คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
๑
ที่โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากมหาลัย แพรอยู่ในห้องรอตรวจคนไข้ เธอกำลังโทรศัพท์บอกก้อง โดยมีธานุพันธ์ยืนพิงผนังกอดอก ปลายตาเหล่มองอยู่ด้านข้าง
“ป่าว ไม่ได้มาคนเดียว เจ้าของรถที่เฉี่ยวฉันเขาพามา.... เป็นอะไรมากหรือป่าวเหรอ ยังไม่รู้เลยต้องรอตรวจก่อน แต่ฉันเจ็บมากเลยนะ เดินแทบไม่ไหวเลยล่ะ” เธอคุยโต้ตอบกับก้อง โดยประโยคสุดท้ายที่ว่าเธอเจ็บ เธอเน้นย้ำเป็นพิเศษพร้อมปลายตาไปทางธานุพันธ์ เหมือนจะให้เขาสำนึกผิด ธานุพันธ์ต้องเบืองหน้าหนี แสยะยิ้มแห้งๆอย่างเสียมิได้ พร้อมระบายลมหายใจคลายความอัดอั้น คิดในใจว่า เขาไม่ได้เป็นคนทำซะหน่อย ที่พามานี่ ก็เพราะรับผิดชอบในฐานะเจ้าของรถหรอกนะ
แพรคุยกับก้องอีกแป๊บหนึ่ง พยาบาลก็มาเรียกเธอเข้าห้องตรวจโดยนำรถเข็นมาให้เธอนั่ง เข้าทำการเอ็กซเลย์โดยละเอียด จากนั้นก็ให้หมอใหญ่เฉพาะทางตรวจเช็คอีกที ผลการตรวจออกมา ปรากฏว่าข้อเท้าเธอแพลงก็จริง แต่เส้นเอ็นที่ข้อเท้ามีการระบมอักเสบ ดังนั้นจึงเข้าเฝือกให้เธอ พร้อมทั้งจัดยาชุดใหญ่ และไมเท้าค้ำยัน แนะนำว่าพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เท้าข้างนั้นรับน้ำหนัก ประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วลงวันนัดวันตรวจอีกที
ธานุพันธ์ทำเรื่องค่ารักษาพยาบาลของเธอจนเรียบร้อย ค่อยเข็นรถของเธอออกมานอกห้องตรวจ
“เดี๋ยว ฉันจะไปส่งล่ะกัน บ้านเธออยู่ไหนล่ะ”ธานุพันพ์บอกขึ้นระหว่างที่เข็นรถเธอออกมา
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเพื่อนฉันมารับ” เธอตอบห้วนๆเสียงเคืองๆ เหมือนยังโกรธเขาอยู่
ธานุพันธ์สะกดอารมณ์ไม่ไหว รู้สึกว่ายัยคนนี้จะให้เขาผิดซะให้ได้
“นี่ ฉันจะบอกเธออีกครั้งนะ ฉันไม่ได้เป็นคนขับรถเฉี่ยวเธอ เพื่อนฉันต่างหากที่ขับ ฉันก็รับผิดชอบให้แล้ว เธอยังไม่พอใจอะไรอีก จะเอาค่าชดเชยหรือไง”
น้ำเสียงของธานุพันธ์ในตอนท้ายฟังดูเหมือนเย้ยถากถาง แพรเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
“ใครว่าฉันต้องการค่าชดเชย ตั้งแต่มา คุณขอโทษฉันหรือยัง จะพูดจากับผู้เสียหายก็พูดให้มันดีๆหน่อยซี อย่ามาอ้างว่าเพื่อนคุณเป็นคนขับเลย ฉันไม่เห็นหน้าคนขับคุณจะพูดอะไรก็พูดได้” เธอโกงคอเถียงเสียงดัง ธานุพันธ์เริ่มเหลืออดกลับตะคอกเสียงดังกว่า
“นี่ มันจะมากไปแล้วนะ หาว่าฉันโกหกเหรอ...”
