เหตุ(ให้)รักในวันปีใหม่ - เหตุ(ให้)รักในวันปีใหม่ นิยาย เหตุ(ให้)รักในวันปีใหม่ : Dek-D.com - Writer

    เหตุ(ให้)รักในวันปีใหม่

    เขาทำแบบนี้ จะไม่ให้ฉันคิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไงกัน>///

    ผู้เข้าชมรวม

    66

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    66

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ม.ค. 58 / 19:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเนื่องในวันปีใหม่ คนเขียนนั่งแต่งข้ามปีจนโดนพี่บ่น- -; ได้ออกมาเป็นเรื่องรักแสนสั้น(จากความกดดันรอบข้างและความง่วงของคนเขียนเอง) หวังว่าคนที่อ่านจะรู้สึกเพลินไปกันมัน สามารถติชมได้ตามสบายเพื่อให้คนเขียนคนนี้ได้นำไปปรับปรุงในคราวหน้าที่ไม่รู้ว่าคือตอนไหน ตัวละครในนี้คนเขียนตั้งใจให้มันไม่มีชื่อ คนอ่านจะคิดว่าเป็นตัวเองกับคนที่ชอบหรืออะไรก็ตามสบาย เราจะไม่กีดกั้นจินตานาการของผู้อ่านค่ะ:) (ความจริงคนเขียนก็คิดชื่อตัวละครไม่ออกT^T)

    **ไร้สาระมายาว ตอนนี้เชิญอ่านและเห็นถึงความคิดของคนเขียนในช่วงปีใหม่กันเลย!



    ขอบคุณธีมจาก




     
     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                      ฉันก้าวลงมาจากเตียงหลังจากที่เพิ่งตื่นนอนเมื่อกี้ ฉันไม่ได้รีบอะไรเพราะมันเป็นวันหยุดถึงจะมีนัดกับเพื่อนๆแต่ก็เป็นตอนบ่ายๆฉันเลยตัดสินใจจะใช้เวลาทั้งหมดก่อนจะถึงเวลานัดอยู่ที่บ้านกับครอบครัวโดยเริ่มจากการออกจากห้องนอนไปนั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาในสภาพชุดนอนกับผมยุ่งๆ

                      “ ไปล้างหน้า หวีผมให้เรียบร้อยก่อนสิลูก ”

                      นั่นเป็นประโยคที่พ่อบอกฉันขณะที่ฉันกำลังจะนั่งลงที่เก้าอี้ในห้องอาหารโดยที่ท่านก็ยังทำมื้อเช้าโดยมีคุณแม่เป็นผู้ช่วย ฉันเลยต้องเดินกลับไปที่ห้องน้ำล้างน้ำให้ตัวเองสดชื่นแล้วกลับห้องไปหวีผมให้เป็นทรงขึ้นหน่อย หวังว่าแค่นี้คุณพ่อคงจะพอใจ ฉันคิดแบบนั้นก่อนจะเดินไปที่ห้องอาหารอีกครั้งแต่รอบนี้เหมือนอาหารจะเสร็จพอดี

                      “ ให้หนูช่วยนะคะ ” ไม่ว่าจะมีคนฟังหรือไม่ฉันก็พูดออกไปก่อนจะก้าวไปที่ส่วนของห้องครัวแล้วช่วยจานข้าวออกมา

                      เราสามคนพ่อแม่ลูกทานไปคุยไปอย่างมีความสุข ช่วงเวลาเป็นนี้เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากเพราะเราทั้งสามคนมักจะต้องออกไปข้างนอกพูดง่ายๆก็คือฉันต้องไปเรียนส่วนพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน ถ้าไม่ใช่วันหยุดแบบนี้พวกเราจะอยู่พร้อมหน้ากันไม่บ่อยนัก

                      “ แล้วลูกจะไปข้างนอกเลยรึเปล่า ”

                      “ อีกสักพักค่ะ ” ฉันเอาจานใบสุดท้ายเก็บเข้าชั้นก่อนจะตอบท่าน ฉันก้มหัวให้นิดๆเป็นเชิงว่าขอตัวไปก่อนแล้วก็เดินกลับเข้าห้อง

