ตอนที่ 12 : รีไรท์ 第12 集 ม่านวิวาห์อลเวง
ตอนที่ 12 ม่านวิวาห์อลเวง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ผ่านมานับสัปดาห์แล้วที่เกิดเรื่องท่าเรือ อี้ป๋อช่วงนี้จึงต้องเดินทางไปหวังเป่ยบ่อยๆและเคร่งเครียดกับกระดาษตรงหน้าที่เรียงเป็นตั้งในห้องทำงาน แม้ว่าจะดูเหมือนเซียวจ้านสบายตายิ่งนักที่ไม่ต้องเจอหน้าคนที่เอารัดเอาเปรียบบ่อยๆ แต่ก็หาใช่ว่าไม่เจอกันเลย
มือเรียวค้างกลางอากาศลังเลที่จะเคาะประตูเข้าไปในห้องทำงานด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว เซียวจ้านยังจำคืนนั้นได้ดีที่ตัวเองต้องนอนทับร่างของอี้ป๋อทั้งคืนตื่นมาก็หน้าร้อนแทบปะทุเป็นลาวาเมื่อร่างกายโดนโอบรัดนอนขนาบข้างใต้ผืนผ้าห่มเดียวกัน
ถ้าไม่ติดว่าอี้ป๋อเหม็นหน้าตั้งแต่วันที่รู้ว่าต้องมาแต่งงานกันเซียวจ้านคงคิดไปแล้วว่าอี้ป๋อต้องชอบตัวเองแน่ๆถึงได้หาช่วงเวลาฉวยโอกาสอยู่บ่อยๆ
“คิดอะไรของเจ้านะเซียวจ้าน ไร้สาระสิ้นดี”
เซียวจ้านสะบัดหน้าตัวเองแรงๆสองสามครั้งปัดความคิดไร้สาระออกจากหัว อย่างอี้ป๋อนั่นหรือจะมาชอบ ทุกวันนี้ไม่ได้ปะทะคารมกันเหมือนพาลจะทำให้นอนไม่หลับจะตายไป
“อี้ป๋อ ข้าเข้าไปนะ”
เซียวจ้านแง้มบานประตูไม้เดินเข้าไปในห้องทำงานที่มีแต่กลิ่นกระดาษนั่นพลางประคองกาน้ำชาและจอกน้ำชาเข้าไปอย่างระมัดระวัง วันแรกจำได้ว่าหล่นแตกไม่มีชิ้นดีโดนไล่ออกจากห้องราวกับหมูหมา
“ไม่ต้องคิดว่าข้าอยากเอามาให้ น้าเวินฉิงให้ข้าเอามาคงจะอยากให้เราเจอกัน แต่ข้าไม่พูดเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ ข้าจะหนีไปตกปลา”
“นั่งลง”
มือที่กำลังวางถาดกาน้ำชาลงบนโต๊ะไม้ข้างๆโต๊ะทำงานชะงักกึกไม่เข้าใจที่อี้ป๋อพูดสั้นๆออกมาสักนิด ก็บอกไปอยู่ว่าจะไปตกปลาจะให้นั่งลงทำพระแสงอะไรไม่ทราบ
“ห้ะ? ให้ข้านั่งลงทำไม?”
“...”
ยอกย้อนสวนทันควันไปก็ไม่ได้ผลเมื่ออี้ป๋อจ้องมาที่ใบหน้าของเซียวจ้านอย่างเอาเรื่องจนเซียวจ้านต้องยิ้มหน่ายๆยอมนั่งตามแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นคงได้หาเชือกมาล่ามไว้ที่ห้องนี้แน่ๆ
“จะให้ข้าทำอะไร ให้ช่วยงานเจ้าหรืออย่าเลยข้าทำไม่เป็น”
“รู้”
“นี่เจ้า!”
เหมือนโดนอี้ป๋อตบหน้าฉาดใหญ่ด้วยคำว่ารู้แล้วว่าทำอะไรไม่เป็นอย่างไรอย่างนั้น ปากยู่ของเซียวจ้านบ่นพึมพำอยากจะกระโดดกัดคออี้ป๋อให้จมเขี้ยวนัก คนอะไรหน้าก็เฉยชายังด่าคนหน้าตายอีก
“ซูเซ่อโกงเงินไปเยอะ ข้าควรทำเยี่ยงไร?”
“เจ้า...ถามข้าหรือ?”
จู่ๆหัวใจเซียวจ้านก็พองโตไร้สาเหตุกับคำถามเชิงปรึกษา ยิ่งมองก็นึกว่าเป็นสหายคู่คิดไปทุกที แต่ช้าก่อนฐานะเขาทั้งสองไม่ได้วางมาเพื่อเป็นสหายเสียหน่อย
“มีแค่เจ้ากับข้า ข้าคงไม่ไปถามกระบือหรอก”
“นี่! หวังอี้ป๋อนี่เจ้าปากร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เซียวจ้านยกนิ้วชี้หน้าคนที่หลอกด่าเขาหน้าตายอีกครั้ง เมื่อครู่ก็ด่าว่าทำอะไรไม่เป็นครั้งนี้ก็ด่าว่าเป็นกระบือ มันจะมากเกินไปแล้วนะคุณชายหน้านิ่งแต่ปากร้ายสิ้นดี
“เดี๋ยวนี้เจ้าพูดเก่งขึ้นนะแต่พูดเก่งแค่กับข้า”
“เพราะเป็นเจ้า”
ไปไม่เป็น เซียวจ้านนั่งอ้าปากพะงาบๆอยู่กับเก้าอี้ตัวเล็กตรงข้ามกับอี้ป๋อไร้วาจาจะโต้กลับเพราะคำพูดของอี้ป๋อช่างกำกวมนัก ทำไมหรือเป็นเซียวจ้านแล้วอยากจะเสวนาด้วยนักหรือไง เซียวจ้านพิเศษกับอี้ป๋อจนต้องหาเรื่องคุยด้วย?
“เอาเถิดๆข้าขี้เกียจทะเลาะกับเจ้า เสียเวลาตกปลาทำแกงพอดี เรื่องซูเซ่อข้าว่าแจ้งคนตรวจเมืองสั่งจำคุกให้ลืมตะวันไปเลยดีหรือไม่ ครั้นจะปรับเงินข้าว่าคงไม่ได้คืน”
“อืม” ตอบรับแค่อืม? เซียวจ้านล่ะงงนักว่าทำไมอี้ป๋อเชื่อตามที่เซียวจ้านแนะนำขนาดนี้ ไม่มีเสริมหรือขัดแย้งหน่อยหรือไงกัน
“ถ้าเจ้าเห็นด้วยกับข้าและหมดคำถามแล้ว...ข้าไปล่ะเวินหนิงรอข้าอยู่”
“ทำไมชอบขลุกอยู่กับมัน?”
