ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ภัยภิบัติบ้านตระกูลจิว
หมายเหตุ ในเวบนี้ไม่สามารถพิมพ์คำว่า ตี_น ได้ ที่เห็นชื่อเรื่องจึงเป็น จิวอวงยี้ แมวเทวดา ความจริงคือ จิวอวงยี้ (ตี_น)แมวเทวดา
                                                                                    คำนำ
                                          ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา เป็นเรื่องที่สองที่ข้าพเจ้าแต่งขึ้น ในเรื่องนี้กล่าวถึง จิวอวงยี้เด็กหญิงอายุแปดเก้าปี บุตรสาวเศรษฐีดินแดนเสฉวนมีเหตุต้องถูกฆ่าล้างครอบครัวโดยไม่ทราบสาเหตุภายในข้ามคืนเดียว นางสามารถหลบหนีได้โดยการช่วยเหลือของเด็กเร่ขายฟืนที่มักจะมาส่งฟืนที่บ้านของนางเป็นประจำ แต่เด็กทั้งสองต้องมีเหตุให้พลัดพรากจากกัน จิวอวงยี้ถูกกลุ่มคนที่มีชื่อเป็นมหาโจรร้ายในปัจจุบันชุบเลี้ยง จนนางกลายเป็นโจรสาวพราวเสน่ห์ในอีกสิบปีต่อมา นางต้องการล้างแค้นแทนครอบครัวจึงเดินทางสืบหาร่องลอยของผู้ที่ลงมือสังหารครอบครัวของนาง และสืบหาเด็กชายที่ประทับอยู่กลางใจนางมิลืมเลือนคือเด็กเร่ขายฟืนที่ช่วยเหลือนาง ทั้งสองพบกันอีกครั้งแต่ไม่สามารถจดจำกันออก เด็กเร่ขายฟืนกลับกลายเป็นมือปราบที่เก่งกาจ นางเป็นโจรสาวที่เจ้าเล่ห์ เรื่องราวโกลาหลของคนทั้งสองพร้อมความวุ่นวายในยุทธจักรจึงเริ่มขึ้น
                                        ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ตอนที่ 1 ภัยพิบัติบ้านตระกูลจิว
    แถบมลฑลเสฉวนทางตอนเหนือ เป็นที่ตั้งของเมืองกันจือติดกับชายแดนทิเบต ยามเข้าปลายปีสู่หน้าหนาวแม้ว่าดินแดนแถบนี้จะไม่ถูกปกคลุมด้วยหิมะแต่กลับเหน็บหนาวยิ่ง ท่ามกลางสายลมยามฤดูหนาวเบื้องหน้าประตูด้านหลังของตึกใหญ่หลังหนึ่ง หนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสามปีสภาพมอซอยืนยักย้ายไปมา ร่างกายสั่นเทาจากความหนาวเหน็บ ใช้ปากเป่าลมร้อนใส่อุ้งมือของมัน เกิดเป็นไอขาวพวยพุ่งเพื่อให้เกิดความอบอุ่น มันเองสวมเสื้อผ้าเบาบางเมื่อความหนาวเหน็บเข้ากร่ำกรายย่อมทนทานได้ยากยิ่ง ข้างกายเด็กหนุ่มเป็นกองไม้ที่จัดมัดไว้หลายหาบไว้สำหรับทำฟืนก่อไฟ เด็กหนุ่มชะเงินเง้อดูทางประตูหลังยังไม่เห็นผู้คน จึงเคาะเรียกไปคราหนึ่ง
เพียงชั่วครู่ปรากฏ สตรีนางหนึ่งเปิดประตูออกมา สตรีผู้นี้เรียกว่า จิวเจี่ยน เป็นสาวใช้คนสนิทของตระกูลจิว นางเป็นเด็กกำพร้าถูกชุบเลี้ยงโดยตระกูลจิวนางจึงใช้แซ่จิวตามผู้เป็นนาย จิวเจี่ยนกวาดสายตามองเด็กน้อยแวบหนึ่งในดวงตาส่อแววเวทนา ยิ้มแย้มเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“ลู่ซุน เจ้ามานานแล้วหรือ มา มา นำฟืนเข้ามาไว้ด้านใน”
ลู่ซุนเพียงยิ้มแย้มไม่ตอบคำก้มลงหาบฟืนเดินตามนางเข้าด้านใน สตรีผู้นั้นเห็นมันจัดเก็บฟืนใส่ห้องเก็บฟืนเรียบร้อยจึงล้วงเงินอีแปะออกมากำหนึ่งยัดส่งให้ในมือมัน ลู่ซุนมองดูเหรียญอีแปะในมือสีหน้าครุ่นคิด
“จิวเจ้เจ๊ นี่ไม่ถูกต้อง ฟืนข้าพเจ้าหกหาบ หาบล่ะสามอีแปะ ทั้งหมดสิบแปดอีแปะ แต่นี้กลับมีทั้งสิ้นยี่สิบแปดอีแปะ จิวเจ้เจ๊ให้เกินมาแล้ว”
พลันแยกเหรียญที่เกินออกยื่นมือส่งคืน
จิวเจี่ยน มีสีหน้าฉงนเล็กน้อยไม่ได้ยืนมือรับแต่อย่างใด กล่าวครึ่งยิ้มครึ่งบึงกล่าวว่า
“เด็กน้อยนี้กลับนับเลขคล่องแคล่วขึ้น เป็นมือปราบอู๋สอนแก่เจ้ากระมั่ง เอ๊ะ นั่นยังเหลือฟืนอีกสองมัดหากเจ้าไม่ได้นำไปยังที่ใดก็ให้แก่เราก็แล้วกัน ส่วนเงินที่เหลือยังคงไม่ต้องคืนแล้ว”
ลู่ซุน ส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธกล่าวว่า
“เช่นนั้นไม่ได้ ไหนเลยมีการค้าขายเอาเปรียบเช่นนี้”
เห็นนางไม่ยืนมือมารับคืนจึงกุมมือนางออกมาส่งเหรียญอีแปะที่เกินให้ในมือนาง พร้อมก้มลงหาบฟืนที่เหลือขึ้นกล่าวว่า
“ส่วนฟืนสองหาบนี้ข้าพเจ้าจะนำไปให้ มือปราบอู๋”
จิวเจี่ยน ต้องส่ายหน้าอย่างยิ้มแย้มในความสัตย์ซื่อถือมั่นของมัน เห็นมันจะก้าวพ้นประตูพลันนึกถึงเรื่องหนึ่ง ร้องเรียกถามออกไป
“ลู่ซุน พรุ่งนี้เจ้าว่างหรือไม่”
“จิวเจ้เจ๊ มีเรื่องใด”
ลู่ซุนหันกายกลับมากล่าวถาม
จิวเจี่ยน กล่าวว่า
“วันมะรืนเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ หกสิบสี่ของจิวเล่าเอี้ย(นายผู้เฒ่าแซ่จิว) คิดเชิญแขกมามากหลายแต่ขาดคนงานไม่พอมือ หากเจ้าว่างคิดจ้างวานเจ้ามาช่วยงานซักวันสองวัน ส่วนค้าจ้างนั้นเราให้วันล่ะสิบอีแปะ เห็นเป็นเช่นไร”
ลู่ซุนพอฟังวันล่ะสิบอีแปะต้องตาลุกแวววาว ในใจครุ่นคิด ‘ทำงานสองวันได้ยี่สิบอีแปะหากเทียบกับตัดไม้ทำฟืนแล้วต้องตัดถึงสี่วัน ไหนเลยไม่ตอบรับ’
“จิวเจ้เจ๊  พรุ่งนี้เช้าข้าพเจ้าจะมาในบัดดล”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ ยามเช้าเจ้าก็มา เมื่อทำงานอย่าได้บ่นว่างานมากหนักมือไปให้เสื่อมเสียถึงเรา  เจ้าไปเถอะ”
ลู่ซุนยินดียิ่งกล่าวคำอำลาต่อจิวเจี่ยน นางต้องมองดูมันจากไปอย่างเอ็นดูเวทนา หวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อสามเดือนก่อนที่พบเจอเด็กน้อยผู้นี้ ยามนั้นตนเองเดินจับจ่ายซื้อของกลางเมืองปะทะชนกับเด็กน้อยเร่ขายฟืนผู้นี้ จากนั้นถุงเงินของตนก็สูญหาย ตนจึงคว้าตัวไว้เค้นสอบถามให้คืนของ แต่เด็กน้อยยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมรับ ประจวบกับมือปราบอู๋ ผ่านทางมาจึงร้องเรียน มือปราบอู๋ทำการตรวจค้นแต่ไม่พบของสิ่งใดนอกจากเศษเงินสีห้าอีแปะ
ตนเองกลับยังไม่เชือถือคิดว่าเด็กน้อยนี้มีมือเท้ารวดเร็วหลังจากหยิบฉวยถุงเงินแล้วย่อมต้องนำไปซ่อนในที่แห่งใดแห่งหนึ่งในระแวกนี้ แต่มือปราบอู๋พบประกายตาเด็กน้อยทั้งแข็งกร้าวทั้งไม่ประหวั่นลนลาน มิใช้ประกายตาของผู้กระทำผิด จึงนำสุนัขมาขอยืมผ้าเช็ดหน้าตนให้สุนัขดมกลิ่นติดตามรอย พบว่าถุงเงินของตนตกหล่นอยู่ข้างร่องน้ำบริเวณโรงน้ำชาที่ตนแวะดื่มดับกระหาย ตนเองทั้งอับอายทั้งเสียใจที่ปรักปรำให้ร้ายคน ตั้งแต่นั้นมาเพื่อเป็นการไถ่โทษนางจึงให้เด็กน้อยนี้ส่งฟืนให้กับตระกูลจิวเป็นขาประจำ
ลู่ซุนแบกฟืนสองหาบมาถึงบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งในตรอกคับแคบ เห็นภายในบ้านไร้วี่แววผู้คนจึงไม่กล้าถือวิสาสะย่างกรายเข้าไป นั่งจับเจ่าอยู่บริเวณริมรั่วไม้ไม่ทราบนานเท่าไรต้องม่อยหลับไป พลันรู้สึกว่ามีมือผู้คนมาเขย่าลำตัว จึงงัวเงียตื่นขึ้น พบชายร่ายกายกำยำ ทวงท่าองอาจใบหน้าเที่ยงธรรม สวมชุดมือปราบใส่หมวกดำ ด้านบนติดขนนกยูง ส่งยิ้มให้  ต้องร้องเรียกอย่างปิติยินดี
“อู๋ตั่วกอท่านมาแล้ว”
มือปราบอู๋ ฉุดดึงมันลุกขึ้นกล่าวเรียกให้เข้าไปด้านในพร้อมกล่าวว่า
“ลู่ซุน เจ้านำฟืนมาให้เราไม่ได้ขาด จนบ้านช่องคับแคบไม่มีที่ไว้แล้ว เราอยู่ตัวคนเดียวบ้านช่องกลับไม่ค่อยได้อยู่ไหนเลยต้องการฟืนมากมาย”
ลู่ซุนต้องประหวั่นลนลาน เกรงมือปราบอู๋ไม่พอใจรีบกล่าวกระอ่อมกระแอ้ม
“อู๋ตัวกอ ท่านดีต่อข้าพเจ้ายิ่ง ท่านเคยช่วยเหลือข้าพเจ้า ทั้งยังสอนหนังสือบวกเลข ข้าพเจ้าไร้สิ่งใดตอบแทนได้แต่หาฟืนมาให้ท่าน”
มือปราบอู๋ หัวเราะชมชอบในความสัตย์ซื่อของมัน ไม่กล่าวว่ากระไรเรียกมันหยิบหนังสือบนตู้มาเล่นหนึ่ง เป็นบทกวีราชวงค์ถัง พลิกไปถึงหน้ากลางๆที่ดูแล้วมีคำที่อ่านง่ายเข้าใจได้ จึงให้มันทดลองอ่าน ตนเองเอนหลังพิงพนักหลับตาฟังอย่างผ่อนคลาย คำไหนที่มันอ่านติดขัดก็ลืมตาขึ้นมาชี้แจ้งเที่ยวหนึ่ง
เด็กน้อยนี้กลับมีความมานะตั้งใจเรียนรู้ พยายามจดจำทุกถ้อยคำของตน เมื่อเห็นมันพอทำความเข้าใจได้ จึงเอนหลังพักผ่อนต่อ เสียงอ่านบทกวีของเด็กน้อยชวนให้เคลิบเคลิ้ม หวนนึกถึงตนเองยังเป็นนักศึกษาเรียนท่องบทกับอาจารย์ประจำตำบลเมื่อครั้งยังเยาว์วัยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
