ตอนที่ 7 : 第7 集 ม่านวิวาห์อลเวง
ตอนที่ 7 ม่านวิวาห์อลเวง
ฟังกันที่ไหนเล่า เซียวจ้านคร้านจะเถียงเลยเดินตามแรงอี้ป๋อที่กำลังจูงแขนราวกับเป็นเด็กน้อยเข้าไปในตลาดขายของสดแทน เมื่อแผนทำตัวดื้อด้านไม่ได้ผลก็ตามใจเขาหน่อยละกันเผื่ออี้ป๋อจะใจดีให้ซื้อสุรากลับเรือน
“ไข่ไก่จ้าไข่ไก่”
เสียงบรรดาแม่ค้าส่งเสียงชวนให้สองชายหนุ่มเดินเข้าไปดูไข่ไก่สดใหม่ ยิ่งเห็นว่าสองบุรุษหน้าตาหล่อสมชายชาติตระกูลดีก็ยิ่งส่งเสียงอ่อนเสียงหวาน อี้ป๋อพยักหน้าให้เซียวจ้านเป็นเชิงว่าให้เข้าร้านนี้เซียวจ้านเลยต้องเดินตามเข้าไป
อัศจรรย์! เซียวจ้านรู้สึกเหมือนโลกมันกำลังพลิกคว่ำเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน คนอย่างหวังอี้ป๋อชายเย็นชาและดูท่าแล้วไม่น่าจะสันทัดเรื่องจ่ายตลาดแต่กลับเลือกไข่แต่ละใบอย่างชำนาญและมีความรู้ มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน
“เดี๋ยวนะอี้ป๋อ เจ้าเลือกเป็นได้อย่างไรกันข้ายังเลือกไม่เป็นเลย”
“ไข่ไก่ให้ดูที่น้ำหนักที่สี อย่างใบนี้สีนวลแสดงว่าสดใหม่แล้วเปลือกไม่เรียบบาง หากเรียบบางแสดงว่าเป็นไข่เก่า”
“ไม่น่าเชื่อ...”
ราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์บนโลกใบนี้ ดวงตากลมโตของเซียวจ้านเบิกกว้างและมองใบหน้าของอี้ป๋อด้วยความรู้สึกทั้งแปลกใจและทึ่ง ไม่เพียงแต่เซียวจ้านเท่านั้นแม้แต่แม่ค้ายังยิ้มให้กับความเก่งของชายสมัยนี้
“ก็เชื่อซะสิ เอาล่ะแม่ค้าข้าเลือกแล้วช่วยห่อและคิดเงินเลย”
แม่ค้ารับไข่ในตะกร้าที่อี้ป๋อเลือกเอาไว้ประมาณยี่สิบใบเศษมาคิดเงินและยื่นให้ก่อนที่อี้ป๋อจะเดินไปซื้ออย่างอื่นต่อท่ามกลางเซียวจ้านที่ดูเหมือนจะศิโรราบให้อี้ป๋อเล็กน้อย เดินตามต้อยๆและยิ้มชื่นชมอี้ป๋อไปพลางๆจนซื้อของเกือบเสร็จทุกอย่าง
“อี้ป๋อ...เจ้าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเจ้าจ่ายตลาดเป็นได้เยี่ยงไร ปลาเอยหมูเอย เจ้าซื้อได้สดจนใครต่างชม”
“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไมกัน?” อี้ป๋อยังคงเป็นอี้ป๋อวันยันค่ำ หากไม่ใช่เรื่องจำเป็นก็ไม่อยากจะเล่านักหรอก
“เอาเถิดข้าอยากรู้”
“เด็กๆข้ามาที่ตลาดกับแม่บ่อยๆ พอแม่ข้าเสียไปตั้งแต่เด็กก็...” น้ำเสียงของอี้ป๋อหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดเสียจนเซียวจ้านอยากจะเอามือมาตบปากตัวเองเสียจริง เขาเองก็ไร้แม่ตั้งแต่เด็กเลยเข้าใจดีว่านี่น่ะเหมือนจี้ใจดำอีกฝ่ายเต็มๆ
“อ่า ช่างเถิด ข้าว่าแม่เจ้าต้องภูมิใจเจ้ามากๆเลยอี้ป๋อ”
รอยยิ้มสวยหันไปคลี่ให้อี้ป๋ออย่างจริงใจ ประจวบเหมาะดวงตานิลหันมามองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาน้ำตาลอ่อนอย่างตกในภวังค์ กลีบปากบางชมพูเวลายิ้มแล้วเหมือนเวลามันหยุดนิ่ง อี้ป๋อไม่สามารถละสายตาจากความงามตรงหน้าได้เลย
ท่ามกลางเสียงจอแจในตลาดไม่ได้ทำให้เซียวจ้านและอี้ป๋อหงุดหงิดใจแต่ยังคงมองหน้ากันและกัน ชั่ววูบเสี้ยววินาทีมุมปากของอี้ป๋อผุดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง แค่นั้นก็ทำให้เซียวจ้านสบายใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงยกโทษที่ไปจี้ปมเข้าให้
แต่หารู้ไม่ว่าอี้ป๋อไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เล่าเรื่องแม่ตัวเองสักนิด แต่ถ้าหากเล่าออกมาแล้วได้รับความจริงใจจากเซียวจ้านขนาดนี้อี้ป๋ออยากแสร้งเศร้าอีกเสียหน่อยจริงๆ
“น้าฮะ ข้าอยากได้น้ำตาลปั้นอันนี้”
“ออกไปให้พ้นร้านข้าหน่อยเจ้าเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ข้าจะขายของ เจ้ามายืนเกะกะลูกค้าไม่เข้าร้านข้าพอดี ไป!”
