ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SHINee] One Time (TWOMIN x JONGKEY x ONEW)

    ลำดับตอนที่ #1 : One Time : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 56


    CHAPTER 1

     

                แววตาที่ดูนิ่งในกระจก เฝ้ามองใบหน้าที่ขาวเรียบเนียนปราศจากการเติมแต่ง มือก็จับแปรงหวีผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวเลยปลายหูมาเพียงเล็กน้อยแล้ววางหวีลงบนโต๊ะเครื่องแป้งช้าๆ

     

                ก๊อกๆ

     

                คนตรงหน้ากระจกหันไปมองประตูที่กำลังถูกเปิดออกแล้วยิ้มบางๆให้กับคนที่เพิ่งเดินเข้ามา

     

                “อรุณสวัสดิ์ พี่อนยู” คำทักทายในตอนเช้าที่พูดเป็นปกติต่อพี่ชาย

                “อรุณสวัสดิ์ แทมิน” ผู้เป็นพี่ชายเดินเข้ามาจับไหล่ แล้วหยิบหวีที่เพิ่งถูกวางลงขึ้นมาหวีผมของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ากระจกช้าๆ จัดการจัดผมให้เรียบร้อย

                “แทมิน หลังจากเรียนจบแล้ว ไว้ผมยาวนะ”

                “ทำไมล่ะ พี่อนยู”

                “ผมยาวน่ะ คงเหมาะกับผู้หญิงสวยๆอย่างแทมิน”

     

                คนพูดก็ทำได้เพียงแค่จินตนาการภาพของน้องสาวตัวเอง ที่จะได้อยู่อย่างผู้หญิงคนอื่นๆ ถึงจะเกิดมาได้เพศที่ปรากฏบนสูติบัตรว่าเพศหญิง แต่น้องสาวของเขา กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเพศที่เป็นผู้ชาย

     

                “ไม่ดีกว่า ไว้ผมยาวแล้วคงดูแปลกพิลึก” ก็เพราะมองตัวเองกี่ทีในกระจก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นผมยาวไปกว่าที่ยาวอยู่ในปัจจุบัน จะให้ยาวกว่านี้ก็คงไม่ชินตา ก็เหมือนกับจะให้ตัวเองไปใส่กระโปรงที่ไม่เคยใส่สักครั้งนั้นแหละ

                “เอาเถอะ ไว้ถึงเวลานั้นแทมินเองคงอาจจะเปลี่ยนใจ.. ลงไปกินข้าวเช้ากัน”

                “ไม่ล่ะพี่อนยู สายแล้ว” พูดจบก็ยกนาฬิกาให้พี่ชายดูเวลาที่เข็มสั้นชี้ไปที่เลขแปด แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วยกมือขึ้นมาโบกไปมาเป็นการลาพี่ชาย รีบเดินออกจากห้องไป

     

                ยังไม่ทันจะได้เข้ามาคุยธุระของตัวเอง คนที่จะคุยด้วยก็ดันหนีไปซะแล้ว

     

     

     

                .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

               

                ถึงจะรู้ตัวว่าไปเรียนสายแล้ว แต่ก็ยังคงสั่งให้คนขับรถขับไปในเส้นทางเดิมที่ขับทุกวัน เส้นทางที่ยาวและใช้เวลามากกว่าเส้นทางปกติอยู่ไม่น้อย

                มองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ที่ขับผ่านสถานที่เดิมซ้ำๆอยู่ทุกวัน แต่คนมองก็ไม่เคยเบื่อ ไม่ว่าจะผ่านกี่ครั้งก็ยังคงอยากมอง

                มันทำให้นึกถึงเรื่องหลายเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับทุกสถานที่ที่รถขับโลดแล่นผ่านไป ความทรงจำที่ยังคงคิดถึงในทุกวัน

     

                “คุณแทมินครับ ถึงมหาลัยแล้วครับ” เสียงของคนขับรถพูดเตือน เป็นเพราะปกติเมื่อรถจอดตรงที่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย คนนั่งก็จะลุกเปิดประตูออกไปเอง แต่ในวันนี้กลับเหม่อลอยและไม่ลงจากรถจนต้องเตือน

                “ขอบใจนะ”

                “อ้อคุณแทมินครับ ผมไม่ทราบว่าคุณอนยูบอกหรือยัง แต่วันนี้คุณอนยูจะมารับนะครับ เลิกเรียนแล้วอย่าลืมยืนรอที่ป้ายรถเมล์นะครับ เดี๋ยวคุณอนยูจะสงสัย” คนฟังนั่งนึกแปลกใจอยู่หน่อยๆที่วันนี้พี่ชายจะเป็นคนมารับเอง

                “อื้ม ยังไงกันลืมก็ช่วยโทรมาเตือนหน่อย โทรมาสามโมงนะ” คนขับรถพยักหน้าตอบรับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนที่ผู้เป็นเจ้านายจะปิดประตูรถเดินตรงไปยังทางที่ไปมหาวิทยาลัย

     

                .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

                รถที่ขับออกไป ขับกลับมาจอดที่หน้าน้ำพุทางเข้าบ้าน คนที่ยืนรออยู่ก็รีบเดินเข้าไปหาคนที่เพิ่งลงมาจากรถทันที

                “ผมบอกคุณแทมินให้แล้วนะครับ วันนี้คุณแทมินเลิกเรียนตอนบ่ายสามโมงครับ” คนขับรถรายงานเจ้านายอีกคน

                “คุณคิมทำงานได้ดีจนวันสุดท้ายเลยนะครับ ตลอดเวลาที่ทำงานที่นี่คุณคิมปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเกินเงินเดือนด้วยซ้ำ เสียดายที่คุณคิมต้องลาออก” อนยูพูดชมและบ่นเสียดายที่คนทำงานมาด้วยกันอยู่นานหลายปีต้องมาลาออกไปด้วยเหตุผลเรื่องของครอบครัว

                “คุณอนยูก็ให้เงินเดือนผมมากกว่าคนขับรถทั่วไปอีกนะครับ.. คุณอนยูมายืนรอผมนี่จะออกไปไหนหรือเปล่าครับ ผมจะได้ขับไปส่ง”

                “ไม่ต้องๆ ต่อจากนี้คุณคิมไม่ใช่คนขับรถของที่นี่แล้วนะครับจะมาขับให้ผมอีกได้ยังไง ผมกำลังจะออกไปธุระข้างนอก คุณคิมก็ขึ้นมาสิครับ ที่ที่จะไปทำธุระผ่านบ้านคุณคิมพอดี”

                “ไม่ละครับคุณอนยู ผมยังไม่ได้เก็บของเลย คุณอนยูขับรถดีๆนะครับ”

                “โชคดีนะครับคุณคิม หวังว่าเราจะได้ทำงานด้วยกันอีกนะครับ” ผู้เป็นเจ้านายยิ้มส่งท้ายให้แล้วปิดประตูขับรถเคลื่อนออกจากบริเวณบ้านไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               