                      ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วเริ่มใช้นิ้วเลื่อนดูข้อความที่คนในห้องต่างโพสลงที่เกี่ยวข้องกับวันนี้ก่อนจะถูกใครบางคนทักมา

                      [วันนี้เธอจะมารึเปล่า] โทรศัพท์แทบจะหลุดมือแต่โชคดีที่คว้าทัน ฉันมองไปที่ชื่อคนส่งข้อความ หัวใจก็เต้นตึกตักๆ ทั้งแปลกใจและดีใจไปพร้อมกันเมื่อคนที่ทักมาเป็นคนที่ไม่ค่อยได้คุยกันเลยแถมยังเป็นคนที่ฉันแอบชอบอยู่ด้วยแล้วยังข้อความที่เหมือนเป็นห่วงอีกจะไม่ให้ฉันรู้สึกเขินขึ้นมาได้ไง-///-

                      “ ไปสิ อีกสักพักคงจะออกไป ” ฉันพิมพ์ตอบไปโดยที่มือสั่นกว่าจะพิมพ์จบประโยคแก้แล้วแก้อีกเพราะกลัวจะไม่ค่อยเหมาะสม

                      [อีกนานรึเปล่า] ดูเขาพิมพ์สิ ยังกับจะมารับฉันแหละแต่จะเป็นไปได้ไงแต่แบบนี้ถ้าฉันคิดเข้าข้างตัวเองคงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง

                      “ ไม่รู้สิ มีอะไรรึเปล่า ” ตอบสุภาพสุดๆไปเลยแฮะแต่จะให้ทำไงก็มันตื่นเต้นจนคิดอะไรไม่ค่อยออกแล้วนี่นา- -;

                  [อยากจะเดินไปด้วยกันน่ะ] อยากจะกรีดร้องออกมาให้ลั่นบ้าน>///< แบบนี้เขาเรียกว่าให้ท่าใช่มั้ยฉันไม่ได้ไปทำเสน่ห์อะไรใส่เลยนะ เขามาทักของเขาเอง อยากจะตอบว่าได้สิใจจะขาดแต่ถ้าตอบแบบนั้นเขาจะคิดว่าฉันใจง่ายรึเปล่านะ ฉันเลยตัดสินใจเว้นช่วงก่อนจะพิมพ์ตอบจะได้ให้เขารู้สึกว่าฉันเป็นคนเรียบร้อยหน่อย

                      “ ได้สิ เจอกันที่ไหนดี ” รู้สึกเหมือนกำลังจะได้เดทเลย แค่คิดก็เขินจะแย่ ตอนนี้ฉันกระโดดดีใจอยู่ในห้องโดยไม่แคร์ว่าคนในบ้านจะรำคาญ

                      [ตอนเที่ยงที่ป้ายรถเมล์ได้รึเปล่า] ฉันมองไปที่นาฬิกาบนหัวเตียงก่อนจะพบว่าฉันเหลือเวลาอีกแค่สามสิบนาทีในการเปลี่ยนสภาพจากชุดนอนให้กลายเป็นชุดลำลอง อย่างนี้ต้องทำทุกอย่างด้วยความเร็วสูงแต่ชุดฉันยังไม่ได้เลือกไว้เลย คิดแล้วเศร้าY_Y

                      “ ได้ๆ ” ทันทีที่พิมพ์จบฉันแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วตรงดิ่งไปอาบน้ำด้วยความเร็วสูงห่อตัวและกลับมาที่ห้องถ้าโลชั่นผิวและครีมกันแดดเอสพีเอฟสูงเรียบร้อยแล้ว เหลืออีกยี่สิบนาทีลบเวลาเดินไปที่ป้ายรถเมล์ห้านาทีสรุปคือฉันเหลือเวลาแค่สิบห้านาทีในการเลือกชุดและทำผม พระเจ้า!ถ้ารู้ว่าเขาจะมาชวนแบบไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้ฉันเตรียมชุดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนดีกว่า