เซียวจ้านเดินก้มหน้าก้มตานับของในมือที่ตัวเองช่วยอี้ป๋อหิ้วมาว่าครบหรือไม่แต่ปลายหูต้องกระดิกไปกับเสียงเอ็ดของผู้ใหญ่ที่ไล่เด็กเนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งให้ไปจากหน้าร้านขายน้ำตาลปั้นอย่างใจร้ายใจดำ
อี้ป๋ออาจจะแค่ยืนมองแต่กับเซียวจ้านนั้นไม่ใช่ เรียวขายาวรีบเดินสาวเท้าไปใกล้และควักเงินในกระเป๋ากางเกงยื่นให้นางก่อนจะคุกเข่าให้ตัวเสมอกับเด็กชายเนื้อตัวมอมแมมพร้อมคลี่รอยยิ้มเอ็นดูให้
“ว่าไงเจ้าหนูข้าจ่ายเงินให้แล้ว เจ้าอยากได้อันไหนหรือ?”
“อันนี้ ข้าอยากได้กระต่ายอันนี้”
“ย่อมได้”
เซียวจ้านยื่นมือไปหยิบน้ำตาลปั้นรูปกระต่ายกำลังหมอบคลานนั่นยื่นส่งให้เด็กชายเนื้อตัวมอมแมมและด้วยความเอ็นดูไร้ความรังเกียจ มือนิ่มขาวผ่องเอื้อมไปลูบหัวเด็กนั่นช้าๆและหัวเราะไปกับความน่ารักเมื่อได้ของที่ชอบ
เด็กเนื้อตัวมอมแมมยิ้มกว้างไปเลียน้ำตาลปั้นไปยิ่งทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเอ็นดูไปกันใหญ่ แต่เซียวจ้านคงไม่รู้ว่าข้างหลังตัวเองนั้นชายที่มาด้วยกันก็ยืนมองภาพผู้ใหญ่ใจดีที่สวยไปทั้งจิตใจและหน้าตากำลังคุยกับเด็กมอมแมมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ขอบคุณ พูดสิว่าขอบคุณ” อี้ป๋อยิ้มอยู่สักพักก็เดินเข้าไปใกล้เด็กคนนั้นและกำชับเสียงเข้มให้เด็กรู้มารยาทเวลาผู้ใหญ่ให้ของ เด็กชายตัวเล็กก้มหัวให้และเอ่ยขอบคุณก่อนจะวิ่งถือน้ำตาลปั้นไป
“ความจริงข้าไม่ได้หวังให้เขาขอบคุณเลยอี้ป๋อ เจ้าไม่น่าไปดุ”
“เราต้องสอนเขาด้วยสิไม่อย่างนั้นจะโตไปเป็นเจ้าพอดี”
เอ้ะ? เดี๋ยวนี้อี้ป๋อท่าจะผีเข้าแล้วกระมัง นอกจากจะพูดยาวๆกับเขาเสียยังค่อนขอดเก่งอีกด้วย ปากร้ายจิกกัดเจ็บเป็นมดแดงบนต้นมะม่วงไม่มีผิดเพี้ยน
“เจ้าว่าข้าหรืออี้ป๋อ!”
“ชอบเด็กหรือไง?” มือเรียวทำท่าจะชกแขนอี้ป๋อให้หายเคืองแต่อี้ป๋อกลับถามขึ้นมาเสียก่อน
“อืม ใครบ้างไม่ชอบเด็ก จะว่าไปข้าเองก็เคยคิดตลอดว่าหากข้าเจอนางในฝันข้าก็อยากมีครอบครัวกับนาง มีลูกสักสองคนไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจ เป็นแก้วตาในชีวิต”
ดวงตาของเซียวจ้านทอแสงออกมาด้วยจินตนาการที่เคยคิดเอาไว้ มันเป็นเรื่องจริงที่เซียวจ้านอยากจะมีในอนาคตจึงถ่ายทอดออกมาอย่างสวยงาม แต่อี้ป๋อกลับขบกรามหันหน้าไปทางอื่นจนเซียวจ้านงงไปหมด
“เจ้าไม่อยากมีลูกหรือไงถึงได้ไม่พอใจความคิดข้า?” ไหล่บางกระแทกไปที่ไหล่ซ้ายของอี้ป๋อข้างๆนิดหน่อยเป็นเชิงหยอกล้อหยอกถาม อี้ป๋อทำท่าจะเดินนำไปเซียวจ้านเลยเดินตามเพื่อจะตื้อคำตอบให้ได้
“ชายทุกคนก็อยากมีลูกด้วยกันทั้งนั้น เจ้าเองก็อยากมีข้ารู้ ไฉนเราไม่หานางคู่ใจและล่มงานแต่งเสีย เจ้าแต่งกับข้าเจ้าจะไม่มีลูกนะ”
“นี่เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ..?”
อี้ป๋อชะงักฝีเท้าที่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อหยุดถามสิ่งที่ก่อกวนใจ เรื่องลูกที่เซียวจ้านว่าเจ้าตัวไม่รู้เลยหรือไงกันว่าตัวเองแปลกจากชายทั่วไป ต่อให้แต่งกับเขาก็มีลูกได้ไร้ปัญหา เรื่องแบบนี้มีบนโลกด้วยหรือที่เจ้าตัวไม่รู้
“ข้าต้องรู้เรื่องอะไร..?”
