ตอนที่ 3 : ตอนที่ 3-เส้นทางของนักฆ่า
“ดูเหมือนจะเห็นคลาสแล้วสินะ รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
“ก็... ดี(มั้ง)ครับ”
“ฮะ ฮะ เอาน่า ถึงมันจะออกมาไม่ดีซักเท่าไหร่ แต่ข้ามั่นใจว่าสำหรับเจ้าแล้วมันต้องเป็นสิ่งที่ดีในภายภาคหน้าแน่นอน”
“ครับ! ขอบคุณมากนะครับ”
อย่างน้อยคำพูดของนักเวทย์ก็พอจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยล่ะนะ ผมลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหาท่านปู่ด้วยความดีใจเล็กน้อย ท่านปู่ที่เห็นแบบนั้นก็มีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยพลางก็ดีใจที่เห็นผมเป็นแบบนั้นเช่นกัน
“ยิ้มแบบนั้น แปลว่าต้องมีเรื่องดีๆสินะ?”
“ก็คงใช่ครับท่านปู่”
“แล้วคลาสของเจ้าปรากฏเป็นสิ่งใดงั้นหรอ?”
“เอิ่ม... นักฆ่าครับ”
“.........”
ท่านปู่ไม่ได้ตอบกลับคำตอบของผม ท่านแค่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มดังเดิม
“คลาสของเจ้าก็ไม่ได้แย่นี่ ยังไงก็ดีใจด้วยนะ นักฆ่าตัวน้อย”
“ขอบคุณครับท่านปู่!”
ผมกับท่านปู่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพากันเดินออกจากประตูสู่แสงและเหาะกลับบ้านไปตามระเบียบ
สำหรับวันนี้ก็ไม่ได้แย่แฮะ ได้รับคลาสมาเป็นนักฆ่างั้นหรอ? ถึงจะบอกว่าไม่ได้แย่แต่มันก็ทำเอาผมขนลุกในบางครั้งล่ะนะ ไหนจะหน้าต่างแปลกๆที่บอกทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมอีก ดูเหมือนในวันนี้ผมจะได้อะไรมาเยอะพอตัวเหมือนกันนะเนี่ย
——————————
สายลมแห่งฤดูกาลพัดผ่านไปมาอย่างน่าใจหาย ช่วงเวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ นี่ก็ 7 ปีแล้วสินะที่ผมได้รับคลาสมา มันก็น่าดีใจอยู่หรอกที่มีคลาสแล้วน่ะแต่ปัญหาคือผมจะใช้มันได้ยังไงล่ะ?
ผมใช้เวลา 7 ปีฝึกตนเอง ไม่ว่าเป็นการฝึกทางกายภาพจนผมมีร่างกายที่ดูสูงกำยำ การฝึกสมาธิและจิตใจจนแข็งแกร่งดังหินผา ก็พูดไปแฮะๆ หรือแม้แต่การฝึกพลังเวทย์แบบพื้นๆก็สำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย แต่ถึงจะฝึกทุกอย่างจนเรียกว่าชำนาญแล้ว แต่ทำไมล่ะ? ทำไมถึงยังใช้คลาสไม่ได้ซักที!
สงสัยล่ะสิ ว่าใครกำลังพูดอยู่ นี่ผมเอง เคียวไงล่ะ ขอโทษนะที่ผมไม่ได้บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเพราะเรื่องราวหลังจากการปลุกคลาสเสร็จก็มีแต่การฝึกตนเองเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจอะไรเป็นพิเศษหรอก เอาเป็นว่าปัจจุบันผมอายุ 18 ปี แถมผมยังได้ฝึกร่างกายของตนเองจนพอจะพูดได้ว่าผมในตอนนี้เหมือนยอดมนุษย์เลยล่ะ อันที่จริงก็แค่ผมอาจจะมีร่างกายหรืออะไรหลายๆอย่างดีกว่าคนที่อายุเท่ากันเฉยๆ แต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่สามารถใช้ได้ถึงแม้จะมีมันก็ตาม ใช่! คลาสยังไงล่ะ
“สรุปแล้วคลาสมันใช้ยังไงกันนะ?”