     

     

     

     

     

                “หลังจากออกไปแล้วก็ทำตัวดีๆนะ คงจะไม่เห็นนายที่นี่อีก”

                อาจเป็นคำพูดที่ดูโหดร้ายที่คนพูดบอกว่าไม่อยากเจอกันอีก แต่สำหรับที่นี่ คำพูดนี้ถือเป็นคำพูดที่ดีที่สุดแล้ว

                มือที่ผอมแห้งดูไร้เรี่ยวแรงพอๆกับร่างกายของชายหนุ่ม รับของที่เป็นสมบัติของตัวเองเพียงไม่กี่ชิ้นมาจากผู้คุมดูแล เป็นครั้งแรกในรอบสองสามปีที่ได้แต่งชุดธรรมดาแบบทั่วไป ไม่ใช่ชุดในเครื่องแบบ ผู้ถูกคุมความประพฤติหรืออาจะเป็น นักโทษ

                ย่างก้าวแรกที่เดินออกจากทัณฑสถาน คงจะเป็นก้าวแรกที่ดูมีความสุข แต่สำหรับเขาจะเรียกว่าสุขดีหรือไม่ก็ไม่รู้ มองไปรอบๆกายใครเขาต่างก็มีคนมารอรับกันทั้งนั้น แต่เขากลับดูท่าว่าคงไม่มีใครรอต้อนรับการกลับออกมา แม้แต่ที่ที่แรกที่จะไปคือที่ไหนก็ยังไม่รู้

                บ้านคงถูกยึดไปแล้ว ครอบครัวก็ไม่มี

     

                “มินโฮใช่ไหมเนี่ย” เจ้าของชื่อที่ยืนสับสนกับชีวิตว่าควรจะทำยังไงต่อไป หันมองต้นเสียงที่พูดชื่อของเขา

                “พี่อนยู?” บุคคลที่ดูไม่เปลี่ยนไปมากหลังจากไม่เจอกันอยู่นาน จะว่าจำได้ก็จำได้ แต่ก็ไม่มั่นใจสักทีเดียว

                “ใช่ พี่เอง แปลกใจล่ะสิที่เห็นพี่ที่นี่น่ะ”

                “ครับแปลกใจ พี่อนยูมาทำอะไรที่นี่ครับ”

                “นายจะแปลกใจกว่า ถ้าพี่จะบอกว่ามารับนาย” อนยูพูดถูก เขาน่ะแปลกใจมากกว่าเดิมจริงๆ

                “เดี๋ยวค่อยคุยกัน เอาเป็นว่าไปหาอะไรกินกันแล้วจะเล่าสิ่งที่นายสงสัยให้ฟัง” พูดจบก็กอดคอพาน้องชายเดินตรงไปยังรถทันทีโดยไม่ถามว่าเจ้าตัวจะเต็มใจไปด้วยหรือไม่

     

                แต่ก็เอาวะ ยังไงมีคนพาไปที่ไหนสักที ก็ดีกว่าต้องเร่ร่อนคิดว่าจะต้องไปไหนนั่นแหละ

     

     

     

     

     

     

     

     

                อาหารราคาแพงหูฉีกที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้กิน ถูกวางอยู่ตรงหน้าแล้ว มินโฮเกร็งเป็นที่สุด ที่จู่ๆก็เกิดอะไรแบบนี้ขึ้น

     

                “กินตามสบายเลย มื้อนี้พี่เลี้ยง ไม่ต้องกลัวว่านายจะต้องจ่ายตังค์หรอก” ดูจากหน้าตาที่นิ่งขรึมของคนตรงหน้าแล้วพอจะเดาออกว่ากลัวว่าคงจะต้องจ่ายเงินค่าอาหารมื้อนี้แน่ๆ

                “ทำไมพี่อนยูถึงมาหาผมล่ะครับ” เขาคิดว่าเข้าเรื่องเลยดีกว่า กว่าจะกินเสร็จมันคงค้างคาใจอยู่ไม่น้อย

                “ก็วันนี้นายออกจากเรือนจำนี่ พี่ก็อยากจะมารับน้องชายบ้างแปลกอะไร” พูดจบก็คีบกุ้งตัวใหญ่เข้าปาก

     

                ตอบอย่างนี้ยิ่งค้างคาใจเข้าไปใหญ่ เขาไปเป็นน้องชายของพี่คนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

     

                “พี่อนยูครับ..”

                “โอเคๆ พี่ได้ยินว่ายายของนายเสียไปแล้ว บ้านหลังที่นายเคยอยู่ก็เลยถูกยึดไปด้วย ถ้านายออกมานายจะไปอยู่ที่ไหน ทำมาหากินอะไรล่ะ” คำถามของพี่ชายที่เคยสนิทถาม นั่นก็เป็นคำถามที่เขาหาคำตอบอยู่เช่นกัน ว่าต่อจากนี้จะใช้ชีวิตยังไง

     

                คนที่มีคดีติดตัว ใครจะรับเข้าทำงาน เงินที่มีอยู่สองหมื่นวอนจะอยู่ได้ยังไง

     

                “ผมยังไม่ได้อยากออกมาจากที่นั่นเลยครับพี่อนยู ถึงออกมาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จะอยู่ที่ไหนอย่างที่พี่อนยูบอก”

                “ที่นั่นน่ะไม่ใช่ที่ของนายตั้งแต่แรกแล้ว สรุปแล้วนายน่ะยังไม่มีงานทำใช่ไหม? ถ้างั้นพี่จะให้นายมาทำงานกับพี่ โอเค๊?”

                “ว่าไงนะครับ?” มินโฮไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองที่อนยูบอกจะให้งานทำ เรียนก็เรียนไม่จบ ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดีไปแล้ว จะให้คนอย่างเขาทำงานอะไร

                “ฟังไม่ผิดหรอกน่า ก็พี่จำได้ว่านายจะได้ออกจากเรือนจำ ก็เลยมาหานายไง พี่คิดว่านายคงเหมาะกับงานนี้ดี”

                “งานอะไรครับ”

                “เป็นบอดี้การ์ด”  ฟังแล้วก็งง จะให้เขาเป็นบอดี้การ์ด?