อี้ป๋อถอนหายใจออกมาและส่ายหัวใส่ ในเมื่อเจ้าตัวไม่รู้ก็ขี้คร้านจะเล่าปล่อยให้ไม่รู้ต่อไปน่ะดีแล้ว อยากบอกเมื่อไหร่อี้ป๋อค่อยบอกละกัน ตอนนี้สายมากแล้วต้องรีบกลับเรือนเพราะกว่าจะถึงน่าจะบ่ายคล้อยพอดีปล่อยให้คนอยากรู้เดินตามเดินถามไป
“ซือจุย เจ้าเอาโพยนี้ไปยื่นให้ร้านยาสมุนไพรเจ้าเดิมที่ข้าเคยให้ไปซื้อนะ”
อีกด้านซือจุยถูกเวินฉิงเข้ามาในเรือนก่อนจะยื่นโพยในมือให้ซือจุยรับไปอ่านและพยักหน้าให้ ตัวยาที่ว่าซือจุยก็ไม่รู้จักหรอกแต่ร้านเดิมที่เวินฉิงมักจะให้ไปซื้อยาเข้าเรือนบ่อยๆซือจุยรู้จักดี
“ขอรับ”
เวินฉิงพยักหน้าและทอดสายตามองแผ่นหลังเด็กหนุ่มเดินไปจนสุดลูกตาด้วยรอยยิ้มมีแผนอะไรบางอย่าง ประจวบเหมาะกับซีเฉินเดินเข้ามาในห้องรับรองพอดี
“ยิ้มอะไรเวินฉิง?”
นางยิ้มให้เล็กน้อยและเขยิบที่ให้ซีเฉินนั่งลงข้างๆ ความอยากรู้ของเขามีมากเวินฉิงรู้ดีแต่เรื่องนี้จะพูดออกไปไม่ได้ในเมื่อหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง
“เวินฉิง เจ้าให้ซือจุยไปซื้ออะไรหรือ?”
“เรื่องนี้เดี๋ยวท่านก็รู้ซีเฉิน หน้าที่ท่านคือทำอย่างไรก็ได้ให้คืนนี้อี้ป๋อกับเซียวจ้านอยู่ห้องเดียวกันไร้ทางออกมาได้ก็พอ”
ซีเฉินเบิกตากว้างจากกันเล็กน้อยและย่นคิ้วใส่ พอนางขยิบตาให้ก็เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าเวินฉิงคงอยากได้หลานสะใภ้ใจจะขาดแน่นอน
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำ ข้าเห็นว่าเจ้าดูท่าไม่ชอบคุณชายเซียวจ้าน”
“มันเป็นคำสาบานกันระหว่างตระกูลท่านไม่ใช่หรือ? อีกอย่างเห็นเซียวจ้านแบบนั้นข้าเปลี่ยนความคิดจากเหม็นหน้าเป็นพึงพอใจแล้วล่ะ” ซีเฉินส่งสีหน้าเครื่องหมายคำถามไปให้นางคนรักก่อนที่นางจะคลี่ยิ้มให้และเอามือวางมาที่มือหนาของชายคนรักข้างกาย
“ดื้อด้านไปหน่อยแต่ก็เป็นสีสันในชีวิตอี้ป๋อไม่ใช่หรือ ข้ารู้น่าว่าอี้ป๋อน่ะมีความสุขเพิ่มขึ้นทุกวัน อีกอย่างเซียวจ้านเป็นคนฉลาดข้าดูออกว่าคู่ควร”
“ข้าคิดไม่ผิดเสียจริงที่แต่งงานกับเจ้า เวินฉิงของข้าทั้งสวยและฉลาด” เวิน
ฉิงก้มหน้าเล็กน้อยและยิ้มเอียงอายให้กับคำชมของสามี แต่เหมือนสองสามีภรรยาจะหวานกันได้ไม่นานตัวขัดคอก็เข้ามาพอดี
เวินฉิงอยากจะถอนคำชมเมื่อกี้เสียจริง
“ข้ากับอี้ป๋อกลับมาแล้ว ได้ของมาครบด้วย”
เสียงร่าเริงอันเป็นเฉพาะตัวของเซียวจ้านดังขึ้นก่อนที่เวินฉิงจะส่ายหัวถอนหายใจ นางจะไปตกใจหรือแปลกใจอะไรกับแค่ซื้อของมาครบในเมื่อนางรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าอี้ป๋อไปยังไงของก็ได้มาครบและมีคุณภาพแน่นอน
“อ้าว ทำไมไม่มีใครแปลกใจเลย?”
“ฮ่าๆ คุณชายเซียวจ้านไม่ต้องสงสัยไปหรอก คนที่บ้านนี้รู้กันดีอยู่แล้วว่า
อี้ป๋อจ่ายตลาดเป็นเลยไม่มีใครตกใจ เจ้าเพิ่งกลับมาร้อนๆไปอาบน้ำอาบท่าไปแล้วมื้อเย็นลงมาทานข้าว”
ซีเฉินหัวเราะให้กับใบหน้าอันแสนตลกของเซียวจ้านเมื่อทำหน้างงเป็นเครื่องหมายคำถามเสียยิ่งกว่าตอนที่ซีเฉินทำเสียอีก เลยจัดการไล่ไปอาบน้ำอาบท่าเสียขืนอี้ป๋อกับเซียวจ้านอยู่ตรงนี้เขากับเวินฉิงพลอยทำอะไรไม่ได้พอดี
“เก่งไปหมดสินะ หมั่นไส้จริง” อี้ป๋อย่นคิ้วใส่เซียวจ้านที่หันมาประชดประชันสะบัดหน้าเดินหนีขึ้นบันไดไป ซีเฉินบอกอี้ป๋อหน่อยสิว่าอี้ป๋อทำอะไรผิด
บนโต๊ะอาหารเย็นเป็นเพียงโต๊ะไม้เตี้ยๆพอดีกับเก้าอี้ที่ไม่สูงมาก ราวกับจัดแจงที่นั่งเอาไว้ล่วงหน้าเพราะซีเฉินขยับไปนั่งกับเวินฉิงและให้อี้ป๋อกับเซียวจ้านนั่งข้างกันสองคน สองชายนั่งเบียดกันน่าอึดอัดไม่เท่าเซียวจ้านเหม็นหน้าอี้ป๋อสักนิดกินไปค่อนขอดไป ใช่สิพ่อคนเก่งทำได้เสียทุกอย่าง
“นี่เจ้ายังไม่เลิกงอนพวกข้าอีกหรือที่ไม่ได้บอกว่าอี้ป๋อเก่งเรื่องจ่ายตลาด?”
