คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
สะกิดรักหัวใจ ยัยไฮโซตกกระป๋อง
รถไฟสาย เชียงใหม่ - กรุงเทพ เดินทางตรงตามเวลา ถึงกรุงเทพ เข้าเทียบชานชลาที่หัวลำโพงในตอนแปดโมงเช้า ผู้โดยสารพลุกพล่านเต็มคันรถ กำลังง้วนอยู่กับการเก็บสัมภาระลงจากรถไฟ พร้อมเด็กวัยรุ่นอายุสิบเจ็ดสิบแปดสามคนท่าทางตื่นเต้นกำลังหอบหิ้วสัมภาระของตัวเองลงตามผู้โดยสารคนอื่นๆ สองคนเป็นผู้ชายอีกหนึ่งคนเป็นผู้หญิง พวกเขาและเธอสามคน สัน แพร ก้อง เดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพ เพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าเรียนในมหาลัย แม้จะอ่อนเพลียจากการนั่งนอนขดในรถไฟ แต่ก็ดูสดชื่นตื่นเต้นกับการได้เริ่มต้นชีวิตวัยรุ่นที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยพลัง หลังจากที่เอ็นทรานส์เข้ามหาลัยได้สมหวังตามที่ตั้งใจ ตอนนี้พวกเขากำลังจะไปยังบ้านน้าใหม่ น้าสาวของสัน เพื่อพักที่นั้นและเข้ามหาลัยในวันเปิดภาคเรียนแรกของนักศึกษาใหม่
แพร หญิงสาวหน้าตาดูสดใสน่ารัก ผิวขาวเนียนแบบชาวเหนือ ดูเหมือนว่าสัมภาระของเธอจะมากกว่าของคนอื่น จนสันที่ก้าวลงมาก่อนด้วยกระเป๋าใบเดียว ต้องขมวดคิ้ว หันไปมองเธอหอบหิ้วพะรุงพะรังตามหลังมา
“ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเธอหอบอะไรมาหนักหนา มันถึงได้มากมายขนาดนี้”
“ของผู้หญิงไม่เหมือนกับของผู้ชายหรอกน่า ฉันไม่ซกมกเหมือนเธอนี่ จะได้หอบเสื้อผ้ามาสี่ห้าตัวก็พอ” เธอสวนขึ้นทันควัน พร้อมกับสีหน้าหงุดหงิด เพราะของของเธอมันเยอะจริงๆ ก้องที่ก้าวลงรถไฟลงที่หลังสุดได้ยินถึงกับหัวเราะ เขาเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าหิ้วใบใหญ่ในมือข้างหนึ่งของแพร มาถือไว้ บอกต่อเธอว่าจะช่วยถือ จากนั่นเรียกไปที่เพื่อนคนหน้า
“ไอ้สันแกก็มาช่วยหน่อยสิ ของแกก็มีนิดเดียว”
สัน รีบเบ้หน้าปฏิเสธ
“เรื่อง.. ของใคร ใครก็หิ้วเองสิ อีกอย่างมีแกช่วย ฉันคงไม่ต้องช่วยแล้วมั้ง”
สันพูดยิ้มๆ พร้อมแฝงความหมายเป็นที่รู้กัน เดินตัวปลิวนำหน้าไปก่อน ใครๆที่เรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกับพวกเขาและสนิทกัน ก็ต้องรู้ว่า ก้องชอบแพรอยู่ เพราะก้องมักจะทำดีเป็นพิเศษกับเธอเสมอๆ แม้ทั้งสองคนจะไม่เคยบอกชอบและคบกัน แต่ในสายตาเพื่อนฝูงก็ย่อมต้องดูออก แพรหน้าแดงเล็กน้อย บ่นอุบอิบในลำคอ
“อีตานี่ มันเห็นแก่ตัวจริงๆ”
แต่ ก้องกลับยิ้มหัวเราะ บอกว่า
“ช่างมันเถอะ ก็เธออยากเอามาเยอะทำไมล่ะ”
แพร ต้องเท้าสะเอวมองก้อง
“นี่เธอ ก็ว่าฉันด้วยเหรอ เอามานี่เลย ฉันถือเองก็ได้”
คว้ามือไปแย่งกระเป๋ากลับคืน แต่ก้องกลับดึงตัวหลบ ลอยหน้าหยอกล้อไม่คืนกระเป๋าให้ แบกสะพายกระเป๋าใบใหญ่ของเธอขึ้นพาดบ่า เดินไปตามหลังสัน แพรรู้อยู่แล้วว่าก้องต้องไม่ปล่อยให้เธอลำบาก นึกอมยิ้ม แกมหมั่นไส้ต่อพฤติกรรมของก้อง จากนั้นค่อยเดินตามคนทั้งสองไป
ทั้งสามคนนั่งรถแท็กซี่จากหัวลำโพง มาแถวย่านบางรัก ตามที่อยู่ที่ได้รับ จวบจนถึงบ้านหลังหนึ่งในซอยแปด เป็นบ้านไม้สองชั้นที่โอ่โถงกว้างขวาง ก้องต้องนึกถึงละครเรื่องหนึ่ง จนต้องพูดขึ้น
“นึกว่าซอยเก้า ไม่อย่างนั้นนะเป็นบ้านบางรักซอยเก้าเลย แต่ดันเป็นซอยแปด”
สันนึกหัวเราะ บอกว่า
“ทำไม แกคิดจะเป็นนายชัดเจนเหรอ แต่ว่าบ้านนี้ ลูกเจ้าของบ้านไม่ได้เป็นคุณแป้งนะ มีแต่หลานเจ้าของบ้าน ที่เป็นคุณ สัน ฮ๊า สนมั๊ย ฮ่ะ”
เสียงในตอนท้ายของสัน ดัดเป็นกระเทย จนเพื่อนๆต้องหัวเราะ แม้แต่คนขับแท็กซี่ ทั้งสามคนลงจากรถ เอาข้าวของมากองหน้าบ้านก่อนสันจะกดกริ่งเรียกคนในบ้านไปสองสามครั้ง หันมาบอกเพื่อนว่า
“นี่บ้านน้าใหม่ น้าสาวฉันเอง แกเป็นคนใจดีรักเด็กอย่างกะนางงาม แต่คอนข้างเจ้าระเบียบนิดหน่อย พวกแกคงอยู่ได้ไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่ว่านิสัยของน้าบางข้ออาจทำให้พวกแกอึดอัดบ้าง คือว่า...”