                “พี่อนยู.. จะมีบอดี้การ์ดไว้ทำไมหรอครับ” คนธรรมดาทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีคนคอยป้องกัน หรือว่าพี่ชายตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นคนไม่ธรรมดา หรือว่าพี่ชายตรงหน้าเขาตอนนี้ทำอะไรเสี่ยงต่อการถูกทำร้าย

                “จะเล่าสั้นๆง่ายๆเลยนะ ตอนนี้พี่ทำธุรกิจอยู่ แล้วก็มีคู่แข่งทางธุรกิจซึ่งเป็นพวกมีอำนาจเหนือตำรวจ พี่น่ะมีคนคอยดูแลส่วนตัวอยู่แล้ว แต่พี่จะให้นายไปเป็นบอดี้การ์ดของน้องชายพี่ เพราะว่าคนเก่าเขาเพิ่งลาออกไป” ถึงอนยูจะเล่าให้ฟังสั้นๆ แต่ก็ทำให้เขาพอเข้าใจได้

                “พี่อยากให้นายทำงานให้นะ พี่มั่นใจในฝีมือของนาย” ฝีมือการต่อสู้ของมินโฮเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา เป็นศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงที่น้อยคนจะเรียนรู้ได้

               

                มินโฮลังเลใจที่จะทำงานนี้ เพราะมันไม่ใช่งานง่ายๆ การที่จะต้องดูแลใครสักคนอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ได้รับอันตรายใดๆทั้งสิ้น แถมฝีมือการต่อสู้ที่เคยได้เรียนมาก็ไม่ได้ฝึก และคิดว่าคงจะลืมๆไปแล้ว ความมั่นใจทั้งหมดในตอนนี้เป็นศูนย์ก็ว่าได้

     

                “สรุปว่านายจะทำงานให้พี่นะ โอเค งั้นก็เริ่มวันนี้นะ ไม่ว่าจะเรื่องเงินหรือที่อยู่อะไร นายไม่ต้องกังวล เพราะพี่มีให้นายหมดนั่นแหละ” ยังไม่ทันจะเอออออะไรด้วยก็สรุปเอาแล้วว่ามินโฮจะทำงานด้วย แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ

                เพราะไม่มีทางเลือกสำหรับชีวิตเขาอยู่แล้ว

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

     

     

     

     

                อนยูขับรถพามินโฮมายังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ๆอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ เป็นเหมือนสถานที่ในฝันของเขาจริงๆ ประตูรั้วที่ปิดเปิดเองอัตโนมัติ มีน้ำพุที่สวยงามตั้งไว้สำหรับวนรถ และมีสวนเล็กๆอยู่ใกล้ๆกัน ตัวบ้านไม่ได้ใหญ่โอ่อ่าอะไรมากมาย แต่ก็สวยและดูดี

                “นี่บ้านของพี่เอง แล้วก็ต่อจากนี้จะเป็นที่ทำงาน แล้วก็เป็นบ้านของนายด้วย” เจ้านายคนใหม่เริ่มพาเดินเข้าไปในบ้านที่ภายในมีของอยู่ไม่มากนัก แต่ล้วนเป็นของที่มีราคาทั้งหมด

                “ที่นี่มีบ้านอยู่สองหลัง หลังนี้พี่จะอยู่กับน้องของพี่ ส่วนของคนดูแลบ้าน จะอยู่อีกหลัง นายก็จะไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วยเดี๋ยวพี่จะพานายไปเอง.. บ้านนี้ใครจะเข้าและออกก็ได้พี่ไม่ได้ว่า แต่ถ้าจะขึ้นไปชั้นบนต้องได้รับอนุญาตก่อน”

                อนยูพูดอธิบายคร่าวๆ มินโฮก็พยักหน้าขึ้นลงตอบรับช้าๆ หลังจากนั้นก็พาเดินไปทั่วบริเวณบ้านทั้งหมด รวมถึงพาไปที่พักผ่อนด้วย

                “นายขับรถเป็นไหม มินโฮ”

                “ขับได้ แต่ไม่รู้ทางเท่าไหร่ครับ” โชคดีที่มีโอกาสได้สอบใบขับขี่ไว้ แต่ก็ดันตลกตรงที่ไปสอบแต่ไม่รู้จะไปขับรถอะไร เงินก็ไม่มีซื้อรถ ถึงคราวนี้ก็คงได้ใช้

                “ก็ยังดีที่ขับเป็น งั้นต่อจากนี้นายก็จะมีรถประจำตำแหน่ง หน้าที่ของนายคือต้องคอยเฝ้าและดูแลน้องชายของพี่ รวมไปถึงต้องคอยขับรถให้ด้วย ตอนเช้าจะต้องขับไปส่งที่มหาลัย ตอนเลิกเรียนก็ต้องไปรับ”

                “ครับ”

                “อื้ม นั่นก็เป็นหน้าที่ที่นายต้องทำคร่าวๆนะ ก็แล้วแต่ว่าแทมินเขาจะให้นายทำอะไร.. อ้อ น้องชายพี่ชื่อแทมินนะ อีแทมิน” คุยอยู่ซะนานอนยูก็ลืมบอกชื่อคนที่มินโฮต้องคอยดูแล

                “เดี๋ยวจะขับรถพาไปมหาลัยของแทมินก่อน นายก็พยายามจำๆเอาละกัน ใช้เนวิเกเตอร์นำทางในรถก็ได้ถ้าเกิดจำไม่ได้” อนยูให้มินโฮขึ้นรถ เพื่อที่จะได้ขับพาไปยังมหาวิทยาลัย

     

     

     

     

     

               

     

     

                แทมินยืนรออนยูที่บอกว่าจะมารับอยู่นาน แต่ก็ไม่มาสักที มือบางล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดเบอร์โทรศัพท์ของพี่ชายที่จำได้อย่างแม่นยำ

     

                ปรี๊น!

     

                รถสีดำคุ้นตาที่จอดอยู่ตรงหน้าบีบแตรใส่ ปุ่มสีเขียวที่กำลังจะกดโทรออกก็ถูกเปลี่ยนเป็นปุ่มพักหน้าจอแทน กระจกรถฝั่งคนขับเลื่อนลงมาช้าๆ

                “แทมิน นั่งหลังนะ” ปกติเจ้าตัวจะนั่งข้างหน้าถ้าพี่ชายเป็นคนขับ แต่พอพี่ชายบอกเช่นนั้นก็เลยเอื้อมมือไปเปิดประตูหลังแล้วแทรกตัวเข้าไปในรถแทน

                “ทำไมวันนี้พี่อนยูมารับล่ะ” แทมินไม่ได้สนใจว่าคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับเป็นใคร แต่กลับสนใจว่าทำไมพี่ชายถึงมารับตัวเอง

                “พาคนที่จะมารับส่งแทมินคนใหม่มาดูเส้นทางน่ะ”

                “ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

                “เอาไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันที่บ้านแล้วกัน”

     

     

     

     

     

     

               

                เจ้านายคนใหม่ของเขาที่บอกว่าเป็นผู้ชาย.. ดูยังไงแล้วก็น่าแปลกใจที่ดูไม่ยักกะเป็นผู้ชายสักเท่าไร

                ใบหน้าหวานๆราวกับผู้หญิงในชุดนักศึกษาชาย ร่างที่ผอมบาง ถ้าไม่นับเรื่องส่วนสูงที่สูงพอจะให้ดูเป็นชายได้ นอกนั้นดูแล้วไม่มีส่วนไหนที่ดูแล้วเหมือนผู้ชายเลยสักนิด