ซีเฉินถามขึ้นระหว่างมื้ออาหารทำเอาคนที่อายุน้อยกว่าอย่างเซียวจ้านรู้ว่ากิริยาเขาชักจะไม่เหมาะสมและทำให้ซีเฉินเข้าใจผิดว่าก้าวร้าวจึงรีบยกมือมาโบกเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่เยี่ยงนั้นท่านอาซีเฉิน ข้าหาได้โกรธเคืองหรืองอนท่านอาท่านน้าไม่ ข้าแค่หมั่นไส้พ่อดอกพิกุลข้างๆ ชอบทำข้าขายหน้า เก่งนักทำไมไม่เอ่ยปากบอก”
“ฮ่าๆ เยี่ยงนี้เองหรือ? เจ้าก็น่าจะรู้ว่าอี้ป๋อไม่ค่อยพูดค่อยจา จะให้อวดตนก็ดูท่าว่าจะไม่ใช่ตัวเขานะ ยังไงเจ้าก็อย่าถือสาเลย ทานข้าวเถอะ”
“ข้าขออภัยที่เสียมารยาท”
เซียวจ้านยกมือทั้งสองมาผสานกัน ข้อศอกขนานราบไปกับพื้นแล้วก้มหัวขอโทษ ซีเฉินส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ถือสาอะไรผิดกับเวินฉิงที่ดูท่าจะไม่สนอะไรบนโต๊ะอาหารเลยด้วยซ้ำ
“เวินฉิงเจ้ามองหาอะไรอยู่หรือ?”
ซีเฉินถามภรรยาข้างๆจนนางต้องแอบใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวหนาไปเล็กน้อย คิดจะให้เสียการเสียงานกันหรือไงกันนะซีเฉิน พอซีเฉินจำความได้ถึงเรื่องที่เคยคุยกันก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“เจ้ารอน้ำอยู่หรือ จริงสิพวกนางรับใช้ยังไม่เอาออกมาให้เลยนี่”
“ข้าจะไปตามให้”
อี้ป๋อเห็นว่าทั้งสองอาน้าพูดเรื่องน้ำก็ว่าจะอาสาลุกไปตามนางในครัวมาให้ อีกอย่างพอเห็นว่าเซียวจ้านเบื่อจะนั่งข้างๆเขาก็อดรู้สึกแปลกๆในใจไม่ได้ หากลุกไปสักพักเซียวจ้านอาจจะมีความสุขกว่านั่งข้างๆเขากระมัง
“เดี๋ยว เจ้าจะไปทำไมนั่งนี่แหละ เดี๋ยวพวกนางก็มา นั่นไงเดินมาแล้ว”
แต่สิ่งที่อี้ป๋อรู้สึกแปลกๆมาทั้งหมดกับถูกกระชากทิ้งให้หายไปด้วยมือบางที่เอื้อมมาคว้ามือขาวผ่องแต่หยาบหนานั่นเอาไว้หลวมๆเพื่อห้ามยั้งไม่ให้อี้ป๋อเดินไปจากที่นั่ง ดวงตาสีนิลค่อยๆไล่สายตาลงไปเรื่อยๆถึงมือที่ประสานจับตัวเองไว้และยกยิ้ม
“อะแฮ่มๆ นั่ง แค่กๆ เถอะ”
ซีเฉินยิ้มกรุ้มกริ่มไปที่มือของเซียวจ้านที่จับมืออี้ป๋อไม่ปล่อยและยกมือขึ้นมาปิดปากแกล้งไอเป็นเชิงแซว แต่ดูท่าว่าเจ้าตัวทั้งสองจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด แถมยังทำหน้าทำตาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือบางค่อยๆละมือออกจากมือหนาและวางบนตักตัวเองตามเดิมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมนั่ง
“มือไวกันจริงเชียว อยากรู้นักว่าอย่างอื่นจะไวไหม”
“ท่านน้าเวินฉิงว่าอะไรหรือ ข้าไม่ได้ยินถนัดนัก”
อี้ป๋อที่กำลังคว้าตะเกียบมาไว้ในมือย่นคิ้วมองไปยังเวินฉิงที่พูดพึมพำออกมาราวกับบ่นกับตัวเองไม่ได้ตั้งใจให้ใครได้ยิน แต่อี้ป๋อมีความอยากรู้มากนักเลยต้องถามออกไป
“ข้าไม่ได้ว่าอะไรนี่ พวกเจ้าช้าเสียจริงไหนล่ะน้ำ”
“นี่เจ้าค่ะ พวกข้ามัวแต่ชงชาเลยช้าขออภัยด้วย”
เวินฉิงหันไปตอบอี้ป๋อทีหันไปหานางในเรือนทีและว่ากล่าวเป็นเชิงตำหนิ ข้าวมาก่อนแต่น้ำตามมาทีหลังได้เยี่ยงไรกัน พอเซียวจ้านเห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ไปทำไมกับน้ำแค่นี้เลยเอื้อมมือว่าจะไปหยิบกาน้ำชาทั้งสองนั่นมาไว้บนโต๊ะเอง
“เจ้า! หยุดเลยนะข้าหยิบเอง”
เวินฉิงออกอาการพิรุธรีบเดินเข้ามาหยิบกาน้ำชาที่หน้าตาคล้ายกันแต่แตกต่างเพียงแค่สีไว้ในมือก่อนที่เซียวจ้านจะคว้าเอาไว้ได้ ดวงตากลมหรี่ลงเป็นเชิงสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่อยากจะอะไรมากและก้มหน้าคีบพริกหวานเข้าปากไป
“กานี้ของพวกเจ้า ส่วนกานี้ของข้ากับซีเฉิน”
“เหตุใดต้องแยกขนาดนี้ด้วยท่านน้า มื้อก่อนๆก็ไม่เห็นจะอะไรนี่?”