คำพูดของสันยังไม่ทันจบ ได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องเรียกขึ้น
“มาแล้วหรือจ๊ะเด็กๆ”
พร้อมกับเสียงเรียก เห็นผู้หญิงท่าทางเรียบร้อยวัยกลางคน หน้าตาดูสวยใจดี รีบเปิดประตูรั่วออก ตรงรี่เข้ามาหอมแก้มซ้ายขวาของสัน ทำอย่างกับสันเป็นเด็กสองสามขวบ ระหว่างที่แพรกับก้องยืนมองตะลึง น้าใหม่ก็เข้ามากอดคนทั้งสองพร้อมกับหอมแก้มไปอีกคนละฟอดสองฟอด เล่นเอาก้องและแพรยืนงงมองหน้ากันด้วยความเขินเล็กๆ สัน มีสีหน้าเซ็งๆ กระซิบบอกเพื่อนๆว่า
“ที่ฉันว่าก็คือ น้าฉันออกจะกระดี้กระด๊าไปหน่อยหนะ ชอบมองพวกเราเป็นเด็กๆ”
ก่อนจะหันไปบอกน้าสาว
“น้าใหม่พวกเราโตแล้วนะ ไม่ต้องทำเหมือนเราเป็นเด็กก็ได้”
“โตอะไรกัน พวกเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี มา มา เข้ามาข้างในก่อน” เธอพูดยิ้มๆโดยไม่ฟังคำตัดพ้อของหลานชาย บ้านของน้าใหม่ ออกจะกว้างสำหรับการอยู่คนเดียว เพราะมีห้องถึงสามสี่ห้อง มีชานระเบียงชั้นสอง มีสวนเล็กๆด้านหน้า เธอเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วแต่หย่ากับสามี เพราะสามีของเธอนอกใจ แม้ตอนหลังสามีของเธอจะสำนึกผิดมาขอคืนดี เธอก็ไม่ตอบตกลง ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้ เธอมีอาชีพเป็นครู จึงมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกลับเด็กวัยเรียน เมื่อรู้ว่าหลานชายเอ็นติดมหาลัยในกรุงเทพ จึงให้มาพักอยู่เป็นเพื่อน สันจึงขอให้เพื่อนๆของเขามาอยู่ด้วย เพราะกำลังหาหอพักในกรุงเทพเหมือนกัน โดยเสนอค่าเช่าให้น้าใหม่ห้องล่ะพันต่อเดือน น้าใหม่โดยจริงๆแล้วก็ไม่ได้สนใจค่าเช่าอะไร เห็นว่าดีที่จะมีคนมาอยู่เป็นเพื่อน บ้านจะได้ไม่เงียบเหงา ทั้งก้องและแพรรู้สึกชอบน้าใหม่เพราะแกเป็นคนใจดี เมื่อไปยังห้องหับที่น้าใหม่จัดไว้ให้ รู้สึกว่าเดือนล่ะพันที่ให้น้าใหม่จะถูกไป เพราะเธอจัดห้องไว้ให้อย่างดี มีทั้งโต๊ะ ฟูกที่นอนปูผ้านุ่มสะอาด ตู้เสื้อผ้า ไว้ครบทุกห้อง ทั้ง ก้อง สันและแพร ต่างรู้สึกตื่นเต้นประทับใจ รีบแย่งกันจับจองห้องอย่างกับเด็กๆ แน่นอนที่สุดว่าห้องที่กว้างและทำเลดีที่สุดต้องตกเป็นของ สัน เพราะดีกรีหลานเจ้าของบ้าน พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยแพรอย่างผู้ชนะ ที่คิดจะแย่งห้องกับเขา ที่รองลงมาก็ต้องเป็นของแพร เพราะก้องไม่คิดจะแย่งกับเธออยู่แล้ว ห้องเล็กสุดจึงเป็นของก้อง
พวกเขายังมีเวลาอีกอาทิตย์หนึ่งที่จะถึงวันเปิดภาคเรียน ดังนั่นจึงใช้เวลาออกไปนั่งรถเมล์ เที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเรียนรู้เส้นทาง และหาซื้อข้าวของจำเป็น แน่นอนที่สุดว่าของยัยแพรมีมากเกินจำเป็น และก้องก็แทบไม่ซื้ออะไรเลยนอกจากของจำเป็น ส่วนนาย สัน ใช้เวลาไปกับการเหล่สาววัยรุ่นในกรุงเทพเสียส่วนใหญ่มากกว่าจะซื้อของจำเป็น