“มัน? มันไหน?”
เซียวจ้านยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองอย่างงงงวย มันที่อี้ป๋อพูดขึ้นน้ำเสียงเมื่อครู่หมายถึงใครกัน ดวงตากลมถลึงจ้องหน้าอี้ป๋อคาดเค้นคำตอบ
“เวินหนิง ข้าหมายถึงมันนั่นแหละ”
“อี้ป๋อ! เจ้ามากเกินไปแล้วนะเหตุใดต้องเรียกเวินหนิงว่ามัน ข้าชอบขลุกกับเขาแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า!”
“หึ”
ไม่ทนแล้ว เซียวจ้านไม่นั่งให้อี้ป๋อเครียดงานแล้วพาลใส่อีกแน่จึงหยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูงและกระแทกเท้าใส่แรงๆเพื่อให้รู้ว่าไม่ชอบใจอี้ป๋อนักที่กล้าแทนตัวเวินหนิงด้วยคำว่ามัน เวินหนิงเปรียบเหมือนน้องชายและสหายคนเดียวที่
เซียวจ้านมี
ครั้งนี้อี้ป๋อพูดเกินไป
“สำคัญกับเจ้านักหรือ?”
“หึ ใช่ เพราะเวินหนิงเป็นดั่งน้องชายข้า คนอย่างเจ้าหาได้รู้จักมิตรภาพ!” เซียวจ้านขึ้นเสียงใส่อี้ป๋อเสียงเข้ม ว่าจะเดินออกไปโดยไม่ทะเลาะแล้วแท้ๆแต่เป็นอี้ป๋อที่หาเรื่องเขาไม่หยุดเลยต้องหันหน้ามาพูดสวนสักตั้ง
“มิตรภาพงั้นหรือ? เวินหนิงคิดกับเจ้าเป็นแค่พี่ชายงั้นหรือ? เหอะ!”
“ย่อมแน่อยู่แล้ว นี่อี้ป๋อเจ้าเป็นอะไรนักหนากับความสัมพันธ์ของข้ากับเวินหนิงนัก!”
ไม่คุยด้วยแล้วเพราะยิ่งคุยจะยิ่งไม่อยากมองหน้ากันไปมากกว่านี้ หลังๆอี้ป๋อชักจะสงสัยในความสัมพันธ์ของเซียวจ้านและเวินหนิงมากจนเซียวจ้านงงไปหมด แรกๆไม่เห็นตั้งคำถามวันนี้มาตั้งคำถามว่าคิดกับแค่พี่น้องแน่หรือเซียวจ้านว่าอี้ป๋อควรพักงานแล้วไปเที่ยวด้านนอกบ้างจะได้ไม่ขี้พาลเยี่ยงนี้
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว เชิญตามสบาย!”
“ทะเลาะอะไรกันอีกหรือ?”
เสียงคุ้นเคยดังมาจากหน้าประตูห้องทำงานทำเอาอี้ป๋อที่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์ต้องเปลี่ยนมาตึงเรียบและลุกขึ้นยืนก้มหัวเล็กน้อยให้กับชายตรงหน้า เซียวจ้านเองแม้จะหงุดหงิดอี้ป๋อยังไงก็ตามต่างรีบก้มหัวเคารพให้เช่นกัน
“ท่านซีเฉินกลับมาแล้วหรือ? ข้าเห็นว่าท่านเดินทางไปหวังหนานทุกเช้ากว่าจะกลับก็ค่ำมืด ข้าแปลกใจ”
เซียวจ้านถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสงสัยอย่างคำถามที่เอ่ยกล่าวหาได้เสแสร้ง ซีเฉินส่งยิ้มมาทางเซียวจ้านก่อนจะใช้มือแตะบ่าเล็กและบอบบางนั่นเบาๆ
“ข้ากลับมาทำเรื่อสำคัญ จริงสิเวินฉิงให้ข้ามาตามเจ้ากับอี้ป๋อกลับตัวเรือนเดี๋ยวนี้”
“มีเรื่องอันใดหรือท่านอา?”
“ไปกันเถิดเดี๋ยวก็รู้”
อี้ป๋อถามด้วยความร้อนใจแต่คำตอบที่ได้มีเพียงรอยยิ้มที่ระบายมาจากสีหน้าของซีเฉินเท่านั้น นั่นยิ่งทำเอาเซียวจ้านกับอี้ป๋องงไปตามๆกันแต่ก็ยอมเดินตามผู้ใหญ่ไปแต่โดยดี
คนในตัวเรือนมีมากเกินกว่าปกติที่ควรมีและไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเอาเสียเลย อี้ป๋อหรี่ดวงตาลงเล็กน้อยเพื่อเพ่งดูใบหน้าคนแปลกพวกนั้นแต่ไม่ต้องชักช้าหาความมากเมื่อเซียวจ้านเดินเข้าไปหาเวินฉิงท่ามกลางผู้คนเหมือนกำลังรอพวกเขาอยู่
“ท่านน้าเวินฉิงนี่มันเรื่องอะไรหรือ?”
“มากันแล้วหรืออี้ป๋อเซียวจ้าน มานี่เถิดข้าให้คนมาวัดชุดแต่งงาน”
“ห้ะ?”
เหตุใดถึงไวเพียงนี้เซียวจ้านได้แต่ทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามกลางหน้าผาก หากเขาจำไม่ผิดน่าจะราวๆหกเจ็ดวัน ลำพังแค่เรื่องชุดชายด้วยกันไม่น่าต้องเร่งรีบขนาดนี้เสียหน่อย
“ข้าต้องรีบหน่อยสิเพราะเลื่อนเข้ามาตั้งสามวัน จากหกวันแต่งเป็นอีกสามวันแต่ง”
“เหตุใดต้องเลื่อนงานแต่งเร็วตั้งสามวันท่านน้าเวินฉิง?”
“เอ้า ก็เห็นเวินหนิงบอกว่าสัปดาห์ก่อนเจ้ากับอี้ป๋อนอนกอดกันกลมที่โรงเตี๊ยม ข้าก็เลยจัดงานให้ทันใจพวกเจ้าไม่ดีหรือ?”
เซียวจ้านหันไปทางคนที่วิ่งหืดหอบเข้ามาทางประตูใหญ่ของตัวเรือนพร้อมหิ้วของพะรุงพะรังอย่างของจัดงานแต่งต่างๆด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หนอย! ช่างมีความสุขจริงนะตัวก่อเรื่อง!
“เวินหนิง!!!”
...ตุ้บ!...
