ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SHINee] One Time (TWOMIN x JONGKEY x ONEW)

    ลำดับตอนที่ #2 : One Time : Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 56


    Chapter 2

     

                “เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนแย่งแฟนตัวเองหรอก” สายตาของอนยูจ้องจงฮยอนเขม็ง ก่อนจะละสายตาไปสนใจกับเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ จงฮยอนเพียงกระตุกมุมปากเมื่อคนที่เขาคิดว่าเป็น เพื่อนพูดเช่นนั้น เขาไม่ได้แปลกใจหากอนยูจะพูดหรือรู้สึกอย่างนั้น

                หากเป็นคิมจงฮยอน คิมจงฮยอนก็เป็นเหมือนอีอนยู จะแค้น.. และแค้นมากกว่า

                “เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว นายก็ลืมๆมันไปเถอะ เรามาเป็นมิตรที่ดีต่อกันไม่ดีกว่าหรือไง อีกหน่อยเราก็จะเป็นหุ้นส่วนกัน ถ้า..”

                “อดีตมันลืมง่ายนักหรือไง? สิ่งที่อยู่ในใจ อยู่ในความทรงจำมันลืมได้ง่ายแค่ไหนกัน.. นายเองก็รู้เรื่องนี้ดีไม่ใช่หรอ คิมจงฮยอน” ทั้งสองคน และคนทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนไม่ลืมเรื่องที่สร้างรอยแผลในความทรงจำได้ลงอย่างง่ายดาย บางคนอาจลืมมันในชั่วครู่ แต่ความรู้สึกจากความทรงจำนั้นย้อนกลับมาได้เสมอ บางคนอาจไม่ลืมมันชั่วชีวิต

                “เรื่องไหนที่นายบอกว่าฉันลืมมันไม่ได้หรอ? อ่อ.. นายคงคิดว่าเรื่องนั้นคงเกี่ยวกับนายสินะ”

                “ความจริงจะให้ฉันพูดก็ได้ แต่อย่าดีกว่า ฉันคิดว่านายจะอับอายเพราะมีเลขาอีจงฮยอนนั่งอยู่ที่นี่ อ้อ.. ไม่สิ ฉันคิดว่าฉันพูดได้ หน้าอย่างนาย คงไม่อายสำหรับเรื่องชั่วๆสารพัดที่เคยทำมาหรอก”

                “แก..” สายตาที่ดูอารมณ์ดีของจงฮยอนเปลี่ยนเป็นสายตาที่แข็งกร้าวต่ออนยู อนยูพึงพอใจกับการแสดงออกของจงฮยอนในตอนนี้ มันเหมือนกับว่าอย่างน้อยเขาก็เอาชนะคนที่เขา เกลียดได้สักนิดหนึ่ง

                “เอ่อ.. ผมขอโทษที่ขัดประธานคิมกับท่านประธานนะครับ แต่ท่านประธานอีมีธุระต่อ เวลาก็ล่วงเลยมาเยอะแล้ว เกรงว่าวันนี้อาจจะต้องรีบพูดเรื่องสัญญากันได้แล้วนะครับ หรือไม่ก็อาจจะต้องเป็นคราวหน้า” เลขาฮวังควังฮีพูดแรกขึ้นระหว่างบทสนทนาที่คงไม่จบง่ายๆของทั้งสองคน เพื่อหยุดบทสนทนาที่ดูจะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ

                “นั่นสินะเลขาฮวัง อ่า.. ดูเหมือนวันนี้มันดูจะไม่เป็นใจในการทำธุรกิจของเราสองคน เพราะงั้นผมจะส่งรองประธานโจมาคุยเรื่องสัญญาวันหลังนะครับ ถ้าคุณว่างวันไหนก็โทรติดต่อทางเราได้เลยนะครับ ฝากด้วยนะครับเลขาอี” อนยูพูดตัดเรื่องทุกอย่างตามที่เลขาฮวังได้เปิดทางไว้ก่อนหน้านี้ แล้วพูดอย่างนอบน้อมกับเลขาอีของฝ่ายจงฮยอน อนยูและเลขาฮวังโน้มตัวเพื่อลาทั้งจงฮยอนและเลขาอีอย่างง่ายๆแล้วเดินออกจากห้องไป

                มือหนาของจงฮยอนกำแน่นแล้วทุบลงบนโซฟาอย่างแรงกับการที่อนยูหักหน้าเขาต่อหน้าลูกน้อง ถึงจะมีเพียงแค่เลขาอีเท่านั้น

     

              นี่มันคือการเริ่มต้นครั้งใหม่ของฉันกับแกสินะ อนยู

               

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

               

     

     

                มินโฮล่ะไม่เข้าใจกับการที่เจ้านายของเขาจะต้องนั่งรถไปในทางที่แสนยาวไกลนี่ ทั้งๆที่ในความจริงเพียงแค่ขับทางตรงไปเรื่อย สิบนาทีก็คงจะถึง หากแต่คงมีเหตุผลที่แทมินจะต้องผ่านเส้นทางที่เลี้ยวไปมา สามสิบนาทีจะถึงหรือไม่ก็ไม่รู้

                นาฬิกาที่หน้าปัดรถเปลี่ยนจากเจ็ดโมงสี่สิบนาที มาเป็นแปดโมงสิบห้านาที ในที่สุดนั้น ก็ถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเสียที รถที่กำลังชะลอตัวเพื่อหยุดรถในที่ที่แทมินต้องลง

                “วันนี้น่ะ เลี้ยวเข้าไปในมหาลัยนะ” เสียงทุ้มหวานจากเบาะหลังสั่งเข้าสู่โสตประสาท มินโฮจึงเร่งเครื่องตรงเข้ายังประตูมหาวิทยาลัย แทมินไม่สั่งอะไร ปากเจ้ากรรมก็ไม่กล้าจะถามว่าต้องทำเช่นไรต่อไป จึงทำได้เพียงแค่ขับไปตามป้ายบอกทางเท่านั้น

                “เดี๋ยวเลี้ยวตรงตึกสีส้ม” มินโฮมองหาตึกสีส้ม ซึ่งก็พบว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำแหน่งเดิมที่อยู่นัก พวงมาลัยถูกหมุนมาซ้ายเพื่อเข้าสู่ลานจอดรถข้างตึกส้ม ก่อนที่มินโฮจะดับเครื่องยนต์

                “ลงจากรถสิ” แทมินเอ่ยสั่งสั้นๆ แล้วเปิดประตูลงจากรถ  มินโฮเองก็ลงจากรถตามคำสั่งที่เขาไม่กล้าขัดแม้แต่นิดเดียว

                “ตรงใต้ตึกคณะมีร้านกาแฟอยู่ นายไปหาอะไรกินที่นั่นแล้วกัน ฉันจะเลิกเรียนตอนสิบโมง สิบโมงเจอกันที่รถ”

                แทมินพูดอย่างเร่งรีบในตอนท้าย แล้วล้วงกระเป๋ากางเกงควักเงินจำนวนหนึ่งออกมายัดใส่มือหนาของมินโฮแล้วรีบวิ่งขึ้นอาคารเรียนไป มินโฮอยากจะปฏิเสธเงินของแทมินที่ได้รับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทัน จึงทำได้แค่ทำตามที่แทมินบอก

                กระดิ่งหน้าร้านสั่นกรุ๊งกริ๊งไปมาเมื่อมือหนาของมินโฮผลักประตูกระจกใสของร้านกาแฟ สายตาที่ดูว่างเปล่ามองไปรอบๆร้านที่ตกแต่งแบบสบายๆเหมาะกับการพักผ่อนจากความเครียดได้เป็นอย่างดี