คำพูดของเขาชะงักถึงตอนนี้ พอดีเห็นนักศึกษาสองคนวิ่งรี่มาที่พวกเขาอยู่ รู้ว่าคงเป็นเพื่อนของเธอ เขาจำต้องเงียบเสียง ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง แพรเริ่มยิ้มออกที่เห็นเพื่อนพากันมารับเธอ ทั้งก้องและสันรีบตรงเขามาหาเธอสีหน้าบอกอาการเป็นห่วง สันเห็นเฝือกที่ข้อเท้า ต้องตื่นตกใจพูดขึ้นก่อน
“เป็นหนักขนานนี้เหรอ ที่แรกพวกเราน่าจะพาเธอมาหาหมอก่อนนะ”
ธานุพันธ์เมื่อเห็นเพื่อนของเธอมารับ ก็ถือว่าตัวเองหมดหน้าที่แล้ว จึงบอกว่า
“พวกคุณมาก็ดี คงพาเธอไปส่งบ้านได้นะ”
จากนั้นล้วงกระเป๋าขึ้นมา ควักธนบัตรใบล่ะพันเจ็ดแปดใบ ยื่นส่งให้
“เอ้านี่ ถือเป็นค่าทำขวัญชดเชย พวกคุณรับไว้สิ”
ทั้งสามคนล้วนแต่จ้องมองธานุพันธ์ ไม่มีใครยื่นมือไปรับแม้แต่คนเดียว ธานุพันธ์ประหม่าชั่วขณะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจวางเงินไว้บนตักของแพรที่นั่งอยู่บนรถเข็น พร้อมบอกว่า
“รับไปเถอะ ผมจะได้สบายใจ ที่หลังก็อย่าเซ่อซ่า ทะเล่อทะล่าเดินตัดหน้ารถอีกล่ะ”
ก้องได้ยินคำนี้ ถึงกับฟิวล์ขาด
“นายว่าใครเซ่อซ่า”
เหนี่ยวไหล่ของธานุพันธ์ให้หันมา ยิงหมัดขวาตรงเข้าเต็มแรง ปะทะข้างแก้มธานุพันธ์เสียงดัง ผลัก กลิ้งล้มลงไป ก้องยังคว้าเงินที่ตักของแพร เขวี้ยงใส่ร่างธานุพันธ์ ที่นั่งงงอยู่กับพื้นเพราะฤทธิ์หมัด
“เอาเงินของนาย
“เอาแม่ง..เลยก้อง”เสียงสันเชียร์เย้วๆ อยู่ด้านข้าง แต่กระเถิบถอยออกไปสองสามวา ผิดกับแพรที่ตกใจรีบเกาะแขนก้องเอาไว้ ร้องห้ามเตือน ธานุพันธ์เมื่อตั้งสติได้กลับเลือดขึ้นหน้า สถบด่าออกมา
“ไอ้บ้า แกกล้าต่อยฉันเหรอ”
รีบลุกขึ้นปรี่เข้าหา ก่อนที่ทั้งสองจะได้วางมวย รปภ ของโรงพยาบาล กลับตรงเข้าล็อกคนทั้งสองแยกออกจากกันก่อน ทั้งหมดถูกเชิญให้ไปห้องพักของ รปภ เพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องวิวาท หัวหน้า รปภ แก่ๆ ที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานมองไล่เรียง นักศึกษาทั้งสี่คน คนหนึ่งกลับเป็นคนไข้ของโรงพยาบาล
“พวกเธอ นี่มันอะไรกัน ศึกชิงนางหรือไง”หัวหน้า รปภ เอ่ยขึ้นเมื่อสำรวจดูคนทั้งสี่ ก้องกับธานุพันธ์มีท่าทีจะเอ่ยปากแย้ง แต่กลับถูกตวาดดุมาก่อน
“ไม่ต้องเถียง พวกเธอหนะเป็นนักศึกษานะ เป็นปัญญาชน จะตัดสินใจทำอะไรก็หัดคิดซะก่อน ใช้กำลังกันอย่างเด็กๆ มีสมองกันหรือป่าว จะแย่งกันจีบสาวก็ใช้วิธีกันแบบแฟร์ๆซี่ อย่าใช้กำลัง”
ทั้งสี่คนมองหน้ากันอย่างงงๆ รู้สึกว่าหัวหน้า รปภ จะเข้าใจอะไรผิดบางอย่าง ธานุพันธ์ขยับปากจะพูดอีก แต่หัวหน้า รปภ กลับตวาดกลับมาเหมือนเดิม