บรรดาข้าวของที่เวินหนิงหอบมาร่วงไปกับพื้นไม่มีเหลือเพราะเสียงตะโกนลั่นของเซียวจ้าน เวินหนิงเงยหน้าจากพื้นมามองหน้าเซียวจ้านพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสาเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยเหตุใดเซียวจ้านต้องดุด้วย
“มีอะไรหรือคุณชาย หรือว่าท่านโกรธที่ข้าทิ้งท่านไปหอบของไม่ไปตกปลาเล่นด้วย?”
“มานี่เลยไอ้ตัวดี!”
“โอ้ย! คุณชายหลี่อย่าดึงหูข้า ข้าทำอะไรผิดหรือ?”
ยังไม่ทันที่เซียวจ้านจะดึงหูเวินหนิงไปเจรจานอกบ้านดีมือทั้งมือของเซียวจ้านกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับแรงดึงตรงข้อมือไม่ให้ลากเวินหนิงไปไหนได้ ยิ่งเซียวจ้านต่อต้านแรงกำตรงข้อมือก็ยิ่งมากขึ้น ดวงตากลมจ้องไปที่เจ้าของมือนั่นต้องขนลุกซู่ไปหมด
อี้ป๋อจ้องเขากับเวินหนิงสลับกันปานจะฆ่าจะแกง
“อะไรของเจ้าเนี่ยข้าจะพาเวินหนิงไปคุยด้านนอกมาจับข้าไว้ทำไม?”
“ปล่อยมือจากเขา”
อี้ป๋อไม่พูดเปล่าใช้สายตาจ้องไปที่มือที่จับหูเวินหนิงเอาไว้เป็นเชิงให้รีบปล่อยเสียไม่อย่างนั้นจะตัดหูเวินหนิงให้ขาดเสียงตรงนี้ไปเลย
“ได้ๆ ข้าปล่อยก็ได้แต่เวินหนิง เจ้ามีเรื่องต้องคุยกับข้าคืนนี้ เจ้าเอาเรื่องไปบอกคนอื่นให้ข้าขายขี้หน้าได้เยี่ยงไร แล้วเจ้าดูสิว่าข้าต้องแต่งกับเขาเร็วคืนเร็ววันขนาดไหน?”
“คุณชายหลี่...วันนั้นข้าเข้าไปจะปลุกท่านแต่ก็เห็นนอนกอดกันดี แถมข้ายังเห็นคุณชายอี้ป๋อ...ข้านึกว่า...”
นึกว่าอะไร? เป็นเครื่องหมายคำถามผ่านดวงตาของเซียวจ้านที่มองไปยังเวินหนิงที่เหมือนกระดากปากอายจะพูดออกมาอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าเด็กหนุ่มเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อมองไปที่อี้ป๋อและก้มหน้างุดกับพื้น
“เล่ามา...”
“ก็คุณชายอี้ป๋อจูบหน้าผากท่านตอนหลับ ข้าเผลอเข้าไปเห็นข้าก็นึกว่ารักกันแล้ว”
“จะ จูบหน้าผาก อี้ป๋อจูบหน้าผากข้างั้นหรือ?”
เซียวจ้านถามน้ำเสียงตะกุกตะกักไปหาอี้ป๋อที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยแววตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อเวินหนิงเห็นโอกาสหนีก็รีบวิ่งไปนอกบ้านทันที ไม่รู้แหละถ้าขืนเวินหนิงยังอยู่ไม่เท้าเซียวจ้านก็เท้าอี้ป๋อได้ประทับกลางอกแน่ๆ ดูท่าจะไม่ได้รักใคร่กันอย่างที่เวินหนิงคิดสักนิด
เพราะถ้ารักกัน อี้ป๋อคงไม่ทำหน้าเลิกลั่กจนเสียความหน้านิ่งเยี่ยงนี้หรอก
“เด็กนั่นตาฝาดข้าหาได้ทำไม่ ท่านน้าเวินฉิงข้าพร้อมวัดตัวแล้วให้ข้าไปที่ไหน?”
อาการของอี้ป๋อตอนนี้ต่อให้เซียวจ้านโดนด่าว่าบื้อแค่ไหนก็ไม่มีทางหลอกได้หรอกนะ ท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนคนโดนจับได้ว่าแอบไปขโมยของต้องรีบเคลื่อนกายหนีไปทางห้องนอนตัวเองแบบนี้น่ะ เซียวจ้านจับได้หมดแล้วคนขี้ขโมย
...ขโมยจูบหน้าผากเขาได้เยี่ยงไร!!
เวลาผ่านไปเนิ่นนานทั้งอี้ป๋อและเซียวจ้านที่ถูกคนวัดตัวตัดชุดแต่งงานรุมเกือบทั้งวันกว่าจะเสร็จก็ค่ำมืดเสียแล้ว มื้อเย็นคลาดเคลื่อนไปอยู่มากทำให้ไม่ค่อยมีเวลาได้พูดอะไรกันมากนัก ไหนจะเป็นอี้ป๋อที่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวไม่พูดไม่จาสักคำ หากจะมีแต่เซียวจ้านที่นั่งจ้องหน้าราวกับคาดคั้นคำตอบ
ซีเฉินหันไปยิ้มกับเวินหนิงข้างๆแต่ก็ไม่ได้เอ่ยล้อเลียนทั้งคู่เพราะเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้ปล่อยให้ไปเจรจากันเองเสียดีกว่า เพราะเท่าที่รู้ว่าทั้งคู่ก็พอใจมากโข ดูท่าความสัมพันธ์น่าจะดีขึ้นตามคำบอกเล่าของเวินหนิงเมื่อหลายวันก่อนจริงๆ
“เวินหนิงงง ออกมาได้แล้วเวินหนิง”
หลังมือเย็นจบไปเซียวจ้านก็ออกมาเดินเล่นด้านนอกเพื่อสูดอากาศให้หายคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสายเสียหน่อย ในหัวมีแต่คำถามว่าสิ่งที่เวินหนิงเล่ามาใช่เรื่องจริงแท้ครบถ้วนหรือไม่ มีอะไรที่เซียวจ้านยังไม่รู้อีกหรือไม่
“ข้าให้เวินหนิงไปนอกเมืองเตรียมขนของ เจ้าเรียกเขามีอันใด?”
“ท่านน้าเวินฉิง...เอ่อ...ท่านยังไม่เข้านอนอีกหรือ?”
เซียวจ้านหันไปตามเสียงเรียกด้านหลังก่อนจะก้มหัวให้ด้วยความเคารพช้าๆ นางส่งยิ้มมาให้โดยที่เซียวจ้านไม่ค่อยได้เห็นมันมากนักเพราะยามปกติไม่ส่งหน้าโกรธเกรี้ยวมาให้ก็ยิ้มหยอกล้อ แต่ครั้งนี้นางยิ้มมาให้ด้วยสายตาเอ็นดู
“เจ้าอยากดูเรือนหอของเจ้ากับอี้ป๋อหรือไม่?”
