ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SHINee] One Time (TWOMIN x JONGKEY x ONEW)

    ลำดับตอนที่ #4 : One Time : Chapter 4

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 56


     

     

     

    CHAPTER 4

     

                บรรยากาศการทานอาหารในด้านของคริสและแอมเบอร์นั้นดูมีความสุขและสนุกสนานดี คีย์เองก็เข้ากับทั้งสองคนได้อย่างง่าย ต่างกับอีกฝั่งที่แทมิน มินโฮ และจงฮยอนนั่งนั้นค่อนข้างอึดอัดและเงียบเชียบ

                “อ้อ ว่าแต่จงฮยอนกับแทมินรู้จักกันได้ยังไงหรอ” คีย์เอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ของคนรักกับน้องชายคนสนิท ต่างฝ่ายต่างก็กระอักกระอ่วนใจที่จะพูด ต่างฝ่ายต่างก็ไม่อยากพูดถึงมันในเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่

     

                “ก็.. เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่โรงเรียนเดียวกันตอนมัธยมน่ะครับ”

     

                แทมินตอบคำถามเพียงแค่สั้นๆ เพราะแทมินก็อยากจะจำว่าเธอมีความสัมพันธ์กับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพียงแค่นี้ โชคดีที่จงฮยอนไม่ได้ต่อเติมเรื่องอะไรต่อและเป็นโชคดีที่คีย์ลืมที่จะถามในเรื่องที่ว่าจงฮยอนและมินโฮว่ารู้จักกันได้อย่างไร เพราะมินโฮก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น  มันไม่ใช่เรื่องที่ดีขนาดที่มินโฮอยากจะพูดถึงหรือจดจำมัน

                สายตาที่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างของจงฮยอน จ้องส่งมายังแทมินที่นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมา ทำให้แทมินไม่กล้าแม้แต่จะตักมันเข้าปากสักคำ เหมือนถูกจงฮยอนสะกดให้นั่งอยู่อย่างนิ่งๆ ยิ่งหลบสายตานั้นเท่าไร มันก็ยิ่งทะลุเข้ามาในดวงตาของเธอมากเท่านั้น

                อยากจะลุกออกไปใจแทบขาด ถ้าไม่ติดว่าคริสและแอมเบอร์ที่พามาด้วยนั้นยังคงมีความสุขกับการพูดคุยและกินข้าวกับคีย์

     

                “คุณแทมิน.. เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

     

                บอดี้การ์ดคนสนิทที่นั่งเคียงกายกระซิบถามเบาๆเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูซีดไปของคนข้างๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา มินโฮเห็นว่ามันคงจะไม่ดีหากปล่อยให้แทมินต้องนั่งทนกับอะไรบางสิ่งที่เขาไม่สามารถรู้ได้เพราะเจ้าตัวไม่ยอมบอก จึงสะกิดแอมเบอร์ที่นั่งข้างๆเป็นนัยน์ๆว่าให้รีบกินให้เสร็จ แอมเบอร์นั้นไม่เข้าใจมัน แต่กลับเป็นคริสที่อ่านสถานการณ์ออกเพราะตัวเองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแทมินและเห็นแทมินมีสีหน้าที่ค่อนข้างแย่ คริสจึงวางตะเกียบในมือลง

                “โอย.. อยู่ๆก็ปวดท้องขึ้นมาซะงั้น..”

     

                คริสแกล้งเล่นละครทำเป็นปวดท้องใหญ่ อีกห้าชีวิตที่นั่งร่วมโต๊ะกันหันมามองคริสเป็นสายตาเดียว

     

                “เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณคริส”

     

                คีย์ที่นั่งใกล้คริสที่สุดรีบถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าคริสแย่ลงเรื่อยๆทำให้ทุกคนยิ่งตกใจ

                “ผม... ปวดท้องมากกก ผม.. ขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ ปวดท้องไม่ไหวแล้ว”

                “ปวดท้องมากไหมครับพี่คริส ผมว่า.. เราไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ”

     

                มินโฮรีบลุกขึ้นไปพยุงตัวคริส แอมเบอร์จึงหยุดกินแล้วสนใจคริสด้วยเช่นกัน มินโฮรีบพาคริสออกไปนอกร้านอาหาร แอมเบอร์ก็รีบวิ่งตามไป

     

                “พี่คีย์.. คุณ..จงฮยอน ผมว่าผมคงต้องไปดูพี่คริส มันจะเสียมารยาทที่ต้องลากลับก่อน แต่ว่าต้องขอโทษด้วยนะครับ พี่คริสดูแย่มากจริงๆ”

     

                แทมินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคริส แต่ด้วยความเป็นห่วงเพราะคริสก็เป็นคนในปกครองของตน จำเป็นต้องขอตัวกลับก่อนอย่างช่วยไม่ได้

     

                “ไปเถอะ ไว้ค่อยเจอกันใหม่ก็แล้วกันนะ”

                “ไว้เจอกันอีกนะ แทมิน”

     

                รอยยิ้มที่ไม่จริงใจนั้นเผยออกมาให้แทมินเห็น แทมินก้มศีรษะลาอย่างง่ายๆแล้วรีบวิ่งตามทั้งสามคนออกไป พบว่าคริสกำลังยืนพิงกับรถคันงามของตนอยู่ แต่ก็ดูไม่เป็นอะไรมากเหมือนกับตอนที่ขอตัวออกมา

     

                “พี่คริสเป็นอะไรมากไหมครับ นิ่งอยู่ทำไมล่ะมินโฮ ทำไมนายไม่พาพี่คริสไปโรงพยาบาล” แทมินตำหนิในความซื่อบื้อของมินโฮ

     

                “โอยๆๆ ไม่ได้เป็นไรมากหรอกครับน้องแทมิน ตอนนี้ดีขึ้นม๊ากกกกมากกก สงสัยเมื่อกี๊เป็ดที่ทานเข้าไปมันจะเล่นของ ตอนนี้มันย่อยไปละ ของมันคงหมด”

     

                คริสยิ้มเผยฟันออกมาให้แทมินหายกังวล เพราะแทมินไม่ควรกังวลกับมันแต่แรกแล้ว มันเป็นแค่ละครที่ช่วยแทมินเอาไว้แค่นั้น

     

                “แน่ใจนะพี่คริส”

                “แน่ใจสิครับ ว่าแต่น้องแทมินล่ะครับเป็นอะไร ตอนกินข้าวดูสีหน้าไม่ค่อยดี” คนถูกถามไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไร ไม่ยักกะรู้ว่าตัวเองดูผิดปกติขนาดนั้น

                “ก็..ปวดท้องนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”

                “กำลังจะได้กินบะหมี่น้ำแดงแล้วเชียว พี่คริสไม่น่ามาปวดท้องตอนนั้นเลยอ่ะ” แอมเบอร์ทำท่าจะร้องไห้เพราะเสียดายกับเมนูโปรดของตัวเอง แต่เพราะคริสแท้ๆทำให้อดกิน

     

                “โอ๋ๆๆ เดี๋ยวพี่จะพาไปกินที่บ้านนะแอมนะ”

     

                คริสฉวยโอกาสลูบศีรษะปลอบใจแอมเบอร์ แต่แน่นอนว่าโดนจัดการไปเรียบร้อยข้อหามายุ่งกับร่างกายของสาวหล่อโดยไม่ได้รับอนุญาต