มือปราบอู๋ หรืออู๋เส้าเทียน แต่เดินเป็นบัณฑิตเปรื่องปราดทั้งบุ๋นและบู๊แห่งเมืองเป่าติ้ง มลฑลเหอเป่ย  เมื่ออายุย่างเข้ายี่สิบเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อสอบจอหงวน แต่ติดด้วยที่มันไม่มีเส้นสาย ต่ำแหน่งจอหงวนจึงหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย แม้รู้สึกเสียใจแต่ไม่ทิ้งความตั้งใจรับราชการ จึงสอบเป็นมือปราบวังหลวง มือปราบวังหลวงแม้ไม่ได้เป็นได้โดยง่าย แต่ก็ไม่ยากเย็นสำหรับอู๋เส้าเทียน เพียงปีเศษมันก็ดำรงต่ำแหน่งหัวหน้ามือปราบวังหลวง แต่เนื่องจากมันเป็นคนเถรตรง กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ไว้หน้าผู้คน ถึงกับล่วงเกินเจ้ากรมอาญา ภายหลังถูกปลดให้เหลือยศเพียงมือปราบธรรมดา
ในภายหลังได้รับการชี้แนะจากหัวหน้ามือปราบวังหลวงคนก่อนว่าภัยใกล้กร้ำกรายถึงตัวให้ขอโยกย้ายออกจากนครหลวงไปยังที่ห่างไกลเพื่อหลีกหนีเจ้ากรมอาญา อู๋เส้าเทียนแม้คับแค้นแน่นอกแต่ก็เห็นว่าควรปฏิบัติตาม จึงได้ขอโยกย้ายตนเองมายังเสฉวนเมืองกันจือ  มันกลับมาอาศัยยังดินแดนแห่งนี้ได้เจ็ดแปดปีแล้ว ยามนี้มันอายุย่างเข้าสามสิบสองยังไม่สามารถสร้างชื่อเสียงให้วงค์ตระกูล มียศเพียงมือปราบธรรมดาผู้หนึ่งหวนคิดแล้วต้องถอดถอนใจออกมา เหม่อมองดูเด็กน้อยท่องตำราอย่างเงียบงัน
๑๑๑๑๑๑
    เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่ซุนมายังตึกบ้านตระกูลจิวแต่ฟ้าสาง บ้านตระกูลจิวแห่งนี้แม้เป็นเศรษฐีรุ่มรวย แต่จิวเล่าเอี้ยไม่ชอบผู้คนวุ่นวายบ่าวทาสในตระกูลจึงมีไม่มาก เมื่อมีการจัดงานภายในบ้านอันใดล้วนจ้างวานผู้คนมาช่วยเหลือ ลู่ซุนมาพบจิวเจี่ยนตามนัดหมาย นางจึงพามันไปพบพ่อบ้านปึงพร้อมคนงานอีกเจ็ดแปดคน กล่าวบอกต่อพ่อบ้านปึงให้จัดแบ่งงานแก่คนทั้งหมด
พ่อบ้านปึงเห็นลู่ซุนอายุยังน้อยต้องมีสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย ครุ่นคิด‘เด็กน้อยผู้หนึ่งท่านก็ว่าจ้างมา ไม่ทราบว่าใช้การสิ่งใดได้’ จิวเจี่ยนเห็นสีหน้าพ่อบ้านปึง พอคาดเดาได้จึงกล่าวขึ้นว่า
“อย่าได้เห็นว่ามันเป็นเด็กน้อย เรี่ยวแรงมันมีมากนัก อาจบางทีเหนือล้ำกว่าผู้ใหญ่ ท่านใช้สอยได้อย่างเต็มที”
ลู่ซุน พลันกล่าวเสริมว่า
“ถูกแล้ว ท่านพ่อบ้านไม่ว่างานสิ่งใดข้าพเจ้าล้วนทำได้ ขอเพียงท่านบงบ่อกข้าพเจ้าจะจัดการในบัดดล”
พ่อบ้านปึงแม้มีสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่ต่อหน้าจิวเจี่ยนไม่กล้ากล่าวว่ากระไร จะอย่างไรจิวเจี่ยนแม้มีศักดิ์เป็นสาวรับใช้ แต่ตระกูลจิวยึดถือนางเช่นบุตรหลาน เหล่าบ่าวทาสล้วนเกรงใจนางอยู่หลายส่วน
พ่อบ้านปึงจัดการแบ่งงานให้คนทั้งหมด ลู่ซุนกลับขยันขันแข็งยิ่งทำงานไม่ได้หยุดหย่อน เมื่องานของตนเองหมดก็ไปช่วยงานผู้อื่น พ่อบ้านปึงเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงไม่กล้าคิดดูแคลนเด็กน้อยผู้นี้อีก จิวเจี่ยนบางครั้งผ่านมาชมดู ต้องครุ่นคิดว่าสิบอีแปะยังน้อยไปสำหรับเด็กผู้นี้
พ่อบ้านปึงตรวจดูในห้องครัว พบว่าไม้ที่ผ่าไว้ทำฟืนเหลือจำกัดยิ่ง คิดใช้คนไปห้องเก็บฟืนนำท่อนไม้มาทำฟืน แต่ติดที่ว่าผู้คนยังไม่ว่างเว้น เห็นลู่ซุนหาบน้ำผ่านมา พลันร้องเอ๊ะ กล่าวถาม
“ลู่ซุน เจ้าไฉนมาหาบน้ำ”
ลู่ซุนกล่าวตอบว่า
“งานข้าพเจ้าเสร็จแล้วจึงมาช่วย ตั่วกอท่านนั้นหาบน้ำ”
“ถ้าเช่นนั้นไม่ต้องหาบแล้วเจ้านำมีดผ่าฟืนไปห้องฟืน ผ่าไม้ทำฟืนมาไว้ที่นี้ยิ่งมากยิ่งดี พรุ่งนี้มีการจัดเตรียมอาหารมากหลาย ต้องใช้ฟืนจำนวนมาก หากผู้อื่นเสร็จงานแล้วเราจะให้ไปช่วยเหลือ”
ลู่ซุนรับคำ หยิบฉวยมีดผ่าฟืนไปยังห้องเก็บฟืนหลังบ้าน รื้อค้นท่อนไม้ออกมาหลายมัด ท่อนไม้พวกนี้ย่อมเป็นมันนำมาขายให้กลับตระกูลจิว  งานผ่าฟืนมันกลับชำนิชำนาญยิ่ง ขณะรื้อค้นท่อนไม้ออกสายตาพลันแลเห็นชายผ้าเล็ดลอดออกจากด้านหลังกองไม้
ลู่ซุนสงสัยยิ่งจึงหยิบฉวยดึงออก แต่กลับพบแรงดึงย้อนกลับ ลู่ซุนรู้สึกประหลาดใจออกแรงดึงมากกว่าเดิม แต่แรงดึงย้อนกลับก็เพิ่มมากขึ้นตาม ลู่ซุนพลันฉุกคิดได้ ‘หรือว่าในซอกกองไม้มีคน’ พอคิดได้รีบปล่อยมือ เสียงทารกหญิงผู้หนึ่งร้อง โอ๊ย ออกมา พร้อมกับเสียงโครมครามเศษไม้ล่วงหล่น ลู่ซุนใจหายวาบรีบชะเง้อมองดูในซอกไม้ พบดรุณีน้อยผู้หนึ่งอายุแปดเก้าปีในอาภรณ์สวยสดล้มหงายกลับพื้น บนลำตัวนางกองทับด้วยเศษท่อนไม้ ดีที่ท่อนไม้เหล่านี้ไม่ใหญ่มากนักจึงไม่ได้ทำร้ายนางสาหัส ลู่ซุนรีบลนลานเข้าไปพยุงลุกขึ้น ที่แท้เมื่อครู่ชายผ้าผืนนั้นเป็นชายเสื้อของนางนี่เอง นางกับมันพลันออกแรงฉุดดึงกันคนล่ะด้าน ลู่ซุนปล่อยมือกระทันหัน นางจึงเสียหลักล้มลง ดูจากการแต่งกายของนางย่อมแสดงว่าเป็นลูกหลานของตระกูลจิว ลู่ซุนต้องลนลานรีบไปปัดปายท่อนไม้ออกจากตัวนาง
“เสียวเจี้ยะ(คุณหนู)  เป็นไรหรือไม่”
นางเมื่อลุกขึ้นได้ต้องทุบตีมันเป็นพัลวัน ปากกล่าวด่าว่าไม่หยุดหย่อน
“ท่านกลั่นแกล้งข้าพเจ้า กลั่นแกล้งข้าเจ้า”
ลู่ซุนได้แต่ร้องโอย เพียงปัดป้องไม่ได้โต้ตอบ ซุ่มเสียงชราภาพเสียงหนึ่งพลันดังร้องเรียกอยู่ทางเบื้องนอกคล้ายกับกำลังตามหาคน
“อวงยี้ เจ้าอยู่ที่ใด คิดหลบหนีการร่ำเรียนหรือ ใช่อยู่ในห้องเก็บฟืนหรือไม่”
ดรุณีน้อยสีหน้าตระหนกขึ้น หยุดมือทุบตีมุดปราดเข้าหลังกองฟืน บอกต่อลู่ซุนว่า
“อย่าได้บอกว่าข้าพเจ้าอยู่ในที่นี้ หากท่านไม่เชื่อฟัง ข้าพเจ้าจะฟ้องบิดาว่าท่านทำร้ายข้าพเจ้า”
ลู่ซุนยืนตะลึงงันชั่วขณะ ประตูห้องเก็บฟืนพลันเปิดออก เห็นชายชราท่าท่างคงแก่เรียนท่านหนึ่งกวาดสายตามองรอบห้องพลันมาหยุดที่ลู่ซุน กล่าวถามขึ้น
“เด็กน้อยเจ้าเห็น จิวเสียวเจี้ยะ หรือไม่”
ลู่ซุนได้ฟังชายชรากล่าวถามต้องลอบครุ่นคิด ‘ที่แท้นางเป็นบุตรหลานตระกูลจิวจริงๆ ได้ยินชายชราผู้นี้กล่าวถึงการหลบหนีการร่ำเรียน เรียนหนังสือนั้นดียิ่งไฉนจึงต้องหลบหนี’ พลันชี้มือไปหลังกองฟืนกล่าวบอก
“นางอยู่ด้านหลังกองฟืน”
จิวอวงยี้ได้ยินต้องร้อง เพ้ย มุดปราดออกมาไม่ทันจะต่อว่าลู่ซุน ชายชราผู้นั้นก็ตรงเข้ามาฉุดลากนางออกไป กล่าวตำหนินางเป็นการใหญ่
“อวงยี้เจ้าซุกซนนัก มีลูกศิษย์เช่นเจ้าทำเราปวดหัววันล่ะสามเวลา ไป ไป อย่าได้พิรี้พิไร”
ลู่ซุนมองดูเงาหลังของคนทั้งสอง เห็นเด็กหญิงหันมาย่นจมูกแลบลิ้นล้อเลียนคราหนึ่ง ก่อนถูกชายชราฉุดดึงลับมุมตึก
ต้องลอบครุ่นคิด ‘ท่านมีวาสนาได้ร่ำเรียนอย่างสบายไฉนจึงหลบหนี ข้าพเจ้านั้นหากไม่ได้มือปราบอู๋เวทนาส่งเสริมไหนเลยสามารถอ่านหนังสือได้แม้สักตัวเดียว’ ครุ่นคิดสั่นศีรษะในโชควาสนาของผู้คน ก้มกายทำงานของตนต่อ
จวบจนอาทิตย์อัสดง ลู่ซุนยังคงผ่าฟืนไม่หยุดหย่อนจนท่อนไม้ในห้องเก็บฟืนเกือบหมดสิ้น พ่อบ้านปึงมาตรวจดูต้องแย้มยิ้มเบิกบานกล่าวชมไม่ขาดปาก จิวเจี่ยนเดินผ่านมาพบเห็นเวลานี้นับว่าล่วงเลยเวลาทำงานของผู้ที่ว่าจ้างมาแล้ว ผู้ที่ว่าจ้างมาพร้อมมันทั้งหมดล้วนกลับไปหมดสิ้น ไฉนมันยังคงทำงานอยู่ จึงเดินเข้ามากล่าวถามพ่อบ้านปึง
“นี่จวนมืดค่ำแล้วไฉนท่านยังให้มันทำงานอยู่เช่นนี้”
ความจริงพ่อบ้านปึงไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งเด็กน้อย หรือเอาเปรียบแต่อย่างใด เพียงแต่งานจัดเตรียมมีมากเกรงกลัวจัดเตรียมไม่ทัน เห็นเด็กน้อยทำงานได้มากมายปานนี้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย  หากจัดเตรียมได้ทันย่อมดียิ่ง ถึงกับใช้สอยมันอย่างลืมเวลา เมื่อจิวเจี่ยนกล่าวรู้สึกสำนึกเสียใจอยู่บ้าง กล่าวว่า
“เช่นนั้นเราเพิ่มให้มันอีกห้าอีแปะก็แล้วกัน ส่วนวันนี้เจ้าก็พอได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ฟืนกองนี้นับว่าเพียงพอแล้ว”
ลู่ซุนปิติยินดียิ่ง รับเงินจากพ่อบ้านปึง เสียงเจือยแจ้วทางด้านหลังเสียงหนึ่งพลันร้องขึ้นว่า
“คนผู้นี้เมื่อขยันขันแข็ง ข้าพเจ้าก็มีของกำนันให้”
คนทั้งสามหันไปมองดู เห็นเป็นจิวเสียวเจี๊ยะก้าวเดินเข้ามาสองมือไขว้ไว้ที่ด้านหลังคล้ายซุกซ่อนของสิ่งหนึ่งไว้ จิวเจี่ยนกับพ่อบ้านปึงล้วนสงสัยไฉนเสียวเจี้ยะคิดกำนันของแก่มัน นางเอาของที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมาเป็นขนมเปี๊ยะกลมโตชิ้นหนึ่ง กำลังอุ่นระอุน่ารับประทาน ยื่นส่งให้ลู่ซุน ลู่ซุนต้องเหลือบแลสายตามองจิวเจี่ยนกับพ่อบ้านปึงคราหนึ่งคล้ายถามความเห็น พ่อบ้านปึงพลันกล่าวขึ้น