แม้เซียวจ้านจะอยากบอกว่าไม่ดีกว่าก็พูดได้ไม่เต็มปากในเมื่อนางเดินนำหน้าไปแล้ว เยี่ยงนี้จะถามเซียวจ้านเพราะเหตุใดกันเลยต้องเดินตามแผ่นหลังเวินฉิงไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่ท้ายบ้านยามค่ำคืน เซียวจ้านกำตะเกียงในมือแน่นและบีบเข้าหากันแรงขึ้น
อยู่มาตั้งเป็นเดือนเพิ่งจะเคยเห็นสถานที่ที่ยามค่ำคืนยังสวยงดงามขนาดนี้ เรือนหลังเล็กอ้อมล้อมไปด้วยต้นเหมยแดง ช่างดูเป็นใจนักเมื่อถึงฤดูกาลออกดอกบานสะพรั่งสวยไปทั่วส่งกลิ่นหอมและสีแดงสวยประดับเรือนไม้อันเงียบสงัด
“ที่นี่...คือเรือนหอของพวกข้าหรือ?”
“ใช่ ที่นี่แหละ เจ้าว่าสวยหรือไม่?”
เซียวจ้านพยักหน้าอย่างไม่คิดจะปดความรู้สึกอันใดทั้งสิ้น ที่นี่ดูเงียบเหงาวังเวงน่ากลัวแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจจนน่าเหลือเชื่อ มือเรียวลูบไปยังเสาไม้สักเบาๆและส่งสายตากวาดมองไปทั่ว รูปปั้นนกกระเรียนสีขาวสะอาดตาหน้าเรือนเป็นที่ดึงดูดสายตายิ่งนัก
“เจ้ามองรูปปั้นนั่นเป็นที่แรกเยี่ยงข้าครามาครั้งแรกนะเซียวจ้าน”
“ข้าว่ามันแปลกดีที่มีรูปปั้นนกกระเรียนที่นี่ ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าเหตุใดมีเพียงตัวเดียว?”
“หึๆ เจ้าเคยรู้เรื่องการใช้ชีวิตของนกกระเรียนหรือไม่?” เซียวจ้านส่ายหน้าและเอานิ้วชี้ปัดไปทั่วปลายจมูกตัวเองอย่างวิสัยที่ชอบทำอยู่บ่อยๆจนเวินฉิงลอบยิ้มเอ็นดู ต่อให้เซียวจ้านซนเป็นลิงเยี่ยงไรก็ยังดูเป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาสิ้นดี
“นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ถึงความยั่งยืน และที่สำคัญเมื่อได้เลือกคู่ตัวเองแล้วจะปักใจแต่คู่ของมันเพียงผู้เดียว ต่อให้อีกฝ่ายตายไปก็จะไม่เปลี่ยนคู่และอยู่ลำพังไปจนตาย”
ขนที่แขนของเซียวจ้านพากันลุกซู่ขึ้นมาด้วยความอัศจรรย์ใจ เรื่องราวพวกนี้น่าทึ่งยิ่งนักกับคนสมัยใหม่เมื่อได้ยินความรักอันอมตะตามนิสัยของนกกระเรียนอันแสนน่ายกย่องกับเรื่องความรัก เพราะเยี่ยงนี้สินะจึงมีประดับหน้าเรือน แต่ความอยากรู้อยากเห็นยังไม่จบเซียวจ้านยังอยากรู้
“ช่างน่านับถือจริงๆเพราะถ้าหากเป็นคนคงหายากจะรักเดียวใจเดียว”
“ไม่หรอก เพราะข้าได้เจอกับตัวเองแล้ว คนบนโลกนี้มีคนรักเดียวใจเดียวอยู่นะเซียวจ้าน”
“ท่านซีเฉินใช่หรือไม่?”
เวินฉิงพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ใช่แล้วซีเฉินไม่เคยนอกใจและมอบหัวใจทั้งดวงให้เวินฉิงตั้งแต่วันแรกที่รักกันจนครองคู่มากว่าสิบปีก็ยังปักใจรักแต่เวินฉิงเพียงผู้เดียว
“ย่อมใช่และยังมีมากกว่าท่านซีเฉินคือเจ้าของเรือนนี้”
นางเปลี่ยนตำแหน่งสายตาไปยังเรือนอีกครั้งทำให้เซียวจ้านมองตามสายตานางไปด้วย ริมฝีปากสีสดของนางยกยิ้มน้ำตาคลอเสียจนเซียวจ้านอดสงสัยไม่ได้ เรื่องราวของเรือนนี้มีเรื่องอันใดแฝงอยู่หรือไฉนเวินฉิงถึงยิ้มทั้งน้ำตาเยี่ยงนี้
“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากแต่งงานกับอี้ป๋อหรือเซียวจ้าน เจ้ากลัวเรื่องอันใด?”
“ข้าไม่ได้รักเขา เราไม่ได้รักกันจะแต่งงานกันได้เยี่ยงไร?”
“ปากเจ้าที่พูดออกมาหรือว่าหัวใจเจ้าต่างหากที่เป็นคนพูดว่าไม่รัก?” เวินฉิงถามออกมาทั้งๆที่ไม่ได้ละสายตามาจากเรือนอันงดงามข้างหน้านี่สักนิด ลำคอระหงส์ยังคงเงยคอมองภาพเบื้องหน้าจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเซียวจ้านกำลังสับสนมากเพียงใด
“วันนี้เจ้าอาจจะยังไม่รักแต่วันหน้าหาใช่ไหม เจ้าของเรือนก็เป็นเยี่ยงเจ้าในวันนี้นั่นแหละ พวกข้าไม่ได้อยากจะจับเจ้าแต่งเพราะใจแกล้ง แต่พวกข้าทั้งอาเจ้าซีเฉินคิดมาดีแล้วเซียวจ้าน”
“ข้า...เป็นบุรุษ ข้าไม่มีทางมอบทายาทให้ใครได้ ท่านน้าเวินฉิงช่วยพิจารณาใหม่ได้หรือไม่?”