     

                “หรือว่าเราจะไปหาอะไรกินกันต่อ” มินโฮที่ยืนนิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากชวน เพราะเห็นใจแอมเบอร์ที่ดูยังไม่อิ่มสักเท่าไหร่

     

                “ไม่เป็นไรหรอกมินโฮ กลับบ้านกันดีกว่า ง่วงนอนแล้วอ่ะ ไว้ค่อยเจอกันพรุ่งนี้ละกัน”

                คริสค่อนข้างจะเหนื่อยกับการทำงานวันแรกจึงขอตัวกลับบ้าน เป็นผลทำให้แอมเบอร์นั้นต้องกลับไปด้วยเพราะไม่มีทางที่คริสจะปล่อยให้คนที่ตัวเองชอบกลับบ้านคนเดียวแน่ สองคนจึงแยกกับมินโฮและแทมินตรงหน้าร้านอาหาร คนตัวเล็กกว่าหันมามองคนตัวสูงที่ยืนมองตัวเองอยู่

     

                “ทำไมมองฉันแบบนั้น” ประโยคที่ถูกทักทำให้คนที่มองอยู่ละสายตาไปที่อื่น คนที่สงสัยก็ไม่อยากจะซักถามอะไรมากมาย

     

                “มินโฮ นายรู้จักกับ.. คิมจงฮยอนด้วยหรอ” ถ้าจำไม่ผิด ในตอนที่นั่งกินข้าวกัน จงฮยอนได้ทักกับบอดี้การ์ดร่างสูงด้วย ทำให้อยากรู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันยังไง

     

                “เคยเรียนที่โรงเรียนการต่อสู้ด้วยกันน่ะครับ แต่.. เราไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าไหร่”

               

                ในตอนแรกเขาเองก็รู้สึกเฉยๆกับจงฮยอน ถ้าบังเอิญไม่ทำเรื่องบางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบจงฮยอนอยู่ในใจลึกๆ

     

                “งั้นหรอ.. กลับบ้านกันเถอะ” แทมินเองก็เพลียๆจึงชวนให้มินโฮรีบพากลับบ้าน

     

                คนรอบกายแทมินรวมถึงแทมินนั้นดูเกลียดชังจงฮยอนมากมาย ยกเว้นก็แต่คีย์

                อะไรคือสิ่งที่ทำให้คีย์รักในตัวจงฮยอนได้แทมินยังนึกสงสัย

                เพราะตัวเองได้ผ่านจุดนั้นมา ถึงได้สงสัย..

     

     

     

     

     

                หลังจากกลับมาจากงานออกร้านเครื่องประดับนานาชาติที่ฮ่องกง อนยูก็ได้รับบัตรเชิญงานเลี้ยงสังสรรค์จากสโมสรผู้ค้าอัญมณีรุ่นที่สาม ในปีที่แล้วอนยูก็ได้รับเชิญให้มางานนี้ แต่เขาก็ปฏิเสธเพราะไม่ชอบงานเลี้ยงที่เอาแต่อวดร่ำอวดรวยกันของคนที่มีตังค์ แต่ปีนี้จำเป็นต้องไปเพราะเพื่อการสานสัมพันธ์ทางธุรกิจ ในยามลำบากจะได้ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ดีนี้ได้

                อนยูใส่เสื้อสูททางการที่ไม่ค่อยหยิบมาใส่บ่อยนักมา บุคคลในงานก็ล้วนเป็นบุคคลที่เขารู้จักและก็ไม่มีใครในเกาหลีที่ไม่รู้จักคนเหล่านี้ ทุกคนในที่นี้เป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลผู้ค้าอัญมณี นั่นก็คือนับจากรุ่นปู่เป็นรุ่นแรก รุ่นพ่อเป็นรุ่นที่สอง และรุ่นของเขาเป็นรุ่นที่สาม

     

                “สวัสดีครับคุณอนยู เพิ่งมาหรอครับ”

     

                ชายหนุ่มหน้าหวานผู้มีรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ บวกกับลักยิ้มที่แก้มนั้นทำให้คนๆนี้ดูดีกว่าอนยูอยู่มาก

     

                “ครับเพิ่งมา ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณอี้ชิง”

     

                คนที่อนยูกำลังคุยอยู่ คือจางอี้ชิง เป็นทายาทของตระกูลจางซึ่งค้าอัญมณีเก่าแก่หายากของจีน ทั้งสองคนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมรุ่นปู่กับรุ่นพ่อของทั้งคู่ก็เป็นมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน จึงค่อนข้างจะสนิทกันพอสมควร

     

                “ความจริงกะจะไปเจอคุณที่งานออกร้านที่ฮ่องกง แต่ว่าผมไม่ได้ไป เสียดายมากครับ ได้ข่าวว่าแบรนด์ของคุณอนยูยอดขายสูงมากเลยนี่ครับในงาน”

                “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังเทียบกับของตระกูลจางไม่ได้เลย” อนยูพูดอย่างถ่อมตัว

                “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ ตระกูลจางของเรายินดีช่วยเหลือตระกูลอีของคุณอนยูเสมอ คุณอนยูเพิ่งมาคงยังไม่ได้เจอใครใช่ไหมครับ ถ้างั้นไปนั่งด้วยกันสิครับ”

     

                ทายาทตระกูลจางเชิญชวนให้อนยูไปนั่งรับประทานที่โต๊ะด้วยกัน ทั้งคู่ต่างคุยเรื่องต่างๆกันไปตลอดการเดิน ระหว่างนั้นมือของใครบางคนก็วางลงบนไหล่ของอนยู ทำให้ต้องหยุดเดินเพื่อหันไปมอง

                แต่คิดผิดจริงๆที่ตัดสินใจหันมา..

     

                “นายก็มาด้วยหรอ ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะมางานแบบนี้”

     

                ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเขาจะมาไม้ไหนอีก ถึงจะมีการแต่งตัวและใบหน้าที่เนี้ยบและดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ชวนให้ใครต่อใครอยากเข้ามาทำความรู้จัก ยกเว้นเสียแต่อนยู เพราะข้างนอกกับข้างในมันต่างกันลิบลับ

     

                “คุณอี้ชิงไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะตามไป” อนยูหันไปบอกทายาทตระกูลจางที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่อีกคนจะเดินไปตามคำของอนยู

     

                “มาคนเดียวหรอ ฉันนึกว่านายจะพาน้องชายสุดที่รักของนายมาด้วยเสียอีก ถ้านายพาน้องชายมา ฉันว่านายอาจจะไม่ต้องทำเรื่องอะไรที่นายไม่อยากทำอีกแล้วก็ได้นะ อนยู”

                “นายหมายความว่ายังไงจงฮยอน” เขาไม่เข้าใจกับคำพูดกับท่าทางที่พร้อมจะทำให้เขาระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ

                “ที่นี่มีคนโสดออกเยอะแยะไป หน้าตาดีก็มีถมเถ แถมยังรวยพอที่จะเลี้ยงดูน้องชายนายไปได้ตลอดทั้งชาติ ถ้าให้น้องชายนายเดินควงกับคนพวกนี้ น้องชายนายก็จะสบาย แถมนายก็ยังขอเงินน้องนายใช้ได้โดยที่นายไม่ต้องมาทนสืบทอดธุรกิจอัญมณีที่นายไม่ชอบนี่ด้วย”