“เมื่อเสียวเจี้ยะ มีน้ำใจ เจ้าก็รับไว้เถอะ”
จิวเจี่ยนก็พยักหน้าเป็นเชิงให้รับไว้ ลู่ซุนจึงรับมา จิวอวงยี้กล่าวขึ้นว่า
“ขนมเปี๊ยะนี้ รับประทานตอนร้อนจะอร่อยยิ่ง ท่านก็รับประทานเลยเถอะ”
ลู่ซุนกล่าวขอบคุณแต่ยังไม่รับประทาน ห่อใส่อกเสื้อไว้กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายังไม่ใคร่หิว คิดนำกลับไปรับประทานที่บ้าน”
จิวอวงยี้ตีสีหน้าบูดบึงไม่พอใจ กล่าวบอกกับจิวเจี่ยนว่า
“เจี่ยนเจ้เจ๊ คนผู้นี้คงรังเกียจ ของที่ข้าพเจ้าให้ มันถึงไม่รับประทาน คาดว่าพอลับตา มันคงต้องโยนทิ้งเป็นแน่”
ลู่ซุนโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันกล่าว ไม่ ไม่ อยู่หลายคำ เห็นสีหน้าจิวอวงยี้ขุ่นเคืองอักโข ต้องครุ่นคิดขึ้น ‘หากไม่รับประทานต่อหน้านาง นางคงไม่พอใจเป็นแน่’ พลางล้วงขนมเปี๊ยะออกมากัดรับประทานไปคำหนึ่ง จิวอวงยี้มีสีหน้าปิติยินดียิ่ง
พอลู่ซุนรับประทานคำทีสองพบว่าภายในปากทั้งเผ็ดทั้งแสบร้อนต้องคล้ายทิ้งออกมา ที่แท้ภายในขนมเปี๊ยะซุกพริกแดงอยู่หลายเม็ด พริกแดงทั้งเผ็ดทั้งแสบร้อนทั้งขนมเปี๊ยะยังร้อนระอุยิ่งเพิ่มความเผ็ดเป็นทวีคูณ ลู่ซุนต้องร้องโอยออกมา วิ่งหาน้ำเป็นจ้าระหวั่น พ่อบ้านปึงกับจิวเจี่ยนตระหนกยิ่งรีบหาน้ำมาให้ล้างปาก
จิวอวงยี้หัวเราะร่าปรบมือชมชอบ
“นี่นับเป็นการลงโทษที่ท่านบอกที่ซ่อนของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าต้องนั่งจับเจ่าอ่านหนังสืออยู่หลายชั่วยามเป็นที่น่าเบื่อหน่าย”
ลู่ซุนได้น้ำล้างปากบรรเทาอาการเผ็ดร้อน ใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปาก มีแววตาทั้งตำหนิทั้งเอ็นดูสบตากับนาง ไม่มีท่าทีโกรธแค้นอันใดกล่าวขึ้นว่า
“เรียนหนังสือนั้นดียิ่ง ท่านไฉนว่าน่าเบื่อ ข้าพเจ้าแต่ก่อนยังไม่สามารถเขียนได้แม้กระทั้งชื่อของตนเอง ยามนี้สามารถอ่านออกเขียนได้ ไม่เป็นที่ดูถูกของผู้คน”
วาจานี้ล้วนกล่าวออกมาจากใจจริงไม่มีความคิดดูแคลนผู้อื่นแต่จิวอวงยี้เข้าใจว่า คนผู้นี้ดูถูกตน หาว่าภายภาคหน้าหากนางไม่ร่ำเรียนย่อมเป็นที่ดูถูกเย้ยหยัน จึงเชิดคิ้วขึ้นสูงทำสีหน้าเย้ยหยัน
“ท่านเข้าใจว่าเราไม่รู้หนังสือ เฮอะ บอกต่อท่าน เราแม้ร่ำเรียนบ้างหลบหนีบ้างยังรู้หนังสือมากมายกว่าท่าน”
พลางร่ายคำกลอนออกมาบทหนึ่ง เป็นบนกลอนของถังไป่หู่ กวีเอกในราชวงค์ถัง ให้ทุกคนได้ฟัง พอจบก็กล่าวถามต่อลู่ซุน ท่าทีภาคภูมิใจ
“ท่านสามารถทราบคำแปลเหล่านี้หรือไม่”
ลู่ซุนได้รับการชี้แนะด้านอักษรอย่างระเอียดละออจากผู้ที่เกือบเป็นถึงจอหงวน สอนสั่งอย่างตั้งใจ แม้ร่ำเรียนเพียงสามเดือนแต่เหมือนร่ำเรียนสามปี คำกลอนนี้แม้ไม่ง่ายแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทราบจึงอธิบายออกไป ทั้งยังอธิบายความหมายได้อย่างลึกซึ้ง จนจิวอวงยี้หน้าแดงฉาดด้วยความอับอาย ครุ่นคิดขึ้น ‘เราเองยังไม่สามารถอธิบายต่อผู้คนได้ลึกซึ้งเท่าเช่นมัน ภูมิความรู้ของเรายังสู้คนงานรับใช้ผู้หนึ่งยังไม่ได้ ‘ ต้องขุ่นข้องคับแค้นเดินถึงเบื้องหน้าลู่ซุนกระทืบเท้าลงยังเท้าของมันคราหนึ่งระบายความคับแค้นอับอาย
ลู่ซุนต้องร้องโอย ออกมาอีกครา นางกลับไม่แยแสสนใจก้าวกระแทกเท้ายาวๆเดินหายลับไป จิวเจี่ยนต้องเข้าไปปลอบลู่ซุนว่า
“นางยังเยาว์วัยมีนิสัยแก่นแก้วซุกซน เจ้าอย่าได้ถือสา ครานี้เห็นทีนางคงตั้งใจเรียนกว่าคราก่อนเป็นแน่”
ลู่ซุนไม่ได้กล่าวว่ากระไร อำลาจิวเจี่ยนกับพ่อบ้านปึงกลับยังที่พักของตน จิวเจี่ยนกล่าวถามว่า
“เจ้าจะแวะหามือปราบอู๋หรือไม่”
ลู่ซุนพยักหน้ารับ จิวเจี่ยนกล่าวบอกให้รอนางสักประเดี๋ยว จากนั้นก็เข้าไปยังด้านใน เพียงครู่ก็ออกมาพร้อมขวดสุราใบหนึ่ง
“เราทราบว่ามือปราบอู๋ชมชอบสุราไผ่เขียวพอดีผ่านตลาดจึงซื้อติดมือมา เจ้านำไปให้กลับมือปราบอู๋ก็แล้วกัน บอกว่าเราเป็นผู้ส่งให้”
ลู่ซุนรับมาถือไว้ พอเห็นป้ายติดบอกชื่อสุรา พลันร้องเอ๊ะ ออกมากล่าวถามอย่างสงสัย
“จิวเจ้เจ๊ ท่านทราบได้อย่างไรว่ามือปราบอู๋ ชมชอบสุราไผ่เขียว”
จิวเจี่ยนหน้าแดงวูบ ครุ่นคิดขึ้น ‘เด็กน้อยนี้ตั้งแต่คบหากับมือปราบเรื่องราวใดล้วนครุ่นคิดสงสัย’  จึงกล่าวว่า
“เอาเถอะ เอาเถอะ เราทราบได้อย่างไรอย่าได้ถาม นี่จะมืดค่ำแล้วรีบไปเถอะ”
ลู่ซุนเมื่อถูกนางเร่งรัด จึงไม่ได้ถามต่อถือขวดสุราเดินจากมา
    พอถึงบ้านมือปราบอู๋เห็นเงียบเชียบไร้ผู้คน จึงเฝ้ารออยู่ริมรั่ว ยามนี้เป็นเวลามืดค่ำมันรอเป็นเวลาเนิ่นนานยังไม่เห็นมือปราบอู๋ ต้องครุ่นคิดขึ้น ‘หรืออู๋ตั่วกอติดธุระสำคัญคืนนี้ไม่กลับบ้าน แล้วสุราขวดนี้เล่าจะทำอย่างไร’ ลู่ซุนเกรงว่า หากทิ้งไว้นอกบ้านอาจสูญหาย จึงถือวิสาสะเข้าไปในบ้าน จัดวางสุราไว้กลางโต๊ะคิดใช้กระดาษเปล่าใบหนึ่งเขียนข้อความถึง ยังไม่ทันเขียนอักษรเงาดำสายหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาทางหน้าต่าง
ลู่ซุนเพ่งมองต้องประหลาดใจ คนผู้นี้กลับเป็นมือปราบอู๋ แต่ยามนี้แต่งกายในชุดดำสนิท บนศีรษะโพกผ้าดำผืนหนึ่ง ปลายแขนเสื้อเปียกชุมโชกด้านหนึ่ง เมื่อหยาดหยดลงบนพื้นพบว่าเป็นหยดเลือด ลู่ซุนต้องอุทานด้วยความตกใจ
“อู๋ตั่วกอ ท่านเป็นไรแล้ว”
มือปราบอู๋ฉีกแขนเสื้อออกเผยให้เห็นอาวุธซัดกระสวยเหล็กปักจมลึกลงในเนื้อหนังเลือดไหลอาบนองสามจุด รอบๆปากแผลดำคล้ำคาดว่ากระสวยเหล็กนี้อาบยาพิษไว้ เรียกเด็กน้อยนำยาสมานแผลบนตู้มา ตัวมันรับประทานยาเม็ดหนึ่งระงับความเจ็บปวด ใช้มีดสั้นกรีดปากแผลออกให้เลือดพิษหลั่งไหล เหลือบเห็นบนโต๊ะจัดวางกระดาษหมึกพู่กัน รีบเขียนข้อความพับส่งให้ลู่ซุนกล่าวบอกอย่างรีบเร่ง
“เจ้านำสารนี้ไปมอบให้คนบ้านตระกูลจิว อย่าได้ชักช้า หลังจากส่งสารแล้วอย่าได้รั้งอยู่ให้จากไปในบัดดล”
ลู่ซุนยังลังเลห่วงใยในอาการบาดเจ็บของมันเงอะงะงุ่มง่ามอยู่ครู่หนึ่งยังไม่จากไปในทันที อู๋เส้าเทียนพลันตวาดว่า
“เป็นไร หรือวาจาเราเจ้าไม่เชื่อฟังแล้ว ยังไม่รีบไป”
ลู่ซุนได้แต่ตัดใจรีบเร่งไปยังบ้านตระกูลจิว เกรงมือปราบอู๋มีโทสะ
    เมื่อมาถึงบานตระกูลจิวรีบเคาะประตูใหญ่เรียกคนเปิดประตู ลู่ซุนคาดเดาว่าสารนี้ต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงไม่นำพาความเกรงอกเกรงใจอันใด แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ยังไม่มีคนออกมาครุ่นคิดว่าคงหลับกันหมดสิ้น แต่สารนี้ไม่ส่งยามนี้ก็ไม่ได้ จึงวิ่งออมไปยังประตูหลังเห็นประตูเปิดแง้มอยู่ จึงผลักประตูออกก้าวเดินเข้าไป ต้องประหลาดใจเมื่อ เห็นบ่าวทาสบางคนนอนหมดสติอยู่  พอเข้าไปชมดูพบว่าสิ้นใจตายแล้ว ลู่ซุนตื่นตระหนกหน้าถอดสี เมื่อตั้งสติได้หยิบฉวยเกาะไม้ตีบอกสัญญาณจากซากศพตีรัวถี่ยิบ ปากร้องตะโกนลั่น
“มีคนร้าย มีคนร้าย”
ฉับพลันภายในบังเกิดเสียงโครมครามคล้ายเกิดการต่อสู้ ลู่ซุนรีบวิ่งไปตามระเบียง พบศพผู้คนนอนเกลื่อนกลาดสร้างความอกสั่นขวัญแขวงยิ่ง หน้าต่างบานหนึ่งพลันทลายออก ร่างคนผู้หนึ่งลอยระลิ่วผ่านหน้าลู่ซุนไป คนผู้นั้นเมื่อตกกระทบถึงพื้นไม่ทันครวญครางก็แน่นิ่ง ลู่ซุนกลับจำได้ว่ามันเป็นนักบู๊พิทักษ์ตึกตระกูลจิวผู้หนึ่ง เมื่อชะโงกดูภายในเห็นคนห้าคนกำลังต่อสู้พัวพัน สองคนในนั้นแต่งชุดดำปกปิดโฉมหน้าคาดว่าเป็นคนร้ายแล้ว ทั้งสามที่ฟาดฟันกลับชายชุดดำทั้งสอง หนึ่งเป็นผู้เฒ่าท่าทางน่าเกรงขามคงจะเป็นจิวเล่าเอี้ย ที่เหลือข้างกายล้วนเป็นนักบู๊พิทักษ์ตึก คอยปกป้องนายผู้เฒ่า ลู่ซุนพบเห็นจิวเสียวเจี๊ยะที่พบเมื่อกลางวันกอดซากศพสองซากร่ำไห้กล่าวร้องเรียกบิดามารดาไม่ขาดปาด จิวเจี่ยนแม้พยายามฉุดลากนางให้หลบหนี แต่จิวเสียวเจี๊ยะกลับกอดซากศพแนบแน่นไม่ยอมปลดปล่อย จิวเล่าเอี้ยหันมาตวาดว่า
“จิวเจี่ยนยังไม่รีบพาอวงยี้ไป”
หน้าอกพลันถูกกดกระแทกคราหนึ่ง ร่างลอยละลิ่วปลิวติดผนังพอล้มลงก็แน่นิ่ง ชายชุดดำที่ฟาดทำร้ายจิวเล่าเอี้ยเค้นเสียงเฮอะ กล่าวขึ้นว่า
“เศรษฐีชราผู้หนึ่งก็มีฝีมือปานนี้”
“มันไหนเลยเป็นแต่เพียงเศรษฐีชรา ยามหนุ่มฉกรรจ์กลับเป็นชาวยุทธ์จักรผู้หนึ่ง”
คนชุดดำอีกผู้หนึ่งเป็นผู้กล่าวตอบ