                “รับกาแฟแบบไหนดีคะ” ศีรษะของมินโฮขยับไปทางต้นเสียงที่ยืนยิ้มแย้มให้ตัวเอง ขายาวๆค่อยๆก้าวเดินมาหยุดตรงหน้าเคาท์เตอร์รับออเดอร์

                “รับอะไรดีคะ” คำถามได้ถูกถามมาอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่มินโฮได้เข้าร้านกาแฟแบบนี้ จึงได้เพียงแค่อ้าปากพงาบๆไล่อ่านเมนูที่อยู่หลังพนักงาน ไม่รู้ว่าควรจะสั่งอะไรดี

                “อะ..เอ่อ.. ผม..อยากได้กาแฟกับเค้ก.. ที่มันเข้ากันชุดหนึ่งน่ะครับ เอ่อ.. ช่วยเลือกให้ผมหน่อย..ได้ไหมครับ” มินโฮสั่งเมนูออกไปอย่างไม่มั่นใจ พนักงานที่ยืนรับออเดอร์นั้นก็ยืนงงสักครู่ก็พยักหน้าตอบรับและส่งยิ้มให้มินโฮ

                “ทานที่นี่หรือกลับบ้านคะ”

                “กลับบ้านครับ” มินโฮยิ้มและโน้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อตอบรับ ไม่นานนักแก้วสีน้ำตาลกับกล่องเค้กสีใสใส่ถุงใสๆของร้านก็วางลงตรงหน้ามินโฮ

                “จัดเป็นคาราเมลมัคคิอาโต้กับเค้กมะพร้าวก็แล้วกันนะคะ ทั้งหมด xxxxx วอนค่ะ” มินโฮควักเงินในกระเป๋ากางเกงออกมานับแล้วยื่นให้ ก่อนจะรับเงินทอนแล้วนำเมนูที่สั่งมาไปนั่งรอที่โต๊ะภายในร้าน

                นั่งแบบเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายเป็นที่สุด..

                สายตาที่ว่างเปล่าของเขามองออกไปนอกร้านที่มีนักศึกษาเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน เขาทำได้แค่มองและนึกอิจฉาอยู่ในใจกับการที่ใครต่อใครได้มีช่วงชีวิตแบบนี้ แต่เขาไม่มี..

                “ขอโทษนะคะ คุณ..” ขณะที่ใจกำลังหลุดลอยไปไหนต่อไหน เสียงเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นข้างๆหูมินโฮ ใบหน้าได้เลื่อนมองบุคคลผู้เป็นเจ้าของเสียง

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “คุณคือคนที่ช่วยฉันเมื่อวันก่อนใช่ไหม.. ตรงหน้ามหาลัยไงคะ” เธอคงจะเดาออกว่ามินโฮคงคิดไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ไหนถึงได้ฟื้นความจำด้วยการเล่าเหตุการณ์สั้นๆให้ฟัง

                “อ๋อ.. ครับ เจอกันอีกแล้วนะครับ”

                “นั่งอยู่กับใครหรือเปล่าคะ นั่งด้วยได้ไหม”

                “ไม่ได้นั่งกับใครครับ เชิญนั่งสิครับ” เมื่อมินโฮอนุญาต หญิงสาวที่ใส่ชุดเดรสสีเทาก็นั่งลงพร้อมกับวางกระเป๋าถือไว้บนโต๊ะกระจกใส

                “ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะคะ ดิฉันคิมคีย์ค่ะ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นี่.. แล้วคุณล่ะคะ” รอยยิ้มที่ดูมั่นใจและมีเสน่ห์ถูกส่งให้มินโฮพร้อมกับคำแนะนำตัว

                “ผม.. ชเวมินโฮ ผม.. เป็นคนขับรถน่ะครับ” มินโฮไม่อยากแนะนำตัวว่าเป็นตำแหน่งบอดี้การ์ดอะไร พูดไปคงมีหวังโดนขำกลับมา ยอมเป็นแค่คนขับรถธรรมดาๆเสียดีกว่า

                “ดูไม่เหมือนคนขับรถเลยนะคะ ดูดีกว่าอะไรแบบนั้นเยอะเลย.. คุณอยากกินอะไรไหมคะ วันนี้ฉันจะเลี้ยงคุณเป็นการตอบแทนเอง”

                “ไม่ครับ คือ..”

                “อะ.. ฉันลืมไปค่ะ คุณก็ซื้อมาแล้วนี่นา” คีย์เพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะมีแก้วกาแฟกับเค้กอีกชิ้นวางอยู่แล้ว มินโฮจึงได้แค่ยิ้มตอบบางๆ หลังจากนั้นคิมคีย์ ที่มินโฮเพิ่งจะรู้จักก็ชวนคุยเสียมากมาย ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกันก็ตาม แต่มินโฮก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไร หนำซ้ำยังรู้สึกดีด้วยซ้ำที่มีคนมานั่งคุยด้วยฆ่าเวลา

                เพลินเสียจนลืมเวลาจริงๆ..

     

     

     

     

     

     

     

                กลุ่มนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งเดินลงมาจากตึกพร้อมกับพูดคุยเสียงดัง แทมินดูจะโดดเด่นอยู่ในกลุ่มนั้น เพราะส่วนสูงที่ดูน้อยกว่าคนอื่น แถมยังดูบอบบางหน้าหวานกว่าคนอื่นอีก

                “ไอ้แทม มึงจะไปเที่ยวด้วยกันไหมเนี่ย วันนี้อุตส่าห์เลิกเร็ว” เพื่อนในกลุ่มถามแทมินที่ปกติไม่ค่อยจะไปไหนมาไหนด้วย เพราะปกติก็มีคนมาคอยรับส่งถึงได้ไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะได้

                “ไปไหนอ่ะ”

                “ก็ไปห้างเดิมแหละ ไปหาไรแดกหน่อย หิวสัส” แทมินทำหน้าครุ่นคิดสักพักว่าจะไปดีหรือไม่ มืออีกข้างถกแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นดูเวลาก็พบว่าตอนนี้สิบโมงเกือบครึ่งแล้ว เลยเวลาที่นัดกับมินโฮไว้มาเกือบครึ่งชั่วโมง เลยรีบล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจะโทรหา แต่ก็ลืมไปว่าไม่มีเบอร์ของมินโฮ

                “เออ วันนี้พวกแกไปกันเหอะ ไว้เดี๋ยวไปด้วยคราวหน้า” แทมินปฏิเสธการไปเที่ยวกับเพื่อนอีกเช่นเคย แล้วรีบวิ่งไปที่รถคันสีดำของตัวเองเพราะกลัวว่ามินโฮจะต้องรอนาน แต่กลับกลายเป็นว่ามินโฮไม่ได้อยู่ที่รถ ลมหายใจถูกถอนออกมายาวด้วยความเบื่อหน่าย แทมินยืนพิงรถเพื่อรอคอยมินโฮอยู่ประมาณสิบห้านาทีก็เลิกรอและไปตามหาแทน

                แทมินตัดสินใจวางหนังสือเรียนไว้บนกระโปรงท้ายรถ แล้วเดินไปตามหามินโฮแทน ขายาวๆของแทมินรีบก้าวเดินไปที่ร้านกาแฟเป็นที่แรก เพราะเหมือนจะนึกออกว่าให้มินโฮไปหาอะไรกินที่นั่น มือบางผลักประตูร้านเข้าไปแล้วกวาดสายตามองทั่วร้าน

                คนขับรถของเขากำลังนั่งคุยกับใครบางคนอยู่อย่างมีความสุข

                แทมินเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะนั้นอย่างช้าๆ แล้วหยุดลงตรงข้างๆมินโฮ บทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเมื่อครู่ถูกหยุดลงกะทันหันเมื่อแทมินเดินเข้ามา

                “คุณแทมิน..”