     

                คำพูดต่ำๆแบบนี้ออกมาจากปากของคนที่ขึ้นชื่อว่ามีชาติตระกูลแบบนี้ได้ยังไงอนยูไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ แต่ถ้าเป็นคิมจงฮยอน อนยูคงต้องยกเว้นไว้สักคน

                อนยูกำหมัดแน่นระงับอารมณ์กับคำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามน้องสาวของเขาและตัวเขาเอง เพราะไม่อยากให้ถูกติฉินนินทาจากคนที่พบเห็น

     

                “ขอโทษทีนะ ฉันไม่จำเป็นต้องให้น้องฉันไปเดินควงกับคนพวกนี้เพราะหวังจะเกาะคนอื่นกินหรอก บ้านฉันไม่ได้จนและต่ำอะไรขนาดนั้น หรือว่านายเป็นล่ะจงฮยอน ที่ต้องส่งให้ผู้หญิงของนายไปทำอะไรแบบที่นายว่า”

                “แกอย่ามาพูดถึงภรรยาของฉันแบบนั้น อนยู!” จงฮยอนเริ่มขึ้นเสียงใส่กับคำพูดที่อนยูนั้นดูถูก

                “ภรรยาของนายมีเกียรติให้ฉันต้องชื่นชมด้วยหรือไง ผู้หญิงแบบนั้นน่ะ โชคดีแล้วที่ได้เป็นผู้หญิงของนาย เหมาะกันดี”  

     

                ถึงปากจะพูดออกไปให้ตัวเองนั้นดูเข้มแข็งด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจคนฟังและอีกคนที่ถูกพาดพิง แต่ในใจของเขากลับไม่เป็นดังเช่นภายนอกที่แสดงออกมา

     

                “ใช่ ฉันน่ะโชคดีที่ได้มีคีย์อยู่เคียงข้าง น้องชายนายก็โชคดีที่ได้คีย์เป็นพี่สาวที่แสนดีคอยให้คำปรึกษา ไม่รู้ว่าอยากจะได้คำปรึกษา หรือน้องชายนายอยากจะอ่อยภรรยาของฉันกันแน่” อีกฝ่ายตอบโต้กลับด้วยสิ่งที่อนยูไม่เข้าใจ

                “อ่อย? แกพูดเรื่องบ้าอะไร แทมินกับคีย์..”

                “โถๆๆ เป็นพี่ชายประสาอะไรไม่รู้ว่าน้องชายตัวเองกำลังทำอะไรกับใคร แทมินของนายน่ะเป็นลูกศิษย์ของคีย์ คีย์เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่คณะที่น้องชายนายเรียน ไม่รู้ว่าไปทำท่าไหนคีย์ถึงได้ชอบใจน้องชายนายมาก ขนาดอยากจะให้แทมินมาเป็นเลขาส่วนตัวที่บริษัทของฉัน”

     

                อนยูถึงกับนิ่งเมื่อรู้ว่าแทมินสนิทกับคีย์ แทมินไม่เคยเอ่ยถึงชื่อของคีย์ อดีตคนรักของเขาให้ฟังเลยสักครั้ง

     

                “น้องชายนาย นับวันก็ยิ่งสวยนะ ฉันเพิ่งจะเจอเมื่อวันก่อน แต่ดูน้องชายนายเขาอายๆตอนเจอฉันนะ สงสัยจะคิดถึงรสชาติริมฝีปากอันแสนหวานของฉัน”

     

                พูดจบก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจกับการเอาคืนที่ทำให้อนยูยังคงคิดไม่ตกกับการที่แทมินได้สนิทกับคีย์ และยังได้มาเจอกับจงฮยอนอีกครั้ง

               

                “นายยังคงสนใจแทมินอยู่สินะจงฮยอน คิดไม่ผิดจริงๆด้วย.. อ้อ แต่ระวังไว้หน่อยนะ ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นนายที่จะกลับมาหาน้องชายฉัน หรือเป็นภรรยานายที่จะหลงเสน่ห์น้องชายฉันจน.. ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม”

     

                อนยูตัดบทสนทนาที่น่าอึดอัดนี้ด้วยการตีตัวออกห่างจงฮยอน ไปหาอี้ชิงที่แยกจากกันมาสักพัก จงฮยอนแสยะยิ้มออกมากับคำพูดทิ้งท้ายนั้น

     

                ทั้งๆที่พยายามทุกวิถีทางให้ตัวเองและแทมินรอดพ้นมาจากวงจรของคิมจงฮยอนแล้วแท้ๆ แต่ทำไมในตอนนี้ถึงได้กลับเข้ามาพบเจอกับคนที่เกลียดหน้าอย่างมากมากอีกครั้ง

                อนยูควรจะทำเช่นไรให้แทมินเลิกยุ่งกับคีย์ เพราะไม่รู้ว่าที่คีย์มาสนิทกับแทมินแบบนี้ แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่..

               

                .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

               

                ร่างบางในชุดเครื่องแบบนักเรียนชายของโรงเรียนก้าวเท้าเดินไปยังบันไดที่มุมตึก ตามทางเดินไร้ซึ่งแสงใดๆ ตะวันที่ตกดินไปแล้วทำให้บรรยากาศยิ่งวังเวง มือสองข้างที่ถูกแนบอยู่ข้างลำตัวเปลี่ยนมากำสายกระเป๋าสะพายไว้แน่นคลายความกลัว ในใจที่กลัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอาจทำให้การเดินไปอีกฝั่งของตึกนั้นยาวไกล

              มันไกล.. ไกลเกินไป ปลายทางที่ตั้งใจจะเดินไปให้นั้นไม่ว่าจะเดินไปเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที แม้จะก้าวเท้าให้เร็วเพียงใด ก็ไม่มีทางถึงที่หมาย

              ความเหนื่อยและอ่อนล้าของกำลังขาทำให้ตัดสินใจหยุดเดิน แต่ความเงียบทำให้รู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่กำลังเดินใกล้เข้าหาตัว ทั้งๆที่ในความจริงนั้นไม่มีใครที่เดินตามมาไม่ใช่หรือ?

     

     

              ควับ!

     

     

              มือหนาผู้เป็นเจ้าของเสียงเท้าที่เดินมาในความมืดจับเข้าที่ไหล่ของร่างบางแล้วหมุนให้ตัวของคนในมือหันกลับมาอย่างตกใจ

     

              “พี่จงฮยอน..”