เป็นเซียวจ้านที่ยั้งความสงสัยของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่เลยเอ่ยถามออกไป อี้ป๋อย่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อตัวเองก็อยากรู้เช่นกันแต่ขี้คร้านจะถามเพราะไม่ใช่นิสัยจึงได้แต่รอฟังคำตอบ
“ถามมาก ซีเฉินกับข้าไม่ใช่รุ่นหนุ่มเหมือนพวกเจ้านะ พวกข้าต้องพึ่งสมุนไพร”
“อย่างนี้นี่เอง”
“ใช่แล้วล่ะ เวินฉิงมักจะเตรียมสมุนไพรในน้ำชาเอาไว้ ช่างเถิดน้ำชาตรงหน้าเจ้ารีบรินดื่มเสียก่อนที่จะเย็นชืด”
วันนี้เป็นอะไรนักหนากับน้ำชาเนี่ย มื้อก่อนๆก็ไม่เห็นจะให้ความสำคัญเท่าไหร่แต่มื้อนี้คะยั้นคะยอให้อี้ป๋อและเซียวจ้านดื่มจนกดดันไปหมด จะไม่รินใส่แก้วดื่มก็ไม่ได้เมื่อสองสายตาเอาแต่จ้องมาที่เซียวจ้านและอี้ป๋อไม่หยุด
อี้ป๋อเองก็รู้สึกแปลกใจแต่หาได้ตั้งคำถามไม่ เลยหยิบกาน้ำชาตรงหน้ามารินใส่แก้วตัวเองก่อนที่ซีเฉินจะจ้องมาที่แก้วของเซียวจ้านด้วย บังคับให้รินใส่แก้วเซียวจ้านอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้อี้ป๋อไม่รินให้คงถูกหาว่าไร้มารยาทน่าดู
“อ่ะ ดื่มซะสิ”
อีกแล้ว เวินฉิงยื่นมือมารองฐานแก้วของเซียวจ้านที่กำลังยกมันจรดริมฝีปากแต่ชักช้าไม่ได้ดั่งใจเลยต้องใช้นิ้วสวยดันให้ขอบแก้วมันแตะกับกลีบปากแนบชิด เซียวจ้านฉงนใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมให้น้ำชาเหล่านั้นเข้าปากไป
“เจ้าด้วยดื่มสิอี้ป๋อ หรือจะให้ข้าป้อนเหมือนตอนนั้น...”
ไม่ให้เวินฉิงเล่าความยามเป็นเด็กให้อับอายเซียวจ้านข้างๆแน่นอน อี้ป๋อจัดการกระดกน้ำชาในแก้วใส่ปากทีเดียวรวดไม่อย่างนั้นวีรกรรมดื้อด้านผิดกับตอนนี้ครั้นยังไม่ประสีประสาคงได้ถึงหูเซียวจ้านแล้วโดนล้อไปสามชาติแน่ๆ
“ดีมาก มาๆทานข้าวต่อ ระหว่างทานก็ดื่มน้ำชากันไปด้วยล่ะเดี๋ยวติดคอ”
เวินฉิงออกอาการดีใจจนเนื้อเต้นแบบกักเก็บไม่อยู่ไม่ต่างกับซีเฉินที่ยกยิ้มมุมปากอยู่ข้างๆนาง แก้วแล้วแก้วเล่าที่ซีเฉินและเวินฉิงพยายามให้สองชายหนุ่มตรงข้ามดื่มอย่างพึงพอใจ
หลังจากมื้อเย็นผ่านพ้นไปท่ามกลางความอึดอัดจนเซียวจ้านและอี้ป๋ออยากจะลุกกลางโต๊ะข้าวนั้น เซียวจ้านก็ขึ้นห้องมาเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าเข้านอนเป็นปกติเพียงแต่ยังอิ่มหนังท้องตึงนั่งลูบท้องอยู่บนเตียงไม้ไม่ไหวติงไปไหนสักที
เสียงฝีเท้าตรงข้ามห้องนอนของตัวเองดังขึ้น เซียวจ้านก็เดาได้ไม่ยากว่าอี้ป๋อคงจะเสร็จธุระกับซีเฉินด้านล่างแล้ว คงจะขึ้นมาอาบน้ำอาบท่านอนเช่นกัน
...ก๊อกๆๆ...
หืม? ไม่ใช่อย่างนี้ เซียวจ้านคาดเอาไว้เมื่อเสียงเคาะประตูห้องนอนของเขามันดังขึ้นเป็นจังหวะ ซึ่งจังหวะเนิบแบบนี้ย่อมมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนเคาะ ว่าแต่คนนั้นมีเรื่องอันใดต้องมารบกวนกันยามนี้เล่า?
“จะเปิดหรือจะให้พัง?”