ระหว่างมาห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง พวกเขาตั่งใจจะซื้อมือถือกันคนล่ะเครื่อง เพราะทั้งแพรและก็ก้อง ไม่เคยมีมือถือเลย นอกจากสัน ที่มีฐานะที่บ้านคอนข้างมีเงิน พ่อแม่เขาจึงซื้อให้ตั้งแต่วัยมัธยม ก้องความจริงไม่คิดจะซื้อเลย แต่สันโน้มน้าวว่า บางทีโทรศัพท์มือถือก็จำเป็น เพราะใช้ติดต่อหากันได้ตลอด ยิ่งตอนนี้พวกเรามาอาศัยอยู่นอกบ้าน เรียนกันคนล่ะคณะ เมื่อใครติดธุระอะไรจะกลับบ้านตอนไหน ก็สามารถโทรบอกกันได้ตลอด ก้องมาลองคิดดูแล้วก็เห็นว่ามันสะดวกดี จึงคิดจะซื้อสักเครื่องหนึ่ง ส่วนแพรนั้นตั้งใจจะซื้อมานานแล้ว แถมเธอยังได้เงินส่วนหนึ่งที่พ่อแม่ให้เป็นของขวัญนอกจากค่าเล่าเรียน ในการเอ็นติดมหาลัย เมื่อถึงร้านขายมือถือบนห้าง แพรหยุดดูโทรเครื่องหนึ่ง ด้วยสายตาที่อยากได้ รูปลักษณ์ทันสมัยโดดเด่นหรูหรา แต่ราคาของมันแพงจนหูฉี่ จนสันเห็นราคาแล้วต้อง ร้องโอ้โฮ บ่นอุบออกมา
“นี่มันโทรศัพท์หรือทองแท่งว่ะเนี่ย เหยียบห้าหมื่น ฉันว่าเธอดูเครื่องอื่นเถอะ ต่อให้โทรศัพท์มือถือ มันจำเป็นขนาดไหน ฉันก็ใช้มันไม่ลงหรอก”
แต่ก้องกลับชี้ให้ดูเครื่องหนึ่ง ซึ่งราคาประมาณสองพันต้นๆ บอกว่า
“ฉันว่ารุ่นนี้ก็ดีนะ ถูกดี”
แพรดูโทรศัพท์ที่ก้องชี้จนหน้าเบ้
“ไม่เห็นจะสวยเลย ตลกอ่ะ”
ก้องไม่ได้สนใจความเห็นของเธอ แต่เลือกที่จะซื้อรุ่นนั้น ก่อนจะหันมายิ้มว่า
“ก็แค่โทรเข้าโทรออก แค่นั้นเอง ถูกดีออก”
แพรไม่ได้ว่าอะไร แต่เธอไม่อยากได้รุ่นนั้น ลองมองหารุ่นอื่นๆดู มันก็ยังไม่พบที่ถูกใจ จนสันนึกรำคาญ บ่นว่า
“อะไร ก็ซื้อๆไปเถอะ เอาที่ใช้ได้ไม่น่าเกียดก็พอ เห็นเธอดูแต่ล่ะรุ่น ล่ะฉันปวดหัวเลย มีแต่แพงๆทั้งนั้น ตังมีพอเหรอไง”
เธอนึกหงุดหงิดรำคาญอีตาสันปากมาก อีกทั้งตอนนี้ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจ ที่อยากได้ตังก็ไม่พอซื้อ พลันตัดสินใจไม่ซื้อซะอย่างงั้น
“นี่ ฉันขี้เกียดซื้อแล้ว นายนี่มันขี้บ่นจริงๆ ไว้ซื้อวันหลังก็แล้วกัน”
“เออ งั้นวันหลังก็มาซื้อคนเดียวเหอะ”
“โหย.. ฉันไม่ง้อเธอหรอกย่ะ ยังไงฉันก็มีก้องมาเป็นเพื่อน”
พลางงอนตุ๊บป่องเดินออกไป ก้องต้องหันมาเหล่เพื่อน อย่างเคืองๆ
“นี่แกจะบ่นหาพระแสงอะไรมากมายว่ะ ก็ปล่อยให้เธอเลือกไปสิ”
“ก็แกไม่เห็นหรือไง ที่ยัยนั่นเลือกมีแต่แพงๆทั้งนั้น แล้วมีปัญญาซื้อที่ไหน ขนาดฉันยังไม่มีปัญญาเลย ดูไปก็เปล่าประโยชน์ ฉันก็เลยบ่นเร่งให้ซื้อได้ไวๆไง ใครจะไปรู้ ว่ายัยแพรจะไม่ซื้อเอาดื้อๆ”
สันโกงคอเถียงจนเป็นเอ็น
“แกนี่... แกนี่มันจริงๆ เลย”
ก้องชี้นิ้วกระดิกคาดคั้น คล้ายจะจดบัญชีความผิดของเพื่อนเอาไว้ ก่อนเดินตามแพรไปปลอบให้หายงอน ทิ้งสันให้บ่นจิ๊จ๊ะกับตัวเองคนเดียวอย่างหัวเสีย
“เออ ปกป้องกันเข้าไป กูผิดอีก นี่ถ้ามันได้เป็นแฟนกันจริงๆ กูก็หมาหัวเน่าล่ะมั้งเนี่ย”
๑
และแล้ววันเปิดภาคเรียน ปฐมนิเทศต้อนรับนักศึกษาใหม่ก็มาถึง ทั้งสามคนแต่งตัวออกจากบ้าน ด้วยสีหน้าสดใส นั่งรถประจำทางไปมหาลัยตั้งแต่เช้า มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เป็นมหาลัยที่คนทั้งสามต้องเข้าไปศึกษา ก้องเรียนคณะสถาปัตย์ ส่วนสัน เรียนอยู่คณะนิติ และแพร เรียนอยู่คณะพาณิชศาสตร์การบัญชี หรือบริหาร ต่างคนต่างแยกย้ายไปประจำคณะของตัวเอง นั่งฟังปฐมนิเทศยาวเหยียด ก่อนจะแยกย้ายไปชมสถานที่คณะที่เรียนของตน ด้วยที่ว่าคณะสถาปัตย์กับนิติขาดสิ่งเจริญสายตาหนุ่มๆ ไม่หวือหวาเหมือนคณะนิเทศกับบริหาร ที่มีสาวสวยเดินกันขวักไขว่ สันจึงดอดมาหาก้องชวนไปหาแพรที่คณะบริหาร หวังไปทำความรู้จักกับสาวบริหารสักคนสองคน และเมื่อมาถึงก็ไม่ผิดหวัง สันเหลียวมองสาวๆผ่านไปมาจนคอเคล็ด ร้อง อู้ฮู ไม่ขาดปาก แพรเห็นแล้วอดรำคาญใจไม่ได้ ที่เห็นสันระริกระรี้จนออกนอกหน้า