     

              แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับจ้องที่ใบหน้าของเจ้าของชื่อที่กำลังกำไหล่ของเธอแน่นเสียจนกระดูกจะหักให้ได้ แม้ใบหน้าของเจ้าของแรงบีบไหล่เธอนั้นจะมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนต่างกับแรงที่ถูกส่งมายังตัวของเธอ แต่เธอก็กลัวมันเสียเหลือเกิน

     

              “รับรักพี่สิแทมิน รักพี่.. รักแค่พี่คนเดียวเท่านั้น”

     

              คนพูดไม่รีรอคำตอบที่จะได้รับ แถมยังใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น แน่นจนร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดหายใจแทบไม่ออก คนที่ถูกกอดไม่ว่าจะพยายามเปล่งคำพูดขอร้องให้ปล่อยตัวออกเท่าไรก็ไร้ผล เสียงนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมที่พัดผ่านไป ไม่มีเสียงใดๆออกมาจากลำคอนั้นเลย มือที่โอบรัดเอาเจ้าตัวก็เหมือนกับถูกล๊อคไว้ด้วยกุญแจ แม้จะพยายามแกะออกเพียงใดมันก็ยังคงอยู่แบบนั้น ไม่มีทางที่จะแกะมันออกได้

             

              “แทมินต้องรักแค่พี่คนเดียวเท่านั้น ได้ยินไหมแทมิน”

     

              ประโยคเดิมถูกพูดซ้ำไปมาไม่หยุดหย่อน แรงกอดก็ยิ่งแน่นขึ้น แน่นขึ้น จนแทบไร้เรี่ยวแรงจะปล่อยลมหายใจออกมาจากร่างกาย

              สายตาที่เริ่มพร่ามัวของคนที่เหมือนใกล้ตายมองเห็นร่างและใบหน้าของคนรักที่แท้จริง ยืนมองกอดที่ตนไม่ได้ต้องการจะรับจากคนที่กำลังจะฆ่าตัวเองตายด้วยกอดที่เต็มไปด้วยความปรารถนาแห่งรักด้วยใบหน้านิ่ง ปากของเธอขยับให้คนรักที่ยืนอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือก็ถึงขอให้ช่วยเธอออกไปจากความทุกข์ทรมานนี้ แต่มันก็สูญเปล่าเพราะมันไม่ได้มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย เธอพยายามจะเอื้อมมือให้ถึงตัวคนรัก แต่มันก็เอื้อมไม่ถึง

              เขาคนที่เธอรักมีเพียงแค่น้ำตาไหลอาบแก้มใบหน้าสีขาวซีดนั้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเธอ และเขาก็ได้หันหลังกลับเดินไปอย่างไม่สนใจเธอที่ใกล้ขาดใจ

             

              ไค.. กลับมา.. กลับมาช่วยแทมด้วย.. กลับมาก่อน ไค

     

     

     

     

     

     

                “กลับมาก่อนไค.. มันไม่ใช่อย่างนั้น.. ช่วยแทมด้วยไค!!

     

                เสียงเรียกร้องที่ดังก้องไปทั่วห้องนอนช่างต่างจากภาพที่เห็นอยู่ในความคิด มันเหมือนโชคดีที่อะไรบางสิ่งในห้องตกลงสู่พื้นเสียงดังจนทำให้คนที่หลับตากับฝันร้ายอยู่นั้นลืมตาตื่นขึ้นมา

                นี่มันครั้งที่เท่าไหร่ นี่มันกี่ปีมาแล้วที่ต้องนอนฝันร้ายอยู่ทุกคืน ทำได้เพียงแค่มองเห็นคนที่รักจากไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทมินไม่เคยเห็นภาพนั้นในความเป็นจริงว่าคนในฝันเธอได้จากไปเช่นไร แต่ในความฝันกับความจริงมันก็เหมือนกัน เพราะคนที่รักก็ได้ทิ้งให้เธอทนทุกข์ทรมานกับความรักอยู่เพียงคนเดียว

                ในฝันนั้นเขาได้จากแทมินไปในฝันของค่ำคืนหนึ่ง และอีกค่ำคืนหนึ่งก็ยังคงกลับมาหา แล้วก็จากไปเมื่อเธอตื่นจากฝัน แต่ในความเป็นจริง คนที่จากไปก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับมา

     

                นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่แทมินได้ฝันถึงคนที่เธอกลัวมากที่สุดในชีวิตอย่างจงฮยอน หลังจากพบจงฮยอนเมื่อสองสามวันก่อน ไม่รู้ว่าฝันนั้นต้องการจะบอกอะไรกันแน่ มันจะเป็นลางอะไรหรือเปล่าก็ยังไม่อยากปักใจคิดถึงมัน

     

                ครืดดด ครืดดด

     

                แทมินหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ตรงหัวเตียงมาดูว่าใครที่โทรมาก็กดรับ

     

                “มีอะไรหรอ” แทมินตัดสินใจเป็นฝ่ายถามถึงเหตุผลที่โทรมาก่อนเป็นครั้งแรก ทั้งๆที่เมื่อก่อนจะต้องรอให้คนที่โทรมาอย่างมินโฮเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

     

              (“วันนี้คุณแทมินไม่ไปร้านหรอครับ เพราะว่าผมรอคุณแทมินอยู่นานแล้ว แต่คุณแทมินก็ยังไม่ลงมา”) 

     

                แทมินเหลือบมองนาฬิกาเพราะคำพูดของมินโฮ เมื่อเห็นนาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาเก้าโมงกว่าๆก็ทำให้ถอนหายใจออกมา

     

                “ฉันจะรีบลงไปนะ ขอเวลาครึ่งชั่วโมง” พูดจบก็รีบตัดสายทิ้งแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ

     

                สำหรับคนอื่นๆที่เป็นเจ้านาย จะช้านิดเลทหน่อยก็คงไม่ต้องคิดมาก แต่สำหรับเจ้านายอย่างแทมิน การที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับลูกน้องอย่างเช่นการไม่ตรงต่อเวลาถือเป็นเรื่องร้ายแรง

     

     

     

     

     

     

     

     

                ไม่ใช่เพียงแค่แทมินที่ตื่นช้า แต่อนยูเองก็ตื่นสายเช่นกัน เพราะกลับมาจากงานเลี้ยงเมื่อคืนก็ตีสองเข้าไปแล้ว แถมยังดื่มมาอีก จะให้ตื่นเช้าแบบวันอื่นๆก็คงไม่ไหว

                พอกินข้าวเช้าเสร็จก็ออกมาเดินเล่นนอกบ้าน เห็นมินโฮยืนให้อาหารปลาตรงบ่อน้ำเลยเดินเข้าไปคุย           

     

                “อ้าว ไม่ได้ไปร้านกับแทมินหรอกหรอ” ตอนนี้มันก็สายมากแล้ว แต่เห็นมินโฮยังอยู่ที่นี่เลยแปลกใจ ปกติก็คอยตามติดแทมินอยู่ตลอด

     

                “คุณแทมินยังไม่ลงมาเลยครับ แต่ผมโทรไปหาแล้ว อีกสักพักก็คงลงมาครับ”

                “ไปนั่งคุยกันหน่อยดีกว่า ไม่ได้คุยกันตั้งนานแล้ว”

     

                ผู้เป็นพี่ชายพ่วงด้วยตำแหน่งเจ้านายชวนให้มินโฮนั่งคุยกันตรงซุ้มนั่งเล่นใกล้ๆบ่อปลา ทั้งสองจึงนั่งคุยเล่นกัน

     

                “เฮ้อ.. ทำงานหนักเลยสินะ ต้องคอยตามแทมิน แถมยังต้องทำงานที่ร้านอีก”

                “ไม่หรอกครับ ถึงจะทำงานสองอย่างเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้ดีกว่าเยอะเลยครับ”

     