นั่นไงเซียวจ้านคาดไว้ไม่มีผิด เสียงแบบนี้และวาจาแข็งกระด้างย่อมไม่ผิดเป็นแน่ต้องเป็นอี้ป๋อพ่อดอกพิกุลอยู่แล้ว เซียวจ้านรีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูไม้และปลดสลักไม้ที่ใช้ปิดประตูออกจากกันก่อนที่อีกคนจะพังเข้ามาจริงๆ
“เจ้ามาทำไม?” เซียวจ้านเอ่ยถามออกไปแต่อี้ป๋อกลับเงียบไม่ตอบ ดวงตากลมโตไล่สายตาลงไปที่มือหนาทั้งสองข้างของอี้ป๋อก่อนจะเห็นว่ามันคือผ้าแพรผืนหนึ่งในมือ ยิ่งเห็นคิ้วก็ยิ่งขมวดเป็นเครื่องหมายคำถาม
“ผ้าแพร? เจ้ามาให้ข้าทำไม?”
“ข้าไม่รู้ ท่านอาเวินฉิงให้ข้ามาให้”
อี้ป๋อทำท่ายื่นให้นานแล้วแต่เซียวจ้านกลับยืนนิ่งไม่ยอมรับสักทีจึงทำใบหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม ความจริงไม่ใช่หน้าที่อี้ป๋อเลยด้วยซ้ำที่ต้องเอาของที่เวินฉิงฝากมาให้เซียวจ้าน แต่ก็นั่นแหละอี้ป๋อคืออี้ป๋อไม่อยากซักความถามมากได้แต่รับๆมาแล้วทำให้จบๆไป
...แกร๊กๆ...
ทันทีที่มือของเซียวจ้านกำลังยื่นรับผ้าแพรในมืออี้ป๋อกลับไม่ได้รับเต็มมือก็มีเสียงดังมาจากหน้าต่างห้องนอนเสียก่อน เสียเหมือนคนโยนหินใส่ประตูหรือเอามือข่วนหน้าต่างจนน่าขนลุก ร่างกายบอบบางยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็งก่อนที่หน้าจะขาวซีด
“จะ เจ้าว่าที่นี่มีผีหรือไม่ ข้าไม่ไปดูนะข้ากลัว”
เซียวจ้านส่ายหน้าระรัว ให้ตายยังไงเซียวจ้านไม่ไปดูเด็ดขาด สุดท้ายก็ต้องถึงมืออี้ป๋อเดินเข้าไปดูให้อยู่ดีว่าต้นเสียงมันมาจากอะไรกัน ยามเดินเชื่องช้าไปถึงหน้าต่างชะโงกหน้าไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร
“ไม่มี...!”
...แกร่ก!...
ยังไม่ทันที่อี้ป๋อจะพูดจบประโยคเสียงประตูปิดจากด้านนอกก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ร่างกายนวลสะดุ้งเฮือกไปทางหน้าประตูห้องนอนและวิ่งไปเขย่าประตูทั้งสองบาน แต่หาได้ขยับเปิดไม่
“อี้ป๋อ มีคนสลักประตูจากภายนอกขังเราไว้แน่ๆ ข้าเปิดเท่าไหร่ก็ไม่ออก” อี้ป๋อที่ได้ยินอย่างนั้นก็ลองมางัดประตูด้วยสุดแรงที่มี จริงอย่างเซียวจ้านว่าไม่มีแม้แต่จะเขยื้อนสักนิด
“ข้าจะปีนไปทางหน้าต่าง...”
ร่างกายแข็งแกร่งและทรงสง่าระงับความสงสัยไว้ในใจและหันกลับไปทางหน้าต่างที่เพิ่งทิ้งมา เพียงแต่ทว่าหน้าต่างบานเดียวที่มีในห้องนอนของเซียวจ้านกลับปิดใส่หน้าอย่างแรง เอามือไปเขย่าเปิดก็เปิดไม่ออก
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่อี้ป๋อ เหตุใดต้องขังเราเอาไว้ที่นี่?”
“...”
อี้ป๋อไม่ได้ตอบคำถามอะไรทำเพียงส่ายหัวและลดมือจากกรอบหน้าต่างนั่นเดินเข้ามาหาเซียวจ้านที่กำลังตระหนกตกใจและหวาดกลัวกับความคิดว่าที่นี่มีผีแน่ๆ คนกลัวผีได้แต่หน้าซีดเผือกใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ทำอย่างไรดีอี้ป๋อ เจ้ากับข้าต้องถูกผีหลอกแน่ๆ”
“หยุดเพ้อเจ้อสักที มีคนขังเราเอาไว้ไม่ใช่ผี”
พอเป็นประโยคยาวๆก็ด่าเซียวจ้านทุกถ้อยคำจนปากสวยเม้มเข้าหากันไม่ให้โวยวายออกไปอีก พอมาคิดดูดีๆแล้วก็น่าจะจริงอย่างที่อี้ป๋อว่า ต้องมีใครจงใจขังเขาสองคนเอาไว้แน่ๆ
แต่ขังไว้ทำไมกัน?
“มีคนขังเราเอาไว้จริงหรือ? แล้วขังเราไว้ทำไม?”
เซียวจ้านเคลื่อนกายเข้าใกล้อี้ป๋อมากขึ้นเพราะหัวสมองยังฝังจำว่าที่นี่อาจมีผี เผลอๆเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นผีทำก็ได้ ดังนั้นหาเพื่อนเอาไว้ใกล้ตัว โดนหลอกทั้งคู่ยังดีกว่าโดนผีลากไปฆ่าคนเดียว
“อี้ป๋อ...มันจะเป็นฝีมือมนุษย์จริงๆหรือ?”