“นี่พวกแกมาหาฉัน หรือมามองสาวกันแน่”
เธอบ่นน้อยๆ ก่อนจะก้มลงดูดน้ำชาเขียวจากแก้วพลาสติก ที่เพิ่มซื้อมา พร้อมกับชำเลืองดูก้อง ว่ามีอาการเดียวกับอีตาสันหรือป่าว แต่ก็โล่งใจเมื่อเห็นก้องเฉยชากับผู้หญิงสวยๆที่เดินผ่านไปมา แต่ผู้หญิงที่ผ่านไปมา หลายคนมักจะชำเลืองมองดูก้องบ่อยครั้ง เพราะเขาเป็นหนุ่มหน้าเข้มที่ดูดี มักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ ดูมีเสน่ห์ที่อบอุ่น แถมยังตัวสูงใหญ่ จนแพรต้องแอบมองค้อนใส่ก้อง
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังข้ามถนนหน้าตึกคณะ กลับได้ยินเสียงบีบแตรไล่จากด้านข้าง รถเบนซ์สปอร์ต สีบอร์นเงินวิ่งมาด้วยความเร็ว และไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดชะลอ ก้องตกใจร้อง ระวัง พร้อมกับฉุดดึงแพรให้ถอยกลับมา แรงกระชากทำให้แก้วน้ำในมือของแพร หกกระจายเต็มพื้นถนน ขาเธอพลิกเกือบล้มลง รถคันนั้นโฉบเฉียวผ่านเธอไปเพียงวาเศษ
“ขับรถภาษาห่าอะไรว่ะไม่เห็นคนหรือไง”
เสียงของสันตระโกนไล่ด่าตามหลังด้วยความโมโห
แต่รถคันนั้นขับเลยไปเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น สันยังด่าตามไปอีกหลายคำ แต่มันเหมือนกับด่าลมเสียมากกว่า สุดท้ายลงเอยด้วยคำว่าไอ้จาดง้าว เป็นคำด่าพื้นเมืองภาษาเหนือแปลว่าไอ้โง่เอ้ย ส่วนก้องรีบพยุงแพรไว้ เพราะขาเธอดูเหมือนจะพลิกจนเจ็บ
“เจ็บมากหรือป่าว” ก้องถามด้วยความเป็นห่วงรีบร้อน เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ รู้สึกว่าขาของเธอจะแพลง จนเดินกระโพลกกระเพลกน้ำตาแทบเล็ด เกาะไหล่ของก้องเอาไว้
“เจ็บอ่ะ สงสัยข้อเท้าจะแพลง”
ก้องมีอาการหัวเสียขึ้นมาทันที เมื่อเห็นเธอเจ็บขนาดนี้ คิดว่า ไอ้เจ้าของรถห่านั่นมันเป็นใครว่ะ ถ้าได้เจอหน้าขอตะบันหน้าให้สักทีเถอะ ก้องพาแพรไปนั่งตรงม้านั่งพักข้างทาง ก้มลงนวดข้อเท้าให้เธอ คลายอาการพลิกของเส้นเอ็น สักครู่หนึ่งเธอจึงรู้สึกดีขึ้น พอเหลือบดูนาฬิกา มันใกล้เวลาที่เธอต้องเข้าประชุมคณะ รีบร้อนลุกขึ้นบอกว่า
“แย่แล้ว ฉันต้องเข้าประชุม พวกเธอก็มีประชุมไม่ใช่เหรอ รีบกลับไปเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว”
“แน่ใจนะ ให้พวกเราพยุงไปส่งดีมั๊ย” ก้องย้ำ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันพอเดินไหว ไปนะ”
เธอรีบกระโพลกกระเพลกเดินไปยังหน้าตึก ก่อนโบกมือให้ก้องกับสันที่ยืนมองดูเธอ ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับไป ตะโกนไล่ว่า
“พวกเธอก็รีบไปสิ เดี๋ยวก็สายหรอก ฉันไม่เป็นไรแล้วเห็นมั๊ย”
ทั้งสองคนจึงได้ขยับตัวแยกย้ายกันไปตามคณะของตัวเอง แพรก้าวขึ้นบันไดหน้าตึกด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ นึกสบถด่า เจ้าของรถเบนซ์คันนั้นในใจ ที่ทำให้เธอต้องทรมานกับการลากสังขาร เดินไปเข้าประชุม ระหว่างขยับตัวขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า เห็นรถเบนซ์สปอร์ทคันที่เฉียวเธอ ขับผ่านหน้าคณะมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เข้าจอดถึงที่จอดรถหน้าตัวตึก แพร อดไม่ได้ที่จะหยุดมองตาม อยากรู้นักว่าไอ้คนที่ทำเธอเจ็บมันหน้าตาเป็นยังไง