                “ชเวมินโฮ นายรู้ไหมว่านี่มันกี่โมงแล้ว แล้วฉันนัดนายไว้กี่โมง” น้ำเสียงที่บ่งบอกอารมณ์โกรธของแทมินถูกเอ่ยขึ้น มินโฮรีบลุกขึ้นก้มศีรษะขอโทษแทมินทันที

                “ขอโทษครับคุณแทมิน ผมผิดไปแล้วครับ” มินโฮรีบขอโทษขอโพยใหญ่ คนอีกคนที่นั่งอยู่กับมินโฮดูจะอึ้งๆและงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย

                “อะ..เอ่อ ใจเย็นๆดีกว่าไหมคะ” คนที่นั่งอยู่พูดประณีประนอมกับแทมินที่ดูจะอารมณ์เสียมา

                “คุณ.. อาจารย์คิม.. ขอโทษที่เสียมารยาทต่อหน้าอาจารย์ครับ คือผม.. มีปัญหากับเขานิดหน่อย” แทมินเพิ่งสังเกตว่าคนที่นั่งกับมินโฮคือ คิมคีย์อาจารย์ประจำภาควิชาของตัวเอง จึงขอโทษคีย์ที่ได้เสียมารยาทต่อหน้า

                “นักศึกษาก็.. ใจเย็นๆนะ นั่งดื่มอะไรก่อนดีไหม เดี๋ยวอาจารย์เลี้ยงเธอก็ได้” คีย์พยายามทำให้แทมินใจเย็นลงด้วยการชวนดื่มอะไรก่อน

                “ไม่เป็นไรครับอาจารย์ คือผมรีบน่ะครับ ผมลานะครับอาจารย์.. นาย ตามฉันมา” แทมินฝืนยิ้มให้กับคีย์แล้วส่งสายดุให้มินโฮ แล้วเดินนำมินโฮไป

                “ขอโทษด้วยนะครับ ผมต้องไปแล้ว ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีกนะครับ” มินโฮกล่าวลาคีย์แบบรีบๆ แล้วหยิบกาแฟกับเค้กที่ซื้อมารีบวิ่งตามแทมินไป คีย์ได้แต่เหลียวหลังมองมินโฮที่ผลักประตูออกจากร้าน และยังมองตามผ่านกระจกใสของร้านอีก

     

              ทั้งคุณมินโฮ ทั้งนักศึกษาคนนั้น.. คงมีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจให้ฉันค้นหามันสินะ

     

               

               

     

     

                ขายาวๆของคนที่เดินนำมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว คนที่เดินตามหลังมาได้แต่เดินคอตกตามมาอย่างรีบๆ ในไม่ช้าก็ถึงรถคันสีดำ มินโฮเอาแต่ยืนนิ่งไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไป

                “เปิดรถสิ จะให้ฉันยืนรออะไรอีกหรอ” ถึงจะเป็นเสียงพูดที่ต่ำๆเบาๆ แต่มันก็รู้สึกได้ถึงรัศมีความน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมา มินโฮเปลี่ยนให้ถุงเค้กที่อยู่ในมือข้างซ้ายมาอยู่อีกข้างแทน แล้วรีบล้วงหยิบกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงอย่างเร่งรีบ มือของมินโฮกำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูหลัง แต่ก็ช้ากว่ามือของแทมินที่เปิดมันทันทีเมื่อประตูถูกปลดล๊อค เขาจึงไปประจำที่เบาะคนขับของตัวเองต่อ

                “คุณแทมินครับ ผมขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มถูกเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในรถ ถึงอีกคนจะได้ยินคำขอโทษนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินเสียงใดๆ

                “คุณแทมินเรียนมาคงจะเหนื่อย ผมก็เลยซื้อกาแฟกับเค้กให้คุณแทมินไว้นะครับ” มินโฮเหลียวตัวไปที่เบาะหลังแล้วยื่นแก้วกาแฟสีน้ำตาลกับถุงเค้กที่ตั้งใจซื้อมาให้แทมิน คนเบาะหลังที่ในตอนแรกเอาแต่มองออกไปนอกรถก็ชายตามองอย่างนิ่งเฉย มือของมินโฮสั่นโดยอัตโนมัติเพราะแววตาที่ถูกส่งมา

                “ขอบใจ” ปากที่ขยับเล็กน้อยกับเสียงขอบคุณทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง มือบางๆของแทมินเอื้อมมารับสิ่งของในมือจากมินโฮ มินโฮจึงสตาร์ทรถและขับออกจากมหาลัยไป

                “ชเวมินโฮ อย่าเพิ่งกลับบ้าน แวะไปที่ห้างก่อน”

     

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

     

                มินโฮมองไปรอบๆกาย สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ดูหรูหราและไฮโซเกินกว่าที่เขาจะมายืนตรงนี้ได้ มันเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ชานเมืองแต่เป็นห้างที่เหล่าบรรดาคนมีตังค์เท่านั้นที่จะมาเดินกัน หลังจากก้าวขาเข้ามาในห้างนี้แล้ว มินโฮก็เอาแต่เดินตามแทมินต้อยๆเหมือนคนใช้อย่างไงอย่างนั้น แต่จู่ๆคนข้างหน้าก็หยุดเดินกระทันหัน

                “นายคงอาจจะอยากไปเดินเล่นของนาย ไว้นายเดินเสร็จค่อยโทรมาหาฉันแล้วกัน” ไม่รู้การที่แทมินมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เหมือนจะให้มาถือของ แต่ไหงกลับกลายเป็นแทมินจะปล่อยให้เขาเดินเล่นตามใจอีกด้วย

                ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน..

                “คือ.. ผม.. ไม่มีมือถือ..” มินโฮแทบอยากจะฆ่าตัวเองตายที่พูดประโยคนั้นออกไป แทนที่เขาควรจะพูดว่า ให้ผมไปช่วยถือของไหมครับหรืออาจจะเป็น ผมควรไปกับคุณแทมินนะครับ เพราะว่าคุณเป็นเจ้านายอะไรแบบนี้เสียมากกว่า แทมินยืนนิ่งเงียบเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

                “งั้นก็ไปด้วยกัน”  

     

     

     

     

                เดินมาอยู่นาน แทมินก็แวะเดินเข้าร้านโทรศัพท์มือถือ มินโฮเดินเข้าไปยืนอยู่เงียบๆ ในขณะที่แทมินเดินมองโทรศัพท์มือถืออยู่รอบๆร้าน แทมินส่งสายตาเรียกให้มินโฮเดินเข้าไปหา

                “นายชอบเครื่องไหน เลือกเอา ฉันจะซื้อให้”

                “คือ.. ผมว่า..”