“มิน่า ถึงพอมีฝีมืออยู่บ้าง”
จิวอวงยี้เห็นผู้เป็น เอี่ยเอี้ย  (ปู่) โดนทำร้ายแน่นิ่งคิดโถมเข้าไปหา แต่นักบู๊พิทักษ์ตึกรีบสะอึกเข้ามาขวางห้ามไว้
“เสียวเจี๊ยะ อย่าได้เข้าไปอันตรายยิ่ง  จิวโกวเนี้ยะท่านรีบพาเสียวเจี๊ยะหลบหนีพวกเราจะสกัดขัดขวางไว้”
นักบู๊พิทักตึกที่หลงเหลือเพียงสองคนร่ายร่ำกระบีเข้าหักหาญกับคนชุดดำทั้งสอง จิวเจี่ยนรีบฉุดดึงจิวอวงยี้โดยแรงเร่งรัดให้นางหลบหนี แต่นางกลับไม่ยอมจากไปร่ำไห้ไม่หยุดหย่อนจิวเจี่ยนต้องฉุดกระชากนางขึ้นโอบอุ้มวิ่งไปทางประตู คนชุดดำผู้หนึ่งพลัดตวาดก้อง
“ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้จากไป”
พุ่งมือคว้าคอนักบู๊พิทักษ์ตึกผู้หนึ่ง การลงมือครั้งนี้รวดเร็วยิ่ง นักบู๊พิทักษ์ตึกผู้นั้นยังไม่ทันวกกระบี่ปัดป้อง คอหอยกลับโดนคว้าจับไว้ มือข้างที่กำกระบี่ถูกมืออีกข้างหนึ่งของคนชุดดำบิดโดยแรงไม่สามารถถือกระบี่มั่น ปล่อยกระบี่ตกลง ชายชุดดำเตะกระบี่แหวกอากาศเสียงดัง ฉี่ พุ่งใส่กลางหลังของจิวเจี่ยนที่กำลังพาจิวอวงยี้หลบหนี
กระบี่นั้นพุ่งปักกลางหลังนางจมมิดเสมอด้าม ก้าวพ้นประตูห้องเพียงสองก้าวก็ลมลง เสียงกรอบคราหนึ่ง คอนักบู๊ที่ถูกคว้าคอหอยถูกบิดกระดูกคอหักจนสิ้นใจตาย นักบู๊อีกผู้หนึ่งก็ถูกชายชุดดำอีกผู้หนึ่งสังหารสิ้น จิวเจี่ยนยังไม่สิ้นใจตายในบัดดลเหลือบแลเห็นลู่ซุนอยู่ข้างประตู จนใจตนเองไม่อาจกล่าววาจาได้แต่ใช้สายตาวิงวอนให้ช่วยเหลือจิวอวงยี้
ลู่ซุนตื่นตระหนกยิ่งเห็นคนชุดดำก้มเก็บกระบี่ของนักบู๊เดินเข้าหาจิวอวงยี้เงื้อมือฟาดฟันกระบี่ลง ไม่คบคิดมากความพุ่งตัวโถมชนโดยแรง ชายชุดดำผู้นั้นไม่ทันระวังว่ามีผู้คนซุ่มซ่อนอยู่ข้างประตู ลู่ซุนมีเรี่ยวแรงผิดเด็กธรรมดาพุ่งชนมันจนล้มหงาย ปลายกระบี่กลับกรีดเข้าข้างแก้มของลู่ซุนบังเกิดแผลฉกรรจ์เป็นทางยาวถึงหางตา จิวอวงยี้เห็นคนชุดดำเสียท่าถูกลู่ซุนกอดรัดไว้รีบคว้าข้อมือข้างที่ถือกระบี่ของมันกัดเข้าไปเต็มแรง นางคับแค้นที่คนผู้นี้สังหารผู้คนในบ้าน ถึงกับกัดเลือดเนื้อท่อนแขนของมันเป็นแผลเหวอะหวะ 
คนผู้นั้นเจ็บปวดอย่างยิ่งสะบัดร่างเด็กทั้งสองออกจากร่าง ได้ยินเสียงชายชุดดำทางด้านหลังหัวเราะเยาะกล่าวเย้ยหยัน
“เล่าสี่(เฒ่าลำดับสี่) กระทั้งทารกสองคน ท่านยังพลาดท่าเสียทีดูท่าท่านใช้การไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองดูจากท่าที่ซุ่มเสียงคล้ายยังไม่แก่ชรา แต่เรียกหากันเป็นผู้เฒ่า ชื่อเล่าสี่นี้คงเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อปกปิดฐานะที่แท้จริง ชายชุดดำที่เรียกว่าเล่าสี่เดือดดาลเป็นการใหญ่สะบัดกระบี่ ขวับ ขวับ ก้าวเข้าหาเด็กทั้งสอง ท่อนแขนข้างที่ถือกระบี่ยังเปียกชุมโชกไปด้วยโลหิต ไม่ทันเงื้อกระบี่ฟาดฟัน วัตถุแวววาวสามชิ้นพลันพุ่งจากหน้าต่างเข้ามาคุกคามถึงเบื้องหน้า ต้องรีบยกกระบี่ขึ้นปัดป้องวัตถุสามชิ้นล้วนถูกปัดกระแทกลงพื้นจนหมดสิ้น พอเหลือบแลดูที่แท้กลับเป็นกระสวยเหล็ก
ชายชุดดำทั้งสองต้องอุทานอย่างประหลาดใจ กระสวยเหล็กพวกนี้กลับคลับคล้ายของตน เงาดำสายหนึ่งถลันเข้าขวางหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนร่ายร่ำดาบหัวตัด เพลงดาบปราบพยัคฆ์เข้าหักหาญกับเล่าสี่ คนผู้นี้ย่อมเป็นอู๋เส้าเทียน เล่าสี่ประมือกับมันสี่ห้ากระบวนท่าพอจดจำออกต้องร้องออกมา
“ประเสริฐ ที่แท้เจ้าคือคนที่ลอบฟังเราสนทนาในโรงเตี้ยม เจ้าโดนพิษกลับยังไม่ตาย”
ชายชุดดำอีกผู้หนึ่งต้องหน้าแปรเปลี่ยนครุ่นคิด ‘หากเป็นมันย่อมไม่อาจปล่อยไว้ มันกลับเคยเห็นโฉมหน้าพวกเรา’ พลางขยับกายเข้าร่วมวงต่อสู้อีกผู้หนึ่งกล่าวกับเล่าสี่ว่า
“รีบเร่งลงมือ ขจัดให้หมดสิ้น ครั้งนี้ยิ่งมายิ่งบานปลายแล้ว”
เล่าสี่เค้นเสียง เฮอะ ไม่ตอบคำลงมือเร่งเร้ากว่าเดิม
    ที่แท้อู๋เส้าเทียนเมื่อตอนกลางวันพบเห็นบุคคลทั้งสองเห็นเป็นชาวยุทธจักรต่างถิ่นไม่เคยพบเห็น มีท่าทีเป็นที่น่าสงสัยจึงลักลอบติดตามหากมาประกอบคดีจะลงมือครากุม หากไม่มีสิ่งใดก็แล้วกันไป เมื่อตอนพบค่ำมือปราบอู๋ลักลอบขึ้นหลังคาโรงเตี้ยมลักลอบแอบฟังคนทั้งสอง กลับได้ยินสิ่งที่หน้าตระหนก มันทั้งสองไม่เพียงมาประกอบคดีทั้งยังเป็นคดีใหญ่ กลับคิดจะล้มล้างตระกูลจิวส่วนสาเหตุความนัยกลับไม่ทราบ
คนทั้งสองกลับมีฝีมือสูงเยี่ยมทราบว่าบนหลังคามีคน รู้ตัวว่าถูกแอบฟังรีบพุ่งกายขึ้นบนหลังคาหมายเข่นฆ่าสังหาร อู๋เส้าเทียนปะมือกับเล่าสี่หลายกระบวนท่าพบว่ามีฝีมือสูงส่ง คนอีกผู้หนึ่งย่อมไม่เป็นลองมัน ตนเองมาเพียงผู้เดียวไม่ใช่คู่มือ จึงถอนตัวหลบหนีแต่กลับถูกกระส่วยเหล็กอาบยาพิษซัดทำร้าย อู๋เส้าเทียนเมื่อหลบหนีได้กลับมายังบ้านของตนคิดถอนพิษ พบเห็นลู่ซุนจึงเขียนสารฉบับหนึ่งเตือนภัยแก่ตระกูลจิวให้ลู่ซุนนำไปส่ง ตนเองจัดแจงถอดพิษร้ายในตัวรักษาชีวิต มันเคยศึกษาตำราพิษพอรู้วิธีคลายพิษหลายประเภท แต่เหตุการณ์เร่งรัด ไม่อาจรอให้พิษถอดถอนจนหมด เร่งรุดไปยังที่ว่าการกรมเมืองแจ้งข่าวให้นำกำลังคุ้มกันตระกูลจิว ตนเองควบม้าล่วงหน้ามาก่อน ไม่คาดว่ายังมาสายไปก้าวหนึ่ง คนทั้งสองกลับชิงลงมือก่อน ความจริงคนทั้งสองคิดลงมืออย่างเงียบเชียบไม่ให้เป็นที่กระโตกกระตาก แต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดตีเกาะไม้ร้องแร่แห่กระเซิงให้คนภายในบ้านตื่นขึ้นจึงเกิดการประทะต่อสู้กัน
   
    อู๋เส้าเทียนรับมือคนทั้งสองตรึงมืออย่างยิ่ง ตนเองยังมีพิษร้ายคลั่งค้างไม่สามารถใช้กำลังได้อย่างเต็มที่ รีบกล่าวบอกต่อลู่ซุน
“รีบพาจิวเสียวเจี๊ยะหลบหนี เบื้องนอกมีม้า รีบไป”
ลู่ซุนรีบแบกจิวอวงยี้ขึ้นแผ่นหลัง กล่าวตะโกนว่า
“อู๋ตั่วกอท่านก็หลบหนีเถอะ”
วาจามันพอกล่าว อู๋เส้าทียนก็ถูกคมกระบี่กรีดผ่านหน้าอกเป็นแผลสายหนึ่งเลือดไหลชะโลม ลู่ซุนต้องอุทานด้วยความแตกตื่น อู๋เส้าเทียนตวาดสมทบ
“ยังไม่รีบไป”
ลู่ซุนแม้เป็นห่วง อู๋เส้าเทียนแต่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้ อยู่ไป มีแต่จะเป็นภาระขวางมือขวางเท้า จึงตัดใจแบกร่างจิวอวงยี้มุ่งตรงสู่ประตูใหญ่ เห็นม้าตัวพวงพีอยู่หน้าประตูรีบอุ้มจิวอวงยี้ขึ้นบนหลังม้า พลันเห็นอู๋เส้าเทียนวิ่งติดตามมาร้องตะโกนให้รีบขึ้นม้า ลู่ซุนปิติยินดียิ่ง รีบกระโจนขึ้น อู๋เส้าเทียนพุ่งตัวขึ้นหลังม้าด้านหลังเด็กทั้งสองกระตุกบังเหียนคิดให้ม้าโจนทะยานออก
ไม่ทันที่ม้าจะพุ่งตัว กระสวยเหล็กสามอันพุ่งซัดใส่กลางหลังของอู๋เส้าเทียน มันต้องวกกายขวางดาบปัดป้อง พิษในกายพลันกำเริบปัดได้เพียงสองอัน อันที่สามกลับไม่สามารถปัดพ้น ซัดเข้าถูกหน้าอกรู้สึกเจ็บปวดสุดทนทานไม่สามารถพยุงกายอยู่ได้ ทิ้งกายล่วงหล่นลงจากหลังม้า ม้าพลันแตกตื่นวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ลู่ซุนแตกตื่นสุดชีวิตกล่าวร้องเรียกอู๋เส้าเทียนอยู่หลายคำ แต่มาวิ่งห้อออกไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง มันต้องโอบประคองจิวเสียวเจี๊ยะไม่สามารถกระโจนลงมาได้ น้ำตาพลันหลั่งไหลออกมาปนเปกลับหยาดเลือดที่ข้างแก้มของมัน
    อู๋เส้าเทียนเมื่อล่วงลงกองกับพื้นร่างกลับคุดคู้หอบหายใจรวยรินกระส่วยเหล็กกลับซัดถูกหน้าอกข้างซ้ายตรงต่ำแหน่งหัวใจ พิษร้ายย่อมซึมซับเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว เล่าสี่พลิกร่างมันขึ้นดูเห็นว่าคนผู้นี้ไม่อาจมีชีวิตรอดสืบไปจึงไม่แยแสสนใจ คนชุดดำอีกผู้หนึ่งที่มาด้วยกันเค้นเสียงกล่าวขึ้นอย่างรีบเร่ง
“เฮอะ หากปล่อยให้ผู้หนึ่งผู้ใดรอดไปได้นับว่าทำงานล้มเหลว ภายหลังจะรายงานตั่วเอี้ย(นายใหญ่) ได้เช่นไร ยังไม่รีบติดตามไป”
ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าติดตามม้าที่วิ่งนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว  เวลาห่างไปไม่เท่าไหร่พนักงานกรมเมืองกลับเร่งรุดมาถึงพบว่าคนตระกูลจิวล้วนถูกสังหารหมดสิ้นแล้ว เบื้องหน้าประตูพบอู๋เส้าเทียนนอนทอดเป็นซากศพ สร้างความเสียใจกลับผู้รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างยิ่ง อู๋เส้าเทียนยอดมือปราบแห่งเมืองกันจือ ได้จบชีวิตลง ณ ที่นี้