“ไม่ต้องเถียง แม่หนูนี่ก็เหมือนกัน จะรักใครชอบใครก็เลือกสักคน เห็นนิยมกันเหลือเกินสมัยนี้ กิ๊ก เกิ๊ก หนะ รู้ไหมคนจะฆ่ากันตายก็เพราะเหตุนี้ ฉันหนะเห็นมามากแล้วไม่อยากจะพูด”
แม้หัวหน้า รปภ บอกว่าไม่อยากจะพูดแต่ก็อบรมยาวเหยียด โดยไม่ให้ทั้งสี่คนมีโอกาสอ้าปากแย้ง ร่ายยาวเป็นต่อยหอย
“เอาล่ะ ถือว่าเรื่องวันนี้ไม่ร้ายแรง ฉันจะไม่ส่งเรื่องถึงตำรวจ อบรมพวกเธอเพียงเท่านี้ก็พอมั๊ง กลับไปได้แล้ว แล้วอย่าทะเลาะกันอีกหล่ะ”
สันใช้นิ้วก้อย คว้านรูหู คลายอาการหูอื้อ ที่ว่าอบรมเพียงเท่านี้ ก็เกือบสองชั่วโมง ทั้งสองฝ่ายออกมานอกห้อง รปภ เหลือบมองกันแวบหนึ่ง ก่อนแยกย้ายกันไป
ธานุพันธ์มาที่ลานจอดรถด้วยความโมโห เขาถูกต่อยหน้า แถมยังต้องนั่งฟัง รปภ แก่ๆ อมรมเรื่องไม่เป็นเรื่องเกือบสองชั่วโมง แล้วนี่ยังมีนัดกินข้าวกับที่บ้านไม่รู้ว่าจะไปทันหรือป่าว เขากระแทกปิดประตูรถด้วยความอารมณ์เสีย ขับออกไปอย่างฉวัดเฉวียง ก่อนออกถนนใหญ่มุ่งตรงกลับบ้าน
บ้านโชติการณ์ เป็นคฤหาสน์ใหญ่ สวยหรู มีนายชัชวาลเป็นผู้ครอบครอง ตระกูลโชติการณ์ร่ำรวยจากธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ รีสอร์ท และการโรงแรม ของบริษัทในเครือ อิมเพสสิเดน กรุ๊ป มีธานุพันธ์เป็นลูกชายเพียงคนเดียว ปกติธานุพันธ์ไม่ค่อยได้กลับบ้าน มักจะพักคอนโดของตัวเอง แต่วันนี้แม่ของเขาต้องการให้เขาเข้ามากินข้าวที่บ้าน นัดไว้ตอนสองทุ่ม แต่เพราะเรื่องที่โรงพยาบาลทำให้เขามาสาย ไปเป็นชั่วโมง
รถเบนซ์สปอร์ต ของธานุพันธ์ขับผ่านประตูรั่วอัตโนมัติ เข้าไปจอดยังหน้าทางขึ้นคฤหาสน์ มีคนรถเอารถของเขาไปจอดให้ในโรงเก็บรถ ทันทีที่เข้าเข้าบ้าน แม่ของเขาก็เข้ามาหอมแก้มยิ้มรับชื่นมื่น แม่ของธานุพันธ์เป็นผู้ดีเก่าทุกกระเบียดนิ้ว น้ำเสียงพูดจาฟังเย็นนิ่ม เนิบนาบ
“ลูก นุ มาแล้วหรือจ๊ะ มาสายนะเรา”
“พอดีติดมีธุระ นิดหน่อยครับ” นุตอบพร้อมกับกวาดตามองหาใครบางคน
“แล้วพ่อล่ะครับ”นุถาม เมื่อไม่เห็นพ่อของเขา
“พ่อของลูกมีแขกอยู่ในห้องหนังสือจ๊ะ กำลังคุยธุระสำคัญ ให้พวกเราตั้งโต๊ะทานกันก่อน”
“ก็ดีครับผมจะได้ไม่ต้องโดนบ่น”นุบอกเซ็งๆ เมื่อนึกถึงว่า ถ้าเขาเจอพ่อเขาจะโดนอะไรมั่ง
แม่ของธานุพันธ์หยิกต้นแขนเขาเบาๆ ยิ้มเป็นเชิงหมั่นไส “ลูกก็พูดเกินไป เขาเป็นพ่อของลูกนะ เห็นทะเลาะกันที่ไร พ่อเขาก็ยอมลูกทุกที เรื่องที่ว่าลูกอยากไปอยู่นอกบ้าน ที่แรกเห็นว่าไม่ยอม แล้วเป็นยังไง สุดท้ายก็ต้องซื้อคอนโดให้”