                “นายอยากได้เครื่องไหนก็เลือกเอา” เหมือนแทมินจะรู้ว่าเขาจะปฏิเสธ ถึงได้พูดเน้นย้ำมันอีกครั้ง ทำเอามินโฮไม่กล้าพูดอะไรต่อ มินโฮจึงได้เลือกเครื่องที่ถูกที่สุดในบรรดาเครื่องตรงนั้นเพราะไม่อยากเลือกมากและไม่อยากเกรงใจแทมิน

                “เอา..เครื่องนี้ครับ” มินโฮชี้ไปยังมือถือตรงหน้ากับพนักงาน

                “เปิดเบอร์ใหม่ให้ด้วยนะครับ” แทมินพูดกับพนักงานแล้วเดินตามพนักงานไปเพื่อจ่ายตังค์ มินโฮอยากเดินเข้าไปบอกกับแทมินว่าจะจ่ายตังค์เอง เพราะเงินที่แทมินให้มาสองสามวันนั้นก็มากพอจะซื้อมือถือเครื่องนั้น แถมยังมากพอจะซื้อมือถือเครื่องที่แพงที่สุดในร้านนี้ด้วยก็ได้ แต่ทำอย่างนั้นคงจะโดนตอกกลับมาด้วยสายตานิ่งๆและความเงียบอีกเช่นเคยนั่นแหละ

                แทมินเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถุงอีกใบในมือ โทรศัพท์เครื่องสีดำที่มินโฮเพิ่งจะเลือกไปถูกยัดใส่ในมือมินโฮทั้งหมด หลังจากได้โทรศัพท์มาหนึ่งเครื่อง ก็ได้เสื้อผ้าอาภรณ์มาอีกหลายชุด ทั้งหมดนั่นเป็นเงินของแทมิน แต่ของทั้งหมดเป็นของมินโฮ

                ไม่รู้ว่าใครที่ต้องการมาห้างสรรพสินค้ากันแน่

     

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

     

                อนยูทิ้งตัวลงบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นหลังอาบน้ำเสร็จ สองสามวันที่ผ่านมานี้งานที่บริษัทเยอะมาก กว่าจะกลับบ้านก็ขึ้นวันใหม่ไปแล้ว เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อยๆปิดลงช้าๆ แต่กลิ่นหอมบางอย่างก็โชยมาแตะจมูกจนทำให้ต้องฝืนลืมตาหากลิ่นของมัน อนยูรีบโน้มตัวมาหาแก้วกาแฟร้อนๆที่ถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเค้กชิ้นเล็กสีขาว

                “นี่จะแกล้งไม่ให้พี่หลับหรือไง อีแทมิน” เขากล่าวแซวน้องสาวที่รักที่มาขัดจังหวะการนอนด้วยกลิ่นหอมของกาแฟที่เขาชอบ แทมินนั่งลงข้างๆพี่ชายแล้วยิ้มใหญ่

                “บ้าจริง ไม่ได้แกล้งสักหน่อย ก็เห็นเหนื่อยๆนี่นา ก็อยากเอามาแบ่งให้กิน”

                “แบ่งให้กิน? แสดงว่าจะกินด้วยอย่างงั้นหรอ? โถ่ นึกว่าจะให้กินอร่อยๆคนเดียวซะอีก” แทมินเอื้อมมือไปคว้าจานเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วตักขึ้นมาชิมไปหนึ่งคำ แต่สีหน้าของแทมินที่ยิ้มเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไป..

                “ไหงทำหน้างั้นละ ไม่อร่อยหรอ?” อนยูแย่งส้อมในมือแทมินมาแล้วตักเค้กเข้าปาก แต่สีหน้าของอนยูกลับยิ้มออกมา

                “อร่อยจะตายยย แต่เสียดายนะ ที่มันเป็นเค้กมะพร้าว 555” ใช่ น่าเสียดาย เค้กนี้อร่อยมาก แต่ติดตรงที่มันคือเค้กมะพร้าว ซึ่งแทมินนั้นไม่ชอบกินมะพร้าว

                “พี่อนยูกินไปเถอะ แทมินไม่อยากกินแล้ว” เห็นใบหน้าของแทมินในตอนนี้อนยูก็อดขำปนสงสารไม่ได้ จึงเลือกจะหยุดกินเค้กไปก่อน ไว้แทมินไปแล้วค่อยกินก็แล้วกัน

                “นี่ อีกหนึ่งเดือนก็เรียนจบแล้ว จะทำอะไรหะเราน่ะ” เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ อีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้แทมินก็เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว

                “แทมินอยากเปิดร้านดอกไม้.. ได้ไหม?” ในความจริงแทมินไม่ได้ชอบดอกไม้สักเท่าไร หากแต่มีเหตุผลที่อยากจะเปิดถึงได้เลือกสิ่งนี้

                “คิดยังไงถึงอยากเปิดร้านดอกไม้เนี่ย อืม.. เปิดก็ได้ พี่อนุญาต แต่มีข้อแม้นะ” คนอย่างอนยูไม่ค่อยจะมีข้อแม้ข้อต่อรองกับใครอะไรสักเท่าไหร่ นี่เป็นครั้งแรกๆที่อนยูจะต่อรองอะไรกับแทมิน

                “ถ้าเป็นเรื่องไม่ให้แทมินยืมเงินน่ะแทมินไม่สนหรอกนะ แทมินเองก็มีเงินมากพออยู่แล้ว”

                “คิดว่าพี่จะงกเงินกับน้องสาวตัวเองหรือไง! ข้อแม้ก็คืออีแทมินต้องมีชีวิตอยู่อย่างผู้หญิง ต้องไว้ผมยาว ต้องใส่กระโปรงสวยๆด้วย ใส่รองเท้าส้นสูงสวยๆ แล้วก็.. ต้องมีแฟนสักทีนะ” อนยูอาจจะขอมากไปก็ได้ แต่อนยูแค่อยากให้น้องสาวตัวเองมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบคนที่เป็นผู้หญิงทั่วไปมันก็คงไม่ผิดใช่ไหม

                “ไม่.. แทมินไม่ทำ” แทมินพูดเสียงแข็ง ถึงแทมินจะเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย พูดอะไรก็เชื่อฟัง ไม่เคยปริปากบ่นกับเรื่องอะไรสักครั้ง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่แทมินไม่ทำละก็ ไม่ว่ายังไงถ้าเจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจก็ยากจะโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ นอกเสียจากอะไรบางอย่างที่จะทำให้แทมินทำสิ่งนั้นเอง และเรื่องที่อยากให้แทมินทำแต่ก็คัดค้านมาโดยตลอดอยู่เรื่องเดียว ก็มีเพียงเรื่องที่จะให้กลับไปเป็นผู้หญิง

                “จะไม่ทำหรอแทมิน แทมินไม่อยากเห็นพี่มีความสุขหรอ”

                “แล้วพี่อนยูอยากเห็นแทมินทุกข์เพราะต้องทำเรื่องที่ฝืนใจแทมินหรอ” อนยูแทบจะกุมขมับกับคำพูดที่บาดใจของน้องสาวตัวเอง

                “วันนี้แทมินอาจจะพูดแบบนี้ แต่ต้องมีสักวันที่แทมินจะทำเรื่องที่พี่ขออย่างแน่นอน” อนยูพูดอย่างมั่นใจ แทมินได้เพียงแต่คิดแล้วก็สงสัยว่าอะไรที่ทำให้อนยูถึงได้ดูมั่นใจกับคำพูดตัวเองได้มากถึงขนาดนี้  หลังจากคุยกันต่อสักพักแทมินก็เห็นสีหน้าที่ดูอ่อนเพลียของพี่ชายจึงปล่อยให้อนยูนอนพักผ่อนต่อ

     

              แทมินขอโทษนะพี่อนยู.. แทมินเองก็เชื่อว่าสักวันแทมินคงกลับไปเป็นผู้หญิงตามที่พี่อนยูขอได้

     

     

     

     

     

     

    _____________________________________________________________________

     

     

               

                หลังจากวางสายโทรศัพท์ที่เพิ่งคุยเสร็จ ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงานก็พิงเอนลงบนเก้าอี้ทำงานเพื่อพักผ่อน ประตูที่ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับใครบางคนที่เดินเข้ามาทำให้การพักผ่อนของเขาต้องสิ้นสุดลงสักพัก

                “ทำไมไม่ลงไปกินข้าวเย็นคะ คุณจงฮยอน” ภรรยาสุดที่รักของเจ้าตัวเดินมาพร้อมกับถาดอาหารที่มีขนมปังและนมอยู่

                “เพิ่งจะทำงานเสร็จเมื่อกี๊นี่เอง เหนื่อยชะมัด”