มือเรียวแตะไปที่แขนของอี้ป๋อและกำมันแรงขึ้นเรื่อยๆ มองไปด้านไหนก็มืดสลัวมีแค่แสงเทียน ถ้าถูกผีหลอกขึ้นมาจะทำยังไง แต่ใครจะไปคิดว่าตอนที่เซียวจ้านใช้หน้าเคลื่อนเข้ามาถามอี้ป๋อใกล้ๆนั้นทำให้ได้กลิ่นหอมจากเนื้อตัวแต่ละฝ่ายจนเหงื่อแตกพลั่ก
กลิ่นสบู่เด็กของเซียวจ้านและกลิ่นหอมวัยหนุ่มของอี้ป๋อ ทำไมกลิ่นมันช่างรุนแรงจนร่างกายสั่นขึ้นเรื่อยๆแบบนี้
“อะ อี้ป๋อข้าขอโทษ”
เมื่อรู้ว่าตัวเองชักจะมีอาการแปลกๆตอนอยู่ใกล้อีกคนมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนเหงื่อแทรกซึมตามหน้าผากและฝ่ามือ เซียวจ้านจึงได้แต่ถอยเท้าไปด้านหลังเรื่อยๆ
คนที่ยืนนิ่งใช่ว่าจะไม่รู้สึก อี้ป๋อกำมือหนาเข้าหากันแน่นและเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่งกับเตียงเซียวจ้าน ลำตัวกำยำของอี้ป๋อเริ่มสั่นระริกเมื่อได้กลิ่นตัวหอมๆของเซียวจ้านไหนจะเสียงหอบหายใจของว่าที่ภรรยาอีก
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าร้อนเยี่ยงนี้?”
มือนิ่มเริ่มยกขึ้นถูไปตามลำตัวของตัวเองทำเอาสาบเสื้อสีเทายับยู่ยี่และเผยความขาวใต้สาบเสื้อออกมาบ้าง อี้ป๋อพยายามเบี่ยงหน้าไปอีกทางพลางกำหมัดแน่นและขยำมือตัวเองไปที่เนื้อกางเกง
เซียวจ้านร้อนรุ่มไปทั่วร่างกายจนคล้ายเหมือนโดนไฟแผดเผาทีละนิดๆ เหงื่อซึมตามกรอบหน้ากลับเปียกชุ่มไปตามเนื้อตัวปานตกนรก
“อี้ป๋อ ข้าร้อนมากเจ้าร้อนหรือไม่?”
เซียวจ้านกลัวว่าเป็นเพราะห้องอับไม่มีหน้าต่างเปิดรับลมจึงถามไปยังผู้ที่อาศัยอยู่ในห้องปิดตายด้วยกัน หากร้อนเหมือนกันแสดงว่าเซียวจ้านคงไม่ได้ผิดปกติไป
“ข้า...ไม่ร้อน”
แม้ว่าอี้ป๋อจะพูดอย่างนั้นออกมาแต่เหงื่อที่เริ่มซึมตามง่ามนิ้วเสียจนต้องจิกเกร็งไปที่เนื้อขาของตัวเองใต้สาบผ้า หากถลกกางเกงออกคงจะเห็นว่าเนื้อตัวขาวๆแดงขนาดไหนเพราะแรงจิกระงับความร้อนมันรุนแรงเสียจนมือสั่น
“ดี งั้นข้าไปอาบน้ำก่อนล่ะ”
“นี่เจ้าทำบ้าอะไร?”
ไม่ใช่เพียงแค่กลิ่นหอมของเซียวจ้านที่ปลิวมาตามลม เสื้อแขนยาวตัวหนาค่อยๆเปลื้องออกจากร่างกายเซียวจ้านจนกระทั่งร่วงลงสู่พื้นไม้ โชคยังดีที่อี้ป๋อร้องทักก่อนที่สาบเสื้อชั้นในจะถูกถอดออกต่อหน้าต่อตา
“ข้าร้อนก็จะไปอาบน้ำน่ะสิถามแปลก”
“จะถอดเสื้อผ้าก็ไปถอดด้านในห้องน้ำ จะมาเปลื้องมั่วซั่วไม่ได้”
“ก็ที่นี่เป็นห้องส่วนตัวของข้า เจ้านั่นแหละรับไม่ได้ก็หลับตาเสีย”
ดื้อด้านเป็นที่หนึ่ง อาการร้อนรุ่มขนาดนี้ยังไม่ระวังตัวคงจะมีเพียงแต่อี้ป๋อที่รู้ดีว่าถ้าเซียวจ้านทำแบบนี้อาการทั้งสองคนจะย่ำแย่ไปกันใหญ่ เรียวขายาวรีบเดินเข้าไปหาคนที่กำลังจะถอดเสื้อด้านในออกและคว้ามือเรียวเอาไว้แน่น
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ข้าบอกให้ไปถอดด้านในห้องน้ำ”
“ฮึก...อะ ออกไป เจ้าอย่ามาใกล้ข้า”
ไม่รู้แล้วว่าหนนี้ใครกันแน่ที่ไม่ระวังตัว ความใกล้ชิดเพียงไม่กี่คืบที่เหนี่ยวตรึงไว้ด้วยมือหนาคว้ามือนิ่มเอาไว้ทำให้กลิ่นกายทั้งคู่โรมรันเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างได้รับกลิ่นนั่นผสมกลิ่นเหงื่อ ราวกับเป็นชนวนชั้นดีพัดโหมไฟร้อนในร่างกายให้ทวีกว่าเดิม
เซียวจ้านออกปากไล่เสียงสั่น ยิ่งเข้าใกล้อี้ป๋อเขายิ่งมีความรู้สึกแปลกออกไป ความรู้สึกที่เขารู้ดีว่ามันเป็นอาการใคร่
“ซะ เซียวจ้าน ข้า...”