ธานุพันธ์นึกถึงต้องหัวเราะชอบใจเหมือนเด็กๆ ก่อนถามเสียงออดอ้อน
“แล้วนี่ ตั้งโต๊ะเสร็จหรือยังครับ ผมหิวแล้วนะแม่”
๑
ในห้องหนังสือ นายชัชวาลกำลังนั่งบนโซฟาสนทนากับชายในวัยเดียวกัน อายุประมาณหกสิบกว่าปีท่าทางภูมิฐาน บนโต๊ะรับแขกข้างหน้าวางเต็มไปด้วยเอกสารหลายฉบับ สีหน้าของนายชัชวาลเครียดเล็กน้อย แต่พยายามกลบเกลื่อนไม่แสดงออก คนคนนั้น หยิบแว่นขึ้นมาสวม ตรวจดูเอกสารแต่ล่ะใบ พร้อมทั้งมีรูปถ่ายของผู้หญิงคนหนึ่ง กองอยู่หลายใบ ในรูปถ่ายไล่เรียง ตามอายุของผู้หญิงในภาพ ตั้งแต่แบเบาะ จนถึงปัจจุบันอายุประมาณสิบแปดปี ในแต่ล่ะภาพ สภาพองค์ประกอบรอบด้านบ่งบอกถึงการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี หญิงสาวในภาพมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายในต่างประเทศ จนภาพสุดท้ายที่ดู เธอมีบุคลิกที่สง่างาม หน้าตาสวยเด่นและน่ารัก แต่งกายด้วยชุดกันหนาวขนมิ้งราคาแพงระยับท่ามกลางหิมะ แต่สายตาแฝงความยโสถือตัว
นายชัชวาลมองดู คู่สนทนาตรวจเอกสารดูรูปถ่ายนานจนรำคาญ แต่ยังยิ้มขึ้นว่า
“ผมว่า เท่านี้ก็เพียงพอที่จะบอกว่า เธอได้รับการปฏิบัติเลี้ยงดูดีขนานไหน พวกเรารักเธอตอนนี้เธออยู่ที่อังกฤษ ผมก็ไปเยี่ยมเธอเกือบทุกเดือน คุณธนากร คุณคงไม่มีปัญหาแล้วนะ”
เขาพูดเหมือนพยายามจะตัดบท
นายธนากร สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนระบายยาวออกมา เงยหน้าขึ้น มองคู่สนทนานิ่งเหมือนพยายามจะสังเกตหาอะไรบางอย่าง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังอยากจะพบเธอ ขอที่อยู่ของเธอให้พบได้มั๊ย”
นายชัชวาลมีท่าทีอึดอัดใจ พูดขึ้นอย่างช้าๆ
“คุณธนากร ผมว่าคุณไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้แล้วนะ คำสั่งศาลออกมาชัดเจนแล้วให้ผมเป็นผู้ดูแล พิมพ์ดารา ถึงคุณจะเคยเป็นทนายความประจำตัวของคุณโสภณพ่อของเธอ แต่คุณหมดอำนาจหน้าที่ไปแล้ว หรือคุณสงสัยว่าผมจะฮุบมรดกของหลานสาวตัวเอง”
น้ำเสียงในตอนท้ายของชัชวาลขึงขัง เหมือนมีโมโห
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิครับ ผมเพียงแต่อยากจะพบพูดคุยกับเธอ บอกถึงพันธะที่เธอมีต่อตระกูลอัครกุล และบริษัท อิมเพสสิเดน กรุ๊ป ผมเห็นว่าเธออายุสิบแปดแล้ว โตพอที่จะสมควรได้รับรู้เรื่องนี้” ธนากรตอบเสียงนิ่มนวลตามแบบของทนายความ
นายชัชวาลอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า