พอประตูรถเปิดออก คนข้างในก้าวลงออกมา เห็นหนุ่มหน้ามน หล่อเหลา สวมแว่นตาดำเก๋ไก๋ ไว้ทรงผมไสตร์วัยรุ่นเกาหลีที่กำลังนิยม พร้อมกับการแต่งตัวเนียบเฉียบขาด แบบนักศึกษาวัยรุ่นไฮโซ มันทำให้แพรอึ้งไปขณะหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงของนักศึกสาวรอบๆร้องกรี๊ดวี้ดวายกันใหญ่ ซุบซิบกันถึงหนุ่มหล่อที่ลงจากรถเบนซ์คันนั่น กำลังก้าวเดินมา
“นี่ คนนั่นใช่ ธานุพันธ์ รึป่าว หล่อกว่าในนิตยสารตั้งเยอะเนอะ”
“คนอะไรไม่รู้ทั้งหล่อทั้งรวย นี่ๆ เขากำลังเดินมาทางนี้แล้ว”
เสียงกระซิบกระซาบของบรรดานักศึกษาสาวๆ ดังแว่วเข้าหูของแพร จนสะกิดความสงสัยอย่างรู้ จะว่าเป็นดาราก็ไม่คุ้นชื่อคุ้นหน้า ดังนั้นจึงหันไปถามนักศึกษาหญิงที่ซุบซิบอยู่ด้านข้าง
“นี่ๆ เธอ เขาเป็นใครเหรอ ?”
“เธอไม่รู้จักเหรอ ?” นักศึกษาหญิงที่ถูกถาม ถามกลับด้วยความฉงน แต่ดูสีหน้าของแพรแล้วคงไม่รู้จริงๆ จึงอธิบายว่า
“เขาเป็นลูกชายของตระกูลโชติการไง รวยระดับประเทศเลยนะ เพิ่งจะถ่ายแบบเป็นนายแบบกิตติมศักดิ์ ให้กับนิตยสาร นี่ไง”
นักศึกษาหญิงยื่นส่งนิตยสารเล่มหนึ่งให้แพรดู มีรูปของธานุพันธ์ถ่ายขึ้นหน้าปกหลา แพรนึกถึงตาหมอนี่ทำให้เธอต้องเจ็บตัว ต้องระบายลมหายใจอย่างถอนฉุน
“ก็งั้นๆ ไม่เห็นจะหล่อเลย”
“นี่เธอ มีร้านแว่นอยู่หน้ามหาลัย ไปตัดแว่นซะนะ” นักศึกษาหญิงคนนั่นค้อนเธอ พร้อมกับดึงนิตยสารกลับคืน เป็นเวลาที่ธานุพันธ์มาถึงบันไดที่พวกหล่อนยืนอยู่ ตรงบันได ออไปด้วยบรรดานักศึกษาสาวๆที่มองส่งยิ้มให้กับเขาไม่มีทีท่าว่าจะหลบทางให้เขาเดิน
“ขอโทษนะ ผมกำลังรีบ ขอทางหน่อย” ธานุพันธ์บอกสีหน้าขรึมๆ เบี่ยงตัวไปทางราวบันไดแทรกตัวเดินขึ้นไป ตรงที่เขาแทรกตัวเป็นที่ที่ แพรใช้ราวบันไดเป็นที่พยุงตัวจากอาการข้อเท้าแพลง กลับถูกธานุพันธ์เบียดชนด้านหลังเข้าอีกรอบ อาการที่ข้อเท้าของเธอปวดแปลบขึ้นมา ร้อง โอ้ย เกาะราวบันไดไว้แน่น กลัวจะพยุงตัวไม่ไหวหล่นบันไดลงไป ธานุพันธ์เหลือบมามองแวบหนึ่ง
“ขอโทษที” เขาพูดแค่นี้ก็ก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดไปอย่างเร่งรีบ แพรถลึงตามองตามอย่างนึกโมโห อีตานี่มันจะมากไปแล้ว อารมณ์ฉุนประทุขึ้น
“นี่นาย ทำคนอื่นเจ็บจะขอโทษสั้นๆ แค่นี้นะเหรอ มันจะมากไปแล้วนะ” เสียงของเธอตวาดแว๊ดดัง ธานุพันธ์ ต้องชะงักเท้าหันกลับมามองมีสีหน้างงๆ พร้อมกับสายตานักศึกษาอีกหลายคู่ที่ดูอยู่
“ผมว่า ผมเบียดชนคุณไม่แรง คุณไม่น่าจะเจ็บนะ” ธานุพันธ์เอ่ยขึ้นช้าๆ อย่างฉงน
“ใช่เมื่อกี๊ คุณชนฉันไม่แรง แต่ก่อนหน้านี่คุณขับรถเฉี่ยวฉันที่ถนนหน้าคณะ จนข้อเท้าฉันแพลงคุณจะว่ายังไง”
สิ้นเสียงของแพร สายตาทุกคู่ที่มุ่งดูล้วนจ้องมองไปยังธานุพันธ์ ส่งเสียงซุบซิบจอแจ ธานุพันธ์ดูคนรอบข้าง ที่ดูเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดจริงๆ เขางงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะวันนี้เขาเพิ่งจะเข้ามาที่มหาลัยมาลัย จะไปขับรถเฉี่ยวเธอได้ยังไง นึกในใจว่าผู้หญิงคนนี้ คงต้องหาเรื่องอยากดังแน่แน่ เพราะเขาเองก็เป็นคนดังในสังคม
“ผมนะเหรอไปขับรถเฉี่ยวคุณ ประสาทหรือป่าว วันนี้ผมเพิ่งจะเข้ามาที่มหาลัย จะไปขับรถเฉี่ยวคุณได้ยังไง ผมไม่มีเวลากับเรื่องโกหกไร้สาระนะ ถ้าคุณมั่นใจล่ะก็ไปฟ้องเอาล่ะกัน”