                อนยูอดสงสารมินโฮไม่ได้ ชีวิตมินโฮนั้นลำบากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนถึงตอนนี้ก็ยังคงดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่มันก็คงจะสบายกว่าแต่ก่อนตรงที่มีที่อยู่อย่างสงบสุข มีเงินเดือนไว้ใช้จ่ายไม่ต้องขัดสนเหมือนแต่ก่อน

                คิดถึงอดีตทีไร อนยูยังอยากจะโทษโชคชะตาที่ทำให้มินโฮต้องมาเจอเรื่องร้ายๆในชีวิตทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลยสักนิด

     

                “เออ มินโฮ ช่วงนี้.. อย่าให้แทมินไปไหนคนเดียวเป็นอันขาดเลยนะ พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ” อนยูพูดไปสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี

                “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

                “มินโฮจำไอ้จงฮยอนได้ไหม? พี่เจอมันเมื่อวาน ตอนนี้มันเข้ามาเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกับบริษัทของพี่ แต่มันก็ยังคงทำตัวเป็นศัตรูกับพี่เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ที่พี่กังวลก็เพราะมันอาจจะมายุ่งกับแทมิน เพราะว่า.. มันเป็นสามีของคนที่.. แทมินสนิทด้วย”

     

                อนยูไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไงให้มินโฮเข้าใจดี ถึงอนยูจะรู้ว่ามินโฮรู้ถึงความร้ายกาจของจงฮยอน แต่เหตุผลที่ทำไมจงฮยอนต้องมายุ่งกับแทมิน เป็นเหตุผลที่อนยูไม่สามารถจะอธิบายได้

     

                “เพราะว่าเขาเป็นสามีของคุณคีย์ที่คุณแทมินสนิทน่ะหรอครับ ถึงได้กังวล” การที่มินโฮเอ่ยชื่อของคีย์ทำให้อนยูแปลกใจ

                “นายรู้จักคีย์ด้วยหรอมินโฮ” อนยูรู้ว่ามินโฮรู้จักจงฮยอน แต่ไม่ยักกะรู้ว่าจะรู้จักคีย์ด้วย

                “ก็รู้จักแต่ไม่ได้สนิทหรอกครับ ผมบังเอิญช่วยคุณคีย์ตอนที่รองเท้าเธอติดฝาท่อก็เลยรู้จักกัน แล้วก็เมื่อหลายวันก่อนก็ไปกินข้าวด้วยกันเพราะว่าคุณคีย์อยากจะแสดงความยินดีกับคุณแทมินเรื่องที่คุณแทมินเปิดร้านดอกไม้”

                “คุยอะไรกันอยู่หรอครับ”

               

                เสียงของอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาตอนแรกพูดต่อขึ้น อนยูกับมินโฮหันมองเจ้าของเสียงที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้าน

     

                “แทมินรีบหรือเปล่า นั่งคุยกันก่อนสิ” ตอนแรกแทมินกะจะให้มินโฮรีบพาไปที่ร้าน แต่พอพี่ชายชวนให้นั่งอยู่เลยตัดสินใจนั่งคุยกันก่อน

     

                “มีอะไรหรือเปล่าพี่อนยู”

                “แทมินรู้จักกับ.. คุณคีย์ด้วยหรอ”

     

                อนยูไม่รู้จะพูดคำนำหน้าให้กับคีย์ว่าอย่างไร ควรจะเรียกแค่ชื่อเฉยๆเหมือนที่เคยเรียกก็คงจะไม่ดี

     

                “อ๋อพี่คีย์น่ะหรอ ก็คนนี้แหละพี่อนยูที่แทมินเคยเล่าว่าเขาเป็นที่ปรึกษาเรื่องเปิดร้านของแทมิน คนที่แทมินอยากแนะนำให้พี่อนยูลองไปคบกับพี่เขาดูไง แต่ว่าพี่เขา.. เอ่อ.. แต่งงานแล้ว.. ว่าแต่พี่อนยูรู้จักกับพี่คีย์ด้วยหรอ” แทมินพูดเสียงแผ่วลงเมื่อนึกถึงว่าคนที่คีย์แต่งงานด้วยนั้นคือใคร

     

                “แทมิน ต่อไปนี้อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนั้น... คือ.. อย่ายุ่งกับ.. คุณคีย์อีก”

     

                อนยูออกคำสั่งกับแทมิน สีหน้าแทมินดูไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพี่ชายถึงได้สั่งอะไรแบบนี้

     

                “ทำไมล่ะพี่อนยู พี่คีย์เขาก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดีเลย”

                “ก็คุณคีย์.. เป็นภรรยาของไอ้จงฮยอนไงแทมิน พี่ถึงได้ไม่อยากให้แทมินยุ่งกับเขาน่ะ”

                “ละ.. แล้วไงล่ะพี่อนยู ถึงพี่คีย์จะเป็นคนรักของ..พะ..พี่.. จงฮยอนแล้วเป็นยังไง พี่คีย์จะต้องเป็นเหมือนกับพี่จงฮยอนน่ะหรอ”

     

                แทมินไม่เห็นว่าเหตุผลของอนยูจะน่าฟังตรงไหน มันไม่ใช่เหตุผลที่ควรจะเอามาอ้างให้เลิกยุ่งกับคีย์ ถึงแทมินจะรู้ว่าคีย์กับจงฮยอนเป็นอะไรกัน จงฮยอนเป็นคนยังไง แต่ใช่ว่าคีย์จะต้องเป็นเหมือนกันกับจงฮยอนเสมอไปนี่

     

                “พี่จะไม่ขอร้อง แต่พี่ขอสั่งให้แทมินเลิกยุ่งกับคุณคีย์!

     

                ในเมื่อน้องของตนไม่ยอมทำตามคำขอร้อง ก็จะเป็นต้องออกคำสั่งให้เด็ดขาด

     

                “เพราะแค่เหตุผลเรื่องที่พี่คีย์เป็นภรรยาของพี่จงฮยอนแค่นี้น่ะหรอพี่อนยู?”

                “มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกแทมิน คุณคีย์เขาไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่แทมินคิดหรอกนะ!

     

                อนยูไม่รู้จะพูดด้วยเหตุผลอะไรให้แทมินเข้าใจกับความต้องการของตัวเองสักที เหตุผลที่แท้จริงนั้นอนยูไม่อยากให้แทมินต้องรับรู้มัน เพราะไม่มีใครเคยรู้เรื่องนี้

     

                “พี่คีย์ไม่ดีตรงไหนล่ะพี่อนยู”

                “แทมินรู้แค่เขาไม่ใช่คนดีก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรมากกว่านี้หรอก”

                “ถ้าพี่อนยูไม่บอกว่าทำไม แทมินก็คิดว่าไม่มีเหตุผลพอที่แทมินจะต้องเลิกยุ่งกับพี่คีย์หรอก”

                “นี่จะไม่ฟังคำสั่งพี่ใช่ไหมแทมิน!

     

                อนยูขึ้นเสียงกับแทมิน แทมินถึงกับคิ้วขมวดเพราะไม่เคยเห็นพี่ชายตัวเองเป็นแบบนี้มาก่อน

     

                “มันมีอะไรมากกว่านี้พี่อนยูก็บอกแทมินมาสิ!