                      ใส่อะไรดี ฉันคิดประโยคนั้นอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับค้นตู้เสื้อผ้าตัวเองออกมา ใส่กางเกงยีนส์ก็แมนไป ในกระโปรงยาวก็แก่ไป ใส่สั้นขาก็จะหนาว เสื้อแขนยาวตัวเดียวก็ไม่เก๋ เสื้อไหมพรมคงไม่โอหลังจากบ่นในใจมากสักพักฉันก็ได้ชุดที่โอเคที่สุดในตอนนี้ฉันไม่รอช้าเพราะเวลาก็ไม่รอฉัน ฉันหยิบชุดที่ถูกวางอยู่บนเตียงมาสวม สุดท้ายฉันก็ใส่แต่สีมืดๆแต่เปลี่ยนตอนนี้คงไม่ทัน ฉันคว้ารองเท้าบูทมาใส่แล้วออกจากบ้านไปเหลือเวลาสี่นาทีให้เดินไปที่ป้ายรถเมล์พอดิบพอดีฉันเลยกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่จุดหมายแล้วก็ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเจอกับร่างสูงตรงหน้า ถึงเขาจะใส่แค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์แล้วทับตัวเสื้อตัวยาวก็ทำให้เขาดูดีแล้ว

                      “ สวัสดี ”

                      “ สะ...สวัสดี ” ทำไมรู้สึกตื่นเต้นจังนะ ทั้งที่เจอกันทุกวันแท้ๆ

                      “ แต่งตัวน่ารักดีนะ ” ด้วยประโยคนั้นของเขาบวกกับรอยยิ้ม มันทำให้ฉันอยากกอดเขาเดี๋ยวนี้เลยจริงแต่ไม่ได้ต้องรักษาภาพลักษณ์แสนดีของฉันเอาไว้

                      “ ขอบใจนะ ” แค่ได้รับคำชมจากเขาฉันก็รู้สึกแล้วว่าปีหน้าต้องเป็นปีที่ดีแน่ๆ

                      “ รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะตกรถเอา ” หลังจากที่เขามองนาฬิกาข้อมือ เขาก็คว้ามือฉันไปแล้วรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ก็เข้าใจอยู่นะว่าถ้าไม่รีบเราจะสายแต่งานนี้ถ้าเป็นสายก็ไม่น่าจะมีคนว่าอะไรนี่นาแต่เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญเท่าความรู้สึกฉันตอนนี้ถ้าฉันระเบิดได้ฉันคงระเบิดเพราะความเขินไปแล้ว เขาจับมือฉัน มือของคนที่ฉันชอบมาตลอดเป็นวันที่มีความสุขที่สุดของปีเลย

                      รถมาถึงหลังจากที่เรามาถึงเพียงไม่นานและเขาก็ยังกุมมือฉันไว้ ฉันอยากจะบอกให้เขาปล่อยมือนะแต่ใจมันสั่งไว้ว่าให้อยู่อย่างงี้ต่อไปแถมมือยังทำตามที่หัวใจสั่งอีกต่างหากจนในที่สุดเราทั้งคู่ที่นั่งลง

                      “ คะ...คือ... ” พูดไม่ออกเลยอ่ะ รู้สึกเขินทำตัวไม่ถูก>///<

                      ฉันก้มหน้าเพื่อปกปิดความเขินของตัวเองแล้วยกมือขึ้นเพื่อให้เขาเห็นมือของเราที่จับกันไว้หลวมๆ ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาทำสีหน้ายังไงแต่หัวใจฉันก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบของเขาที่มันมากขึ้น บอกฉันทีว่าเขาจงใจแกล้งฉันหรือว่าเขาจะรู้แล้วว่าฉันเขินเขา ไม่นะๆแล้วฉันควรทำตัวต่อไปยังไงล่ะเนี่ย

                      “ ไปกันเถอะ ” เขาเขย่ามือของฉันเบาๆ ฉันเหลือบมองไปยังเขาที่เตรียมเหมือนจะลุกจึงเข้าใจทันทีว่าคงใกล้จะถึงที่หมายแล้ว ฉันเลยลุกออกจากที่และลองดึงมือออกดูแต่กลายเป็นว่าเขาจับแน่นจนฉันดึงไม่ออกหรือฉันอาจจะมีแรงไม่ไม่มากพอ เขาไม่รอให้ฉันดึงมือออกนานัก เขาจับมันแน่นกว่าเดิมแล้วเดินนำฉันลงจากรถและเราทั้งสองคนก็ยังคงเดินไปที่ห้องเรียนโดยที่มือยังคงจับกันอยู่ แบบนี้จะไม่ให้ฉันคิดเข้าข้างตัวเองได้ไงล่ะถ้าจะบอกว่าลืมตัวก็คงไม่ใช่เพราะเขาบีบมันแน่นขึ้นเมื่อฉันพยายามจะบอกว่าเขาควรปล่อยได้แล้ว