พลางส่ายหัว หัวเราะเบาๆอย่างกับเห็นเป็นเรื่องขัน ขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจ แพรรู้สึกฉุดขาด รีบก้าวกระโพลกกระเพลกขึ้นตาม เรียก นี่ นี่ หวังพูดคุยให้รู้เรื่อง แต่กลับถูกนักศึกษาสาวคนหนึ่งฉุดมือไว้ ชี้หน้าว่า
“นี่เธอ ถ้าอยากจะดังนะ ก็ไม่ควรใส่ร้ายเขาให้เสียๆหายๆ เธอนี่นิสัยแย่จริงๆ”
“ใช่ๆ เธอนี่ใช่ไม่ได้เลยนะ อย่าไปสนใจแม่คนนี้เลย รีบขึ้นห้องประชุมเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
นักศึกษาอีกคนหนึ่งเขามาสมทบ มองเธอด้วยสายตาเหยียดๆ ก่อนชวนเพื่อนออกไป แพรเบิ่งตาโต ระบายเสียงดัง โฮ๊ะ อย่างไม่เชื่อหู งงงันไปครู่ใหญ่ นี่กลับกลายเป็นว่าเธอเป็นฝ่ายผิดเป็นพวกอยากดัง นี่มันเวรกรรมอะไรกันเนี่ย
กว่าแพรจะถ่อสังขารเข้าห้องประชุม กลับล้าหลังกว่าใครเพื่อน แถมยังโดนรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่พี่ว๊าก เอ็ดใส่จนได้อายโทษฐานที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา หลังจากนั้นนั่งฟังโอวาทคำแนะนำของรุ่นพี่ปีสี่ และการรับน้องใหม่พอเป็นพิธี รุ่นพี่ปีสี่บอกว่า น้องใหม่ปีหนึ่งทุกคนจะต้องมีพี่รหัสคอยดูแลแนะนำการเรียนการศึกษา และคอยให้ความช่วยเหลือต่างๆ
ในปีนี้ จะใช้วิธีจับฉลากเลือก ใครได้คู่กับใครให้ไปหาพี่รหัสน้องรหัสคนนั่น ในบรรดารุ่นพี่ที่เป็นพี่รหัสมีธานุพันธ์รวมอยู่ด้วย เมื่อถึงคิวของเขา บรรดาสาวๆปีหนึ่งต่างลุ้นสุดใจ ขอให้เขาจับได้ชื่อของพวกหล่อน และแล้วผลการจับฉลากของธานุพันธ์ ออกมาเป็น นางสาว แพรพรรณ ธนสุทธิ หลายสายตากวาดมองหาเจ้าของชื่อไปทั่ว หมายอยากรู้ว่าเป็นใคร แพรกลับตกใจจนลืมขานรับ ดวงมันช่างซวยอะไรขนาดนี้ กลับได้คู่กรณีเป็นพี่รหัส
“เอ๊า น้องคนไหน ชื่อแพรพรรณ ยังไม่ออกมาหาพี่รหัสของตัวเอง” พี่ว๊ากตะคอกขึ้น เมื่อยังไม่เห็นมีรุ่นน้องคนไหนขานรับ
“คะ..ค่ะ” แพรรีบขานรับ เดินโขยกเขยกออกไป เมื่อธานุพันธ์เห็นน้องรหัสของตัวเอง ต้องขมวดคิ้วนิ่งอึ้งไปขณะหนึ่ง
“เธอเอง หรอกเหรอ” เขาพูดก่อนเว้นระยะนิดหนึ่ง ดูสภาพของเธอพร้อมระบายยิ้มหยันๆ
“ฉันว่าเธอเลิกโกหกสำออยได้แล้วมั๊ง ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก”
“เงียบไปเลย ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด คนทุเรศอย่างนาย ฉันไม่คุยด้วยหรอก”
“นี่เธอด่าใครว่าทุเรศ”ธานุพันธ์ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์โมโห แต่ก่อนที่ธานุพันธ์จะได้พูดอะไรต่อ พี่ว๊ากกลับตะโกนมาจากด้านหลังแทรกขึ้น
“เอ้า สองคนนั่นหนะ เมื่อได้คู่แล้วก็ขยับไปตรงโน้น คนอื่นเขาจะได้จับฉลากต่อ”
ทั้งสองคนเลยต้องออกจากที่ตรงนั้นไปยังตรงโน้น ตามพี่ว๊ากบอก เดินตามกันไปโดยไม่มองหน้ากัน ธานุพันธ์แอบมองเธออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยู่บ่อยครั้ง รู้สึกขุ่นเคืองใจที่ถูกเธอด่าว่าทุเรศ