ไม่ใช่เพียงแค่เซียวจ้านที่มีอาการหนักขึ้น อี้ป๋อก็เช่นกัน มือหนาสั่นและใช้ดวงตาจ้องมองไปที่กลีบปากนิ่มซึ่งเคยสัมผัสอยู่สองสามครั้งอย่างชั่งใจ ลำคอแกร่งแห้งผาดราวกับขาดน้ำมาหลายคืนและกลืนน้ำลายลงคอเมื่อความชมพูสดล่อตาล่อใจ
“เราเป็นอะไรไปอี้ป๋อ ฮึก ข้าปวดไปหมด ข้าจะทำยังไงดี?”
อาการปวดของเซียวจ้านแสดงอาการเปิดเผยผ่านเรียวขาสวยที่เคลื่อนหนีบหากันพร้อมร่างกายที่สั่นระริก นิ้วมือเรียวสวยเกลี่ยไปที่มือหนาอย่างกล้าๆกลัวๆ อยากจับอยากสัมผัสแต่ก็ติดแรงยั้งใจ
“เราต้องออกไปจากห้องนี้ให้ได้ไม่อย่างนั้นแย่แน่”
“มันใช่อาการใคร่หรือเปล่าอี้ป๋อ ข้ากลัวช่วยข้าด้วย”
เซียวจ้านมั่นใจแล้วว่าอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นมันคืออาการใคร่แน่ๆ ยิ่งอยู่ใกล้อี้ป๋อก็ยิ่งปวดเนื้อตัวอยากจะเอื้อมมือลงไปสัมผัสใจจะขาด ท่อนขาเรียวหนีบรั้งส่วนนั้นที่กำลังเจ็บปวดและเหนียวไม่สบายตัวแบบนี้ เซียวจ้านรู้ดีจากหนังสือลามกที่เคยอ่านมา
“ถ้าไม่อยากให้ข้าทำร้ายเจ้า เราต้องอยู่ห่างกัน”
อี้ป๋อปิดเปลือกตาแน่นและหันหลังใส่เซียวจ้าน แม้ว่าคนเย็นชาและนิ่งสงบเหมือนสายน้ำในทะเลสาบจะไม่สันทัดเรื่องพวกนี้นัก แต่ความเป็นชายย่อมรู้ดีกับอาการประเภทนี้อยู่แล้ว และรู้ไปอีกด้วยว่ามีใครจงใจให้อี้ป๋อและเซียวจ้านมีอาการแบบนี้
“อี้ป๋อ ช่วยข้าทีทำอย่างไรก็ได้ ช่วยขะ ข้า”
น้ำเสียงแหบแห้งดังมาจากด้านหลังของอี้ป๋อบวกกับแรงขยำเสื้อสีขาวสะอาดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจหอบหนักของเซียวจ้านน่าสงสารจับใจ แต่ยิ่งได้ยินเสียงนั้นอี้ป๋อกลับขบกรามแกร่งแรงมากเท่านั้น
เขาเองก็มีอาการใคร่ไม่ต่างกับเซียวจ้าน เขาต้องการ ต้องการหันกลับไปและปลดปล่อยอารมณ์ที่มี เพียงแต่ว่าถ้าเขาหันกลับไปแล้วเรื่องทุกอย่างจะแย่ ความสัมพันธ์ของเขากับเซียวจ้านต้องแย่แน่นอน
“อดทนไว้ เราจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เซียวจ้าน”
“ฉันทนไม่ไหว อี้ป๋อข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น ฮึก ช่วยข้าเถอะนะทำอย่างไรก็ได้ให้ข้าหายทรมาน ฮือ ข้าไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว ข้าขอร้อง”
มือที่ขยำเสื้อของอี้ป๋อสั่นระริกด้วยความทรมานไปหมด แม้แต่จะยืนเซียวจ้านยังขืนไว้ไม่ไหว ลมหายใจหอบถี่ เสียงอันแหบแห้งและหยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม ท่อนขาที่บีบเข้าหากันสั่นไปหมด
“เซียวจ้าน...”
อี้ป๋อแสร้งใจแข็งไว้ไม่ได้อีกเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของคนด้านหลัง ลำตัวแกร่งค่อยๆหันกลับไปจนเห็นภาพตรงหน้าแล้วอดตกใจไม่ได้เลย ใบหน้าหากเคยขาวผ่องแดงไปหมดไหนจะหยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม เซียวจ้านรับมือกับอาการพวกนี้ไม่ไหว
เพราะขนาดเขาเองก็ยังยากจะหักใจห้าม อยากจะเดินหนีแทบตายแต่ขากลับไม่เดิน เขาต้องการเซียวจ้านไม่ต่างกัน เขารู้ดี
“อี้ป๋อ ช่วยข้า...อืม”
(คัท สามารถหาอ่านได้ใที่ไบโอทวิต @porzhan)
100%
#ม่านวิวาห์อลเวง
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจผ่าน #ม่านวิวาห์อลเวง ด้วยนะคะ
ช่องทางการติดตามการอัพเดตแฟนฟิค
TWITTER : @porzhan
AUTHOR : SNOOKY
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถถถ.เซียวจ้าน อ่อยทั่นเค้ายังไม่รู้ตัวไปอีก
แต่น่ารักกกอ่ะะ
55555 โอ้ยยย เซียวจ้านหนอเซียวจ้าน ซนแล้วยังซื่ออีกกก
มันคุ้นๆนะยัยจ้านหล่อนซื่อบื้อเหมือนใครกันนะ
พวกอ่อยธรรมชาติแล้วไม่รับผิดชอบเนี่ย
ใจเย็นๆไว้ป๋อ
อดทนไว้นะอี้เอ้ย55555 อย่าเพิ่งกินจ้าน
แพ้ความขาวสินะ
เอ่อ ผีกลืนน้ำลายคิดได่เนอะ