“เรื่องนั้นเราจะเป็นคนบอกกับเธอเอง ไม่ต้องรบกวนคุณ ผมไม่อยากให้เธอรู้จากคนอื่น เพราะอาจทำให้เธอเข้าใจเราแบบผิดๆ หวังว่าคุณคงเข้าใจ ถ้าไม่มีอะไรอีก คุณก็กลับไปได้แล้ว”
นายธนากรถูกตัดบทไล่ รู้ว่าอยู่ต่อไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร จึงลุกขึ้นลากลับ เก็บเอกสารที่ได้มาเข้ากระเป๋าเอกสารของตัวเอง
“ผมหวังว่าคุณคงบอกต่อเธอในเร็ววัน เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเมื่อเธอบรรลุนิติภาวะแล้ว เธอก็จะมีสิทธิ์โดยสมบูรณ์ ถึงผมจะหมดอำนาจหน้าที่ดูแลคุณหนูพิมพ์ดาราแล้วก็ตาม แต่ผมสามารถตรวจสอบได้ว่า เธอจะได้รับมรดกของอัครกุลได้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หวังว่าคุณคงไม่ลืม”
ธนากรพูดทิ้งท้ายไว้อย่างใจเย็นก่อนจะออกจากห้อง ทิ้งให้ชัชวาลมีสีหน้าไม่สู้ดีอยู่เพียงลำพัง
ที่โต๊ะอาหารที่คฤหาสน์บ้านโชติการณ์ แม่ลูกกำลังนังทานอาหารเพียงสองคนโดยมีคนรับใช้ ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของขอบห้อง คอยเติมสิ่งที่ขาดเหลือ ชัชวาลมาร่วมโต๊ะหลังสุด สีหน้าเขาไม่ค่อยสู้ดีเหมือนมีเรื่องกลุ่มใจ
“นี่แกมาแล้วเหรอ เป็นไง พอไปอยู่นอกบ้านแล้วจะไม่กลับบ้านเลยรึไง”ชัชวาลเริ่มบ่นเมื่อเห็นหน้าลูกชาย ทำเอาธานุพันธ์ที่กำลังกินข้าวถึงกับหน้าเบ้ มองไปทางแม่ของเขา แม่ของธานุพันธ์ต้องขมวดคิ้วตีต้นแขนสามี พูดแก้ต่างแทน
“คุณก็ พอเห็นหน้าลูกก็บ่น แล้วยังงี้ ลูกอยากจะอยู่บ้านได้ยังไง”
“หึ.. ตามใจมันเข้าไป เดี๋ยวก็ได้เสียคน นี่แกมาก็ดี พอดีฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับแก”
ธานุพันธ์เงยหน้าขึ้นมอง เห็นท่าทีของพ่อเหมือนมีเรื่องสำคัญจริงๆ จำต้องหยุดกิน ตั้งใจฟัง
“อะไรครับ”ธานุพันธ์ถาม
“ฉันว่า ถ้าแกว่าง แกหาเวลาบินไปเยี่ยมยัยพิมพ์ที่อังกฤษมั่งก็ดีนะ” ชัชวาลลองเชิงถามลูกชาย แต่ธานุพันธ์กลับระบายลมหายใจยาว มีสีหน้าเอือมๆ
“นึกว่าเรื่องอะไร ไม่เอาหรอกครับ ยัยนั่นหนะน่าโมโหจะตาย ถ้าผมทนอยู่กับยัยนั้นได้ถึงชั่วโมงก็ถือว่าบุญแล้ว”
ธานุพันธ์บ่นยิ้มแหยงๆ เมื่อนึกถึงยัยนั่น แม้แต่แม่ของเขาก็ยังหัวเราะ “ลูกก็ว่าน้องเขาเกินไป”แม่ธานุพันธ์บอกยิ้มๆ
“ไม่หรอกครับแม่ ยัยเนี่ย ร้ายสุดๆเลย ยิ่งโตยิ่งน่ารังเกลียด เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด แถมยังชอบสั่งโน้นสั่งนี่กับผม พูดจาก็เย็นชา ทำตัวอย่างกับเจ้าหญิง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะพ่อนั่นแหละที่ให้ท้าย พูดก็พูดเถอะตอนเด็กๆผมทะเลาะกับยัยนี่ทีไร พ่อก็ว่าผมผิดตลอด ไม่เคยว่าผมถูกสักครั้ง”