หลังจากนักศึกษาหน้าใหม่ได้พี่รหัสกันครบแล้ว รุ่นพี่ปีสี่ทิ้งเวลาช่วงหนึ่งให้พี่น้องหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน บรรยากาศในห้องประชุมคณะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจ แต่บรรยากาศของคนทั้งสอง กลับอึมครึมไม่คุยกันเลย จนถึงวาระเลิกประชุม รุ่นพี่ปล่อยให้กลับบ้านได้ ธานุพันธ์ รีบลุกขึ้น ออกไปโดยไม่รีรอ ทั้งยังกระแทกโต๊ะตัวที่เขานั่งข้างๆแพร จนสะเทือนถึงเธอ บอกให้รู้ว่าเขามีโมโห เขาลงบันไดอย่างรีบร้อนไปจนถึงที่จอดรถหน้าคณะ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่เขาจะได้ขับรถออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือพลันดังขึ้นก่อน เป็นเพื่อนของเขาที่นัดกันไว้ว่าจะไปสังสรรค์กันหลังเลิกประชุม ธานุพันธ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับอย่างหงุดหงิด
“เออ.. ว่าไง กำลังจะออกไป”เขากรอกเสียงลงไป เต็มไปด้วยความโมโหในอารมณ์
“เป็นอะไรว่ะ แกหงุดหงิดอะไรของแก”
“ก็ผู้หญิงบ้า ห่าอะไรไม่รู้ สงสัยอยากจะดัง มาหาว่าฉันขับรถไปเฉี่ยวเขาที่หน้าคณะนะสิ แถมยังมาเป็นน้องรหัสของฉันอีก” ธานุพันธ์อดไม่ได้ที่จะเล่ามันออกมา
“แก่คิดดู ก็แก่เพิ่งเอารถฉันไปคืนให้เมื่อกี้นี้ แล้วฉันจะไปเฉี่ยวเขาได้ยังไง บ้าจริงๆ”
แต่เพื่อนที่ฟังเหมือนจะเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงท่าทีเป็นกังวล
“แล..แล้วเขาเป็นอะไรมากป่าวว่ะ”
“แกหมายความว่าไง”ธานุพันธ์นึกเอะใจถามกลับไป
“ก็ตอนที่ฉันขับรถไปคืนแก มีผู้หญิงทะเล่อทะล่า เดินตัดหน้า ฉันเบรกไม่ทันเลยบีบแตรไล่ รู้สึกว่าเธอจะล้มลง แต่ฉันว่ารถเฉี่ยวไม่ถูกนะ ฉันดูกระจกหลัง ไม่เห็นว่าเป็นอะไร แถมยังมีผู้ชายสองคนท่าทางเอาเรื่องอยู่ข้างๆ ฉันเลยไม่กล้าจอดดู”
ธานุพันธ์ถึงกับตาสว่างพูดไม่ออก ตะคอกใส่โทรศัพท์
“ไอ้บ้าเอ้ย .. แก่นี่มัน” เขาพูดได้แค่นี้สายตาพอดีเห็นแพรเดินทุลักทุเลลงบันไดลงมา เขารีบตัดบททางโทรศัพท์
“เออ แค่นี้ก่อน ฉันไม่ไปแล้ว”
เขารีบเก็บโทรศัพท์ ขึ้นรถ เคลื่อนช้าๆไปหน้าคณะ
บนถนนริมฟุตบาท แพรกำลังเดินโขยกเขยกหน้ามุดมุ่ย แสดงความเจ็บปวด อาการที่ข้อเท้าของเธอเริ่มปวดระบม ธานุพันธ์เคลื่อนรถไปใกล้ๆ เปิดกระจกร้องเรียก
“นี่คุณ ! ขึ้นรถก่อนสิผมจะพาไปหาหมอ”
แพรปลายสายตามองคนบนรถอย่างชิงชัง กัดฟันเดินต่อไปโดยไม่พูดด้วย
“นี่ ผมบอกว่าผมจะพาคุณไปหาหมอ ไม่ได้ยินหรือไง รีบขึ้นรถมาสิ”
แพรคิดในใจ อีตานี่ ถ้าคิดจะพาไปหาหมอ พูดให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง ระเบิดเสียงใส่ว่า
“นายจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอก ฉันไปเองได้”
เหตุการณ์ของทั้งสองคนเริ่มเป็นที่สนใจของนักศึกษาคนอื่นๆ ยิ่งธานุพันธ์เป็นหนุ่มป๊อบปูล่า ที่หลายๆคนรู้จัก เขาเริ่มจะอายและหงุดหงิด ที่ต้องมาขับรถตามผู้หญิงต้อยๆ อย่างนี้ ถนนในมหาลัยตอนเลิกเรียน ก็เต็มไปด้วยรถราที่ขวักไขว่แย่งกันออกถนนใหญ่ เสียงบีบแตรไล่ดังมาจากข้างหลังรถธานุพันธ์ เพราะรถของเขาขวางช่องเลนไว้เลนหนึ่ง
“นี่ฉันเป็นพี่รหัสเธอนะ ฉันบอกให้ขึ้นรถก็ขึ้นรถสิ ไม่เห็นรึไงรถติดใหญ่แล้ว”
แพรทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน เดินต่อไป แต่อีกสองสามก้าว เธอก็พยุงตัวไม่ไหวล้มลง ขาของเธอมันไม่ทำตามคำสั่งเธอแล้ว