“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้ามิต้องห่วงเลยเซียวจ้าน วันเวลาจะบอกเจ้าเองว่าเรื่องพวกนี้มิใช่อุปสรรค หัวใจของเจ้าหมั่นตรวจดูให้ดี”
เวินฉิงยิ้มหัวเราะไปและเดินหันหลังใส่เรือนตรงหน้า แต่เซียวจ้านกลับเขยื้อนขาจากเรือนนี้ไม่ได้เลย ดวงตากลมโตยังคงส่ายระริกกับคำถามทิ้งทวนของเวินฉิงอยู่เยี่ยงนั้นจนลืมไปเสียหมดว่าอยากรู้ชื่อเจ้าของเรือนนี้มากแค่ไหน สิ่งที่
เวินฉิงเตือนมา เซียวจ้านว่าหัวใจของเซียวจ้านเจ้าของย่อมรู้ดี
แต่ยามนี้ช่างไม่แน่ใจเหมือนวันแรกที่มาเรือนหวังเลย
“ข้า...ไม่ได้หลงชอบเจ้านั่นสักปลายนิ้วก้อย อี้ป๋อเองก็เหมือนกัน”
ถังน้ำร้อนอุ่นส่งกลิ่นทับทิมหวานหอมไปทั่วห้องอาบน้ำของเซียวจ้านพาลทำให้หลงใหลไปกับกลิ่นหอมๆพวกนั้นได้ไม่ยาก กายบางเปลื้องผ้าเสียจนหมดสิ้นก่อนจะก้าวขาเดินลงถังไม้มีน้ำปริ่มขอบถังนั่นช้าๆพลางจัดทรงผมยาวสลวยไปทางด้านหลังเพื่อให้ไร้สิ่งใดปิดบังหน้า
เซียวจ้านเองก็ไม่รู้หรอกว่าเพราะเหตุใดเวินฉิงถึงให้คนมาจัดน้ำอุ่นผสมทับทิมบดลงในน้ำเยี่ยงนี้ด้วยในคืนก่อนเข้าพิธีแต่งงานหนึ่งคืน แต่พอซีเฉินอธิบายให้ฟังเซียวจ้านก็อดหน่ายใจไม่ได้เพราะมันเป็นขนบธรรมเนียมโบราณต้องชะล้างร่างกายด้วยผลและใบทับทิม
“เรื่องมากเสียจริง เวินหนิงข้าพร้อมแล้วเจ้าเอาใบทับทิมมาถูข้าสิเดี๋ยวน้าเวินฉิงได้กินหัวเจ้ากับข้าพอดี”
เซียวจ้านตะโกนไปนอกห้องตัวเองที่มีเวินหนิงนั่งรออยู่ด้านนอก ยามปกติคงจะเป็นสาวในเรือนเป็นคนจัดการขัดตัวว่าที่เจ้าสาวแต่ในเมื่อเซียวจ้านเป็นบุรุษเพศจะให้สตรีมาโดนตัวก็ใช่เรื่อง ดังนั้นแล้วมีเพียงเวินหนิงเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้
“ขอรับคุณชายหลี่”
เวินหนิงก้มหัวเดินเข้ามาและคว้าใบทับทิมสองสามใบชุบน้ำในอ่างเลื่อนเก้าอี้เตี้ยมานั่งริมๆถังไม้แล้วเริ่มขัดไปที่บ่าของคุณชายตัวเองเบาๆเพราะกลัวโดนถีบมาจากห้องน้ำเสียก่อน
“ใจหายเหลือเกิน วันพรุ่งคุณชายก็จะเข้าพิธีแล้ว”
“คิดว่าข้าอยากนักหรือ ข้ายังไม่ได้จัดการเจ้าเลยนะเพราะเจ้านั่นแหละปากโป้ง!”
“ก็ข้าเห็นจริงๆนี่ ช่างเถิดเสียอย่างไรท่านกับคุณชายอี้ป๋อก็ต้องแต่งกันอยู่แล้ว” เซียวจ้านไม่ได้เถียงอะไรออกมาเพราะเห็นว่าเรื่องที่เวินหนิงพูดก็คือความจริง เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่พ่นมาจากปลายจมูกเจ้านายตัวเองทำเอาเวินหนิงอดสงสัยไม่ได้
“ท่านกลุ้มเรื่องใดอยู่หรือ?”
“เรื่องงานแต่งน่ะสิ ทำไมต้องเป็นข้าด้วย อีกอย่างแต่งกันไปจะมีความสุขหรือไร รักก็ไม่ได้รักกัน”
“อ้าว นี่ท่านทั้งสองยังไม่ชอบพอกันอีกหรือ ได้กันไปตั้งหลายครั้งคุณชายอี้ป๋อก็ดูท่าจะชอบพอ...อื้อ!”
จากกลัดกลุ้มเปลี่ยนเป็นความเขินอายที่ลูกน้องตัวเองพูดอะไรไปเรื่อย ขัดตัวดีไม่ว่าดีชอบโยงเข้าเรื่องหลับนอนให้อับอายไหนจะพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขานี่นะจะชอบพอกับคุณชายนั่น ใบทับทิมที่ยังไม่ได้ใช้เลยเต็มปากเวินหนิงและเซียวจ้านเหมือนยังไม่สะใจเอามันยัดปากเพิ่มอีกสักใบ
“หุบปากเสีย พูดจาเพ้อเจ้อ!”
“อื้อ...ข้าไม่ได้พูดไปเรื่อยนะ ข้าเห็นพวกท่านแทบจะตัวติดกัน”
“จะขัดตัวข้าเงียบๆหรือให้ข้าลุกถีบเจ้า โอ้ย! เวินหนิงเจ้าแกล้งข้ารึ ข้าเจ็บนะหนังคนไม่ใช่หนังควายถูมาได้!”
เสียงเอะอะโวยวายลั่นห้องน้ำพาเอาเสียงดังไปถึงห้องตรงข้ามได้ไม่ยาก ปลายพู่กันที่กำลังจรดกระดาษสีขาวเบี้ยวคดจิ้มไปที่กระดาษจนซึมแทบทะลุ อี้ป๋อดึงใบหน้าเรียบตึงเต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นรีบลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอนของเซียวจ้านทันที
มือหนาค้างชะงักเมื่อกำลังจะเคาะประตูถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นเหตุใดมีเสียงเอะอะในนั้น แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะปนโอดโอยอี้ป๋อไม่สามารถยั้งร่างกายตัวเองให้ยืนนิ่งได้อีกพลันเดินเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ
“เวินหนิง เจ้าขยับไปด้านซ้ายหน่อยได้หรือไม่ตรงนี้เจ็บแล้ว”
อะไรกันที่เจ็บ?
มือของอี้ป๋อพากันบีบแน่นจนเส้นเลือดในมือปูดขึ้นมาและขบสันกรามแน่น สองสามวันห่างกันไปเพราะเวินหนิงต้องกลับไปเมืองเจียงเตรียมฝ่ายเจียงเฉิงเดินทางมาเมืองนี้ไม่เท่าไหร่ก็พากันมาถึงห้องเชียวหรือ อี้ป๋อกัดฟันแน่นทั้งหน้าทั้งหูแดงเถือกไปหมด
“นั่นแหละ ตรงนั้นเวินหนิง”
“ตรงนี้ดีแล้วใช่หรือไม่ คุณชายไม่เจ็บแล้วข้าขอแรงๆนะ”
ขอแรงๆ?