                “ด้วยคำสั่งจากฉัน วันนี้จงฮยอนต้องเลิกทำงานได้แล้วนะ.. กินขนมปังกับนมก่อนสิ” ว่าจบภรรยาคนสวยก็เดินเข้ามาวางถาดขนมลงบนโต๊ะทำงาน พร้อมกับจัดโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสารให้เป็นระเบียบ

                “ครับๆคุณนายคีย์” จงฮยอนเชื่อฟังคำสั่งของคีย์อย่างว่าง่าย ขณะที่กินขนมปังนั้น คีย์เองก็เดินเข้ามานวดไหล่ให้อย่างดี

                “ช่วงนี้หักโหมกับงานมากไปแล้ว”

                “เจองานหนักก็เพราะคู่ค้ารายนี้น่ะสิ ขนาดไปเจอกันครั้งนึงแล้วไม่ยอมเซ็นสัญญาร่วมธุรกิจ ผมยังต้องส่งคนไปเจรจาอีกครั้งเพื่อให้เขาเซ็นสัญญาด้วย กว่าจะเจรจาตกลงกันได้ เหนื่อยแทบแย่ แต่เหนื่อยแค่ไหน คนนี้ผมก็ต้องได้เขามา” จงฮยอนพูดอย่างแน่วแน่

                “คุณคริสที่เป็นนักธุรกิจรายใหญ่ไฟแรงตอนนี้น่ะหรอคะ”

                “อนยู.. อีอนยูต่างหาก คนที่ผมต้องการน่ะ” มือที่กำลังบีบนวดไหล่กว้างของจงฮยอนหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อคีย์ได้ยินชื่อของอนยู จงฮยอนกระตุกยิ้มที่มุมปากกับปฏิกิริยาของคีย์เมื่อได้ยินชื่อนี้ คีย์มักเป็นเช่นนี้เมื่อต้องรับรู้เรื่องราวของคนรักเก่า

                “หยุดนวดทำไมล่ะคีย์” มือของจงฮยอนจับมือสวยๆของคีย์ที่พาดอยู่บริเวณบ่า แล้วยันตัวลุกขึ้นมามองใบหน้าหวานของคีย์ที่ตอนนี้ดูจะเรียบเฉยเกินไป

                “ไม่มีอะไรนี่คะ” ถึงรู้ว่าคีย์กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่หากคีย์บอกว่าไม่ ในตอนนี้จงฮยอนก็พร้อมจะเชื่อใจ เพราะในตอนนี้คนที่ได้ครอบครองร่างกายและหัวใจคีย์คือคิมจงฮยอนคนนี้

                ใบหน้าคมของจงฮยอนค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าสวยๆของคนรักตรงหน้า แต่คนรักกลับปฏิเสธด้วยการใช้มือเลื่อนใบหน้าของเขาออกอย่างนุ่มนวล และเปลี่ยนเป็นการกอดแทน

               

                คิมจงฮยอน นายกำลังคิดทำอะไรอยู่ ทั้งๆที่นายเกลียดอนยู แต่นายกลับต้องการจะทำธุรกิจร่วมกับอนยู

     

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

     

                บรรยากาศในชั้นเรียนดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี นักศึกษาทุกคนนั่งจดแลคเชอร์และฟังบรรยายการสอนมานานร่วมสองชั่วโมงแต่ทุกคนก็ไม่ได้ดูอิดโรยสักเท่าไร โดยเฉพาะนักศึกษาชายที่ดูกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ เพราะอาจารย์หน้าห้องที่สวยและมีเสน่ห์กว่าอาจารย์ที่สอนคนอื่นๆ

                “อาจารย์ได้เขียนวิจารณ์แผนธุรกิจของนักศึกษาเอาไว้ในรายงานที่ส่งมาคราวที่แล้วนะคะ ก่อนออกจากห้องก็มารับคืนไปด้วย.. วันนี้เลิกคลาสได้ค่ะ” เมื่อบอกเลิกชั้นเรียน ทุกคนก็รีบลุกออกไปจากห้อง อาจเป็นเพราะเมื่อยล้าจากการนั่งอยู่ที่เดิมนานๆ

                “กูว่าวันนี้เราชวนอาจารย์คีย์ไปดื่มกาแฟกันไหมวะ กูอยากรู้จักอาจารย์เขาจัง~” เพื่อนสนิทในกลุ่มแทมินคนหนึ่งพูดขึ้น

                “เอาดิๆๆๆ” คนอื่นๆที่ได้ยินก็เห็นด้วยกับคนนี้ ส่วนแทมินเองก็รู้สึกเฉยๆ อาจเป็นเพราะแทมินเป็นผู้ชายเพียงแค่บุคลิกการแต่งตัวเท่านั้น จึงไม่ได้สนใจอาจารย์คนสวยที่เพิ่งเข้ามาสอนใหม่ได้ไม่นานคนนี้ แทมินเดินไปเอางานคืนหน้าห้องพร้อมกับเพื่อนในกลุ่มอีกห้าหกคน

                “อาจารย์คีย์ครับ อาจารย์สอนเสร็จคงจะเหนื่อย ไปดื่มกาแฟที่ร้านข้างล่างกันหน่อยไหมครับ” ต้นคิดของเรื่องนี้กล่าวชวนอาจารย์คีย์ที่พวกเขาสนใจ ยกเว้นแต่แทมินที่ยืนหางานที่อยู่ในกองของตัวเองอยู่

                “ไม่ล่ะ ขอบใจนะจ๊ะที่ชวน” แต่คีย์ก็ได้ปฏิเสธคำชวนด้วยเสียงหวานๆ ในตอนนั้นเองคีย์ก็หันไปเห็นแทมินที่หยิบงานของตัวเองออกมาจากกองพอดี

                “นักศึกษาที่ยืนหางานอยู่..” คีย์เรียกแทมิน แต่แทมินไม่ได้ยินเสียงเรียกนั้น เพื่อนในกลุ่มจึงสะกิดเรียกแทมิน

                “หะ อะไร”

                “อาจารย์คีย์เขาเรียกมึงแหละ แทมิน”

                “เธอเป็นเจ้าของงานนั้นหรอ อี...แท..มิน?” คีย์เอ่ยถามแทมินพร้อมกับทวนชื่อแทมินอย่างไม่แน่ใจ จำได้คร่าวๆว่าเจ้าของงานนี้ชื่ออีแทมิน

                “ครับ มี..อะไรหรือเปล่าครับ” การที่ถูกเอ่ยถามเรื่องงานอยู่คนเดียวทำให้แทมินรู้สึกกลัวว่างานที่ส่งไปอาจจะไม่ดีหรือผิดพลาดอะไรหรือเปล่า

                “เดี๋ยวอยู่ต่อก่อนสิ อาจารย์อยากคุยเรื่องงานของเธอหน่อย”

                “โหยยยย อิจฉามึงอ่ะแทมิน ทำไมอาจารย์ถึงเรียกแกคุยอ่ะ” ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่เพื่อนๆก็อิจฉาที่แทมินได้อยู่คุยกับคีย์สองคน

                “นี่ๆๆ พวกเธอไปกันได้แล้ว อาจารย์มีงานต่อจ้ะ” คีย์ไล่นักศึกษาที่ยืนรุมตัวเองอยู่ไม่เลิกให้ออกไปจากตรงนี้เสียที เพื่อนๆของแทมินก็มองแทมินแบบอิจฉา แทมินปัดมือไล่ให้ออกไปก่อนแล้วจะรีบตามไป

                “งานของผม มัน..” แทมินรีบเปิดเล่มงานออกเพื่อดูคำวิจารณ์งาน แต่ก็พบว่าของตัวเองนั้นไม่มีคำวิจารณ์ใดๆเลย

