหม”
“เราสบายดี แอลก็ด้วยใช่มั้ย” ซองยอลลดแก้วโกโก้ลง กล่าว และยิ้มบาง
“ไม่ค่อยเท่าไหร่น่ะ... เรารู้สึกแปลกไป เราอยู่ห้องเดิมแต่กลับรู้สึกว่ามันกว้างขึ้น เตียงก็ด้วย มันเหงาขึ้นและมืดขึ้นถึงจะมีดาวเรืองแสงติดอยู่บนผนัง...”
“ฮ่ะๆ”
“เราคิดถึงซองยอล”
ตาคมมีสเน่ห์ฉายแววอ้อนวอน เพิ่มให้คำที่พูดนั้นดูหวานและลึกซึ้งกว่าเก่า นัยน์ตาของสองคนได้สบกันในที่สุด ซองยอลถูกตรึงด้วยแววตาของแอลที่สารภาพความในใจออกมาหมดสิ้นแม้รู้ว่าเพียงแววตานั้นคงยังหนักแน่นไม่พอ มือเย็นเพราะอุณหภูมิบวกกับความประหม่าเอื้อมไปแตะมือของซองยอลเบาๆ หากแต่ทำให้คนสองคนอุ่นวาบเพียงเพราะสัมผัสปลายนิ้วนั้น ราวกับดอกไม้ที่เพิ่งได้รับน้ำ และกำลังจะแย้มบาน
“กลับมาได้มั้ย... เรารักซองยอลนะ”
มือที่เคยแตะอยู่บนนิ้วเรียวของซองยอล เลื่อนมาประคองแก้มใสก่อนที่แอลจะโน้มหน้าข้ามโต๊ะที่มีความกว้างไม่มาก เท้ามืออีกข้างลงบนโต๊ะนั้น และทาบริมฝีปากของตนลงบนกลีบปากอิ่มเบาๆ เพียงริมฝีปากที่แตะกันย้ำคำพูดว่าตนนั้นจริงใจกลับคำกล่าว
ผู้โดนสัมผัสอย่างซองยอลเบิกตาเพราะตกใจในตอนแรก หากในเวลาต่อมาก็ค่อยๆหลับลง หัวใจพองโตจนคับอกและกลัวว่ามันจะหลุดออกมา เผยให้อีกคนรู้ว่าหวั่นไหวเพียงใด หากแต่คำพูดของใครหลายๆคนก็ไหลเข้ามาในสมอง ฉุกให้ซองยอลคิดไตร่ตรองทุกสิ่งอีกครั้ง
แอลผละออกไป ซองยอลไม่ได้พูดอะไร หรือแม้แต่แสดงอาการ มือบางประคองแก้วเครื่องดื่มอุ่นๆขึ้นมาจิบเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แอลใจเสียไปหน่อย แต่ก็ฝืนยิ้มขื่นๆให้ตัวเอง ในเมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ก็ต้องยอมรับ แม้จะทำใจไว้ก่อนแล้ว แต่ก็อดนึกเสียใจไม่ได้อยู่ดีเมื่อซองยอลไม่ได้ตอบรับเขาอย่างที่แอบนึกเข้าข้างตัวเองไว้
เสียงโทรศัพท์ของซองยอลที่สั่นขึ้นแทรกบรรยากาศเงียบงันระหว่างสองคน คนขับรถของซองยอลมารับแล้วและเขาต้องกลับบ้านเพื่อให้ทันเวลานัดอะไรบางอย่าง
“ฉันต้องไปแล้ว ขอตัวนะ ดีใจที่ได้พบกันอีก” ซองยอลลุกขึ้นยืน ยิ้มและโค้งให้แอลเล็กน้อย คนตัวสูงยิ้มกลับไปและอาสาไปส่งซองยอลขึ้นรถเหมือนที่เคยทำ ซองยอลมอบให้แอลเพียงโค้งและรอยยิ้มก่อนจะขึ้นนั่งบนรถและจากแอลไปอีกครั้ง