ผมเอาแต่นั่งในห้องพลางสงสัยว่าคลาสมันจะใช้ยังไงกันนะ ทุกอย่างมันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าท่านปู่ยังอยู่ที่นี่
พูดยังไงดีล่ะ? ผมไม่ได้ความว่าท่านเสียนะ เพียงแต่ท่านออกเดินทางไปในวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แบบ... จู่ๆก็หายไปน่ะ ไปแบบไม่บอกไม่กล่าวอะไรซักคำ ทำเอาช่วงแรกก็เศร้าอยู่เหมือนกันแต่ผ่านไปได้ไม่นานผมก็คิดว่าท่านอาจจะออกไปตามหาสิ่งที่ท่านต้องการก็ได้ ตามหาสิ่งที่ท่านเคยทิ้งมันไประหว่างการฝึกตนเป็นเซียนกระบี่ยังไงล่ะ
อ่ะใช่! พูดถึงเรื่องนั้น ถึงจะบอกว่าท่านออกเดินทางไปแต่อย่างน้อยท่านก็ทิ้งคัมภีร์การฝึกตนกับกระบี่ไว้ให้ผมล่ะนะ
ผมก็ไม่มั่นใจหรอกนะว่าท่านทิ้งไว้ให้หรือลืมไว้กันแน่ เอาเป็นตอนนี้มันอยู่กับผม ผมก็ขอถือวิสาสะใช้มันก่อนละกันนะครับ
กลับมาที่เรื่องคลาสของเรากันต่อ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคลาสนั้นมันใช้อย่างไร เฮ้อ~ ถึงจะมีคลาสแต่ถ้ามันใช้ไม่ได้มันไม่ต่างอะไรกับไม่มีหรอก จะทำยังไงถึงจะใช้ได้กันนะ...
ผมที่เริ่มเบื่อกับความสงสัยนี้ก็ได้เปิดหน้าต่างขึ้นมาเพื่อดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไหนดูสิว่าวันนี้ผมมีอะไรเปลี่ยนไปรึปล่าว น้ำหนักลดลงหรอ? เฮ! สูงขึ้นด้วยล่ะ ผมนั่งดูไปซักพักจนไปเจอหัวข้อหนึ่ง
[ช่วยเหลือ]
นี่มันหัวข้ออะไรหว่า? กดดูหน่อยละกัน หืม? นี่มันอะไรวะเนี่ย!? สิ่งที่ทำให้ผมตกใจก็คือหัวข้อย่อยที่ผุดขึ้นมามากมายอย่างกับดอกเห็ด โดยแต่ละหัวข้อก็มีใจความเหมือนคำถามต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเองในทุกๆด้าน “เลเวลคืออะไร?” “วิธีการเพิ่มพลังเวทย์?” “การลบล้างสถานะผิดปกติ?” แต่ละหัวข้อบ่งบอกถึงสิ่งที่ผมอาจจะกำลังพบเจอ เคยผ่านพ้นหรือแม้แต่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าก็มีเช่นกัน ไอระบบการช่วยเหลือนี่ดีจริงๆแฮะ
งั้นถ้าเป็นแบบนี้มันจะมีสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ตอนนี้รึไหมนะ? งั้นลองดูหน่อยละกัน... อ่ะ เจอแล้ว!
[วิธีการเปิดใช้งานคลาส]
ในที่สุดทางที่มืดมนก็มีแสงส่องสว่างซักที! ดีล่ะ งั้นก็..... นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!!!