                                                                                    คำนำ
                                          ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา เป็นเรื่องที่สองที่ข้าพเจ้าแต่งขึ้น ในเรื่องนี้กล่าวถึง จิวอวงยี้เด็กหญิงอายุแปดเก้าปี บุตรสาวเศรษฐีดินแดนเสฉวนมีเหตุต้องถูกฆ่าล้างครอบครัวโดยไม่ทราบสาเหตุภายในข้ามคืนเดียว นางสามารถหลบหนีได้โดยการช่วยเหลือของเด็กเร่ขายฟืนที่มักจะมาส่งฟืนที่บ้านของนางเป็นประจำ แต่เด็กทั้งสองต้องมีเหตุให้พลัดพรากจากกัน จิวอวงยี้ถูกกลุ่มคนที่มีชื่อเป็นมหาโจรร้ายในปัจจุบันชุบเลี้ยง จนนางกลายเป็นโจรสาวพราวเสน่ห์ในอีกสิบปีต่อมา นางต้องการล้างแค้นแทนครอบครัวจึงเดินทางสืบหาร่องลอยของผู้ที่ลงมือสังหารครอบครัวของนาง และสืบหาเด็กชายที่ประทับอยู่กลางใจนางมิลืมเลือนคือเด็กเร่ขายฟืนที่ช่วยเหลือนาง ทั้งสองพบกันอีกครั้งแต่ไม่สามารถจดจำกันออก เด็กเร่ขายฟืนกลับกลายเป็นมือปราบที่เก่งกาจ นางเป็นโจรสาวที่เจ้าเล่ห์ เรื่องราวโกลาหลของคนทั้งสองพร้อมความวุ่นวายในยุทธจักรจึงเริ่มขึ้น
                                        ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ตอนที่ 1 ภัยพิบัติบ้านตระกูลจิว
    แถบมลฑลเสฉวนทางตอนเหนือ เป็นที่ตั้งของเมืองกันจือติดกับชายแดนทิเบต ยามเข้าปลายปีสู่หน้าหนาวแม้ว่าดินแดนแถบนี้จะไม่ถูกปกคลุมด้วยหิมะแต่กลับเหน็บหนาวยิ่ง ท่ามกลางสายลมยามฤดูหนาวเบื้องหน้าประตูด้านหลังของตึกใหญ่หลังหนึ่ง หนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสามปีสภาพมอซอยืนยักย้ายไปมา ร่างกายสั่นเทาจากความหนาวเหน็บ ใช้ปากเป่าลมร้อนใส่อุ้งมือของมัน เกิดเป็นไอขาวพวยพุ่งเพื่อให้เกิดความอบอุ่น มันเองสวมเสื้อผ้าเบาบางเมื่อความหนาวเหน็บเข้ากร่ำกรายย่อมทนทานได้ยากยิ่ง ข้างกายเด็กหนุ่มเป็นกองไม้ที่จัดมัดไว้หลายหาบไว้สำหรับทำฟืนก่อไฟ เด็กหนุ่มชะเงินเง้อดูทางประตูหลังยังไม่เห็นผู้คน จึงเคาะเรียกไปคราหนึ่ง
เพียงชั่วครู่ปรากฏ สตรีนางหนึ่งเปิดประตูออกมา สตรีผู้นี้เรียกว่า จิวเจี่ยน เป็นสาวใช้คนสนิทของตระกูลจิว นางเป็นเด็กกำพร้าถูกชุบเลี้ยงโดยตระกูลจิวนางจึงใช้แซ่จิวตามผู้เป็นนาย จิวเจี่ยนกวาดสายตามองเด็กน้อยแวบหนึ่งในดวงตาส่อแววเวทนา ยิ้มแย้มเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“ลู่ซุน เจ้ามานานแล้วหรือ มา มา นำฟืนเข้ามาไว้ด้านใน”
ลู่ซุนเพียงยิ้มแย้มไม่ตอบคำก้มลงหาบฟืนเดินตามนางเข้าด้านใน สตรีผู้นั้นเห็นมันจัดเก็บฟืนใส่ห้องเก็บฟืนเรียบร้อยจึงล้วงเงินอีแปะออกมากำหนึ่งยัดส่งให้ในมือมัน ลู่ซุนมองดูเหรียญอีแปะในมือสีหน้าครุ่นคิด
“จิวเจ้เจ๊ นี่ไม่ถูกต้อง ฟืนข้าพเจ้าหกหาบ หาบล่ะสามอีแปะ ทั้งหมดสิบแปดอีแปะ แต่นี้กลับมีทั้งสิ้นยี่สิบแปดอีแปะ จิวเจ้เจ๊ให้เกินมาแล้ว”
พลันแยกเหรียญที่เกินออกยื่นมือส่งคืน
จิวเจี่ยน มีสีหน้าฉงนเล็กน้อยไม่ได้ยืนมือรับแต่อย่างใด กล่าวครึ่งยิ้มครึ่งบึงกล่าวว่า
“เด็กน้อยนี้กลับนับเลขคล่องแคล่วขึ้น เป็นมือปราบอู๋สอนแก่เจ้ากระมั่ง เอ๊ะ นั่นยังเหลือฟืนอีกสองมัดหากเจ้าไม่ได้นำไปยังที่ใดก็ให้แก่เราก็แล้วกัน ส่วนเงินที่เหลือยังคงไม่ต้องคืนแล้ว”
ลู่ซุน ส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธกล่าวว่า
“เช่นนั้นไม่ได้ ไหนเลยมีการค้าขายเอาเปรียบเช่นนี้”
เห็นนางไม่ยืนมือมารับคืนจึงกุมมือนางออกมาส่งเหรียญอีแปะที่เกินให้ในมือนาง พร้อมก้มลงหาบฟืนที่เหลือขึ้นกล่าวว่า
“ส่วนฟืนสองหาบนี้ข้าพเจ้าจะนำไปให้ มือปราบอู๋”
จิวเจี่ยน ต้องส่ายหน้าอย่างยิ้มแย้มในความสัตย์ซื่อถือมั่นของมัน เห็นมันจะก้าวพ้นประตูพลันนึกถึงเรื่องหนึ่ง ร้องเรียกถามออกไป
“ลู่ซุน พรุ่งนี้เจ้าว่างหรือไม่”
“จิวเจ้เจ๊ มีเรื่องใด”
ลู่ซุนหันกายกลับมากล่าวถาม
จิวเจี่ยน กล่าวว่า
“วันมะรืนเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ หกสิบสี่ของจิวเล่าเอี้ย(นายผู้เฒ่าแซ่จิว) คิดเชิญแขกมามากหลายแต่ขาดคนงานไม่พอมือ หากเจ้าว่างคิดจ้างวานเจ้ามาช่วยงานซักวันสองวัน ส่วนค้าจ้างนั้นเราให้วันล่ะสิบอีแปะ เห็นเป็นเช่นไร”
ลู่ซุนพอฟังวันล่ะสิบอีแปะต้องตาลุกแวววาว ในใจครุ่นคิด ‘ทำงานสองวันได้ยี่สิบอีแปะหากเทียบกับตัดไม้ทำฟืนแล้วต้องตัดถึงสี่วัน ไหนเลยไม่ตอบรับ’
“จิวเจ้เจ๊  พรุ่งนี้เช้าข้าพเจ้าจะมาในบัดดล”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ ยามเช้าเจ้าก็มา เมื่อทำงานอย่าได้บ่นว่างานมากหนักมือไปให้เสื่อมเสียถึงเรา  เจ้าไปเถอะ”
ลู่ซุนยินดียิ่งกล่าวคำอำลาต่อจิวเจี่ยน นางต้องมองดูมันจากไปอย่างเอ็นดูเวทนา หวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อสามเดือนก่อนที่พบเจอเด็กน้อยผู้นี้ ยามนั้นตนเองเดินจับจ่ายซื้อของกลางเมืองปะทะชนกับเด็กน้อยเร่ขายฟืนผู้นี้ จากนั้นถุงเงินของตนก็สูญหาย ตนจึงคว้าตัวไว้เค้นสอบถามให้คืนของ แต่เด็กน้อยยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมรับ ประจวบกับมือปราบอู๋ ผ่านทางมาจึงร้องเรียน มือปราบอู๋ทำการตรวจค้นแต่ไม่พบของสิ่งใดนอกจากเศษเงินสีห้าอีแปะ
ตนเองกลับยังไม่เชือถือคิดว่าเด็กน้อยนี้มีมือเท้ารวดเร็วหลังจากหยิบฉวยถุงเงินแล้วย่อมต้องนำไปซ่อนในที่แห่งใดแห่งหนึ่งในระแวกนี้ แต่มือปราบอู๋พบประกายตาเด็กน้อยทั้งแข็งกร้าวทั้งไม่ประหวั่นลนลาน มิใช้ประกายตาของผู้กระทำผิด จึงนำสุนัขมาขอยืมผ้าเช็ดหน้าตนให้สุนัขดมกลิ่นติดตามรอย พบว่าถุงเงินของตนตกหล่นอยู่ข้างร่องน้ำบริเวณโรงน้ำชาที่ตนแวะดื่มดับกระหาย ตนเองทั้งอับอายทั้งเสียใจที่ปรักปรำให้ร้ายคน ตั้งแต่นั้นมาเพื่อเป็นการไถ่โทษนางจึงให้เด็กน้อยนี้ส่งฟืนให้กับตระกูลจิวเป็นขาประจำ
ลู่ซุนแบกฟืนสองหาบมาถึงบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งในตรอกคับแคบ เห็นภายในบ้านไร้วี่แววผู้คนจึงไม่กล้าถือวิสาสะย่างกรายเข้าไป นั่งจับเจ่าอยู่บริเวณริมรั่วไม้ไม่ทราบนานเท่าไรต้องม่อยหลับไป พลันรู้สึกว่ามีมือผู้คนมาเขย่าลำตัว จึงงัวเงียตื่นขึ้น พบชายร่ายกายกำยำ ทวงท่าองอาจใบหน้าเที่ยงธรรม สวมชุดมือปราบใส่หมวกดำ ด้านบนติดขนนกยูง ส่งยิ้มให้  ต้องร้องเรียกอย่างปิติยินดี
“อู๋ตั่วกอท่านมาแล้ว”
มือปราบอู๋ ฉุดดึงมันลุกขึ้นกล่าวเรียกให้เข้าไปด้านในพร้อมกล่าวว่า
“ลู่ซุน เจ้านำฟืนมาให้เราไม่ได้ขาด จนบ้านช่องคับแคบไม่มีที่ไว้แล้ว เราอยู่ตัวคนเดียวบ้านช่องกลับไม่ค่อยได้อยู่ไหนเลยต้องการฟืนมากมาย”
ลู่ซุนต้องประหวั่นลนลาน เกรงมือปราบอู๋ไม่พอใจรีบกล่าวกระอ่อมกระแอ้ม
“อู๋ตัวกอ ท่านดีต่อข้าพเจ้ายิ่ง ท่านเคยช่วยเหลือข้าพเจ้า ทั้งยังสอนหนังสือบวกเลข ข้าพเจ้าไร้สิ่งใดตอบแทนได้แต่หาฟืนมาให้ท่าน”
มือปราบอู๋ หัวเราะชมชอบในความสัตย์ซื่อของมัน ไม่กล่าวว่ากระไรเรียกมันหยิบหนังสือบนตู้มาเล่นหนึ่ง เป็นบทกวีราชวงค์ถัง พลิกไปถึงหน้ากลางๆที่ดูแล้วมีคำที่อ่านง่ายเข้าใจได้ จึงให้มันทดลองอ่าน ตนเองเอนหลังพิงพนักหลับตาฟังอย่างผ่อนคลาย คำไหนที่มันอ่านติดขัดก็ลืมตาขึ้นมาชี้แจ้งเที่ยวหนึ่ง
เด็กน้อยนี้กลับมีความมานะตั้งใจเรียนรู้ พยายามจดจำทุกถ้อยคำของตน เมื่อเห็นมันพอทำความเข้าใจได้ จึงเอนหลังพักผ่อนต่อ เสียงอ่านบทกวีของเด็กน้อยชวนให้เคลิบเคลิ้ม หวนนึกถึงตนเองยังเป็นนักศึกษาเรียนท่องบทกับอาจารย์ประจำตำบลเมื่อครั้งยังเยาว์วัยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
มือปราบอู๋ หรืออู๋เส้าเทียน แต่เดินเป็นบัณฑิตเปรื่องปราดทั้งบุ๋นและบู๊แห่งเมืองเป่าติ้ง มลฑลเหอเป่ย  เมื่ออายุย่างเข้ายี่สิบเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อสอบจอหงวน แต่ติดด้วยที่มันไม่มีเส้นสาย ต่ำแหน่งจอหงวนจึงหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย แม้รู้สึกเสียใจแต่ไม่ทิ้งความตั้งใจรับราชการ จึงสอบเป็นมือปราบวังหลวง มือปราบวังหลวงแม้ไม่ได้เป็นได้โดยง่าย แต่ก็ไม่ยากเย็นสำหรับอู๋เส้าเทียน เพียงปีเศษมันก็ดำรงต่ำแหน่งหัวหน้ามือปราบวังหลวง แต่เนื่องจากมันเป็นคนเถรตรง กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ไว้หน้าผู้คน ถึงกับล่วงเกินเจ้ากรมอาญา ภายหลังถูกปลดให้เหลือยศเพียงมือปราบธรรมดา