                “เธอจะเปิดร้านดอกไม้ตามแผนนี้จริงๆหรือเปล่า อีแทมิน” เป็นเพราะแทมินเขียนเรื่องแผนธุรกิจร้านดอกไม้ที่ตั้งใจจะเปิดหลังเรียนจบส่งไป เผื่อจะได้คำแนะนำงานกลับมาบ้าง

              หรือว่าแผนเรามันจะไม่ดีนะ มันต้องแย่แน่ๆ

                “ก็.. ผมคิดว่าหลังเรียนจบก็จะเปิดมันจริงๆครับ” แทมินตอบไปอย่างไม่มั่นใจ

                “อาจารย์ว่าแผนธุรกิจของเธอเป็นแผนงานที่สมบูรณ์แบบดีมากเลยล่ะ ถ้าเธอสมัครงานในบริษัทใหญ่ๆเขาต้องรับเธอเข้าทำงานแน่ๆ” คำชมของคีย์ทำให้แทมินแอบเขินอยู่หน่อยๆ

                “ขอบคุณครับ” เจ้าตัวได้แต่ขอบคุณสำหรับคำชมนั้น

                “ถ้าเธออยากทำธุรกิจจริงๆ อาจารย์ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ได้นะ อาจารย์จะช่วยเพิ่มเรื่องธุรกิจขั้นสูงให้ด้วย เพราะธุรกิจของเธอต้องไปไกลถึงขั้นนั้นแน่ๆ”

                “มันอาจจะรบกวนอาจารย์..”

                “ไม่หรอก สำหรับคนมีความสามารถก็ต้องช่วยสนับสนุนสิ แต่ถ้าเธอจะปฏิเสธก็ไม่เป็นไรนะ”

                “ถ้าอย่างงั้นรบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ” แทมินยินดีสำหรับการช่วยเหลือของคีย์แน่นอน คีย์เป็นอาจารย์ที่เก่ง ถึงแม้จะมาสอนไม่นานแต่ก็รู้ได้จากการสอน และในทุกๆเรื่อง

                “จ้ะ งั้นไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกทีนะ วันนี้อาจารย์มีธุระต่อ.. อ้อ อีแทมิน เธอ.. สนิทกับ..คุณมินโฮใช่ไหม?” คีย์ไม่ลืมจะถามเรื่องมินโฮเมื่อนึกได้ว่าแทมินกับมินโฮคงจะรู้จักกัน หลังจากเห็นการทะเลาะกันของทั้งสองคนในวันนั้นแล้ว

                “ก็.. ไม่ถึงกับสนิทครับ พี่ชายผมจ้างให้เขามาดูแลผม”

                “อาจารย์อยากจะได้เบอร์ติดต่อของเขาน่ะ เธอคงจะมีมันใช่ไหม” แทมินยิ้มเจื่อนๆและพยักหน้าตอบรับ แทมินจึงบอกเบอร์โทรศัพท์มินโฮให้คีย์รู้  ก่อนที่คีย์จะขอบคุณและเดินออกจากห้องไป

               

     

     

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

               

                หลังจากที่คีย์อาสาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องร้านดอกไม้ที่แทมินจะเปิด ทั้งสองคนเลยเริ่มสนิทกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะแทมินเป็นคนง่ายๆ คีย์เลยชอบในตัวของแทมิน นอกจากจะคุยเรื่องงานแล้ว ทั้งสองคนยังไปเที่ยวด้วยกันในบางครั้ง เลยคุยกันแบบเป็นกันเองได้อย่างสบายใจ ถึงคีย์จะเป็นอาจารย์สอนในคณะของแทมิน แต่ความจริงแล้วทั้งสองคนอายุห่างกันเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น

                “แทมินออกจะหน้าสวย น่ารักขนาดนี้ น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นผู้ชายนะ..” พอคุยเรื่องงานกันเสร็จ คีย์เลยชวนแทมินคุยเรื่องอื่น เมื่อได้ยินคำพูดคีย์ เจ้าตัวถึงกับสะอึก

                “ก็.. มันเป็นไปแล้วนี่ครับ” สิ่งที่น่าเสียดายกว่าของแทมิน คือการต้องใช้ชีวิตในแบบของผู้ชายต่างหาก

                “ว่าแต่แทมินมีแฟนหรือยัง หรือว่าเป็นแฟนกับคุณมินโฮ..?” คีย์แซวเล่นๆพร้อมกับหัวเราะออกมา แต่สีหน้าแทมินกลับดูไม่ค่อยจะพอใจกับการแซวเล่นแบบนี้ของคีย์สักเท่าไร

                “อ่าๆ พี่ขอโทษนะที่แซวแบบนี้ พี่ไม่รู้ว่าแทมินไม่ชอบ” ความสนิทสนมของทั้งสองคน ถึงทำให้คีย์เปลี่ยนสรรพนามมาแทนตัวเองว่า พี่

                “ผมไม่มีหรอกครับ.. ว่าแต่พี่คีย์ยังไม่มีแฟนหรอครับ” แทมินเองก็สงสัยบ้าง

                “พี่ดูเหมือนคนโสดขนาดนั้นเลยหรอ ว้า.. แย่จังเลยนะเนี่ย 555

                “ไม่ใช่แบบนั้นครับ คือพี่คีย์ชวนผมไปเที่ยวบ่อยๆ ก็เลยคิดว่าอย่างนั้น แต่พี่คีย์ก็มีคนจีบเยอะแยะอยู่ อาจจะมีก็ได้มั้ง”

                “นี่จะบอกความจริงให้นะ พี่น่ะ แต่งงานแล้วนะแทมิน” คีย์แอบกระซิบบอกความจริงกับแทมินอย่างอารมณ์ดี แทมินถึงอ้าปากเหวอในความจริงที่ได้ยิน แทบไม่เชื่อหูตัวเอง

                “หะ..หะ จริงหรอครับ”

                “จริงสิ จะล้อเล่นทำไมล่ะ แต่งงานมาปีนี้ก็.. สามปีแล้วด้วย” คนฟังตกใจกว่าเดิมว่าคีย์แต่งงานมาสี่ปีแล้ว เพราะคีย์เองก็เพิ่งอายุ 26 เอง แถมคีย์ยังเสน่ห์แรงเหมือนสาวโสดสวยๆคนอื่นๆ

                “พี่คีย์เล่าเรื่องแต่งงานให้ผมฟังได้ไหม” แทมินเองก็อยากรู้เรื่องแบบนี้บ้าง แทมินเองก็อิจฉาคนอื่นๆที่ได้มีความรัก เพราะคนแบบแทมินหากจะมีรักสักครั้งคงลำบาก และตัวเองก็ยังไม่พร้อมจะมีรัก ครั้งใหม่

                “พี่กับสามีน่ะรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ตอนแรกพี่มีแฟนอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจเขา แต่เขาก็พยายามทำให้พี่รักเขาจนได้ สุดท้ายพี่ก็เลิกกับแฟนแล้วก็คบกับเขา หลังจากนั้นตอนเรียนจบเขาก็ขอพี่แต่งงาน พี่ก็สัญญาว่าจะแต่ง แต่พี่อยากจะทำงานก่อน หลังจากทำงานไปหนึ่งปีพี่ก็เลยแต่งงานกับเขาตามสัญญา แต่ชีวิตพี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนะ เพราะว่าพี่ย้ายไปอยู่บ้านเขา บ้านเขาเองก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว มีแม่บ้านคอยทำกับข้าวให้ คอยทำความสะอาด แต่พี่ก็ขอทำข้าวเย็นให้เขากินเองนะ ไม่งั้นพี่คงกลายเป็นภรรยาที่ดูไม่ทำอะไรเลยแน่ๆ วันหยุดเราก็ไปเที่ยวกันบ้าง ตามปกติของคู่รักน่ะแหละ ส่วนใหญ่คนที่แต่งงานกันมันก็มีเรื่องทะเลาะกันบ้าง แต่เราสองคนน่ะไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง นี่คงเป็นเรื่องที่พี่ประทับใจเกี่ยวกับชีวิตการแต่งงานของพี่ละมั้ง”