                “แทมิน คนนี้เป็นคนที่จะมาดูแลแทมินต่อจากคุณคิมนะ ชื่อชเวมินโฮ” อนยูแนะนำมินโฮให้แทมินรู้จัก มินโฮก้มศีรษะลงเพื่อทักทายเจ้านายคนใหม่อย่างนอบน้อม

                “คุณคิมไปไหน พี่อนยู” ไม่มีทีท่าว่าเจ้านายคนใหม่อย่างแทมินจะอยากรู้จักกับลูกน้องคนใหม่อย่างเขาสักเท่าไหร่ สนใจเพียงแต่ปัญหาที่ค้างคาใจตัวเองเสียมากกว่า

                “ลาออกไปแล้ว เขามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว เอาเป็นว่ายังไงต่อจากนี้จะไปไหนก็พามินโฮไปแทนคุณคิมแล้วกันนะ.. อ่ะนี่กุญแจรถ เก็บไว้ดีๆล่ะ” อนยูยื่นกุญแจรถมาให้มินโฮ

                “เดี๋ยวพี่ไปธุระก่อนแล้วจะรีบกลับ ทำความรู้จักกับมินโฮเขาไว้ละกัน สนิทกันจะได้เป็นเพื่อนกันได้” เหลือบมองนาฬิกาที่ชี้ว่าใกล้จะถึงเวลานัดของตัวเอง อนยูก็รีบเดินออกไปขึ้นรถขับออกจากบ้านไป

     

                ก็เหลือแต่มินโฮที่ได้เพียงแต่ยืนนิ่งไม่กล้าพูดอะไร ถึงแม้ภายนอกแทมินจะดูเป็นคนอ่อนโยน แต่สายตาที่ดูนิ่งๆ กลับทำให้มินโฮรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ได้ไม่น้อย

     

                “นายจะไปไหนก็ไปเถอะ” ประโยคแรกที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนักถูกพูดกับมินโฮ

                “คระ..ครับ?” การที่มินโฮเหมือนจะถามย้อนกลับเพราะไม่แน่ใจกับสิ่งที่แทมินพูด ทำให้ถูกมองอย่างนิ่งๆเชิงตำหนิ

                “พรุ่งนี้จะไปมหาลัยตอนเจ็ดโมง หกโมงห้าสิบนายต้องไปรอที่รถแล้ว เข้าใจไหม” พูดจบก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างง่ายๆ

     

                คุยกันแค่สองสามประโยคก็ทำให้เขากลัวแทมินมากจริงๆ

     

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

     

     

     

     

     

                ภาพที่วนเวียนอยู่ในฝันทุกค่ำคืนเมื่อหลับตา ฝันที่คอยอยู่เคียงค้างความทรงจำที่แทมินไม่อาจลืม..

                “ไค.. ไค..” เสียงเรียกพร่ำหาคนที่คิดถึงอยู่เสมอมา น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาไม่ขาดสาย

                มันคือความทรมานที่แทมินได้รับตลอดสี่ปีที่ผ่านมา

     

                ปัง!!

     

                เสียงดังที่ก้องกังวานในหูทำให้คนที่นอนอยู่สะดุ้งตื่น เสียงหอบหายใจที่ดังอยู่ในห้องที่เงียบงัน  สองมือที่สอดอยู่ใต้ผ้าห่มเคลื่อนขึ้นมาปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยน้ำตา.. ปิดสักพัก เผื่อภาพที่คอยหลอกหลอนจะหายไปสักที เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็ใช้มือปาดน้ำตาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆหมอนมาดูเวลา ก่อนจะวางลงแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไป

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

     

     

     

                มินโฮตั้งใจศึกษาเส้นทางแถวนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางไปมหาวิทยาลัยของแทมินที่ถึงแม้จะคุยกันแค่ครั้งเดียวแต่ก็กลัวแทมินจะไม่พอใจในการทำงานของตัวเอง จึงฝึกขับรถให้คิดว่าเจ้านายของเขาจะนั่งแล้วรู้สึกสบายใจ

                มินโฮเหลือบมองแทมินผ่านกระจกที่อยู่ในรถยนต์ ที่นั่งจ้องมองทางอย่างหน้าตาบึ้งตึงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตัวเองก็ไม่กล้าจะถามว่าเป็นอะไร กลัวจะหาว่าไปยุ่งเรื่องของเขา

                เราขับรถไม่ดีหรือเปล่า.. หรือว่าขับมาผิดทาง?

                แต่สักพักก็เห็นป้ายบอกทางไปมหาวิทยาลัย ทำให้โล่งใจได้ว่าขับมาไม่ผิดทาง มินโฮรีบเหยียบคันเร่งให้เร็วกว่าเดิมอีกนิดหน่อยเพื่อจะได้ถึงมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว

                “จอด!!” เสียงของคนที่นั่งเบาะหลังพูดขึ้นมาเสียงดัง รถถูกเบรกกะทันหัน ทำเอาคนขับใจหายใจคว่ำ

                “อะ..เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “เปล่า แค่จะบอกให้จอดเฉยๆ.. ต่อไปเวลามาส่งให้จอดตรงนี้ ถ้าจะมารับก็มารับตรงนี้นะ เข้าใจไหม” พูดจบคนพูดก็รีบปลดล็อกประตูรถแล้วก้าวเดินลงจากรถอย่างรวดเร็ว มินโฮถอนหายใจยาวออกมาเมื่อแทมินลงจากรถไป

                “ตกใจหมด นึกว่าอะไร..”

     

                .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

                หลังจากที่มือหนาวางแก้วกาแฟที่เพิ่งยกขึ้นมาดื่ม ก็ใช้มือเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่าน แขนสองข้างของใครอีกคนพาดโอบกอดที่บริเวณไหล่ ริมฝีปากบรรจงหอมเข้าที่แก้มของคนที่นั่งอยู่

                “อรุณสวัสดิ์ตอนเช้าค่ะ กินข้าวเช้าหรือยัง” เสียงที่ออกทุ้มแต่ก็แฝงเต็มไปด้วยความหวานกล่าวถาม

                “กาแฟนี่ไง” คนตอบละสายตาจากหนังสือพิมพ์เพื่อคุยภรรยาที่รักของเขา

                “จะต้องให้บ่นกี่ครั้งว่ากินแค่กาแฟน่ะมันไม่พอหรอก.. ขอโทษนะที่ตื่นสาย อย่าเพิ่งไปทำงานนะ เดี๋ยวจะไปทำอาหารเช้าให้กิน” ว่าจบก็หันหลังท่าจะเดินเข้าครัวไปทำอาหาร แต่ก็ถูกมือของสามีจับมือเอาไว้เสียก่อน

                “ไม่ล่ะ ผมจะไปทำงานแล้ว มานั่งคุยกันก่อนสิ” สาวเจ้าเปลี่ยนอิริยาบถจากยืนมานั่งเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆสามีแทน

