ตอนที่ 10 : รีไรท์ 第10 集 ม่านวิวาห์อลเวง
ตอนที่ 10 ม่านวิวาห์อลเวง
“คนใจร้าย ทำไมทำกับข้าเพียงนี้?”
พอได้จับวางนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อนเซียวจ้านก็อดถามเจ้าของแรงป่าเถื่อนเมื่อครู่ไม่ได้ พายุสวาทที่เพิ่งจบไปทำเอาเปลือกตาสีไข่แทบปิดแต่ก็ร้องไห้ถามอยู่ดี
“เจ้ามารังแกข้าทำไมกัน? ตอบมาสิอี้ป๋อเจ้าไม่ได้โดนยาแต่เหตุใดต้องทำรักกับข้าด้วย ข้าผิดอันใดนักหนา? ฮึก เจ้าทำเหมือนข้าเป็นเมียเจ้า เห็นข้ากอดกับชายอื่นก็ลากขึ้นเตียง เจ้ามันใจร้ายนัก”
เซียวจ้านใช้แรงน้อยนิดทุบอกเปล่าเปลือยที่นอนกอดเซียวจ้านบนเตียง เสื้อผ้าไม่ต้องใส่มันแล้วไม่อย่างนั้นคนที่เอาแต่นอนร้องไห้คงได้หนีเขาไปพอดีเลยรวบรั้งนอนหันหน้ากอดเสียเลย
“นอนเถิดเหนื่อยแล้ว”
“เหนื่อย? ข้าสิสมควรเหนื่อย กินเหล้าอยู่ดีๆ ก็โดนสอบเอวใส่บนเตียง”
“เห้อ ข้าหวงเจ้าพอใจได้หรือยัง นอนเถิดไม่อย่างนั้นข้าจะทำอีกรอบ”
ดวงตากวางน้อยเบิกกว้างหยุดเอามือทุบอกที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนนั่นทันที เมื่อครู่คงไม่ใช่เพราะเซียวจ้านเมาหรือหมดแรงเพราะโดนอี้ป๋อสูบไปใช่หรือไม่
หวงอะไรกัน? อี้ป๋อหวงเขางั้นหรือ?
ครั้นยามเฉินของอีกวันช่างผิดวิสัยคนตื่นยามเหม่าอย่างอี้ป๋อยิ่งนัก ซือจุยร้อนใจตามคำสั่งของซีเฉินให้ขึ้นมาปลุกหลานชายจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นมาเพราะกังวลว่าอี้ป๋อจะเป็นอะไรไป ปกติไม่เคยมีครั้งไหนอี้ป๋อตื่นสายตะวันแทบแยงก้นขนาดนี้มาก่อน
คนทั้งบ้านต่างกังวลไปเสียหมดแต่ไม่สงสัยเซียวจ้านนักเพราะรายนั้นตื่นเช้าสิแปลก
“คุณชายอี้ป๋อขอรับ ตื่นหรือยังขอรับท่านอาซีเฉินให้ข้ามาตาม”
ซือจุยยืนก้มหน้าอยู่ที่ประตูห้องนอนของอี้ป๋ออยากจะเอื้อมมือไปเคาะประตูแทบแย่แต่กลัวเสียมารยาทเจ้านายกับลูกน้อง แต่ตะโกนเข้าไปก็ไร้วาจาตอบกลับจึงไร้ทางเลือก มั่นใจแน่แล้วว่าอี้ป๋อไม่ปกติแน่ๆ จึงเคาะประตูไปสามสี่ครั้งแต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบรับ
“หรือว่าคุณชายจะป่วย...!”
ซือจุยไม่อาจรั้งรอเวลาใดได้อีกในเมื่ออี้ป๋อเล่นไม่ตอบรับอะไรสักอย่างเยี่ยงนี้ มือหนาของเด็กหนุ่มเปิดประตูออกกว้างและสอดตัวเข้าไปยังห้องนอนของอี้ป๋ออย่างรีบร้อน
“คุณชายอี้ป๋อขอรับข้าขออภัยหากเสียมารยาท ท่านซีเฉินให้ข้า...ผีหลอก!!!!!!!”