ไม่ทนยืนฟังให้อุบาทว์หูอีกต่อไป อี้ป๋อยอมรับแก่ตัวเองดีว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาสามารถฆ่าคนในห้องน้ำสองคนนั้นได้อย่างไม่ลังเล เพราะเหตุใดถึงลอบมาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกันถึงในเรือนและเพราะเหตุใดเซียวจ้านถึงต้องทำกันขนาดนี้
อี้ป๋อไม่มีสติให้ตัวเองสำรวมกิริยาอีกแล้ว
...ปัง!!...
มือหนาทั้งสองเปิดประตูห้องน้ำไม้ตรงหน้าอย่างแรงจนบานประตูพากันกระแทกไปที่ขอบไม้ด้านข้าง เวินหนิงสะดุ้งตัวโหยงนั่งไม่ติดเก้าอี้ใบทับทิมในมือก็โยนทิ้งอย่างตกใจไปหมด ดวงตาเพียงเผลอสบหน้าอี้ป๋อตอนนี้ขนก็ลุกเกรียว เนื้อตัวก็สั่นกลัวเพราะยามนี้อี้ป๋อนับว่าน่ากลัวมากจริงๆ
แม้ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดแต่ดูท่าอี้ป๋อโกรธเอาการ
เซียวจ้านเมื่อได้ยินเสียงดังลั่นนั่นก็รีบหันมาดูต้นเสียงทันทีแต่ไม่ได้ลุกจากถังน้ำแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นมีหวังร่างกายเปลือยๆคงประจักษ์แก่สายตาใครเข้าพาเป็นตากุ้งยิงเสีย
“อี้ป๋อ เจ้าเข้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไรหรือ?”
น้ำเสียงราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไรเอ่ยถามขึ้น ดวงตากลมโตพยายามเพ่งพิจารณาสีหน้าอี้ป๋อแล้วก็นึกขันไม่รู้ว่ามีอันใดไปกระตุกต่อมโมโหเข้าหรือไรถึงได้ทำหน้าเหมือนไปกินรังแตนมาอย่างนั้น
“นี่พวกเจ้ากำลังทำเรื่องอันใดกันอยู่ในเรือนข้า!”
ส้มเช้งสีเขียวหนึ่งถาดใหญ่ถูกจัดเรียงอยู่ในถาดอย่างสวยงามพร้อมตัวอักษรว่า “ซังฮี่” ทุกผลเพื่อสื่อความหมายสำคัญในพิธีการแต่งงานจีนโบราณอย่างลึกซึ้งถึงความสุขยกกำลังสองสอดคล้องกับจำนวนผลส้มกำหนดเป็นเลขคู่กำลังถูกยกขึ้นเพื่อเตรียมเข้างานในเรือนใหญ่ตระกูลหวัง
“เวินหนิง! ช้าก่อน”
แต่มันกลับเกือบร่วงลงสู่พื้นจนหมดความมงคลเมื่อมีเสียงร้องทักเจ้าของมือที่กำลังยกอย่างระมัดระวัง เวินหนิงได้ยินเสียงคนเรียกจึงหันไปทางด้านหลังพลางเอามืออีกข้างทาบอกอย่างเกือบหัวขาด ถ้ามันร่วงล่ะก็ไม่อยากคิดเลยว่าเวินฉิงจะฆ่าเขาหมกป่าหลังบ้านด้วยวิธีใด
“ซือจุย! เจ้านี่ทำข้าตกใจหมดถ้าร่วงมาข้าจะโทษเจ้า ว่าแต่มีเรื่องใด?”
“ฮ่าๆ ข้าต้องขอโทษด้วยพอดีมีเรื่องอยากรู้ถึงข่าวเมื่อคืน”
คิ้วของเวินหนิงขมวดเข้าหากันอย่างนึกสงสัยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องใหญ่เสียจนโดนไล่ตะเพิดออกมาจากเรือนแทบไม่ทัน เด็กหนุ่มยกยิ้มคาดไว้ว่าซือจุยต้องถามถึงเรื่องนี้เป็นแน่
“เจ้าอยากรู้เรื่องที่ข้าโดนไล่หรือ? ฮ่าๆ ข้ายังแคลงใจไม่หายว่าคุณชายอี้ป๋อเหตุใดต้องโกรธขนาดนั้น ข้าแค่เข้าไปถูหลังคุณชายของข้าตามที่ท่านเวินฉิงสั่งเพื่อเตรียมตัวคุณชายข้าในวันนี้แท้ๆ”
“ข้าได้ยินมาว่าคุณชายอี้ป๋อเข้าไปเห็นตอนเจ้าถูหลังคุณชายเซียวจ้านและโกรธมาก ข้าเลยอยากรู้ว่าหลังจากนั้นเป็นเยี่ยงไร ก็วันนี้เป็นวันดีไม่อยากให้ทะเลาะกัน” ซือจุยหมายถึงไม่อยากให้อี้ป๋อและเซียวจ้านบ่าวสาววันนี้นั่นแหละ กลัวว่างานวันนี้จะล่มเอา
“ข้าว่าคงไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใหญ่โตหรอก ข้าลอบเห็นนานทีกว่าคุณชายอี้ป๋อจะออกมา ข้าว่าคงเป็นเขาถูหลังต่อให้”
“เจ้าก็ว่าไปเรื่อย คุณชายข้าเคยถูหลังให้ใครเสียที่ไหน แต่...มันก็อาจเป็นไปได้ขนาดอาการน้ำส้มสายชูหกคุณชายอี้ป๋อยังเป็นมาแล้ว” ซือจุยยักคิ้วใส่เวินหนิงที่เป็นอันเข้าใจกันดีว่าอาการน้ำส้มสายชูหกทั้งไหของอี้ป๋อหน้าตาเป็นยังไง ก็เมื่อคืนอย่างไรเวินหนิงเห็นด้วยตาตัวเองทั้งสองดวง
“ข้าว่าไม่นานต้องมีข่าวดีเป็นแน่ ขนาดก่อนแต่งข้ายังเกือบตาย” เวินหนิงสมทบอีกครั้งก่อนที่ซือจุยจะช่วยยกขนมเข้าไปด้านในเมื่อถึงฤกษ์ยามงามดีตามที่กำหนดเอาไว้ เรื่องราวเมื่อคืนคงไม่มีใครรู้ดีกว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้านในหรอกว่าหลังจากเวินหนิงโดนไล่มาเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ภายในเรือนหวังประดับประดาไปด้วยสีสันแดงฉูดฉาดตามสีมงคลของงานวิวาห์แบบจีนโบราณ โคมไฟสีแดงติดตัวอักษรซังฮี่ความหมายดีงามครองคู่อย่างมีความสุข คนในงานมีเพียงญาติสนิทมิตรสหายทางฝั่งของตระกูลหวังและตระกูลเจียงและแขกเหรื่อยศศักดิ์ระดับเมือง