                “มีเรื่องอะไรจะคุยเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

                “พรุ่งนี้คีย์ว่างหรือเปล่า ผมกะจะพาไปหาพ่อค้าเพชรรายใหญ่ คู่แข่งของผมสักหน่อย” พูดจบก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม

                “อ้อ ลืมเล่าให้จงฮยอนฟัง ทางมหาวิทยาลัยที่เราเคยเรียนติดต่อให้ฉันไปเป็นอาจารย์พิเศษที่นั่น อยู่บ้านเฉยๆมันน่าเบื่อก็เลยลองส่งแผนการสอนปริญญาโทไปที่มหาลัย เขาเห็นว่ามันเข้าท่าละมั้ง พรุ่งนี้ก็เลยจะไปดูงานที่มหาลัย.. อืม... ว่าแต่ใครหรอที่จงฮยอนอยากให้ฉันเจอน่ะ พิเศษมากเลยสินะ”

                ‘คีย์รู้ว่าคู่แข่งทางธุรกิจที่สามีของเธอ คิมจงฮยอนแนะนำนั้น ต้องพิเศษและน่าสนใจ ถึงได้ชวนให้เธอไปด้วยเหมือนทุกๆครั้ง

                “อีอนยู.. จำได้ไหม?” ชื่อที่ถูกกล่าวออกมาทำให้คนได้ฟังถึงกับนิ่ง ชื่อที่คีย์จำได้ไม่เคยลืม

                “จะ..จำได้สิ ว่าแต่.. ทำไมถึงได้ไปเจออนยู..”

                “บ้านคิมของเรากับบ้านอีของไอ้อนยูน่ะ เป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ของผม ไม่ว่าจะรุ่นปู่ รุ่นพ่อ หรือกระทั่งรุ่นฉัน ก็เป็นศัตรูกันหมดทุกรุ่น หลังจากที่อนยูมันเรียนจบ พ่อมันก็วางมือแล้วให้มันสืบทอดธุรกิจต่อเหมือนกับผมนั่นแหละ”

                “ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าอนยูก็ทำธุรกิจค้าอัญมณี.. อ่ะ คงต้องไปแล้วล่ะเดี๋ยวรถติดจะไปไม่ทันนัด ไปแล้วนะคะจงฮยอน“ คีย์รีบพูดตัดบทแล้วลาจงฮยอนด้วยการหอมแก้มแล้วรีบเดินออกไป สายตาของจงฮยอนมองตามคีย์ไปแล้วหันกลับมานั่งดื่มกาแฟเหมือนเดิม

     

                แกคิดจะคู่แข่งกับฉันน่ะคิดผิดจริงๆ อนยู คราวที่แล้วแกคงยังไม่จำสินะ

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

               

               

                คนขับรถที่ไม่รู้ว่าเจ้านายจะเสร็จธุระจากการเรียนกี่โมงเพราะลืมถาม จะติดต่อก็ไม่ได้ เลยทำได้แค่นั่งรออยู่ที่รถนั้นตลอดทั้งวัน.. หกชั่วโมงได้ละมั้งที่ต้องนั่งรอ..

     

                ก๊อกๆๆ

     

                เสียงเคาะกระจกรถทำให้คนที่งีบหลับตรงเบาะคนขับสะดุ้งตื่น มองผ่านกระจกเห็นเจ้านายยืนรอปลดล็อกประตูรถอยู่ก็รีบปลดล็อกทันที กำลังจะลงไปเปิดประตูให้แต่ก็ช้าไปเพราะแทมินได้เปิดประตูเข้ามานั่งที่เบาะหลังเองแล้ว

                “ขะ..ขอโทษที่ผมหลับครับ” มินโฮรีบขอโทษกับการที่เพิ่งเริ่มงานแค่วันแรก แต่ดูท่าว่าจะมีเรื่องให้ตำหนิเสียแล้ว

                “เรื่องแค่นี้ฉันไม่ถือสาหรอก” พูดแค่ประโยคสั้นๆมินโฮก็พยักหน้าตอบช้าๆ แล้วเคลื่อนรถออกจากหน้ามหาวิทยาลัย

     

                สถานการณ์ในรถนั้นเป็นแบบเดิมเหมือนเมื่อเช้า มีเพียงความเงียบ หน้าตาที่บึ้งตึงของคนที่นั่งเบาะหลัง

                เขาควรจะพูดอะไรบ้าง หรือควรจะเงียบไว้ดีกว่านะ..

               

     

     

     

     

     

                ________________________________________________________________________________________

               

               

               

                การนั่งรถไปมหาวิทยาลัยก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานนัก แทมินยังคงนั่งเงียบไม่ทำอะไรนอกจากเพ่งสายตามองข้างทาง แต่โชคดีที่วันนี้แทมินขอให้เปิดเพลงเบาๆไว้ในรถ ทำให้บรรยากาศดีกว่าเดิมขึ้นมาอยู่พอควร

                ถึงที่จอดตรงที่ที่ต้องลง แทมินเปิดปลดล็อกประตูรถยนต์ กำลังจะก้าวลงจากรถ

                “อะ..เอ่อ คุณแทมินครับ!” มินโฮเอ่ยปากเรียกชื่อ แทมินจึงชะงักการลงจากรถ

                “มีอะไร”

                “ผม..อยากทราบว่าวันนี้คุณจะเลิกกี่โมงครับ” คำถามของมินโฮทำให้แทมินถอนหายใจยาว ท่าทางเบื่อหน่ายกับการที่ลูกน้องไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

                “บ่ายโมง” ตอบสั้นๆในแบบฉบับของแทมิน หมดคำตอบที่จะพูดก็ลงรถแล้วปิดประตูเดินออกไป มินโฮนั่งพินิจอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำอะไรต่อไปดี ในเมื่อรู้เวลาที่แน่นอนของแทมินแล้วว่าควรจะมารับตอนกี่โมง

     

     

     

     

     

                คิดดูแล้ว ถึงจะรู้ว่าเจ้านายเลิกเรียนกี่โมง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีที่จะไป หากจะไปขับรถเล่นก็คงเปลืองน้ำมัน แถมถ้าหลงทางก็คงแย่เข้าอีก รอให้ปรับตัวได้สักพักแล้วค่อยไปดีกว่า มินโฮเองก็ไม่เคยถามเจ้านายอีกคนอย่างอนยูว่าเขาควรทำอะไร หรือคนที่คอยดูแลแทมินคนเดิมนั้นดูแลแทมินเช่นไร เขาควรไปที่ไหน หรือควรเอาแต่นั่งรอแทมินอยู่เช่นนี้ตลอด

                หนึ่งชั่วโมงกับการนั่งรออยู่ในรถมันว่างมากเกินไป แถมก็เริ่มปวดเมื่อยตัวอยู่ไม่น้อย จึงลงจากรถแล้วลุกขึ้นมาบิดตัวไปมา

     

                “เหวยยย” เสียงคนร้องแปลกๆดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ มินโฮหันมองรอบกายว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวกำลังนั่งพับอยู่กับพื้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารีบวิ่งไปที่เธอคนนั้น