ในภายหลังได้รับการชี้แนะจากหัวหน้ามือปราบวังหลวงคนก่อนว่าภัยใกล้กร้ำกรายถึงตัวให้ขอโยกย้ายออกจากนครหลวงไปยังที่ห่างไกลเพื่อหลีกหนีเจ้ากรมอาญา อู๋เส้าเทียนแม้คับแค้นแน่นอกแต่ก็เห็นว่าควรปฏิบัติตาม จึงได้ขอโยกย้ายตนเองมายังเสฉวนเมืองกันจือ  มันกลับมาอาศัยยังดินแดนแห่งนี้ได้เจ็ดแปดปีแล้ว ยามนี้มันอายุย่างเข้าสามสิบสองยังไม่สามารถสร้างชื่อเสียงให้วงค์ตระกูล มียศเพียงมือปราบธรรมดาผู้หนึ่งหวนคิดแล้วต้องถอดถอนใจออกมา เหม่อมองดูเด็กน้อยท่องตำราอย่างเงียบงัน
๑๑๑๑๑๑
    เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่ซุนมายังตึกบ้านตระกูลจิวแต่ฟ้าสาง บ้านตระกูลจิวแห่งนี้แม้เป็นเศรษฐีรุ่มรวย แต่จิวเล่าเอี้ยไม่ชอบผู้คนวุ่นวายบ่าวทาสในตระกูลจึงมีไม่มาก เมื่อมีการจัดงานภายในบ้านอันใดล้วนจ้างวานผู้คนมาช่วยเหลือ ลู่ซุนมาพบจิวเจี่ยนตามนัดหมาย นางจึงพามันไปพบพ่อบ้านปึงพร้อมคนงานอีกเจ็ดแปดคน กล่าวบอกต่อพ่อบ้านปึงให้จัดแบ่งงานแก่คนทั้งหมด
พ่อบ้านปึงเห็นลู่ซุนอายุยังน้อยต้องมีสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย ครุ่นคิด‘เด็กน้อยผู้หนึ่งท่านก็ว่าจ้างมา ไม่ทราบว่าใช้การสิ่งใดได้’ จิวเจี่ยนเห็นสีหน้าพ่อบ้านปึง พอคาดเดาได้จึงกล่าวขึ้นว่า
“อย่าได้เห็นว่ามันเป็นเด็กน้อย เรี่ยวแรงมันมีมากนัก อาจบางทีเหนือล้ำกว่าผู้ใหญ่ ท่านใช้สอยได้อย่างเต็มที”
ลู่ซุน พลันกล่าวเสริมว่า
“ถูกแล้ว ท่านพ่อบ้านไม่ว่างานสิ่งใดข้าพเจ้าล้วนทำได้ ขอเพียงท่านบงบ่อกข้าพเจ้าจะจัดการในบัดดล”
พ่อบ้านปึงแม้มีสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่ต่อหน้าจิวเจี่ยนไม่กล้ากล่าวว่ากระไร จะอย่างไรจิวเจี่ยนแม้มีศักดิ์เป็นสาวรับใช้ แต่ตระกูลจิวยึดถือนางเช่นบุตรหลาน เหล่าบ่าวทาสล้วนเกรงใจนางอยู่หลายส่วน
พ่อบ้านปึงจัดการแบ่งงานให้คนทั้งหมด ลู่ซุนกลับขยันขันแข็งยิ่งทำงานไม่ได้หยุดหย่อน เมื่องานของตนเองหมดก็ไปช่วยงานผู้อื่น พ่อบ้านปึงเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงไม่กล้าคิดดูแคลนเด็กน้อยผู้นี้อีก จิวเจี่ยนบางครั้งผ่านมาชมดู ต้องครุ่นคิดว่าสิบอีแปะยังน้อยไปสำหรับเด็กผู้นี้
พ่อบ้านปึงตรวจดูในห้องครัว พบว่าไม้ที่ผ่าไว้ทำฟืนเหลือจำกัดยิ่ง คิดใช้คนไปห้องเก็บฟืนนำท่อนไม้มาทำฟืน แต่ติดที่ว่าผู้คนยังไม่ว่างเว้น เห็นลู่ซุนหาบน้ำผ่านมา พลันร้องเอ๊ะ กล่าวถาม
“ลู่ซุน เจ้าไฉนมาหาบน้ำ”
ลู่ซุนกล่าวตอบว่า
“งานข้าพเจ้าเสร็จแล้วจึงมาช่วย ตั่วกอท่านนั้นหาบน้ำ”
“ถ้าเช่นนั้นไม่ต้องหาบแล้วเจ้านำมีดผ่าฟืนไปห้องฟืน ผ่าไม้ทำฟืนมาไว้ที่นี้ยิ่งมากยิ่งดี พรุ่งนี้มีการจัดเตรียมอาหารมากหลาย ต้องใช้ฟืนจำนวนมาก หากผู้อื่นเสร็จงานแล้วเราจะให้ไปช่วยเหลือ”
ลู่ซุนรับคำ หยิบฉวยมีดผ่าฟืนไปยังห้องเก็บฟืนหลังบ้าน รื้อค้นท่อนไม้ออกมาหลายมัด ท่อนไม้พวกนี้ย่อมเป็นมันนำมาขายให้กลับตระกูลจิว  งานผ่าฟืนมันกลับชำนิชำนาญยิ่ง ขณะรื้อค้นท่อนไม้ออกสายตาพลันแลเห็นชายผ้าเล็ดลอดออกจากด้านหลังกองไม้
ลู่ซุนสงสัยยิ่งจึงหยิบฉวยดึงออก แต่กลับพบแรงดึงย้อนกลับ ลู่ซุนรู้สึกประหลาดใจออกแรงดึงมากกว่าเดิม แต่แรงดึงย้อนกลับก็เพิ่มมากขึ้นตาม ลู่ซุนพลันฉุกคิดได้ ‘หรือว่าในซอกกองไม้มีคน’ พอคิดได้รีบปล่อยมือ เสียงทารกหญิงผู้หนึ่งร้อง โอ๊ย ออกมา พร้อมกับเสียงโครมครามเศษไม้ล่วงหล่น ลู่ซุนใจหายวาบรีบชะเง้อมองดูในซอกไม้ พบดรุณีน้อยผู้หนึ่งอายุแปดเก้าปีในอาภรณ์สวยสดล้มหงายกลับพื้น บนลำตัวนางกองทับด้วยเศษท่อนไม้ ดีที่ท่อนไม้เหล่านี้ไม่ใหญ่มากนักจึงไม่ได้ทำร้ายนางสาหัส ลู่ซุนรีบลนลานเข้าไปพยุงลุกขึ้น ที่แท้เมื่อครู่ชายผ้าผืนนั้นเป็นชายเสื้อของนางนี่เอง นางกับมันพลันออกแรงฉุดดึงกันคนล่ะด้าน ลู่ซุนปล่อยมือกระทันหัน นางจึงเสียหลักล้มลง ดูจากการแต่งกายของนางย่อมแสดงว่าเป็นลูกหลานของตระกูลจิว ลู่ซุนต้องลนลานรีบไปปัดปายท่อนไม้ออกจากตัวนาง
“เสียวเจี้ยะ(คุณหนู)  เป็นไรหรือไม่”
นางเมื่อลุกขึ้นได้ต้องทุบตีมันเป็นพัลวัน ปากกล่าวด่าว่าไม่หยุดหย่อน
“ท่านกลั่นแกล้งข้าพเจ้า กลั่นแกล้งข้าเจ้า”
ลู่ซุนได้แต่ร้องโอย เพียงปัดป้องไม่ได้โต้ตอบ ซุ่มเสียงชราภาพเสียงหนึ่งพลันดังร้องเรียกอยู่ทางเบื้องนอกคล้ายกับกำลังตามหาคน
“อวงยี้ เจ้าอยู่ที่ใด คิดหลบหนีการร่ำเรียนหรือ ใช่อยู่ในห้องเก็บฟืนหรือไม่”
ดรุณีน้อยสีหน้าตระหนกขึ้น หยุดมือทุบตีมุดปราดเข้าหลังกองฟืน บอกต่อลู่ซุนว่า
“อย่าได้บอกว่าข้าพเจ้าอยู่ในที่นี้ หากท่านไม่เชื่อฟัง ข้าพเจ้าจะฟ้องบิดาว่าท่านทำร้ายข้าพเจ้า”
ลู่ซุนยืนตะลึงงันชั่วขณะ ประตูห้องเก็บฟืนพลันเปิดออก เห็นชายชราท่าท่างคงแก่เรียนท่านหนึ่งกวาดสายตามองรอบห้องพลันมาหยุดที่ลู่ซุน กล่าวถามขึ้น
“เด็กน้อยเจ้าเห็น จิวเสียวเจี้ยะ หรือไม่”
ลู่ซุนได้ฟังชายชรากล่าวถามต้องลอบครุ่นคิด ‘ที่แท้นางเป็นบุตรหลานตระกูลจิวจริงๆ ได้ยินชายชราผู้นี้กล่าวถึงการหลบหนีการร่ำเรียน เรียนหนังสือนั้นดียิ่งไฉนจึงต้องหลบหนี’ พลันชี้มือไปหลังกองฟืนกล่าวบอก
“นางอยู่ด้านหลังกองฟืน”
จิวอวงยี้ได้ยินต้องร้อง เพ้ย มุดปราดออกมาไม่ทันจะต่อว่าลู่ซุน ชายชราผู้นั้นก็ตรงเข้ามาฉุดลากนางออกไป กล่าวตำหนินางเป็นการใหญ่
“อวงยี้เจ้าซุกซนนัก มีลูกศิษย์เช่นเจ้าทำเราปวดหัววันล่ะสามเวลา ไป ไป อย่าได้พิรี้พิไร”
ลู่ซุนมองดูเงาหลังของคนทั้งสอง เห็นเด็กหญิงหันมาย่นจมูกแลบลิ้นล้อเลียนคราหนึ่ง ก่อนถูกชายชราฉุดดึงลับมุมตึก
ต้องลอบครุ่นคิด ‘ท่านมีวาสนาได้ร่ำเรียนอย่างสบายไฉนจึงหลบหนี ข้าพเจ้านั้นหากไม่ได้มือปราบอู๋เวทนาส่งเสริมไหนเลยสามารถอ่านหนังสือได้แม้สักตัวเดียว’ ครุ่นคิดสั่นศีรษะในโชควาสนาของผู้คน ก้มกายทำงานของตนต่อ
จวบจนอาทิตย์อัสดง ลู่ซุนยังคงผ่าฟืนไม่หยุดหย่อนจนท่อนไม้ในห้องเก็บฟืนเกือบหมดสิ้น พ่อบ้านปึงมาตรวจดูต้องแย้มยิ้มเบิกบานกล่าวชมไม่ขาดปาก จิวเจี่ยนเดินผ่านมาพบเห็นเวลานี้นับว่าล่วงเลยเวลาทำงานของผู้ที่ว่าจ้างมาแล้ว ผู้ที่ว่าจ้างมาพร้อมมันทั้งหมดล้วนกลับไปหมดสิ้น ไฉนมันยังคงทำงานอยู่ จึงเดินเข้ามากล่าวถามพ่อบ้านปึง
“นี่จวนมืดค่ำแล้วไฉนท่านยังให้มันทำงานอยู่เช่นนี้”
ความจริงพ่อบ้านปึงไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งเด็กน้อย หรือเอาเปรียบแต่อย่างใด เพียงแต่งานจัดเตรียมมีมากเกรงกลัวจัดเตรียมไม่ทัน เห็นเด็กน้อยทำงานได้มากมายปานนี้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย  หากจัดเตรียมได้ทันย่อมดียิ่ง ถึงกับใช้สอยมันอย่างลืมเวลา เมื่อจิวเจี่ยนกล่าวรู้สึกสำนึกเสียใจอยู่บ้าง กล่าวว่า
“เช่นนั้นเราเพิ่มให้มันอีกห้าอีแปะก็แล้วกัน ส่วนวันนี้เจ้าก็พอได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ฟืนกองนี้นับว่าเพียงพอแล้ว”
ลู่ซุนปิติยินดียิ่ง รับเงินจากพ่อบ้านปึง เสียงเจือยแจ้วทางด้านหลังเสียงหนึ่งพลันร้องขึ้นว่า
“คนผู้นี้เมื่อขยันขันแข็ง ข้าพเจ้าก็มีของกำนันให้”
คนทั้งสามหันไปมองดู เห็นเป็นจิวเสียวเจี๊ยะก้าวเดินเข้ามาสองมือไขว้ไว้ที่ด้านหลังคล้ายซุกซ่อนของสิ่งหนึ่งไว้ จิวเจี่ยนกับพ่อบ้านปึงล้วนสงสัยไฉนเสียวเจี้ยะคิดกำนันของแก่มัน นางเอาของที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมาเป็นขนมเปี๊ยะกลมโตชิ้นหนึ่ง กำลังอุ่นระอุน่ารับประทาน ยื่นส่งให้ลู่ซุน ลู่ซุนต้องเหลือบแลสายตามองจิวเจี่ยนกับพ่อบ้านปึงคราหนึ่งคล้ายถามความเห็น พ่อบ้านปึงพลันกล่าวขึ้น
“เมื่อเสียวเจี้ยะ มีน้ำใจ เจ้าก็รับไว้เถอะ”
จิวเจี่ยนก็พยักหน้าเป็นเชิงให้รับไว้ ลู่ซุนจึงรับมา จิวอวงยี้กล่าวขึ้นว่า