เสียงหัวเราะพูดคุยดังก้องไปถึงหน้าบ้านด้วยคารมเจือความยินดีของเจียงเฉิงกำลังสนทนากับซีเฉินไปถึงเรื่องราววัยหนุ่มวัยเยาว์ตามประสามิตรแท้คบกันมานานเพื่อรอฤกษ์ยามดี จนกระทั่งได้เวลาอี้ป๋อค่อยๆเคลื่อนกายลงมาจากบันไดชั้นสองด้วยชุดสีแดงพลิ้วขลับความรูปงามไร้ที่ติ
“เจ้าบ่าวลงมาแล้ว ช่างหล่อเหลาไม่หนีท่านเลยนะซีเฉิน ฮ่าๆ”
เจียงเฉิงเอ่ยชมไปถึงร่างสูงที่แม้จะเดินเหินยังคงความสง่างามแม้แต่เส้นผมสักเส้นที่ยาวสลวยถึงกลางหลังยังไม่ปลิวไปตามแรงลม จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าสีขาวผ่องลงเครื่องแต่งหน้าบางเบาแทบไม่ต้องจับแต่งให้เสียเวลาด้วยซ้ำ อี้ป๋อก็ดูดีจนยากหาคำเปรียบ
“เคารพท่านอาทั้งสอง”
อี้ป๋อเดินมาถึงตรงหน้าชายผู้เป็นอาแท้ๆและเป็นอาของเซียวจ้านก่อนจะยกแขนทั้งสองมาประสานเข้าด้วยกันระนาบตั้งฉากกับพื้นดินเพื่อไหว้คำนับ ปลายผ้าคลุมแขนสีแดงยาวทิ้งตัวลงอย่างสวยงามและเงยหน้ายกยิ้มเพียงเล็กน้อย แค่นั้นเจียงเฉิงก็กลั้นยิ้มไม่ได้อีกต่อไป
“เจ้าแลดูมีความสุขข้าก็ดีใจ รอสักหน่อยเจ้าสาวของเจ้าจะลงมาแล้ว”
ฤกษ์งามยามบ่ายแก่ตามเวลามงคลที่ซินแสเอาดวงทั้งคู่บ่าวสาวมาทำนายนั้นกำลังเคลื่อนมาถึง เมื่อถึงเวลาวงปี่พาทย์เริ่มบรรเลงเพลงแต่งงานแบบจีนขับขานไพเราะ เจียงเฉิงมองไปยังชั้นสองของบ้านและเรียกให้ซีเฉินกับอี้ป๋อหันไปดู
ฮูหยินของบ้านอย่างเวินฉิงเดินออกมาอย่างช้าๆขนาบข้างกับชายอีกคนที่อยู่ในชุดสีแดงฉาดไม่ต่างกับอี้ป๋อเท่าไหร่นัก แต่เนื้อผ้าอ่อนพลิ้วและบางเบาช่างสวยงามและดูพลิ้วหวานกว่า เครื่องหน้าของเซียวจ้านแต่งแต้มไปด้วยเครื่องแต่งหน้าไม่ได้ต่างจากเจ้าบ่าวนัก
แต่อี้ป๋อไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้แม้แต่เสี้ยววินาที ลมพัดเอื่อยเริ่มพัดแรงขึ้นส่งกลิ่นหอมหวานจากตัวเซียวจ้านอบอวลไปทั่วห้องโถงแต่งงาน เส้นผมสีนิลยาวพลิ้วไปตามแรงลมสะบัดชายเสื้อให้โน้มไปยังด้านหลัง
“เซียวจ้าน...”
อี้ป๋อรำพึงออกมาครั้นจับจ้องไปยังร่างของเซียวจ้านค่อยๆเดินลงบันไดมาทีละย่างก้าว หนักแน่นแต่อ่อนหวาน สำรวมกิริยาท่าทางเสียจนแทบเป็นคนละคนที่
อี้ป๋อเคยเห็น เวินฉิงที่อยู่ข้างๆประคองเดินลงมาไม่ให้ผ้าเกี่ยวเท้าสะดุดพร้อมนางในเรือนที่คอยยกชายผ้าด้านหลังให้
ช่างเป็นภาพที่ตราตรึงใจอี้ป๋อเสียจนกำมือข้างลำตัวแน่น และเผลอยกยิ้มกว้างจนซีเฉินและเจียงเฉิงลอบเห็นแล้วพากันหันไปหัวเราะเบาๆข้างๆอี้ป๋อนั่นแหละ
“รับตัวเจ้าสาวไปเสียสิอี้ป๋อ หลานข้าไยยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเยี่ยงนี้?” เวินฉิงเอ่ยล้อเล็กน้อยเมื่อเซียวจ้านยืนก้มหน้าอยู่นานพอควรแต่อี้ป๋อยังไม่รับมือเซียวจ้านไปประคองเดินไปยังกลางพิธีจัดงานเสียที เวินฉิงขันอยู่ในใจว่าตั้งแต่เกิดมาอี้ป๋อไม่เคยเสียอาการเท่านี้มาก่อน
แต่นางยอมรับว่าวันนี้เซียวจ้านรูปโฉมสวยงามดั่งสตรีก็ไม่ปาน หากมีเครื่องหน้าอ่อนหวานกว่านี้เสียหน่อยแขกเหรื่อได้คิดว่าเจ้าสาววันนี้มิใช่บุรุษเป็นแน่แท้
“ไปกันเถิด”
เมื่ออี้ป๋อยกแขนสั่นๆขึ้นมาขนานกับพื้นเซียวจ้านที่ได้รับการสอนมาว่าต้องเอามือไปจับที่แขนแกร่งนั้นเดินไปด้วยกันค่อยๆยกขึ้นไปวางด้วยมือสั่นเทาไม่แพ้กัน ทั้งคู่เดินเข้าไปกลางพิธีช้าๆและคำนับญาติเจ้าบ่าวเจ้าสาวตามระเบียบการแล้วย่อตัวนั่งลง
ญาติเจ้าบ่าวมีซีเฉินและเวินฉิง ส่วนญาติเจ้าสาวมีเพียงเจียงเฉิงเท่านั้น แขกเหรื่อในงานนั่งลงบ้างนั่งบนเก้าอี้ไม้บ้าง กลางงานเก้าอี้ไม้ที่ญาติบ่าวสาวนั่ง
โอ่อ่าไปด้วยลวดลายหงส์และมังกรสูงศักดิ์
“พิธียกน้ำชาจะเริ่มขึ้นแล้ว บ่าวสาวช่วยกันรินน้ำชา”
เสียงผู้อาวุโสของงานที่ถูกทาบทามมาเป็นผู้กล่าวพิธีการงานแต่งดังขึ้น อี้ป๋อเอี้ยวตัวไปรับถาดน้ำชาจากซือจุยที่นับว่าแต่งตัวดีเสียจนอี้ป๋อแปลกตาไปและมาวางไว้ด้านหน้า เซียวจ้านยื่นไปรับกาน้ำชาในมือเวินหนิงที่แต่งตัวดีไม่แพ้ซือจุยและยกยิ้มให้
เวินหนิงแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพราะวันนี้คุณชายตัวเองช่างงดงามอะไรเยี่ยงนี้ ทั้งตื้นตันใจและดีใจไปกับเซียวจ้านจริงๆ
“อะฮึ่ม!”