                “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” ปากถามพลางก็ช่วยใช้มือพยุงเธอให้ลุกขึ้นมายืนช้าๆ แถมยังช่วยเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่       “ไอ้ท่อน้ำบ้าเอ๋ยย..” คำบ่นเบาๆของหญิงสาวอาจเบาอยู่ แต่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆอย่างมินโฮก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน มินโฮเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเก็บหนังสือที่หล่นอยู่บนพื้นเสร็จก็คืนให้หญิงที่ยืนปัดเนื้อปัดตัวอยู่

                “หนังสือของคุณครับ”

                “ขอบใจมากนะคะที่ช่วย” ขอบคุณเสร็จ หญิงในชุดเดรสสีน้ำเงินคลุมเข่าก็จะเดินจากมินโฮไป แต่ก็ติดตรงที่รองเท้าส้นสูงของเธอดูท่าว่าส้นของมันจะติดกับฝาท่อ

                “โอยย อะไรอีกเนี่ย” เธอก้มลงไปเพื่อพยายามดึงรองเท้าออกจากฝาท่อแต่ก็ไม่สำเร็จ มินโฮจึงก้มลงไปช่วยดึงออกจนมันออกมาในที่สุด แต่.. ส้นกลับหัก

                “ขะ..ขอโทษครับ ผมคงดึงแรงไป ส้นมันก็เลยหัก”

                “ไม่หรอกค่ะ! ฉันคิดว่ามันผิดตั้งแต่ฉันเดินมาตกฝาท่อแล้ว” สาวชุดเดรสสีน้ำเงินกอดอกพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหและอารมณ์เสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                “ถ้างั้น.. คุณนั่งรอที่ม้านั่งสักครู่นะครับ ผมจะรีบไปซื้อรองเท้ามาให้ก่อน” มินโฮแสดงน้ำใจที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

                “คุณรีบไหมคะ เดือดร้อนคุณไหม ถ้าใช่ก็อย่าเลยค่ะ”  สีหน้าและน้ำเสียงเธอดูไม่ค่อยจะรู้สึกยินดีกับความช่วยเหลือที่มินโฮหยิบยื่นให้สักเท่าไร

                “ไม่เลยครับ ไม่เดือดร้อนผมเลย เอาเป็นว่าผมจะรีบไปซื้อรองเท้ามาให้คุณนะครับ” พูดจบมินโฮก็รีบวิ่งข้ามถนนไปที่ไหนสักที่ ปล่อยให้คนที่เดือดร้อนนั่งรออยู่

                “คนอะไรจริงใจซะไม่มี ทุ่มเทกับการช่วยเหลือใครสักคนจริงๆ แต่ก็ดีนะ ไม่ได้เจอคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” ใบหน้าที่ยู่เมื่อครู่กลับคืนเป็นใบหน้าที่เป็นปกติดังเดิม เมื่อในเรื่องร้ายๆของเธอก็เจอเรื่องดีๆอยู่เหมือนกัน

                ไม่นานนักร่างสูงของมินโฮที่เพิ่งจะจากไปก็รีบวิ่งกลับมาพร้อมกับถุงหิ้วในมือ

                “อ่ะ.. นี่ครับ รองเท้าของคุณ”  ถุงรองเท้าถูกยื่นให้กับคนที่ตอนนี้นั่งเท้าเปล่าอยู่ตรงม้านั่ง มือเรียวสวยของเธอหยิบรองเท้าออกมาจากถุงก็ต้องอึ้ง

                “หะ.. หา นี่.. คุณซื้อรองเท้าลายนี้มาให้ฉันใส่?” ชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มที่ราคาแพงแสนแพง การแต่งตัวที่เนี้ยบทุกระเบียบนิ้วของเธอจะต้องจบเพราะรองเท้าที่อยู่ในมือของเธอก็คงเป็นได้ รองเท้าแตะลายการ์ตูนนกสีแดง

                “ผมขอโทษครับ ผมลืมคิดไปว่าชุดของคุณเป็นยังไง แล้วผมก็คิดว่าคุณคงรีบเลยรีบๆหยิบมา”

                “ค่ะ ก็..ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ความจริงฉันควรขอบคุณคุณมากกว่าที่ช่วยกันขนาดนี้” ว่าจบก็โยนรองเท้าลงพื้นแล้วใช้เท้าสวมมันเข้าไป

                “ขอบคุณคุณมากๆนะคะ ขอบคุณจริงๆ ฉันอยากตอบแทนคุณแต่ไม่มีเวลา.. นี่เป็นนามบัตรของฉันนะคะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็โทรมาได้ ฉันหวังว่าจะได้เจอกับคุณอีกนะคะ” พูดพลางก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาหยิบนามบัตรพร้อมกับธนบัตรหลายใบจ่ายค่ารองเท้าคืนให้กับมินโฮ เสร็จแล้วก็รีบวิ่งไปเพราะท่าทางคงจะยุ่งจริงๆ

     

              คิมคีย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท K’s Gems.. ทั้งสวยทั้งเก่งเลยแหะ

     

     

     

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

                มองนาฬิกาในรถที่ปรากฏเลขใกล้เวลาสิบสามนาฬิกา อันเป็นเวลาที่แทมินจะเลิกเรียน มินโฮยืนรอคอยคนที่ตนต้องดูแล วันนี้เขาจะเริ่มทำหน้าที่ให้ดีกว่าเมื่อวานที่ผ่านมา เขาควรจะลงมาเปิดประตูรถให้กับคนที่จ่ายเงินเดือนให้เขา เป็นหน้าที่อีกอย่างที่เขาเองก็ควรทำ

                เดินวนไปวนมาอยู่พัก ร่างบางในชุดนักศึกษาก็มายืนหยุดอยู่ตรงหน้า เขาถึงกับสะดุ้งกับการที่มาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง

                “ชะ..เชิญครับ” มือหนาเอื้อมเปิดประตูหลังให้แทมินเข้าไป

                “ปิดประตูรถ แล้วนายไปนั่งข้างเบาะคนขับซะ” คำสั่งห้วนๆเบาๆถูกสั่งกับคนฟัง

                “ครับ?”

                “จะต้องให้พูดอีกกี่รอบหรอ นายแค่ไปนั่งที่ข้างเบาะคนขับแค่นั้น วันนี้ฉันจะขับรถเอง เข้าใจหรือยัง”

                มือที่ถือหนังสืออยู่ไม่กี่เล่มถูกส่งให้บอดี้การ์ดที่เหมือนคนขับรถ ตัวก็เปิดประตูคนขับแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่ง มินโฮคิดว่าควรจะเลิกงงแล้วทำตามที่คนสั่งสั่งก็พอ ก็รีบอ้อมรถไปนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างเกร็งๆ

                รถถูกสตาร์ทขึ้น รถถูกขับเคลื่อนจากที่เดิมอย่างช้าๆ และเพิ่มมาเป็นการขับที่พอดีและนุ่มนวลแทน

              ขับรถเก่งกว่าเราอีก..