“ขนมเปี๊ยะนี้ รับประทานตอนร้อนจะอร่อยยิ่ง ท่านก็รับประทานเลยเถอะ”
ลู่ซุนกล่าวขอบคุณแต่ยังไม่รับประทาน ห่อใส่อกเสื้อไว้กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายังไม่ใคร่หิว คิดนำกลับไปรับประทานที่บ้าน”
จิวอวงยี้ตีสีหน้าบูดบึงไม่พอใจ กล่าวบอกกับจิวเจี่ยนว่า
“เจี่ยนเจ้เจ๊ คนผู้นี้คงรังเกียจ ของที่ข้าพเจ้าให้ มันถึงไม่รับประทาน คาดว่าพอลับตา มันคงต้องโยนทิ้งเป็นแน่”
ลู่ซุนโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันกล่าว ไม่ ไม่ อยู่หลายคำ เห็นสีหน้าจิวอวงยี้ขุ่นเคืองอักโข ต้องครุ่นคิดขึ้น ‘หากไม่รับประทานต่อหน้านาง นางคงไม่พอใจเป็นแน่’ พลางล้วงขนมเปี๊ยะออกมากัดรับประทานไปคำหนึ่ง จิวอวงยี้มีสีหน้าปิติยินดียิ่ง
พอลู่ซุนรับประทานคำทีสองพบว่าภายในปากทั้งเผ็ดทั้งแสบร้อนต้องคล้ายทิ้งออกมา ที่แท้ภายในขนมเปี๊ยะซุกพริกแดงอยู่หลายเม็ด พริกแดงทั้งเผ็ดทั้งแสบร้อนทั้งขนมเปี๊ยะยังร้อนระอุยิ่งเพิ่มความเผ็ดเป็นทวีคูณ ลู่ซุนต้องร้องโอยออกมา วิ่งหาน้ำเป็นจ้าระหวั่น พ่อบ้านปึงกับจิวเจี่ยนตระหนกยิ่งรีบหาน้ำมาให้ล้างปาก
จิวอวงยี้หัวเราะร่าปรบมือชมชอบ
“นี่นับเป็นการลงโทษที่ท่านบอกที่ซ่อนของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าต้องนั่งจับเจ่าอ่านหนังสืออยู่หลายชั่วยามเป็นที่น่าเบื่อหน่าย”
ลู่ซุนได้น้ำล้างปากบรรเทาอาการเผ็ดร้อน ใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปาก มีแววตาทั้งตำหนิทั้งเอ็นดูสบตากับนาง ไม่มีท่าทีโกรธแค้นอันใดกล่าวขึ้นว่า
“เรียนหนังสือนั้นดียิ่ง ท่านไฉนว่าน่าเบื่อ ข้าพเจ้าแต่ก่อนยังไม่สามารถเขียนได้แม้กระทั้งชื่อของตนเอง ยามนี้สามารถอ่านออกเขียนได้ ไม่เป็นที่ดูถูกของผู้คน”
วาจานี้ล้วนกล่าวออกมาจากใจจริงไม่มีความคิดดูแคลนผู้อื่นแต่จิวอวงยี้เข้าใจว่า คนผู้นี้ดูถูกตน หาว่าภายภาคหน้าหากนางไม่ร่ำเรียนย่อมเป็นที่ดูถูกเย้ยหยัน จึงเชิดคิ้วขึ้นสูงทำสีหน้าเย้ยหยัน
“ท่านเข้าใจว่าเราไม่รู้หนังสือ เฮอะ บอกต่อท่าน เราแม้ร่ำเรียนบ้างหลบหนีบ้างยังรู้หนังสือมากมายกว่าท่าน”
พลางร่ายคำกลอนออกมาบทหนึ่ง เป็นบนกลอนของถังไป่หู่ กวีเอกในราชวงค์ถัง ให้ทุกคนได้ฟัง พอจบก็กล่าวถามต่อลู่ซุน ท่าทีภาคภูมิใจ
“ท่านสามารถทราบคำแปลเหล่านี้หรือไม่”
ลู่ซุนได้รับการชี้แนะด้านอักษรอย่างระเอียดละออจากผู้ที่เกือบเป็นถึงจอหงวน สอนสั่งอย่างตั้งใจ แม้ร่ำเรียนเพียงสามเดือนแต่เหมือนร่ำเรียนสามปี คำกลอนนี้แม้ไม่ง่ายแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทราบจึงอธิบายออกไป ทั้งยังอธิบายความหมายได้อย่างลึกซึ้ง จนจิวอวงยี้หน้าแดงฉาดด้วยความอับอาย ครุ่นคิดขึ้น ‘เราเองยังไม่สามารถอธิบายต่อผู้คนได้ลึกซึ้งเท่าเช่นมัน ภูมิความรู้ของเรายังสู้คนงานรับใช้ผู้หนึ่งยังไม่ได้ ‘ ต้องขุ่นข้องคับแค้นเดินถึงเบื้องหน้าลู่ซุนกระทืบเท้าลงยังเท้าของมันคราหนึ่งระบายความคับแค้นอับอาย
ลู่ซุนต้องร้องโอย ออกมาอีกครา นางกลับไม่แยแสสนใจก้าวกระแทกเท้ายาวๆเดินหายลับไป จิวเจี่ยนต้องเข้าไปปลอบลู่ซุนว่า
“นางยังเยาว์วัยมีนิสัยแก่นแก้วซุกซน เจ้าอย่าได้ถือสา ครานี้เห็นทีนางคงตั้งใจเรียนกว่าคราก่อนเป็นแน่”
ลู่ซุนไม่ได้กล่าวว่ากระไร อำลาจิวเจี่ยนกับพ่อบ้านปึงกลับยังที่พักของตน จิวเจี่ยนกล่าวถามว่า
“เจ้าจะแวะหามือปราบอู๋หรือไม่”
ลู่ซุนพยักหน้ารับ จิวเจี่ยนกล่าวบอกให้รอนางสักประเดี๋ยว จากนั้นก็เข้าไปยังด้านใน เพียงครู่ก็ออกมาพร้อมขวดสุราใบหนึ่ง
“เราทราบว่ามือปราบอู๋ชมชอบสุราไผ่เขียวพอดีผ่านตลาดจึงซื้อติดมือมา เจ้านำไปให้กลับมือปราบอู๋ก็แล้วกัน บอกว่าเราเป็นผู้ส่งให้”
ลู่ซุนรับมาถือไว้ พอเห็นป้ายติดบอกชื่อสุรา พลันร้องเอ๊ะ ออกมากล่าวถามอย่างสงสัย
“จิวเจ้เจ๊ ท่านทราบได้อย่างไรว่ามือปราบอู๋ ชมชอบสุราไผ่เขียว”
จิวเจี่ยนหน้าแดงวูบ ครุ่นคิดขึ้น ‘เด็กน้อยนี้ตั้งแต่คบหากับมือปราบเรื่องราวใดล้วนครุ่นคิดสงสัย’  จึงกล่าวว่า
“เอาเถอะ เอาเถอะ เราทราบได้อย่างไรอย่าได้ถาม นี่จะมืดค่ำแล้วรีบไปเถอะ”
ลู่ซุนเมื่อถูกนางเร่งรัด จึงไม่ได้ถามต่อถือขวดสุราเดินจากมา
    พอถึงบ้านมือปราบอู๋เห็นเงียบเชียบไร้ผู้คน จึงเฝ้ารออยู่ริมรั่ว ยามนี้เป็นเวลามืดค่ำมันรอเป็นเวลาเนิ่นนานยังไม่เห็นมือปราบอู๋ ต้องครุ่นคิดขึ้น ‘หรืออู๋ตั่วกอติดธุระสำคัญคืนนี้ไม่กลับบ้าน แล้วสุราขวดนี้เล่าจะทำอย่างไร’ ลู่ซุนเกรงว่า หากทิ้งไว้นอกบ้านอาจสูญหาย จึงถือวิสาสะเข้าไปในบ้าน จัดวางสุราไว้กลางโต๊ะคิดใช้กระดาษเปล่าใบหนึ่งเขียนข้อความถึง ยังไม่ทันเขียนอักษรเงาดำสายหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาทางหน้าต่าง
ลู่ซุนเพ่งมองต้องประหลาดใจ คนผู้นี้กลับเป็นมือปราบอู๋ แต่ยามนี้แต่งกายในชุดดำสนิท บนศีรษะโพกผ้าดำผืนหนึ่ง ปลายแขนเสื้อเปียกชุมโชกด้านหนึ่ง เมื่อหยาดหยดลงบนพื้นพบว่าเป็นหยดเลือด ลู่ซุนต้องอุทานด้วยความตกใจ
“อู๋ตั่วกอ ท่านเป็นไรแล้ว”
มือปราบอู๋ฉีกแขนเสื้อออกเผยให้เห็นอาวุธซัดกระสวยเหล็กปักจมลึกลงในเนื้อหนังเลือดไหลอาบนองสามจุด รอบๆปากแผลดำคล้ำคาดว่ากระสวยเหล็กนี้อาบยาพิษไว้ เรียกเด็กน้อยนำยาสมานแผลบนตู้มา ตัวมันรับประทานยาเม็ดหนึ่งระงับความเจ็บปวด ใช้มีดสั้นกรีดปากแผลออกให้เลือดพิษหลั่งไหล เหลือบเห็นบนโต๊ะจัดวางกระดาษหมึกพู่กัน รีบเขียนข้อความพับส่งให้ลู่ซุนกล่าวบอกอย่างรีบเร่ง
“เจ้านำสารนี้ไปมอบให้คนบ้านตระกูลจิว อย่าได้ชักช้า หลังจากส่งสารแล้วอย่าได้รั้งอยู่ให้จากไปในบัดดล”
ลู่ซุนยังลังเลห่วงใยในอาการบาดเจ็บของมันเงอะงะงุ่มง่ามอยู่ครู่หนึ่งยังไม่จากไปในทันที อู๋เส้าเทียนพลันตวาดว่า
“เป็นไร หรือวาจาเราเจ้าไม่เชื่อฟังแล้ว ยังไม่รีบไป”
ลู่ซุนได้แต่ตัดใจรีบเร่งไปยังบ้านตระกูลจิว เกรงมือปราบอู๋มีโทสะ
    เมื่อมาถึงบานตระกูลจิวรีบเคาะประตูใหญ่เรียกคนเปิดประตู ลู่ซุนคาดเดาว่าสารนี้ต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงไม่นำพาความเกรงอกเกรงใจอันใด แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ยังไม่มีคนออกมาครุ่นคิดว่าคงหลับกันหมดสิ้น แต่สารนี้ไม่ส่งยามนี้ก็ไม่ได้ จึงวิ่งออมไปยังประตูหลังเห็นประตูเปิดแง้มอยู่ จึงผลักประตูออกก้าวเดินเข้าไป ต้องประหลาดใจเมื่อ เห็นบ่าวทาสบางคนนอนหมดสติอยู่  พอเข้าไปชมดูพบว่าสิ้นใจตายแล้ว ลู่ซุนตื่นตระหนกหน้าถอดสี เมื่อตั้งสติได้หยิบฉวยเกาะไม้ตีบอกสัญญาณจากซากศพตีรัวถี่ยิบ ปากร้องตะโกนลั่น
“มีคนร้าย มีคนร้าย”
ฉับพลันภายในบังเกิดเสียงโครมครามคล้ายเกิดการต่อสู้ ลู่ซุนรีบวิ่งไปตามระเบียง พบศพผู้คนนอนเกลื่อนกลาดสร้างความอกสั่นขวัญแขวงยิ่ง หน้าต่างบานหนึ่งพลันทลายออก ร่างคนผู้หนึ่งลอยระลิ่วผ่านหน้าลู่ซุนไป คนผู้นั้นเมื่อตกกระทบถึงพื้นไม่ทันครวญครางก็แน่นิ่ง ลู่ซุนกลับจำได้ว่ามันเป็นนักบู๊พิทักษ์ตึกตระกูลจิวผู้หนึ่ง เมื่อชะโงกดูภายในเห็นคนห้าคนกำลังต่อสู้พัวพัน สองคนในนั้นแต่งชุดดำปกปิดโฉมหน้าคาดว่าเป็นคนร้ายแล้ว ทั้งสามที่ฟาดฟันกลับชายชุดดำทั้งสอง หนึ่งเป็นผู้เฒ่าท่าทางน่าเกรงขามคงจะเป็นจิวเล่าเอี้ย ที่เหลือข้างกายล้วนเป็นนักบู๊พิทักษ์ตึก คอยปกป้องนายผู้เฒ่า ลู่ซุนพบเห็นจิวเสียวเจี๊ยะที่พบเมื่อกลางวันกอดซากศพสองซากร่ำไห้กล่าวร้องเรียกบิดามารดาไม่ขาดปาด จิวเจี่ยนแม้พยายามฉุดลากนางให้หลบหนี แต่จิวเสียวเจี๊ยะกลับกอดซากศพแนบแน่นไม่ยอมปลดปล่อย จิวเล่าเอี้ยหันมาตวาดว่า
“จิวเจี่ยนยังไม่รีบพาอวงยี้ไป”
หน้าอกพลันถูกกดกระแทกคราหนึ่ง ร่างลอยละลิ่วปลิวติดผนังพอล้มลงก็แน่นิ่ง ชายชุดดำที่ฟาดทำร้ายจิวเล่าเอี้ยเค้นเสียงเฮอะ กล่าวขึ้นว่า
“เศรษฐีชราผู้หนึ่งก็มีฝีมือปานนี้”
“มันไหนเลยเป็นแต่เพียงเศรษฐีชรา ยามหนุ่มฉกรรจ์กลับเป็นชาวยุทธ์จักรผู้หนึ่ง”
คนชุดดำอีกผู้หนึ่งเป็นผู้กล่าวตอบ
“มิน่า ถึงพอมีฝีมืออยู่บ้าง”
จิวอวงยี้เห็นผู้เป็น เอี่ยเอี้ย  (ปู่) โดนทำร้ายแน่นิ่งคิดโถมเข้าไปหา แต่นักบู๊พิทักษ์ตึกรีบสะอึกเข้ามาขวางห้ามไว้