ธานุพันธ์อดไม่ได้ที่จะเผยปมด้อยของตัวเองออกมา เพราะ พิมพ์ดารา ทำให้เขารู้สึกว่าพ่อของเขาไม่รักเขาเท่าที่ควร แต่รักพิมพ์ดารามากกว่า ทั้งที่พิมพ์ดาราเป็นแค่หลานเลี้ยง ชัชวาลนั่งฟังจนเงียบ ก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันก็จะให้แกไปเยี่ยมยัยพิมพ์ และให้ทำตัวดีๆกับเธอ เพราะฉันจะให้แกแต่งงานกับยัยพิมพ์”
คำหลังชัชวาลเน้นชัดถอยชัดคำ ทำเอาสองแม่ลูกถึงกับเบิ่งตาโต
“คุณค่ะ คิดดีแล้วหรือค่ะ ลูกเรายังเรียนอยู่จะแต่งงานได้ยังไง อีกอย่างนิสัยของยัยพิมพ์เข้ากับลูกเราไม่ได้ แล้วชีวิตคู่จะไปรอดหรือเนี่ย ถึงคุณจะรักยัยพิมพ์มากแค่ไหน ก็ไม่ควรให้ลูกเราไปแต่งงานกับเธอเลยนี่ค่ะ” แม่ธานุพันธ์รีบพูดระร่ำระลัก
“ใช่ ผมไม่แต่งงานกับยัยพิมพ์ดาราโดยเด็ดขาด” ธานุพันธ์เถียงเสียงกร้าว
“เงียบทั้งสองคน” ชัชวาลมีสีหน้าดุจริงจัง ตวาดเสียงดัง ผลุดลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร
“เรื่องนี้ฉันตัดสินใจไปแล้ว แกต้องทำตามที่ชั้นบอก ที่ฉันทำทั้งหมดก็เพื่อแก เรื่องอื่นฉันยอมแกได้แต่เรื่องนี้ฉันยอมแกไม่ได้ ถ้าแกไม่ยอมทำตามล่ะก็ เราจะได้เห็นดีกัน อ้อ..แล้วเรื่องแต่งงาน ฉันจะให้แก่หมั่นก่อนหลังจากเรียนจบแล้ว ค่อยจัดพิธีแต่งงาน”
ชัชวาลพูดน้ำเสียงขู่เข็ญบังคับพร้อมจ้องมองดูลูกชายด้วยสายตาที่เหี้ยมเกรียม เป็นการขู่เตือนที่น่ากลัว ก่อนจะขยับตัวออกจากห้องอาหาร ทำเอาธานุพันธ์นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะเห็นพ่อมีท่าทีน่ากลัวขนาดนี้ เมื่อตั้งสติได้ต้องรีบเรียก หวังตามไปคุยให้รู้เรื่อง แต่แม่กลับฉุดแขนธานุพันธ์เอาไว้ ไม่ให้ตามไป เพราะดูแล้วท่าทีของชัชวาลครั้งนี้ผิดแปลกกว่าครั้งไหนๆ
“ตอนนี้แม่ว่า ลูกอย่าเพิ่งตามไปพูดอะไรตอนนี้เลย พ่อเค๊าอารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเป็นราวเลยเถิด ทิ้งไว้ให้แม่ค่อยๆพูดให้ก็แล้วกันนะ”
ธานุพันธ์ได้แต่สะกดกั้นอารมณ์ ทำตามที่แม่บอก
“ถ้าอย่างนั้น ผมกลับก่อนล่ะกัน จะให้ผมแต่งกับยัยพิมพ์ ไม่มีวันหรอก นี่มันสมัยไหนแล้วจะมาจับผมคุมถุงชนได้ยังไง”
เขาออกจากบ้านด้วยความหัวเสีย วันนี้มีแต่เรื่อง เฮงซวยเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถเฉี่ยวรุ่นน้องที่คณะ ถูกต่อยที่โรงพยาบาล แล้วนี่ จู่จู่ พ่อของเขาจะจับเขาแต่งงานกับคนที่เขาไม่ชอบหน้าที่สุดอีก “วันนี้มันวันอะไรกันโว้ยยย...” เขาตะโกนดังก้องในใจ ๑
@@@@@@@@@
ความคิดเห็น