                “วันนี้ฉันจะขับรถกลับบ้านอีกทาง เมื่อก่อนฉันจะกลับบ้านทางนี้ทุกวัน และต่อไปนี้นายเองก็ต้องขับรถมาส่งฉันที่มหาลัยทางนี้ และกลับบ้านก็ต้องขับกลับทางนี้ ถึงมันจะไกล.. แต่มันก็เป็นทางที่ฉันชอบ เพราะงั้นจำไว้ให้ดี เพราะฉันจะขับให้ดูแค่ครั้งเดียว”

                เป็นครั้งแรกที่มินโฮได้ยินแทมินพูดยาวขนาดนี้เป็นครั้งแรก รถที่เคยเงียบเหงาก็เลยมีเสียงที่ทำให้ไม่เหงาหูไป

                “หลังจากเลี้ยวขวาตรงสี่แยก นายจะเจอกับโรงเรียนมัธยมซึลกี ข้างๆโรงเรียนจะมีร้านชาไข่มุกอยู่” ความเร็วของลดถูกชะลอลงเพื่อให้คนที่ต้องนั่งจำทางข้างๆใช้เวลาจำและทำความคุ้นเคยกับสถานที่

                “ข้างหน้าจะมีวงเวียนหอนาฬิกา นายจะต้องขับวนตรงนี้ เพราะถ้านายขับตรงไปตำรวจจะเรียก มันเป็นทางห้ามขับตรง”

                แทมินขับรถไปเรื่อยๆ ก็พบเจอกับวงเวียนอย่างที่ว่าไว้จริงๆ รถถูกขับเวียนอ้อมหอนาฬิกาไปยังถนนอีกฝั่ง มินโฮนั่งพึมพำทวนทางที่จะต้องขับรถไป ในขณะที่แทมินก็มองข้างทางสลับกับมองทางข้างหน้า ในหัวสมองพลางก็นั่งคิดอะไรบางอย่างไปเรื่อยๆ ขับตรงมาอยู่นานก็เลี้ยวขวาอีกครั้ง เข้าซอยที่ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้

                ทั้งแทมินและมินโฮตอนนี้ ต่างก็คิดถึงอะไรบางอย่างอยู่..

                อาจเป็นเพราะต่างคนต่างก็คิดเรื่องของตัวเอง ทำให้ไม่นานนัก ก็ถึงบ้านสักที

                “นายจำได้ใช่ไหมว่าต้องขับผ่านที่ไหนบ้าง” แทมินถามมินโฮอีกครั้งเมื่อดับรถ

                “ครับ ผมจำได้” คำตอบสั้นๆของมินโฮก็ทำให้คนฟังเข้าใจ มินโฮยื่นหนังสือเรียนของแทมินคืนให้ เจ้าตัวรับมาแล้วกำลังจะลงจากรถ แต่ก็หยุดชะงัก แล้วใช้มือล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์หนังสีดำราคาแพงหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่ง ยื่นให้กับมินโฮ

                “เมื่อเช้าฉันลืมให้นาย นายเอาไว้ใช้ตอนรอฉันเรียนละกัน” มินโฮทำท่าจะไม่รับเงินนั้น แต่มือบางๆของแทมินก็จับมือมินโฮยัดเงินนั้นใส่มือแล้วรีบลงจากรถไป

     

              เงินเยอะขนาดนี้จะรับไว้ได้ยังไง สามวันที่ทำงานเรายังทำงานไม่ถึงครึ่งของเงินที่คุณแทมินให้มาเลยด้วยซ้ำ

     

     

     

    .

                .          

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                .

     

     

                “ย่าห์!!! ขับรถเป็นจริงๆใช่ไหมเนี่ย!!” เสียงดังที่ได้ยินจนชินหู ทำให้เปลือกตาสองข้างของคนที่หลับตาอยู่ลืมขึ้นมา บุคคลที่ส่งเสียงดังที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันกลับมายิ้มแหยๆให้คนนั่งเบาะหลัง

                “ชินแล้วล่ะ นายทำให้ฉันตื่นจากการนอนไม่ต่ำกว่าห้าสิบครั้งหลังจากจ้างนายมาทำงานเนี่ย” โชคดีที่ทำงานกันมาเนิ่นนาน ความสนิทสนมทำให้เรื่องที่ค่อนข้างจะกวนใจเขาอยู่ตลอดเวลากลายเป็นเรื่องธรรมดาไป

                “อ่า.. โทษทีนะ เรื่องเสียงดังเนี่ยแก้ยากชะมัด ว่าแต่จะให้ฉันลงไปเปิดประตูให้ไหมครับ ท่านประธาน”

                “เตรียมเอกสารให้พร้อมเถอะ รีบๆเข้า ใกล้เวลานัดแล้ว” อนยูพูดสั่งเลขาส่วนตัวแล้วลงจากรถที่นอนหลับมาตลอดทาง ความเมื่อยถูกปลดปล่อยด้วยการยืดแขนบิดไปมาอย่างที่ทำอยู่บ่อยๆ ไม่นานนักเลขาคนสนิทก็เดินลงจากรถพร้อมกระเป๋าเอกสารที่เตรียมมา พ่วงด้วยเสื้อคลุมสีดำที่เกือบจะยับเพราะความร้อนรนและของที่เต็มไม้เต็มมือ เจ้าตัวเห็นก็อดไม่ได้จะต้องเดินเข้าไปช่วย

                “หยุดๆๆๆ ไอ้เอกสารเนี่ยอย่าถือ เอาเสื้อคลุมไปใส่ก่อนมันจะยับ” ลูกน้องที่สั่งเจ้านายเป็นประจำก็สั่งอีกเช่นเคย อนยูก็น้อมรับฟังคำสั่งลูกน้องคนเก่ง หยิบเสื้อคลุมมาสะบัดแล้วสวมทับเสื้อเดิมแล้วจัดระเบียบเสื้อเพื่อความเรียบร้อย

                “เสร็จยังเนี่ย ควังฮี” หลังจากสนใจการแต่งตัวของตนอยู่นานก็หันมาถามเลขาฮวัง ควังฮีที่ยืนจัดแฟ้มเอกสารอยู่

                “โอเคๆ เดินไปๆ รีบจริงๆเลยนะคุณอนยู” ได้รับคำสั่งจากลูกน้อง อนยูก็ทำตามอีกครั้ง ก่อนจะเดินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อาจเป็นเพราะอยากเรียกความมั่นใจก่อนจะเจอกับบุคคลที่นัดไว้ก็เป็นได้