“เสียวเจี๊ยะ อย่าได้เข้าไปอันตรายยิ่ง  จิวโกวเนี้ยะท่านรีบพาเสียวเจี๊ยะหลบหนีพวกเราจะสกัดขัดขวางไว้”
นักบู๊พิทักตึกที่หลงเหลือเพียงสองคนร่ายร่ำกระบีเข้าหักหาญกับคนชุดดำทั้งสอง จิวเจี่ยนรีบฉุดดึงจิวอวงยี้โดยแรงเร่งรัดให้นางหลบหนี แต่นางกลับไม่ยอมจากไปร่ำไห้ไม่หยุดหย่อนจิวเจี่ยนต้องฉุดกระชากนางขึ้นโอบอุ้มวิ่งไปทางประตู คนชุดดำผู้หนึ่งพลัดตวาดก้อง
“ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้จากไป”
พุ่งมือคว้าคอนักบู๊พิทักษ์ตึกผู้หนึ่ง การลงมือครั้งนี้รวดเร็วยิ่ง นักบู๊พิทักษ์ตึกผู้นั้นยังไม่ทันวกกระบี่ปัดป้อง คอหอยกลับโดนคว้าจับไว้ มือข้างที่กำกระบี่ถูกมืออีกข้างหนึ่งของคนชุดดำบิดโดยแรงไม่สามารถถือกระบี่มั่น ปล่อยกระบี่ตกลง ชายชุดดำเตะกระบี่แหวกอากาศเสียงดัง ฉี่ พุ่งใส่กลางหลังของจิวเจี่ยนที่กำลังพาจิวอวงยี้หลบหนี
กระบี่นั้นพุ่งปักกลางหลังนางจมมิดเสมอด้าม ก้าวพ้นประตูห้องเพียงสองก้าวก็ลมลง เสียงกรอบคราหนึ่ง คอนักบู๊ที่ถูกคว้าคอหอยถูกบิดกระดูกคอหักจนสิ้นใจตาย นักบู๊อีกผู้หนึ่งก็ถูกชายชุดดำอีกผู้หนึ่งสังหารสิ้น จิวเจี่ยนยังไม่สิ้นใจตายในบัดดลเหลือบแลเห็นลู่ซุนอยู่ข้างประตู จนใจตนเองไม่อาจกล่าววาจาได้แต่ใช้สายตาวิงวอนให้ช่วยเหลือจิวอวงยี้
ลู่ซุนตื่นตระหนกยิ่งเห็นคนชุดดำก้มเก็บกระบี่ของนักบู๊เดินเข้าหาจิวอวงยี้เงื้อมือฟาดฟันกระบี่ลง ไม่คบคิดมากความพุ่งตัวโถมชนโดยแรง ชายชุดดำผู้นั้นไม่ทันระวังว่ามีผู้คนซุ่มซ่อนอยู่ข้างประตู ลู่ซุนมีเรี่ยวแรงผิดเด็กธรรมดาพุ่งชนมันจนล้มหงาย ปลายกระบี่กลับกรีดเข้าข้างแก้มของลู่ซุนบังเกิดแผลฉกรรจ์เป็นทางยาวถึงหางตา จิวอวงยี้เห็นคนชุดดำเสียท่าถูกลู่ซุนกอดรัดไว้รีบคว้าข้อมือข้างที่ถือกระบี่ของมันกัดเข้าไปเต็มแรง นางคับแค้นที่คนผู้นี้สังหารผู้คนในบ้าน ถึงกับกัดเลือดเนื้อท่อนแขนของมันเป็นแผลเหวอะหวะ 
คนผู้นั้นเจ็บปวดอย่างยิ่งสะบัดร่างเด็กทั้งสองออกจากร่าง ได้ยินเสียงชายชุดดำทางด้านหลังหัวเราะเยาะกล่าวเย้ยหยัน
“เล่าสี่(เฒ่าลำดับสี่) กระทั้งทารกสองคน ท่านยังพลาดท่าเสียทีดูท่าท่านใช้การไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองดูจากท่าที่ซุ่มเสียงคล้ายยังไม่แก่ชรา แต่เรียกหากันเป็นผู้เฒ่า ชื่อเล่าสี่นี้คงเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อปกปิดฐานะที่แท้จริง ชายชุดดำที่เรียกว่าเล่าสี่เดือดดาลเป็นการใหญ่สะบัดกระบี่ ขวับ ขวับ ก้าวเข้าหาเด็กทั้งสอง ท่อนแขนข้างที่ถือกระบี่ยังเปียกชุมโชกไปด้วยโลหิต ไม่ทันเงื้อกระบี่ฟาดฟัน วัตถุแวววาวสามชิ้นพลันพุ่งจากหน้าต่างเข้ามาคุกคามถึงเบื้องหน้า ต้องรีบยกกระบี่ขึ้นปัดป้องวัตถุสามชิ้นล้วนถูกปัดกระแทกลงพื้นจนหมดสิ้น พอเหลือบแลดูที่แท้กลับเป็นกระสวยเหล็ก
ชายชุดดำทั้งสองต้องอุทานอย่างประหลาดใจ กระสวยเหล็กพวกนี้กลับคลับคล้ายของตน เงาดำสายหนึ่งถลันเข้าขวางหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนร่ายร่ำดาบหัวตัด เพลงดาบปราบพยัคฆ์เข้าหักหาญกับเล่าสี่ คนผู้นี้ย่อมเป็นอู๋เส้าเทียน เล่าสี่ประมือกับมันสี่ห้ากระบวนท่าพอจดจำออกต้องร้องออกมา
“ประเสริฐ ที่แท้เจ้าคือคนที่ลอบฟังเราสนทนาในโรงเตี้ยม เจ้าโดนพิษกลับยังไม่ตาย”
ชายชุดดำอีกผู้หนึ่งต้องหน้าแปรเปลี่ยนครุ่นคิด ‘หากเป็นมันย่อมไม่อาจปล่อยไว้ มันกลับเคยเห็นโฉมหน้าพวกเรา’ พลางขยับกายเข้าร่วมวงต่อสู้อีกผู้หนึ่งกล่าวกับเล่าสี่ว่า
“รีบเร่งลงมือ ขจัดให้หมดสิ้น ครั้งนี้ยิ่งมายิ่งบานปลายแล้ว”
เล่าสี่เค้นเสียง เฮอะ ไม่ตอบคำลงมือเร่งเร้ากว่าเดิม
    ที่แท้อู๋เส้าเทียนเมื่อตอนกลางวันพบเห็นบุคคลทั้งสองเห็นเป็นชาวยุทธจักรต่างถิ่นไม่เคยพบเห็น มีท่าทีเป็นที่น่าสงสัยจึงลักลอบติดตามหากมาประกอบคดีจะลงมือครากุม หากไม่มีสิ่งใดก็แล้วกันไป เมื่อตอนพบค่ำมือปราบอู๋ลักลอบขึ้นหลังคาโรงเตี้ยมลักลอบแอบฟังคนทั้งสอง กลับได้ยินสิ่งที่หน้าตระหนก มันทั้งสองไม่เพียงมาประกอบคดีทั้งยังเป็นคดีใหญ่ กลับคิดจะล้มล้างตระกูลจิวส่วนสาเหตุความนัยกลับไม่ทราบ
คนทั้งสองกลับมีฝีมือสูงเยี่ยมทราบว่าบนหลังคามีคน รู้ตัวว่าถูกแอบฟังรีบพุ่งกายขึ้นบนหลังคาหมายเข่นฆ่าสังหาร อู๋เส้าเทียนปะมือกับเล่าสี่หลายกระบวนท่าพบว่ามีฝีมือสูงส่ง คนอีกผู้หนึ่งย่อมไม่เป็นลองมัน ตนเองมาเพียงผู้เดียวไม่ใช่คู่มือ จึงถอนตัวหลบหนีแต่กลับถูกกระส่วยเหล็กอาบยาพิษซัดทำร้าย อู๋เส้าเทียนเมื่อหลบหนีได้กลับมายังบ้านของตนคิดถอนพิษ พบเห็นลู่ซุนจึงเขียนสารฉบับหนึ่งเตือนภัยแก่ตระกูลจิวให้ลู่ซุนนำไปส่ง ตนเองจัดแจงถอดพิษร้ายในตัวรักษาชีวิต มันเคยศึกษาตำราพิษพอรู้วิธีคลายพิษหลายประเภท แต่เหตุการณ์เร่งรัด ไม่อาจรอให้พิษถอดถอนจนหมด เร่งรุดไปยังที่ว่าการกรมเมืองแจ้งข่าวให้นำกำลังคุ้มกันตระกูลจิว ตนเองควบม้าล่วงหน้ามาก่อน ไม่คาดว่ายังมาสายไปก้าวหนึ่ง คนทั้งสองกลับชิงลงมือก่อน ความจริงคนทั้งสองคิดลงมืออย่างเงียบเชียบไม่ให้เป็นที่กระโตกกระตาก แต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดตีเกาะไม้ร้องแร่แห่กระเซิงให้คนภายในบ้านตื่นขึ้นจึงเกิดการประทะต่อสู้กัน
   
    อู๋เส้าเทียนรับมือคนทั้งสองตรึงมืออย่างยิ่ง ตนเองยังมีพิษร้ายคลั่งค้างไม่สามารถใช้กำลังได้อย่างเต็มที่ รีบกล่าวบอกต่อลู่ซุน
“รีบพาจิวเสียวเจี๊ยะหลบหนี เบื้องนอกมีม้า รีบไป”
ลู่ซุนรีบแบกจิวอวงยี้ขึ้นแผ่นหลัง กล่าวตะโกนว่า
“อู๋ตั่วกอท่านก็หลบหนีเถอะ”
วาจามันพอกล่าว อู๋เส้าทียนก็ถูกคมกระบี่กรีดผ่านหน้าอกเป็นแผลสายหนึ่งเลือดไหลชะโลม ลู่ซุนต้องอุทานด้วยความแตกตื่น อู๋เส้าเทียนตวาดสมทบ
“ยังไม่รีบไป”
ลู่ซุนแม้เป็นห่วง อู๋เส้าเทียนแต่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้ อยู่ไป มีแต่จะเป็นภาระขวางมือขวางเท้า จึงตัดใจแบกร่างจิวอวงยี้มุ่งตรงสู่ประตูใหญ่ เห็นม้าตัวพวงพีอยู่หน้าประตูรีบอุ้มจิวอวงยี้ขึ้นบนหลังม้า พลันเห็นอู๋เส้าเทียนวิ่งติดตามมาร้องตะโกนให้รีบขึ้นม้า ลู่ซุนปิติยินดียิ่ง รีบกระโจนขึ้น อู๋เส้าเทียนพุ่งตัวขึ้นหลังม้าด้านหลังเด็กทั้งสองกระตุกบังเหียนคิดให้ม้าโจนทะยานออก
ไม่ทันที่ม้าจะพุ่งตัว กระสวยเหล็กสามอันพุ่งซัดใส่กลางหลังของอู๋เส้าเทียน มันต้องวกกายขวางดาบปัดป้อง พิษในกายพลันกำเริบปัดได้เพียงสองอัน อันที่สามกลับไม่สามารถปัดพ้น ซัดเข้าถูกหน้าอกรู้สึกเจ็บปวดสุดทนทานไม่สามารถพยุงกายอยู่ได้ ทิ้งกายล่วงหล่นลงจากหลังม้า ม้าพลันแตกตื่นวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ลู่ซุนแตกตื่นสุดชีวิตกล่าวร้องเรียกอู๋เส้าเทียนอยู่หลายคำ แต่มาวิ่งห้อออกไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง มันต้องโอบประคองจิวเสียวเจี๊ยะไม่สามารถกระโจนลงมาได้ น้ำตาพลันหลั่งไหลออกมาปนเปกลับหยาดเลือดที่ข้างแก้มของมัน
    อู๋เส้าเทียนเมื่อล่วงลงกองกับพื้นร่างกลับคุดคู้หอบหายใจรวยรินกระส่วยเหล็กกลับซัดถูกหน้าอกข้างซ้ายตรงต่ำแหน่งหัวใจ พิษร้ายย่อมซึมซับเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว เล่าสี่พลิกร่างมันขึ้นดูเห็นว่าคนผู้นี้ไม่อาจมีชีวิตรอดสืบไปจึงไม่แยแสสนใจ คนชุดดำอีกผู้หนึ่งที่มาด้วยกันเค้นเสียงกล่าวขึ้นอย่างรีบเร่ง
“เฮอะ หากปล่อยให้ผู้หนึ่งผู้ใดรอดไปได้นับว่าทำงานล้มเหลว ภายหลังจะรายงานตั่วเอี้ย(นายใหญ่) ได้เช่นไร ยังไม่รีบติดตามไป”
ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าติดตามม้าที่วิ่งนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว  เวลาห่างไปไม่เท่าไหร่พนักงานกรมเมืองกลับเร่งรุดมาถึงพบว่าคนตระกูลจิวล้วนถูกสังหารหมดสิ้นแล้ว เบื้องหน้าประตูพบอู๋เส้าเทียนนอนทอดเป็นซากศพ สร้างความเสียใจกลับผู้รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างยิ่ง อู๋เส้าเทียนยอดมือปราบแห่งเมืองกันจือ ได้จบชีวิตลง ณ ที่นี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น