                “คุณคีย์.. ผู้หญิงคนนั้นน่ะ เขาเป็นแฟนเก่าของพี่! ผู้หญิงคนนั้นน่ะทิ้งพี่ไปหาไอ้จงฮยอน! ผู้หญิงคนนั้นน่ะโกหกหลอกลวง คิมคีย์คนนั้นนั่นแหละ!!

     

               

                ท้ายที่สุดอนยูก็หมดความอดทนและยอมบอกความจริงกับแทมินถึงเหตุผลที่ไม่อยากให้แทมินต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคีย์หรือจงฮยอน

                เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจที่คีย์เข้ามาพัวพันยุ่งเกี่ยวกับแทมิน แต่พี่ชายอย่างเขาก็มีหน้าที่ที่ต้องเป็นห่วงน้องสาวของตัวเอง ที่ถึงแม้จะต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่เพราะในตอนนี้แทมินเป็นผู้ชาย เขาเลยยิ่งเป็นห่วง

                เขาแค่ไม่อยากให้แทมินต้องตกหลุมพรางของคนที่เคยทำให้เขาเกือบตายทั้งเป็น คนที่เกือบจะเปลี่ยนชีวิตของเขา เขาไม่รู้ว่าคีย์จะทำอะไรกับแทมิน เขากลัวว่าคีย์จะทำเหมือนกับที่เคยทำไว้กับตัวเอง

                ไม่รู้ว่าเสน่ห์หรือมารยาใดที่ทำให้อนยูเคยหลงเชื่อคีย์ทุกอย่าง เคยรักคีย์หมดหัวใจ แต่สุดท้ายคีย์ก็ทิ้งเขาไป เหลือไว้เพียงแต่ความรู้สึกเกลียด.. เกลียดคนๆนี้พอๆกับคนที่แย่งคนรักของเขาไปอย่างคิมจงฮยอน

                แทมินและมินโฮที่ต่างได้รู้ความจริงก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง บนโลกนี้ไม่สามารถดูคนได้จากภายนอกจริงๆ

     

              ‘ที่พี่คีย์เคยเล่าว่า.. ทิ้งแฟนเก่ามาคบกับพี่จงฮยอน.. คนๆนั้น.. พี่อนยูหรอ

     

                “เพราะว่าพี่กลัวว่าเขาจะมาทำอะไรแทมินเหมือนที่เขาเคยทำกับพี่ พี่ถึงไม่อยากให้แทมินต้องยุ่งกับเขา” น้ำเสียงของอนยูเย็นลงเมื่อได้พูดสิ่งที่อยากพูดออกไป

     

                “ขะ..เข้าใจแล้วพี่อนยู แทมินจะไม่ยุ่งกับพี่คีย์แล้ว..”

     

                สีหน้าเศร้าๆของแทมินพลอยทำให้อนยูรู้สึกไม่ดีไปด้วย มินโฮที่นั่งอยู่ด้วยก็อดห่วงเจ้านายทั้งสองคนของเขาไม่ได้เลย

                มือสั่นๆของคนที่สีหน้าไม่ดีเอื้อมมาจับมือของบอดี้การ์ดส่วนตัวอย่างที่คนถูกจับไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะใช้แรงดึงเบาๆพาเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่กล่าวลาผู้เป็นพี่ชายเลยสักคำ

                ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกัน

                แทมินควรมีความเห็นกับเรื่องของพี่ชายตัวเองอย่างไร ควรจะปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ดีของคีย์กับตนอย่างไร

                มินโฮควรถามคนที่ตัวเองเป็นว่าเป็นอะไรหรือเปล่าดีไหม ควรจะปล่อยมือของเจ้านายที่มาจับมือตนด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบดีหรือเปล่า

                อนยูควรทำเช่นไรกับอดีตที่เคยพบเจอ กับอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะอดีตยังไง

     

                ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความข้องใจ ผสมปนเปรวมกันอยู่เต็มไปหมด

     

     

     

     

     

     

     

     

                มินโอรู้สึกแปลกๆกับการที่เดินจับมือกับผู้ชายด้วยกันอย่างแทมิน ยิ่งคนที่จับมือเขามีตำแหน่งสูงกว่าเขาอีกก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ควร แต่มืออีกคนที่อยู่ในอุ้งมือของเขามันสั่นไปหมด

                คนที่เป็นฝ่ายจับมือก่อนปล่อยมือออกช้าๆตอนที่ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าทำอะไรไป

     

                “ขอโทษ.. ที่จับมือนาย ฉัน.. ไม่รู้จะพูดยังไง ยังไงก็ขอโทษด้วย”

     

                เหตุผลที่ทำให้แทมินนั้นเผลอจับมือมินโฮโดยไม่ตั้งใจ เป็นเพราะในตอนนั้นที่ตัวเองกำลังสับสนไปหมด ก็เห็นใบหน้าของมินโฮเป็นคนในฝันที่เธอต้องการจะจับมือของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือในยามที่ลำบาก

                ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้นไปได้

     

                “ครับ.. รีบไปเถอะครับ ตอนนี้เราสายมากแล้ว”

     

                .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

                แทมินดูจะไม่ค่อยมีสติตลอดทั้งวันหลังจากเมื่อเช้าทะเลาะกับอนยูนิดหน่อย คริสและแอมเบอร์พยายามชวนแทมินคุย แต่ก็ถามคำตอบคำตามประสาของแทมิน คริสและแอมเบอร์ถามมินโฮว่าแทมินเป็นอะไร แต่มินโฮก็ตอบไปเหมือนกับไม่รู้เรื่องอะไรว่า ไม่รู้

                ลูกค้าของร้านรายสุดท้ายวันนี้เป็นนักธุรกิจที่สั่งช่อดอกกุหลาบแดงและขาวช่อใหญ่ สั่งให้ไปส่งตอนประมาณหนึ่งทุ่ม แทมินเลยถือโอกาสไปส่งดอกไม้นี้กับพนักงานส่งดอกไม้ของร้านอย่างมินโฮด้วยเลย จะได้กลับบ้านเลยไม่ต้องวนกลับมาที่ร้านให้เปลืองน้ำมัน

                ในเวลาเลิกงานอย่างตอนนี้ก็ส่งผลให้รถติดเป็นธรรมดา บรรยากาศยามค่ำคืนก็เลยไม่ค่อยเงียบเหงา ภายในรถของทั้งสองคนก็มีแค่เสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ กับกลิ่นดอกไม้ช่อใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมหวนอยู่ภายใน

                รถที่ฝ่ามรสุมรถติดบนถนนใหญ่มาได้ก็ถึงที่หมาย ซึ่งเป็นตึกสูงเสียดฟ้าของบริษัทเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มหาอำนาจของเกาหลีใต้ มินโฮหยิบดอกไม้ที่เบาะข้างคนขับรีบวิ่งไปส่งดอกไม้ช่อใหญ่นี้สักพักหนึ่งก็กลับมา

                โชคดีที่ที่พักของทั้งสองอยู่ชานเมือง ทางกลับบ้านจึงไม่ใช่ทางที่รถสัญจรไปมามากนัก การกลับบ้านเลยไม่ต้องเจอรถติด แต่ถึงอย่างนั้นก็คงใช้เวลาอยู่สมควรในการกลับ เพราะที่ๆมาส่งดอกไม้ อยู่ไกลกับบ้าน