                “ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยควังฮี ทำไมเราต้องมาร่วมทำสัญญาอะไรกับบริษัทนี้ด้วย” ถึงจะเป็นท่านประธานใหญ่ แต่อนยูกลับไม่ชอบใจกับการตัดสินใจที่จะทำธุรกิจในครั้งนี้เลย เขามีสิทธิ์จะคัดค้าน แต่เป็นเพราะผู้ถือหุ้นในบริษัทส่วนใหญ่นั้นมีข้อเสนอและความเห็นส่วนใหญ่ที่จะทำธุรกิจร่วมกับบริษัทค้าเพชรรายใหญ่แห่งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งและปัญหา ถึงต้องยอม

                “มันก็ดีออก! K’s Gem ก็ยิ่งใหญ่ในตลาดค้าอัญมณีมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ของประธานคนปัจจุบัน ถ้าเราทำธุรกิจกับเขาก็มีแต่ได้กำไรกับกำไรทั้งนั้น อีกอย่างบริษัทเราที่เป็นคู่แข่งกับเขาก็จะได้ถือโอกาสผูกมิตรกันด้วย” ควังฮีออกความเห็นให้อนยูมั่นใจกับการติดต่อการค้าในครั้งนี้

                อนยูนั้นเป็นคนเก่งในเรื่องการทำงาน แต่เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่จะทำ แต่ทุกครั้งผลลัพธ์ของงานที่ออกมานั้นก็ดีเสมอ ครั้งนี้เป็นครั้งที่เขาไม่มั่นใจที่สุดตั้งแต่เริ่มรับมรดกสืบทอดธุรกิจค้าอัญมณีต่อจากพ่อที่ทิ้งไว้ให้

                อาจเป็นเพราะ.. สิ่งที่เคยเกิดขึ้นก็ได้

                ไม่ช้าไม่นาน ก็ถึงสถานที่นัดพบ อนยูหายใจเข้าลึกๆเรียกความมั่นใจให้ตัวเองในครั้งสุดท้ายก่อนจะพบเจอกับคู่ค้า

                “สวัสดีครับคุณอี ยินดีที่ได้พบครับ ผมอีจงฮยอน เลขาของท่านประธาน.. เชิญข้างในครับ ท่านประธานรออยู่” อนยูและควังฮีได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเลขาของคู่ค้าอัญมณีด้วยรอยยิ้มและบุคลิกการพูดที่ดูเป็นมิตรแม้เพียงการทักทายและแนะนำตัว อนยูและควังฮีโน้มตัวลงกับการทักทายของอีจงฮยอน

                ประตูห้องที่ทำด้วยไม้สีน้ำตาลถูกเปิดออกในองศาพอประมาณ อนยูและควังฮี เลขาที่มาด้วยก้าวเดินเข้าในห้องอย่างช้าๆ

                ใบหน้าของคนที่ก้มหน้าทำอะไรอยู่สักอย่างเงยขึ้นมาเมื่อรู้ว่าคนที่นัดพบได้มาถึงแล้ว เจ้าตัวลุกขึ้นและยิ้มออกมากับการพบเจอคนที่รอ

                “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อี อน ยู” การเรียกชื่อสามพยางค์ช้าๆนั่น เป็นสิ่งที่อนยูเกลียดที่สุด

                “มันก็ดีแล้วที่เราไม่ได้เจอกันอีกน่ะ คิม จง ฮยอน” ถึงจะเกลียดแต่ตัวเองก็ทำเช่นนั้นกลับใส่

                “ไม่อยากเจอฉัน แต่ภรรยาฉันน่ะ.. อยากเจอใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงและสีหน้าที่เย้ยหยั่นกัน อนยูทำได้แค่เม้มปากเก็บอารมณ์ไม่พอใจเอาไว้ บุคคลที่เป็นเลขาอีกสองคนในห้องสงสัยกับคำพูดของทั้งสองคน แต่ทำได้แค่เพียงยืนอยู่นิ่งๆเท่านั้น

                “นี่มันไม่ใช่เวลาคุยเรื่องอื่น นอกจากเรื่องที่เรามาพบกันในวันนี้” อนยูรีบตัดบทสนทนาที่เขาไม่อยากมี ด้วยการนั่งลงบนโซฟาสีขาวอย่างดีโดยที่ไม่รอให้จงฮยอนเชิญนั่ง จงฮยอนนั่งลงช้าๆ อนยูดึงควังฮีที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวเองลงมานั่งบนโซฟาข้างๆเพื่อให้อุ่นใจขึ้น ดีกว่าต้องนั่งคุยกับจงฮยอนอย่างอึดอัด

                “จะสั่งอะไรมากินก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องรีบ วันนี้ฉันเคลียร์เวลาให้นายคนเดียวเลย” คนพูดดูท่าทางจะใจเย็นกับทุกสิ่ง แต่ตัวอนยูที่เคยเป็นคนใจเย็นเหมือนอย่างเขาในตอนนี้นั้นไม่มี เขาได้แต่กระวนกระวายและอยากทำทุกสิ่งอย่างให้จบในเร็ว

                “ขอโทษครับ แต่ผมมีธุระต่อ เพราะฉะนั้นเข้าเรื่องกันสักทีเถอะครับ” อนยูพูดด้วยคำที่เป็นทางการ ถึงอีกฝ่ายจะพูดอย่างเป็นกันเอง

                “พูดธรรมดาก็ได้นะ เราก็..เป็นเพื่อนกันนี่” ประโยคสุดท้ายทำเอาอนยูเค่นหัวเราะออกมา การกระทำและคำพูดของคนๆนี้ทำให้ตัวเขาแทบบ้า

     

                “เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนที่แย่งแฟนตัวเองหรอก”

     

     


     

                - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


                กลับมาแต่งอีกครั้งละ เย้!!! (แน่ใจหรือว่าควรดีใจ = = )

                คราวนี้ก็กลับมากับชายนี่อีกครั้ง เรื่องที่แล้วมีคนบอกว่าเรื่องต่อไปขอให้แต่งแทคีย์ แต่คาดว่าเรื่องนี้จะไม่มีนะคะ ขออภัยอย่างสูงเลย แต่คาดว่าแทคีย์คงจะไปแต่งเป็นเรื่องสั้นแทน เพราะเรื่องจากโครงเรื่องที่วางไว้นั้น เป็นทูมินดีแล้ว แหะๆ

                เรื่องนี้จะตั้งใจแต่งให้ดีกว่าเรื่องอื่นๆที่เคยแต่งมา เพราะแก้โครงเรื่องจนคิดว่าพอใจแล้ว เรื่องที่ผ่านมาพลาดไปเยอะเลย Y_Y

                และเรื่องนี้คงอาจไม่อัพบ่อยเหมือนเรื่องผ่านๆมานะคะ เพราะว่าทั้งการบ้านและเรียนพิเศษก็ทำเอาคิดอะไรไม่ค่อยออกและไม่ค่อยมีเวลา แต่ก็จะพยายามอัพนะคะ

     

                ขอบคุณสำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านค่ะ หวังว่าจะอ่านตอนต่อไปนะคะ

     

                13.01.12 - lighteli

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×