[คลาส คือ ตัวตนของท่านที่จะแสดงออกในรูปแบบของความสามารถพิเศษที่ท่านได้รับหรือสรรค์สร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะแสดงออกมาหรือไม่ก็ตาม—]
นี่เป็นคำตอบที่ฉันอยากรู้รึไง!? ผมไม่เข้าใจสิ่งที่มันเขียนซักนิด เฮ้อ~ ท้อใจชะมัดที่เห็นอะไรแบบนี้เอาเป็นว่าผมก็ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะแก้ปัญหานี่ล่ะนะ ซึ่งก็คือการเข้าไปยังเมืองหลวงยังไงล่ะ ถ้าการมานั่งหาเองมันจะยากขนาดนี้ ผมขอเลือกการออกไปหาความรู้ด้านนอกจะดีเสียกว่า
ผมที่คิดแบบนั้นก็ได้ใช้เวลาไม่นานนักสำหรับการเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังเมืองหลวง เสื้อผ้าซัก 2-3 ชุด อาหารสำหรับ 5 วัน และก็อาวุธเล็กน้อย เท่านี้น่าจะมากพอสำหรับการเดินทางแล้วล่ะ ส่วนกระบี่กับคัมภีร์เก็บไว้ที่บ้านนี้ละกันเพราะยังไงก็ยากมากที่จะมีผู้คนมาพบเจอบ้านหลังนี้และผมก็ต้องกลับมาที่นี้อยู่แล้วด้วย เอาเป็นว่าสบายใจได้ล่ะนะ
งั้นผมออกเดินทางเลยละกัน เส้นทางของการเป็นนักฆ่ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ!
——————————
บรรยากาศที่ฟ้าอึมครึมดูมืดมดไปหมดแบบนี้มันก็ทำเอารู้สึกหดหู่ได้เหมือนกันนะ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะหน้ากลัวยิ่งกว่าอีก
“ไม่! ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าขอร้องล่ะ!”
หญิงสาวที่มีดวงตาสีแดงก่ำ เธอกำลังคุกเค่าร้องขอความเมตตาจากชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำในชุดเกราะสีเงินพร้อมกับดาบสีเงินแวววาว ซึ่งชายคนนั้นก็กำลังเดินมาทางหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
“ปีศาจอย่างพวกเจ้าไม่มีสิทร้องขอชีวิตหรอก!”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดอะไรไปมากกว่านั้น ดาบยาวสีเงินก็ฟาดฟันอย่างรวดเร็วเกินกว่าพวกมนุษย์จะทำได้
เพียงชั่วครูหญิงสาวก็ถูกฟันจนกลายร่างที่ไรซึ่งวิญญาณอย่างน่าเวทนา ภาพที่ปรากฏนั้นไม่น่าเชยชมเลยสักนิด ไม่นานนักก็มีชายสวมแว่นอีกคนเดินมาหาชายชุดเกราะสีเงิน
“โฮ! ซิลแวน นายนี่โหดร้ายชะมัดเลยนะ”
“การลงทัณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าถือเป็นอันเด็ดขาด”
“ครับๆ~ แล้วนี่นายจะเอายังไงต่อล่ะ?”
“แน่นอน ฉันจะออกเดินทางเพื่อล้างบางพวกปีศาจชั่วช้านี้ต่อไป”
“หรอ?”
ชายสวมแว่นพูดออกมาพร้อมแสดงท่าทีสงสัยแบบแปลกๆใส่ชายที่ชื่อซิลแวน
“ฉันว่านายน่าจะหยุดทำแบบนี้ได้แล้วนะ”
“หา?”