     

                “มินโฮ วันนี้ขับรถผ่านทางมหาลัยได้ไหม”

     

                หลังจากจบมหาวิทยาลัยมา มินโฮก็ไม่ได้ขับรถตามทางที่แทมินชอบนั่งตอนเรียนมหาวิทยาลัยเลย เพราะไม่ใช่ทางที่จะผ่านไปร้าน และแทมินเองก็ไม่ได้สั่งให้ต้องขับรถทางนั้น

                มินโฮไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ทำตามคำขอ คนขับหักเลี้ยวพวงมาลัยไปทางซ้ายเพื่อเลี้ยงเข้าสู่ถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ศีรษะของคนที่นั่งเบาะหลังเริ่มเอนพิงหน้าต่างอีกครั้งแล้วมองทางที่รถขับผ่านด้วยความรู้สึกเดิมๆ

                หยดน้ำใสๆเริ่มเกาะที่กระจกรถยนต์เป็นสัญญาณว่าฝนได้เริ่มตกลงมาจากท้องฟ้า ยิ่งทำให้แทมินรู้สึกคิดถึงสิ่งต่างๆมากขึ้นไปอีก

                ความทรงจำของแทมินที่มักให้ความรู้สึกและบรรยากาศเหมือนกับวันเวลาที่ฝนตก

                จู่ๆรถที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่กำลังพอดีก็เริ่มเคลื่อนตัวช้าลง จนรถหยุดนิ่งและดับลงไปในที่สุด ทั้งๆที่ยังไม่ถึงที่หมาย คนที่กำลังซึมซับกับบรรยากาศภายนอกรถเปลี่ยนมาสนใจกับการที่รถหยุดอย่างทราบสาเหตุ

     

                “หยุดรถทำไม”

                “เอ่อ.. น้ำมันหมดครับ..”

     

                มินโฮไม่ได้อยากบอกว่าน้ำมันรถหมดเพราะกลัวแทมินจะว่า แต่ในเมื่อมันเป็นความจริงก็คงต้องบอกไป             แทมินก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรมินโฮ เพราะช่วงนี้มินโฮเองก็ยุ่งกับทั้งงานที่ร้านแถมยังต้องดูแลสารทุกข์สุขดิบตัวเองและพนักงานร้านอีกสองคนไปตามสวัสดิการของร้าน โดยรวมก็ทำงานหนักกว่าคนที่จ้างอย่างแทมินเองเสียอีก

     

                “งั้นเดี๋ยวผมจะไปเรียกแท็กซี่นะครับ”

     

                มินโฮพูดจบก็รีบวิ่งลงไปจากรถโดยไม่รอว่าอีกคนจะสั่งหรือพูดอะไร ทั้งๆที่ฝนตกแต่ก็ไปโดยไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

                มินโฮหายไปพักใหญ่แล้วก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมา ฝนก็ตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ  แทมินชักจะเป็นห่วงมินโฮเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปที่วางของตรงกระจกข้างหลังรถเพื่อหาร่ม แต่ก็ว่างเปล่าเพราะร่มที่เคยวางอยู่กลับไม่มี จึงตัดสินใจลงจากรถวิ่งตากฝนออกไปตามหามินโฮ อย่างน้อยลำบากด้วยกันดีกว่าตัวเองมานั่งรอสบายๆเอาเปรียบกัน

     

                “มินโฮ!! ชเวมินโฮ!!

     

                ร่างบางตะโกนหาบอดี้การ์ดร่างสูงที่หายไปนานแข่งกับเสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมา เม็ดฝนที่พรูลงมาจากฟ้าเปียกไหลลงท่วมกาย ถนนที่ไร้ซึ่งรถขับผ่านไปมามีเพียงแค่แสงไฟตามทางกับตึกแถวที่เปิดไฟอยู่บ้างทำให้ถนนเส้นนี้ค่อนข้างน่ากลัว

     

                “นายอยู่ไหน มินโฮ!!

     

                ยังคงร้องตามหาคนที่หายไป พร้อมกับรีบวิ่งตามหาตามเส้นทาง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะเจอ

                วิ่งมาจนห่างไกลที่เดิมที่วิ่งมา ร่างเล็กเริ่มเหนื่อยหอบกับการวิ่งฝ่าฝนอยู่นาน จึงรีบวิ่งไปยังที่ที่ส่องแสงสว่างด้วยหลอดไฟสีขาวจ้าข้างหน้าที่จำได้ว่าเป็นร้านสะดวกซื้อ ก็คงจะมีที่ให้ยืนหลบฝนอยู่

                โชคดีที่หน้าร้านสะดวกซื้อมีหลังคายื่นออกมาให้หลบพายุฝนที่ตกลงมาไม่หยุดหย่อน มือขาวลูบใบหน้าที่เปียกฝนให้แห้ง

     

                “ต้องวิ่งกลับไปที่รถอีกหรอเนี่ย..”

     

     

                เสียงบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างท้อแท้ ก็ไม่รู้ว่าฝนจะหยุดเมื่อไร ถ้าฝนไม่หยุดตกก็ต้องวิ่งฝ่าฝนกลับไปที่เดิม ตอนนี้หมดแรงจะก้าวขาเดิน แถมท้องไส้ตอนนี้ก็เริ่มปั่นป่วนเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า เลยตัดสินใจเดินเข้าร้านสะดวกซื้อหาอะไรกิน

                ยังไม่ทันจะผลักประตูเข้าร้านก็มองผ่านกระจกใสเห็นร่างสูงที่ตัวเปียกโชกไปทั่วกายกำลังรับถุงสีขาวจากพนักงานแคชเชียร์ เมื่อหันหน้ากำลังจะออกจากร้านถึงทำให้คนที่ยืนอยู่นอกร้านกับคนในร้านที่กำลังจะออกมาเห็นใบหน้ากันและกันอย่างชัดเจน ซึ่งคนในร้านก็คือคนที่แทมินตามหาอยู่ มินโฮมีสีหน้าตื่นตกใจเมื่อเห็นแทมิน จึงรีบออกมาจากร้านโดยเร็ว

     

                “คุณแทมินมาได้ยังไงครับ ฝนตกแบบนี้ทำไมไม่รอในรถครับ”

                “นายหายไปตั้งนาน ฉันก็เป็นห่วงน่ะสิ ฉันนึกว่านายจะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก.. แล้วบอกจะไปตามแท็กซี่ไม่ใช่หรือไง มาทำอะไรที่นี่”

     

                แทมินไม่ได้ดูโกรธ แต่ที่พูดดูจะเป็นห่วงเสียมากกว่า

     

                “แท็กซี่มันไม่มี ผมกลัวว่าระหว่างรอคุณแทมินจะหิว ก็เลยมาหาอะไรให้คุณแทมินกิน”

     

                มินโฮรู้ว่าแทมินไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า จะรอแท็กซี่ต่อก็คาดว่าคงอีกนาน ระหว่างรอเจ้านายที่น่าเป็นห่วงของเขาควรจะมีอะไรตกถึงท้องก่อน

     

                “นาย..”