เหตุการณ์เดิมเกิดซ้ำเหมือนเดจาวู แอลนอนอยู่บนเตียงพร้อมนวนิยายเล่มเดิม เขายังกวาดสายตาอ่านตัวหนังสือบทเดิมกับที่เคยอ่านเมื่อคืนก่อนเพราะเขาไม่เข้าใจมันเสียที หนังสือที่วกไปวนมาเรื่องนี้ เหมือนกับที่เขาไม่เข้าใจความคิดวกไปวนมาของตนที่คอยแต่จะหยิบยกเรื่องของอีซองยอลมาให้เอาคิดถึงอยู่เรื่อยๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเจ็บอย่างร้ายกาจ แต่แอลก็ดีใจลึกๆที่อย่างน้อยเขาก็ได้พูดมันออกไป เขาส่งข้อความไปบอกจงอินเรื่องที่เกิดขึ้น เจ้าจงอินโทรมาหาแอล คยองซูก็อยู่ด้วยหากแต่ไม่ได้พูดอะไร จงอินบอกว่าคยองซูดูเหมือนจะช็อคและใช้ความคิดอยู่ แอลฝากไปบอกว่าให้คยองซูเลิกคิดไปได้แล้ว และจงอินปลอบใจแอลว่าอย่างไรเสียคอมมยองซูก็จะยังมีคิมจงอินและโดคยองซูอยู่เป็นเพื่อนเสมอ แถมยังมีการกระซิบชวนไปดื่มแก้ช้ำในอีกด้วย
‘กริ๊ง!’
เสียงออกหน้าประตูในยามวิกาล ทำให้แอลขมวดคิ้ว อย่างไรก็ตาม เขาขานรับ... คว่ำหนังสือไว้กับฟูกเตียง หยิบเสื้อผ้ามาใส่ให้ดูเรียบร้อยนิดหน่อยและเดินออกไปเปิดประตู
“ใครครับ?”
“สวัสดีคนแปลกหน้า ฉันชื่อซองยอล ลีซองยอลเกิดวันที่ยี่สิบเจ็ดสิงหา ปีเก้าหนึ่ง เรียนอยู่โรงเรียนมัธยมปลายฮวา ปีสอง ยินดีที่ได้รู้จัก...
...จะมาขออยู่ด้วยระหว่างที่ผู้ปกครองไปต่างประเทศ รบกวนด้วยนะครับ”
100%
TBC.
(sarnyosp) ตัดจบมันเลยดีมะ ๕๕๕๕๕๕ ล้อเล่น อีกสามตอนจบแล้วนะแจ๊ะเย่!
ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตอนนี้ ขอบคุณหลายคนที่สนใจสั่งฟิคน้า ยังเปิดให้สั่งกันได้อยู่นะคะ เราลงในเด็กดีจนจบแน่นอนไม่ต้องห่วงน้า
* มีบางคนแอบกลัวเก็บเงินไม่ทัน ส่งเมลล์มาก่อนได้ แจ้งในเมลนะ ถ้าไม่ทันหลายคนเดี๋ยวเรายืดเวลาต่อให้ได้อีกนิดหน่อยนะคะ
รายละเอียดอยู่ตอนที่สอบสองนะ! :DD เราจัดรูปเล่มใกล้เสร็จแล้ว บอกเลยว่าน่ารักพอตัว เตรียมของแถมฟิคแล้วด้วย :)
ตอนนี้เป็นอะไรที่แบบ คนแต่งจะร้องไห้เอง ๕๕๕๕๕ เชื่อเรานะเรื่องนี้ดราม่าไม่นานหรอก พูดจริง๕๕๕
- เล่นแท็กทวิตกันมั้ยยย #HSTG น้า . _ . เปื่อใครไม่สะดวกเม้นในเด็กดีนะคะ!
100% ร้อยเปอร์แล้วนะแจ๊ะ เย้ พอๆเลิกดราม่านะ บอกแล้วว่าดราม่าไม่นาน งิ้งิ้
ความคิดเห็น