                ถึงแม้คีย์จะพูดว่าชีวิตการแต่งงานนั้นดูสมบูรณ์แบบ มีรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าน้อยๆ แต่แววตาคีย์นั้นดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย

                “ถึงพี่จะมีความสุขในชีวิตแต่งงาน แต่ถ้าการแต่งงานคืออีกชีวิต ชีวิตอีกชีวิตที่เป็นปกติของพี่น่ะ มันยังมีเรื่องที่พี่รู้สึกเสียใจทุกครั้งที่นึกถึงมัน มันยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดพี่เสมอ”

                “คนเราก็ต้องมีเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดา ผมเองก็มีเรื่องที่ไม่ว่าจะคิดถึงมันกี่ครั้งก็ยังคงเจ็บปวด” ไม่ว่าใครก็ต้องมีเรื่องที่หากนึกถึงก็เสียใจ แทมินเองเข้าใจมันดี เพราะความรู้สึกเหล่านี้ยังคงติดตามแทมินอยู่ทุกวัน หลับตากี่ครั้งก็ยังคงย้อนกลับมาหา

                “อ่า.. เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า ดราม่าซะได้” มือเรียวของคีย์เอื้อมไปตบไหล่แทมินเบาๆ แทมินเหลือบไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะซึ่งกำลังสั่นอยู่อย่างต่อเนื่อง

                “ขอตัวแปปนึงนะครับ” แทมินหยิบโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นออกไปคุยข้างนอก

     

              สายเข้า ชเวมินโฮ

     

                “...” การรับสายของแทมินจากมินโฮทุกครั้งมักเริ่มต้นด้วยความเงียบ

                (“ตอนนี้ผมอยู่ที่หน้าร้านแล้วนะครับ”) แทมินเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ซึ่งก็ตรงเวลาตามที่นัดกันไว้พอดี

                “อืม จะรีบออกไป” เมื่อบทสนทนาแทมินก็ตัดสายทิ้งบอดี้การ์ดส่วนตัวไปดื้อๆ แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะที่คีย์กำลังนั่งดื่มน้ำแดงในแก้วอยู่

                “พี่คีย์ ผมคงต้องไปแล้ว คนมารับมาแล้ว”

                “อ่า น่าเสียดายจัง พี่กะจะชวนแทมินไปที่บริษัทพี่หน่อย เผื่อแทมินจะอยากลองฝึกงานดู..  เอาไว้ค่อยเจอกันอีกทีตอนสอบปลายภาคเลยละกันนะ”

                “แล้วพี่คีย์กลับยังไงครับ”

                “เดี๋ยวสามีพี่เขามารับน่ะ กลับดีๆนะแทมิน ฝากทักทายคุณมินโฮด้วย” แทมินพยักหน้าตอบรับและโบกบือลาคีย์ แทมินได้แต่คิดในใจว่าอาจารย์ของเขากับบอดี้การ์ดตัวเองน่ะสนิทกันขนาดไหน คีย์ถึงได้ฝากทักทายมินโฮเสียทุกครั้งที่เจอแทมิน

                รถยนต์สีดำจอดรอแทมินอยู่ที่ริมถนนหน้าร้าน ร่างบางของแทมินแทรกตัวเข้าไปในรถเพราะประตูได้เปิดรอไว้แล้ว หลังของแทมินเอนพิงเบาะและมองออกนอกหน้าต่างอย่างเช่นเคย

                “พี่คีย์เขาฝากทักทายนาย” แทมินพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจกับการพูดนัก เพียงแค่ใครบางคนฝากมาเลยต้องพูดไป

                “คุณคีย์หรอครับ?” มินโฮเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คีย์ฝากแทมินมาทักทายตัวเอง แต่ก็ทำให้ประหลาดใจทุกครั้ง เมื่อคีย์นึกถึงตัวเองบ้าง ทั้งๆที่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย

                แทมินจ้องมองทางที่รถผ่านอย่างไม่ละสายตา ทำให้นึกถึงที่บางที่ที่ตัวเองไม่ได้ไปมานานแล้ว คิดถึงและอยากกลับไปในที่แห่งนั้น แต่มันยากเกินกว่าที่แทมินจะทำได้โดยลำพัง เพราะมีคนอีกคนคอยตามขับรถไปให้ในทุกๆที่

                จู่ๆหัวใจของแทมินก็เต้นระรัว เมื่อตาของแทมินสะดุดกับอะไรบางอย่างที่อยู่นอกหน้าต่างรถยนต์

                “จะ..จอดรถ!” แทมินสั่งมินโฮด้วยเสียงที่สั่น แต่มินโฮยังไม่ได้หยุดรถ

                “บอกให้จอดรถ! จอดเดี๋ยวนี้!” เสียงแข็งกร้าวของแทมินทำให้มินโฮหยุดรถกะทันหัน แทมินรีบเปิดล๊อคประตูรถแล้วพยายามข้ามไปยังถนนอีกฝั่ง รถที่กำลังพุ่งมาก็หยุดและส่งเสียงบีบแตรใส่ดังทั่วถนน

                ไม่ว่าจะถูกรถชนหรืออะไรก็ตาม อีแทมินต้องข้ามไปยังถนนอีกฝั่งให้ได้ หากจะได้เจอกับสิ่งที่ตามหาและคิดถึงมานานแสนนาน

                มือหนาของมินโฮจับแขนแทมินที่ยืนอยู่กลางถนนที่รถขับแล่นผ่านไปมา แขนบางสะบัดมันออกด้วยแรงที่มี แต่ก็สู้แรงของอีกคนไม่ได้เลยสักนิด มินโฮใช้ร่างสูงของตัวเองในการขอทางรถให้หยุด และรีบพาแทมินวิ่งข้ามมาจนถึงถนนอีกฝั่ง

                “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ชเวมินโฮ!” เสียงแข็งดุคนที่กำลังขัดใจตัวเอง มินโฮยอมปล่อยแขนแทมินโดยไม่เข้าใจถึงสิ่งที่แทมินกำลังทำ ขายาวของแทมินรีบวิ่งย้อนเส้นทางเท้าที่ผ่านมา หวังจะได้เจอสิ่งที่ต้องการ

                มือของแทมินเอื้อมจับไหล่คนที่เดินอยู่ข้างหน้า แค่เอื้อมมือ..

                “มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” คนที่ถูกสัมผัสหันหลังมา ใบหน้าที่ผิดหวังอย่างชัดเจนของแทมินถูกแสดงออกมา

                นี่ไม่ใช่คนที่เธอต้องการจะเจอ..