“ก็แบบว่า—”
ไม่ทันที่ชายสวมแว่นจะพูดจบ น้ำเสียงที่ดูหนักแน่นและไม่สบอารมณ์ของซิลแวนก็ดังขึ้น
“หุบปาก! นายก็รู้นี่ว่าไอพวกชั่วช้านี่มันทำอะไรไว้บ้าง นายคงไม่ลืมหรอกนะ คลีโอล์”
“อา ฉันไม่ลืมหรอกแต่เพราะแบบนั้นไงฉันถึงอยากให้นายเลิกทำแบบนี้น่ะ”
ชายที่ชื่อคลีโอล์นั่งลงกับพื้นดินแห้งเหือดปราศจากพืชพรรณก่อนจะถอดแว่นออกและเริ่มทิ้งตัวเองลงไปกับพื้นดินแห้งๆนั้น
“ความเคียดแค้นมันก็นำพามาแต่ความเคียดแค้นนั่นแหละ ถ้าเรายังฆ่าพวกเขา พวกเขาก็คงจะเคียดแค้นเราอยู่แบบนี้ เพราะแบบนั้นปล่อยวางมันตอนนี้ก็น่าจะยังทันนะ”
ซิลแวนจับดาบของเขาปักลงกับพื้นก่อนที่น้ำหยาดฟ้าจะเริ่มร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าทีละช้าๆ
“พูดอะไรบ้าๆ! ถ้าทำแบบนั้นพวกปีศาจมีมันก็จะได้ใจและออกเค่นฆ่าผู้คนอยู่แบบนี้สิ”
“แต่ถ้าเรายังฆ่าพวกเขา มันก็ไม่ได้ทำให้เราต่างจากการเป็นปีศาจ—”
ซิลแวนได้หันคมดาบมาที่คลีโอล์อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขาจะสังหารคลีโอล์ยังไงยังงั้น
“ถ้านายไม่พอใจในอุดมการณ์ของฉัน นายก็ไปให้พ้นๆหน้าฉันซะเถอะ”
“ซิลแวน นายไม่—”
ฟิ๊ด—
ในเวลาสั้นๆที่ไม่ทันหายใจดาบของซิลแวนก็ได้ฟันไปลงบนหน้าของคลีโอล์เบาๆ จนบริเวณแก้มของเขามีเลือดไหลซิบออกมาเล็กน้อย
“ถ้าไม่หยุดพล่าม ต่อไปฉันจะไม่ยั้งมือแล้วนะ”
“ย่อมได้ งั้นเราคงต้องแยกกันตรงนี้สินะ งั้นก็ลาก่อนนะซิลแวน ขอให้ในโชคดีในเส้นทางของนักล่า... ไม่สิ? นักฆ่าต่างหากสินะ”
“.........”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากซิลแวน เขาเบือนหน้าหนีคลีโอล์ก่อนจะใช้สกิล [เคลื่อนที่ไกล] หายไปยังซักที่หนึ่ง ตอนนี้คลีโอล์ถูกทิ้งไว้คนเดียวพร้อมกับน้ำหยาดฟ้าหรือฝนและศพของหญิงสาวคนนั้น น้ำฝนที่ชะโลมแรงขึ้นก็ทำให้เลือดสีแดงอ่อนที่ไหลออกมาจากศพไปผสมกับน้ำฝนจนมีสีเหมือนทับทิมยังไงยังงั้น ถึงจะไม่ภาพที่น่าเชยชมนักแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันสวยงามไม่ใช่น้อย
“เลือดของปีศาจมันสวยงามขนาดนี้เลยหรอ?”
คลีโอล์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกก่อนจะนำมันไปคลุมให้กับศพของหญิงสาว และคลีโอล์ก็ได้ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ดูเหมือนนี่อาจจะเป็นการแตกหักของเพื่อนยังไงงั้นหรอ? ไม่รู้สิ—
แต่สิ่งที่พอจะพูดได้ก็คงเป็นการเลือกเส้นทางเดินที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเลือกที่จะมีชีวิตเพื่อการแก้แค้นส่วนอีกคนก็เลือกที่จะปล่อยวางมัน ก็อย่างที่ว่าล่ะ
“ชีวิตของเราก็ต้องให้ตัวเราเองเป็นคนเลือกสิ!”
End ตอนที่ 3-เส้นทางของนักฆ่า
Next ตอนที่ 4-สกิล [เงากระจก]
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