                “งั้นเข้าไปนั่งกินข้างในกันดีกว่าครับ อยู่ตรงนี้คงกินไม่สะดวก”

                “ตัวเปียกขนาดนี้ ไปนั่งข้างในก็หนาวตายน่ะสิ กินตรงนี้นั่นแหละ”

     

                มินโฮยื่นถุงจากร้านสะดวกซื้อให้แทมิน แทมินมองเข้าไปในถุงว่ามีอะไรบ้าง ก็เลือกหยิบถุงมันฝรั่งทอดสีเหลืองขึ้นมาแกะกิน

                มินโฮเดินไปข้างหลังแทมินอย่างช้าๆ แล้วรวบรวมความกล้าใช้มือของตนจับที่ปลายผมสีน้ำตาลสวยที่ยาวประต้นคอของแทมิน บิดผมที่เปียกอยู่ให้แห้ง แทมินสะดุ้งเมื่อมินโฮยุ่งกับศีรษะของตน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกับความหวังดีของมินโฮ เมื่อบิดผมเสร็จก็เตรียมนั่งยองๆ บิดชายเสื้อที่ยาวเลยเอวที่น้ำหยดติ๋งๆอยู่ให้คนที่กำลังยืนกินขนมอยู่ แต่สายตาดีๆของเขาก็เห็นบางสิ่งที่ทำให้แปลกใจ

                เสื้อขาวบางที่เปียกด้วยน้ำ ทำให้เสื้อเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นแนบเนื้อเนียนของแทมินอย่างเห็นได้ชัด จนเห็นแถบผ้าสีขาวชั้นในที่แนบกับลำตัวของร่างบาง มันไม่ใช่เสื้อชั้นใน แต่เป็นอะไรบางสิ่ง ทำให้มินโฮนึกถึงตอนที่ให้แทมินขี่หลังเมื่อคราวก่อน

     

                คุณแทมิน.. ทำไม.. มีกล้ามเนื้อหน้าอกด้วยหรอ หุ่นดูไม่น่าจะมีได้เลยนะ

     

                มินโฮคิ้วขมวดกับความคิดของมินโฮที่ย้อนเข้ามาในหัวเมื่อคราวที่แล้วและสิ่งที่เห็นในตอนนี้ คิ้วที่เกือบจะผูกติดกันก็คลายออกเมื่อเขาพอจะเข้าใจกับเรื่องๆนี้แล้วก็เป็นได้

                ตอนที่ได้สัมผัส หรือตอนที่ได้เห็น กับความคิดของเขา แทบจะไม่มีอะไรขัดกันเลย

                มินโฮรีบถอดเสื้อคลุมสีดำออก แล้วเอาคลุมที่ไหล่ของแทมินเพื่อปิดเสื้อขาวบางที่ทำให้เห็นอะไรบางอย่างได้

     

                “อะ.อะไร ทำไมต้อง..”

     

                แทมินถามถึงเรื่องเสื้อที่จู่ๆอีกคนก็ถอดมาคลุมให้
     

                “เสื้อคุณแทมินเปียกจน.. เอ่อ.. ”

     

                เขาไม่รู้จะพูดยังไงต่อไป สายตาแทมินเบิกกว้างเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ใส่เสื้อสีขาว หากเปียกน้ำก็คงจะทำให้เห็นสิ่งที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็ได้

     

                “นะ..นาย นาย..เห็น..”

     

                หัวใจของแทมินเต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวว่ามินโฮจะรู้ความจริงของตัวเอง

                “เห็นอะไรเหรอครับ”  มินโฮแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทั้งๆที่ความจริงก็รู้ว่าแทมินจะถามอะไร

     

                “เห็น.. เห็นยุงไหม ตอนนี้มันกัดฉัน ช่วย..ช่วยตบให้หน่อยสิ”

     

                โชคดีที่ค่อนข้างจะไว เลยหาข้อแก้ตัวได้ทัน แทมินลอบถอนหายใจเบาๆเมื่อเป็นโชคดีที่มินโฮดูเหมือนจะไม่เห็นอะไร มินโฮจึงหันไปสนใจหายุงที่แทมินบอกว่ามีเยอะแทน

     

              ‘ความจริงแล้วคุณแทมินไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นทอมสินะครับ

     

                .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

               

                วันนี้เป็นวันที่แย่มากสำหรับอนยู ตอนเช้าทะเลาะกับน้องสาว ตอนบ่ายโมงก็ง่วงนอนมากเสียจนเผลอปัดแก้วกาแฟหกทับเอกสารสำคัญจนเลขาส่วนตัวต้องรีบนั่งพิมพ์ให้ใหม่ เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้เลขาต้องทำงานหนัก เลยให้เลขาคนสนิทเอารถตัวเองไปใช้ เพราะบอกว่าวันนี้เป็นครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่เขา อยากพาครอบครัวไปเที่ยว ก็เลยให้ไป

                ส่วนตัวเอง ก็ต้องมาวิ่งหลบฝนที่เทกระหน่ำจากฟากฟ้าที่ไม่มีสัญญาณบอกกันล่วงหน้าว่ามันจะตกลงมา

                จะโทรหาให้มินโฮมารับก็เกรงใจ ตอนนี้มันดึกเกินไปแล้ว

                อนยูใช้คลุมสีดำคลุมศีรษะวิ่งพาตัวเองไปยังร้านกาแฟที่เปิดไฟสลัวๆอยู่ริมถนนอย่างรวดเร็ว รีบเลื่อนประตูร้านให้เปิดออกแล้วรีบเข้าไปในร้านโดยไว อนยูยังไม่เลือกที่จะสั่งเมนูใดๆ ตอนนี้คิดว่าแค่อยากจะนั่งสักพักแล้วค่อยหาอะไรดื่ม จึงรีบสาวเท้าเดินนั่งที่โต๊ะบริเวณริมฝั่งด้านในมุมสงบของร้าน แล้ววางเสื้อคลุมไว้ที่เก้าอี้ข้างๆ

                ศีรษะของเขาเอนไปด้านหลังเพื่อพักผ่อนกับบรรยากาศในร้านที่แม้ยังได้ยินเสียงฝนตกซาๆอยู่ แต่ก็ทำให้เขาสบายใจกับมันอยู่ไม่น้อย

     

                โป๊กกก!!

     

                เขาใช้มือลูบศีรษะที่บังเอิญไปชนกับของแข็งบางอย่างที่อยู่ข้างหลัง อนยูหันไปมองสิ่งที่กระแทกกับหัวอย่างจัง ซึ่งก็เป็นศีรษะของคนที่นั่งข้างหลังเขานั่นแหละ

                ใบหน้าเจ้าของผมยาวสวยสีน้ำตาลแก่ที่ศีรษะอนยูบังเอิญไปกระแทกเคลื่อนหันมาช้าๆ

     

                “ขอโทษคระ.. // ขอโทษค่ะ..”

     

                คำขอโทษที่จะกล่าวเอ่ยก็กล่าวได้ไม่ทันจบก็อันต้องหยุดลง เมื่อใบหน้าของทั้งคู่ปะทะกันอยู่ในระยะใกล้

                ไม่ใช่เพราะความรู้สึกของพรหมลิขิตหรือรักแรกพบที่ทำให้ทั้งคู่อึ้งจนไม่อาจพูดอะไรออก หรือไม่อาจละสายตาจากดวงตาของกันและกันได้

     

     

                แต่มันคือ..

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×