อี้ป๋อเห็นเวินหนิงจ้องมองมาที่เจ้าสาวของตัวเองนานแล้วแต่ยังไม่เคลื่อนกายออกไปเสียทีจึงส่งเสียงกระแอมขัดเล็กน้อย เซียวจ้านตวัดสายตามามองคนไร้มารยาทตั้งแต่เมื่อคืนลามมาวันแต่งงานอย่างขัดใจ
ทั้งคู่เริ่มรินน้ำชาใส่จอกสามจอกและยื่นให้ซีเฉิน เจียงเฉิงและเวินฉิงตามลำดับ หลังจากญาติผู้ใหญ่ดื่มหมดแก้วก็เป็นอี้ป๋อและเซียวจ้านยกน้ำชาดื่มตามด้วยกินขนมอี๋ตรงหน้าคนละชิ้นเพื่อความสิริมงคล
“พิธีการยกน้ำชาเสร็จสิ้น บ่าวสาวฟังคำอวยพรจากญาติ”
ผู้อาวุโสเคลื่อนกายออกไปปล่อยให้เป็นเรื่องของคนในครอบครัว ทั้งสามอวยพรแก่คู่บ่าวสาวคู่ใหม่ด้วยคำมงคลต่างๆยาวเหยียด เมื่อเสร็จคำอวยพรอี้ป๋อค่อยๆยกมือไปจับฝ่ามือบางของเซียวจ้านมาวางบนตักช้าๆและเกลี่ยไปที่หลังฝ่ามือนั้นด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้เซียวจ้านเห็นอี้ป๋อยิ้มให้แล้วหัวใจสั่นไหวได้เพียงนี้ ริมฝีปากหยักที่เคยเรียบตึงกลับฉีกยิ้มกว้างพาเอาใบหน้าเย่อหยิ่งนั้นดูหล่อมากกว่าที่เคยเห็นเป็นไหนๆ ดวงตาสีนิลจับจ้องมาที่แววตาสั่นไหวของเซียวจ้านอย่างลึกซึ้ง
“อี้ป๋อ...”
เซียวจ้านเรียกชื่อเจ้าบ่าวข้างๆและยกยิ้มหวานให้จนผู้ใหญ่ตรงหน้าทั้งสามคนอดน้ำตาคลอไม่ได้ พวกเขายิ้มให้กับภาพตรงหน้าที่มีอี้ป๋อและเซียวจ้านจับมือแน่นส่งยิ้มให้กัน ดูท่าว่างานวิวาห์คงไม่เสียเปล่าสินะ
เมื่อพิธีการอันเคร่งครัดจบลงไปก็ได้เวลารื่นเริงยามโหย่ว แขกเหรื่อบางส่วนแยกย้ายกลับหลังจากยินดีกับบ่าวสาวไปบ้างแต่ยังมีหลงเหลืออยู่เพื่อรองานเลี้ยงสุราครึกครื้นนี้ เซียวจ้านในชุดสีแดงยืนขนาบข้างอี้ป๋อเพื่อทักทายแขกสำคัญไปจนครบทั้งงานจนมาหยุดที่หน้าเจียงเฉิงกับกลุ่มสหายของเขา
“เซียวจ้าน ข้าเห็นเขามาแต่เล็กแต่แดงไม่คิดว่าวันนี้ข้าจะได้มายินดีงานแต่งของเจ้าได้ เจียงเฉิงขอบใจเจ้าที่เชิญข้า”
“หาได้ขอบอกขอบใจ เซียวจ้านก็หลานท่านเช่นกัน”
เซียวจ้านยิ้มไปที่สหายของอาตัวเองและก้มหัวเคารพเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่กลางวงโต๊ะไม้ วันนี้เป็นวันดีถ้าเขาจิบสุราเสียหน่อยคงไม่เป็นอะไรกระมัง เหมือนเจียงเฉิงจะรู้ใจเลยคว้าจอกสุรายื่นให้หลานตัวเองจอกหนึ่งและอี้ป๋อจอกหนึ่ง เซียวจ้านรับมาไว้ในมือไม่เกี่ยง
“ดื่มเป็นสิริมงคลหน่อยอี้ป๋อ”
เจียงเฉิงส่งมาให้ซึ่งนั่นทำให้อี้ป๋อปฏิเสธไม่ได้แต่สีหน้าบ่งบอกว่าลำบากใจเล็กน้อย เจียงเฉิงหรี่ตามองแต่เซียวจ้านไม่พลั้งปากจะล้อสักนิด
100%
#ม่านวิวาห์อลเวง
เปิดรอบรีปริ้นท์แล้ว!!
PRE - VIEW ม่านวิวาห์อลเวง [Chaotic wedding] #ป๋อจ้าน MPREG FIC AUTHOR : SNOOKY
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจผ่าน #ม่านวิวาห์อลเวง ด้วยนะคะ
ช่องทางการติดตามการอัพเดตแฟนฟิค
TWITTER : @porzhan
AUTHOR : SNOOKY
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สนุกมากๆเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ ^^
เลือดหมดตัวก็คราวนี้แหละ
อี้ป๋อชั่งไม่อ่อนโยนเสียจริงๆ
เค้าหวงหนูนะจ้านจ้าน ทีอย่างนี้ไม่รู้นะลูก
เลือดหมดตัวแว้ว อี้ป๋อรุนแรงกันจ้านจัง แต่ต้องสั่งสอนให้เข้าใจซะบ้าง??????‘?
มาต่อเร็วๆเด้ออออ
นอกจากทิชชู่หมด เลือดก้อหมดตัวด้วยจ้า ????