“ปัดโธ่โว้ย ก็บอกให้ขึ้นรถตั้งแต่แรก” ธานุพันธ์สบถเมื่อเห็นเธอล้ม รีบเปิดประตูรถลงมา เธอใช้มือกุมข้อเท้า นั่งนำตาเล็ดด้วยความปวด ธานุพันธ์พยายามพยุงเธอให้ลุกขึ้น แต่เธอก็ไม่ยอมลุกขึ้น เสียงแตรรถบีบไล่ดังเป็นระยะพร้อมสายตาอีกหลายคู่จับจ้องมอง ธานุพันธ์ไม่รู้จะจัดการยังไงต่อเธอ พลันตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นมาทั้งยังงั้น แพรตกใจร้องระร่ำระลัก
“นี่นายจะทำอะไรนะ”
ธานุพันธ์ไม่ตอบ รีบจัดแจงวางเธอไว้ยังเบาะหน้า ปิดประตู ขับรถออกไป ท่ามกลางสายตาที่หยุดมองดูอยู่หลายคู่
๑
สันเลิกประชุมช้าที่สุด กว่าจะเลิกก็เกือบห้าโมงเย็น พวกเขาสามคนนัดกันไว้ที่หน้าศาลาพระเกี้ยว ม้าหินที่นั่งหน้าศาลา มีแต่ก้องกับนักศึกษาอีกคนนั่งรออยู่ แต่ไม่เห็นแพร สันเมื่อมาถึง ก็บ่นอุบหงุดหงิดหัวเสีย
“ซวยฉิบหาย พี่รหัสเป็นกระเทย ถูกแทะโลมทั้งวัน”
ก้องกับนักศึกษาอีกคนได้ฟังถึงกับหัวเราะ สันดูนั่งศึกษาที่นั่งข้างๆก้อง เหมือนจะเป็นเพื่อนใหม่ ต้องบุ้ยปากถามเพื่อน
“ใครเหรอ เพื่อนใหม่แกเหรอไง”
“ป่าว นี่พี่ป๋อง พี่รหัสฉันเอง แกอยู่ปีสี่จะจบปีนี้แล้ว พอดีที่คณะฉันปีสองกับปีสามไม่พอเป็นพี่รหัสเลยให้รุ่นพี่ปีสี่มาช่วยด้วย”ก้องแนะนำ
“อุย!”สันอุทาน “ขอโทษครับพี่ นึกว่ารุ่นเดียวกัน” รีบยกมือไหว้ประหงกๆ
“ไม่เป็นไรหรอกน้อง เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยถือรุ่นกันแล้ว”พี่ป๋องตอบยิ้มๆ นึกชอบในความมีอารมณ์ขันของรุ่นน้อง เหลือบดูนาฬิกานิดหนึ่งก่อนหันไปบอกก้องว่า
“นี่ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวพี่ต้องกลับก่อน ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทรมาหาล่ะกันนะ ไปล่ะ”
ก้องกับสันลุกขึ้นยกมือไหว้ลาส่งพี่ป๋อง สันหันไปถามก้องว่า
“แล้วยัยแพรยังไม่มาเหรอ ฉันว่าคณะฉันเลิกช้าแล้ว มันยังช้ากว่าฉันอีกเหรอเนี่ย”
“นั่นนะสิ” ก้องขมวดคิ้วสีหน้ายุ่งไม่แพ้กัน
ทั้งสองคนนั่งรอแพรจนเกือบหกโมงเย็น จนก้องต้องชวนสันไปดูที่คณะ แต่เมื่อมาถึง พบว่าคณะเลิกประชุมกันไปนานแล้ว ทั้งสองคนเดินตามหาทั่วคณะแต่ก็ไม่เจอ จนสันต้องบ่นอย่างรำคาญใจ
“แล้วนี่ ยัยนั่นมันไปไหนนะ จะไปไหนก็ไม่โทรมาบอกก่อน”
ก้องรู้สึกเป็นห่วงจนพูดไม่ออก แพรยังมีอาการเจ็บที่ข้อเท้า มันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโทรศัพท์มือถือบางครั้งก็จำเป็นจริงๆ แพรไม่มีโทรศัพท์พวกเขาติดต่อเธอไม่ได้เลย
“เดี๋ยวฉันจะลองหาอีกเที่ยวดู” ก้องบอก พร้อมกับกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามคณะ โดยไม่รอสัน ก้องถามนักศึกษาที่พอหลงเหลืออยู่ในคณะบริหาร แต่ก็ไม่มีใครรู้จักเธอ สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอะไร
เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นในตัวของก้อง ก้องรีบตะลีตะลานควานหาขึ้นมากดรับ หวังให้เป็นแพรโทรเข้ามา
“ฮัลโหล นี่แพรนะ”เสียงแพรเอ่ยขึ้นทางโทรศัพท์
ก้องทั้งดีใจ ทั้งโล่งใจ แต่จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโมโหฉุน
“เธออยู่ที่ไหนหนะ รู้มั๊ยว่าคนอื่นเขาเป็นห่วงกันขนาดไหน” ก้องตวาดเสียงว่าลงไปในโทรศัพท์
“รู้แล้ว ขอโทษนะ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล” แพรตอบมาเสียงอ่อยๆ แบบสำนึกผิด
“ห๊า! “ ก้องตกใจจนตาโต
๑
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ความคิดเห็น