                      “ สุขสันติ์วันปีใหม่! ” ทุกคนในห้องต่างชนแก้วน้ำส้มของตัวเองแล้วพูดออกมาพร้อมกันทั้งที่วันนี้ต้องเรียกว่าส่งท้ายปีเก่าแต่เพราะห้องเราจัดวันนี้ให้เป็นงานเลี้ยงปีใหม่ของห้อง มันก็คงช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะให้วันนี้เป็นวันปีใหม่แถมพรุ่งนี้พวกเราก็คงต้องแยกย้ายกันไปเที่ยวเนื่องในโอกาสหยุดยาวทั้งกับเพื่อนและครอบครัว

                      ส่วนเรื่องจับมือระหว่างฉันกลับเขาหลังจากที่เราสองคนเข้ามาโดยที่คนในห้องไม่รู้ตัว เขาก็ปล่อยมือฉันยิ้มให้กันนิดหน่อยก่อนจะเดินไปหากลุ่มเพื่อนผู้ชายของเขา แต่มันก็ยังทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขาจงใจที่จะจับมือฉันรึเปล่าเพราะถ้าแค่กลัวไม่ทันรถเขาก็น่าจะปล่อยมือตั้งแต่ที่ขึ้นรถแล้วแต่คิดไปก็หนักหัวเปล่าๆฉันเลยเดินไปหากลุ่มเพื่อนของฉัน

                      “ ฉันเห็นนะ ว่าเธอกับเขามาด้วยกัน ” เพื่อนสาวคนหนึ่งของฉันพูดขึ้น

                      “ ก็บ้านเราอยู่ใกล้ๆกันนิ ยังไงก็ต้องมาทางเดียวกันอยู่แล้ว ”

                      “ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ” เธอทำสีหน้าเหมือนตัวโกงไม่มีผิด

                      “ ... ” หรือว่าเธอจะรู้ว่าเราจับมือกันมาแล้วฉันจะตอบว่ายังไงดีล่ะก็เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนี่นา

                      “ หน้าของแดงนิดหน่อยตอนเดินมาหาพวกเรา ระหว่างสองคนมีอะไรรึเปล่า ”

                      “ จะไปมีได้ยังไงกันเล่า! ” รู้สึกอายจริงๆที่พวกเธอดันเห็นสีหน้าแบบนั้นของฉันเข้าแต่ก็ดีแล้วที่เธอไม่รู้ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร

                      “ ถ้าไม่รีบจะโดนแย่งไปซะก่อนนะ เธอก็น่าจะรู้ว่าเขาน่ะเนื้อหอมจะตายไป ” เธอขยิบตาให้ฉันทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว ทำไมเพื่อนฉันถึงทิ้งฉันไว้แบบนี้ล่ะ

                      “ พวกเรามาจับฉลากแล้วกลับบ้านกันเถอะ ฉันอยากไปเที่ยวต่อแล้ว ” หัวหน้าห้องตะโกนเสียงดังพร้อมกับยกขวดโหลขึ้นมาและในไม่ช้าทุกคนก็ได้หมายเลขของขวัญและฉันก็ได้ฝากให้เพื่อนเอาของขวัญมาให้แต่ก็โดยทิ้งไว้คนเดียวก็เลยไปยืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง ถึงมันจะดูเป็นเรื่องเด็กๆที่ไม่ควรทำในกลุ่มพวกเราที่อายุเท่านี้แล้วแต่ฉันก็ยังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นของขวัญที่ตัวเองจับได้