                “ขอ..ขอโทษครับ ผม..จำคนผิด” แทมินเอ่ยเสียงแผ่ว ใจที่เต้นแรงเมื่อครู่ กลับเปลี่ยนมาเต้นช้าจนผิดจังหวะ  มินโฮที่เพิ่งวิ่งตามมาถึงหยุดพักหายใจพร้อมสีหน้าตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                “เกิดอะไรขึ้นครับ คุณแทมิน” คนถูกถามส่ายหัวไปมาสีหน้าเศร้า เขาค้างคาใจกับการกระทำของอีกคน แต่ในเมื่อเห็นแทมินเป็นแบบนี้แล้วก็ไม่กล้าจะถามอะไร

                คนที่ผิดหวังอย่างแทมินหันหลังกลับเดินไหล่ตก หนำซ้ำยังโชคร้ายสะดุดเชือกรองเท้าที่หลุดล้มลงอีก ใบหน้าแทมินในตอนนี้นิ่งไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลออกมาจากหัวใจ แต่กลับแสดงออกมาไม่ได้ น้ำตาที่ควรจะไหลออกมาอย่างมากมายก็ไม่มีสักหยด

                มินโฮลดตัวต่ำลงมานั่งยองพยุงตัวแทมินขึ้นอย่างช้าๆ แต่ขาที่ไร้เรี่ยวแรงก็ส่งผลให้เกือบจะล้มลงไปอีกครั้ง แต่โชคดีที่มือของมินโฮยังคงจับแทมินไว้อยู่ แทมินจึงทรงตัวยืนได้อีกครั้ง

                “เดินไหวไหมครับ คุณแทมิน” ลูกน้องอย่างเขาเป็นห่วงเจ้านายในตอนนี้มากถึงมากที่สุด แต่ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ มีแค่ใบหน้าที่ดูเลื่อนลอยเท่านั้นที่ตอบกลับมาหา มินโฮจึงลดตัวต่ำลงอีกครั้ง แทมินเคลื่อนสายตามองลงหามินโฮที่อยู่ต่ำกว่า สองมือของมินโฮจับสองมือของแทมินแล้วค่อยๆดึงร่างของแทมินให้โน้มติดหลังของตัวเองแล้วให้มือพาดคอไว้เพื่อให้แทมินขี่หลัง ในครั้งนี้แทมินไม่พูดอะไร และยอมทำตามที่มินโฮสั่งผ่านการกระทำทุกอย่าง

                “คุณแทมินคงเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว” มินโฮพูดเสียงให้ดูสดใสขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจแทมินที่ดูเหนื่อยและท้อแท้ มินโฮค่อยๆลุกขึ้นในขณะที่มีแทมินกำลังอยู่บนหลัง แล้วเดินกลับไปในทางเดิมที่จอดรถทิ้งไว้อย่างช้าๆ

                ในตอนนั้นทำให้มินโฮได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง..

     

              คุณ.. คุณแทมิน..

               

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

                หลังจากแทมินกลับไปได้ไม่กี่นาที สักพักสามีของคีย์ คิมจงฮยอนก็มาถึงอย่างทันใจ

                “อะแฮ่มๆ นั่งคนเดียวหรอครับ คุณนายคีย์” คนถูกแซวถึงกับยิ้มออกมา เพราะคนรักของตนไม่ได้จะแกล้งแซวตัวเองเล่นแบบนี้บ่อยๆ แทบจะไม่เคยเลยด้วยซ้ำ

                “วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษนะคะ จงฮยอน”

                “ได้กินกาแฟตอนบ่ายกับภรรยาก็ต้องดีใจหน่อยสิ” จงฮยอนพูดเอาใจคีย์ใหญ่ คีย์ถึงกับยิ้มออกมาไม่ยอมหุบ

                “จงฮยอนมาช้าไปนิดเดียวเอง ฉันอยากให้จงฮยอนได้เจอกับนักศึกษาคนนึงที่ฉันสนิทน่ะ คนนี้น่ะเก่งมากๆเลย แถมยังน่ารักแล้วก็นิสัยดีอีกด้วย” คีย์เสียดายที่จงฮยอนมาช้าไป ทำให้คลาดกับคนที่อยากให้เจอ

                “ใครน่ะ คีย์ไม่เห็นเคยเล่าให้ผมฟังมั่งเลย”

                “ก็จงฮยอนกลับบ้านมาทีไรก็เอาแต่บอกว่าเหนื่อย จะให้เล่าตอนไหนล่ะคะ.. แต่ก็เพิ่งสนิทกันเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง”

                “ดูท่าทางจะชอบมากนะเนี่ย ว่าแต่สวยสู้คีย์ได้ไหม หรือสวยกว่า?”

                “เป็นผู้ชายค่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาก็น่ารัก หน้าหวาน ผิวก็ดีเหมือนผู้หญิงเลยล่ะ”  จงฮยอนที่ดูอารมณ์ดีอยู่เมื่อครู่กลับดูจะหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย เมื่อนักศึกษาที่คีย์สนิทเป็นผู้ชาย แถมดูคีย์จะชอบใจในคนๆนี้มากอีกด้วย     

                “คุณไปสนิทกับนักศึกษาชายหรอ?”

                “อย่าคิดมากสิคะ มันไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่ให้คำปรึกษาเขาเรื่องงานแค่นั้นเอง แล้วเขาก็เก่งจริงๆ ถ้าเราได้เขามาทำงานที่บริษัท รับรองว่าบริษัทเราโชคดีที่สุดแน่นอน” คีย์รู้ว่าจงฮยอนไม่ชอบที่ตัวเองจะสนิทกับผู้ชายคนอื่นเป็นพิเศษ จึงได้หาคำอธิบายต่างๆนานามาทำให้จงฮยอนสบายใจ

                “คีย์พูดถึงขนาดนี้ ชักน่าสนใจซะแล้ว.. ถ้างั้นก็พามาให้ผมรู้จักสิ ถ้าเขาดีจริงผมจะพิจารณาเป็นพิเศษเพื่อคุณเลย”

                “ไว้จะชวนให้นะคะ แต่เรื่องจะมาทำงานกับเราก็คงยากหน่อย เพราะว่าเขาจะเปิดร้านดอกไม้ของตัวเองหลังเรียนจบ แล้วก็ดูจะไม่เปลี่ยนใจด้วย” คีย์ไม่ได้สนิทกับแทมินเพื่อหวังผลประโยชน์อะไร แต่ถ้าโน้มน้าวให้แทมินเปลี่ยนใจมาทำงานกับตัวเองได้ก็คงดี

                “ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะ นักศึกษาคนนั้นน่ะ”

                “แทมินค่ะ อีแทมิน” มือของจงฮยอนที่กำลังจะเคลื่อนจับแก้วกาแฟหยุดชะงักกับชื่อที่คีย์เอ่ยกล่าว

                “อีแทมิน?”

                “ค่ะ อีแทมิน” ใจของจงฮยอนหล่นวูบเมื่อคีย์พูดชื่อนั้นอีกครั้งให้จงฮยอนมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังอะไรผิด

     

                ชื่อนี้..

     

              อะ..อี แทมิน งั้นหรอ?

     

     

                - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                แหม กว่าจะอัพตอนที่สองได้นะ 555 ยุ่งมากๆ เรียนทุกวันเลย เรียนจนคิดอะไรไม่ค่อยจะออก พอปิดเทอมถึงจะมีเรียนแต่ก็ไม่ได้หนักเหมือนตอนเปิดเทอมก็เลยคิดออกหลายอย่าง

                สำหรับฟิคเรื่องก่อนๆอาจจะอัพบ่อยแบบสัปดาห์กว่าๆอัพที แต่สำหรับเรื่องนี้คงบอกไม่ได้ว่าจะทำได้ไหมนะคะ ขึ้นอยู่กับการเรียงลำดับความคิดในหัวสมองว่าช้าเร็วยังไง หุหุ

                เอ้อออ เนื้อเรื่องเอื่อยได้อีกค่ะ แต่ความจริงนี่ก็เร็วกว่าที่คิดไว้แล้วนะเนี่ย

                อ่านมาสองตอนมันก็น่าจะมีอะไรที่ผู้อ่านน่าจะอยากรู้กันบ้างใช่ไหมคะ? แต่ก็คงเดาได้ไม่ยากนะ และมันก็จะถูกเฉลยในตอนต่อๆไป

                ยังไงก็ขอให้ติดตามอ่านไปเรื่อยๆจนจบนะคะ

     

                ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์นะคะ ;D

     

                13.03.11 – lighteli    

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×