                      “ ถ้าได้ของครบหมดทุกคนแล้ว ก็แยกย้ายได้ส่วนใครที่โดนมอบหมายให้ทำความสะอาดก็จัดการด้วยล่ะ ” ช่างเป็นหัวหน้าห้องที่ดีจริงโยนหน้าที่สำคัญให้ลูกน้องอันไหนตัวเองอยากทำถึงทำ

      โชคดีที่ฉันไม่ได้โดนมอบหมายแต่ที่ฉันยังกลับไม่ได้ก็เพราะฉันยังไม่ได้ของขวัญของตัวเองน่ะสิแถมเพื่อนฉันก็เดินออกไปจากห้องแล้วด้วย คนก็เยอะถ้าตามไปถามตอนนี้ก็คงลำบากไว้ค่อยโทรศัพท์ถามทีหลังก็แล้วกัน

      “ กลับด้วยกันมั้ย ” ฉันหันไปตามเสียงที่คิดว่าน่าจะพูดกับฉันก็เจอกับเขาคนเดิมแล้วหัวใจก็กลับมาเต้นแรงอีก ทำไมวันนี้ฉันรู้สึกว่าเขารุกฉันมากกว่าปกติทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เลยแท้ๆแถมฉันก็ยังไม่เคยแสดงตัวว่าชอบเขาต่อหน้าเลยนะแค่บอกให้เพื่อนๆฟังก็เท่านั้นเอง

      แต่โอกาสแบบนี้ใครล่ะจะปฏิเสธลง ฉันก็ยอมเดินกลับไปกับเขาด้วยความคิดที่ว่าทางเดียวกันกลับด้วยกันไม่ได้คิดจะทำอะไรมิดีมิร้ายหรอกนะ ก็แค่กลับด้วยกันแค่นั้นจริงๆ

      บรรยากาศระหว่างเราสองคนเงียบผิดกลับตอนมาแต่หัวใจฉันเต้นแรงอยู่ตลอดเวลาหวังว่าคงไม่ดังจนเค้าได้ยินจนตอนนี้เราทั้งคู่ก็อยู่บนรถเมล์ ฉันถึงรวบรวมความกล้าพูดทำลายความเงียบได้

      “ วันนี้ได้ของขวัญอะไรมาเหรอ ”

      “ หลายกล่องเลยล่ะ ” เค้าเปิดกระเป๋าเป้ของเขาให้ฉันดูก็พบว่ามันมีอยู่หลายกล่องจริงๆ

      “ วะ...วันนี้วันเกิดนายนี่นะ ” ให้ตายฉันลืมได้ไงเนี่ยอย่างน้อยก็น่าจะให้อะไรเค้าหน่อย มิน่าล่ะกองกล่องของขวัญมันถึงดูเยอะกว่าจำนวนคนในห้องที่แท้ส่วนหนึ่งก็เป็นของเขานี่เอง “ ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้ให้อะไรนายเลย ” จะโกรธรึเปล่านะ

      “ เธอให้ฉันมาแล้วแต่ฉันควรจะพูดว่าฉันเอามาจากเธอมากกว่า ”

      ??

      “ ถ้าอยากให้ของขวัญฉันเธอแค่หลับตาก็พอ ”

      “ ตะ...ตอนนี้เลยเหรอ ” ทำไมหัวใจฉันมันเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้วล่ะเนี่ยแรงกว่าปกติอีก แล้วเขาคิดจะทำอะไร

      ฉันหลับตาตามที่เขาบอก หลับตาแน่นเพราะกลัวโดนเขาแกล้งแล้วหัวเราะเยาะในความซื่อของฉันแต่จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุที่หัวใจเต้นแรงอยู่ดีจนกระทั่งรู้สึกถึงความอบอุ่นที่หน้าฝากบวกกับน้ำหนักที่ถูกกดลงมาและฉันรู้ว่ามันไม่ใช่มือ ตะ...แต่เป็น...เขา...จูบหน้าผากฉัน นี่มันอะไรกัน รู้สึกเหมือนตัวจะระเบิดเลย>///<

      “ เป็นแฟนกับฉันนะ ”

      วันนี้เป็นเป็นที่ดีที่สุดของปีและอาจเป็นที่สุดในชีวิตของฉันเลยก็ได้

      -THE END-

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×