ซือจุยล้มนั่งก้นกระแทกพื้นอย่างทรงตัวไม่อยู่ ดวงตาเรียวคมเบิกกว้างราวกับเห็นผีอย่างที่พูดออกมาจริงๆ นั่นแหละ ไม่เพียงแค่ตาที่เบิกกว้างเท่านั้นริมฝีปากเองก็อ้าออกแหกตะโกนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเช่นกัน เมื่อสิ่งที่เห็นคือร่างของอี้ป๋อคุณชายเย็นชาพูดน้อยต่อยหนักของเขากำลังกกกอดอยู่กับเซียวจ้านบนเตียง
เสียงที่ตะโกนลั่นห้องไม่สามารถทำให้เซียวจ้านที่เหนื่อยล้าทั้งคืนตื่นมาได้แต่ทำให้หวังอี้ป๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาไม่ยาก ความนิ่งสงบแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีรีบร้อนคว้าผ้าห่มมาปิดร่างบนเปล่าเปลือยของเซียวจ้านเสียจนมิดคอ
นอกจากเขาก็ไม่มีใครหน้าไหนได้เห็น ส่วนร่างกายเปล่าเปลือยตัวเองจะเป็นยังไงอี้ป๋อย่อมไร้ความสนใจ สอดตัวอยู่ในผ้าห่มโผล่พ้นเนื้อหนังมังสากำยำด้านบนให้ซือจุยผวาตกใจเป็นครั้งที่สอง
“ตาเถรแล้วมารดาเอ้ย คุณชายข้าเปลื้องผ้ากับคุณชายเซียวจ้าน โลกาพินาศแล้วมารดาเอ้ย!!”
ดวงตาคมสีนิลจ้องมองมาที่ร่างของซือจุยที่ยังนั่งล้มไม่เป็นท่าไม่นานนัก ความตกใจ ความกลัว ความรับมือไม่ทันต่อภาพที่เห็นทำเอาร่างเด็กหนุ่มยันกายขึ้นยืนแล้วออกตัววิ่งตะโกนโห่ร้องอย่างไรสติไปข้างล่างทันใด
“เฮ้อ เรื่องยาวอีกแน่”
อี้ป๋อพูดผ่านแผ่นหลังของซือจุยที่วิ่งไปด้านล่างแล้วอย่างคิดไม่ตก หากซือจุยวิ่งร้องไปแบบนี้เรื่องเมื่อคืนคงแดงมาไม่มีทางหนีพ้น หวังอี้ป๋อหันกลับไปทางด้านคนนอนหลับกกกอดกับเขาทั้งราตรีและคลายคิ้วที่ขมวดจากกันเมื่อครู่ช้าๆ และเปลี่ยนแววตาอ่อนลงไร้ความแข็งกร้าวอย่างแต่ก่อน
“เพราะเจ้า”
นิ้วชี้เรียวยกขึ้นเกลี่ยไปที่ปลายจมูกของเซียวจ้านอย่างหมั่นเขี้ยวช้าๆ สองสามครั้งจนคนที่นอนหลับเป็นตายส่งเสียงอื้ออึงอย่างรำคาญใจออกมาเบาๆ เหมือนใครช่างใจร้ายไปรบกวนเวลานอนเข้าอย่างไรอย่างนั้น
หวังอี้ป๋อสัมผัสไปที่หน้าผากของเซียวจ้านอย่างนึกกลัวว่าจะเหมือนราตรีนั้นที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเซียวจ้านมีไข้ขึ้นสูง แต่โชคดีที่ครานี้ไม่มีอาการป่วยเหมือนครั้งแรก อี้ป๋อจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาได้ไม่ยากก่อนจะเดินลุกขึ้นจากผ้าห่มซ่อนเร้นส่วนล่างเปล่าเปลือยเดินเข้าห้องน้ำไป
“นั่นไงท่านซีเฉิน คุณชายอี้ป๋อเดินมาแล้ว ข้าไม่รู้ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นข้าขอตัว”
ซือจุยรีบพูดจนลิ้นแทบจะพันกันหลังวิ่งตกใจลงมาตามบันไดเสียจนซีเฉินอดถามไม่ได้ว่าถูกใครไล่ฆ่ามาหรือไร แต่สิ่งที่ได้ยินแม้กระทั่งเวินฉิงเองที่นั่งข้างๆ อกเอามือทาบอกไม่ได้ นี่มันยิ่งว่าโลกาพินาศเสียอีกเมื่อเจ้าตัวดีที่เดินลงบันไดไร้ความสะทกสะท้านพาคุณชายเซียวจ้านเข้าไปหลับนอนกันถึงในห้องตัวเอง
หลังจากซือจุยรายงานเรื่องเสร็จสิ้นก็ไม่ขออยู่ใกล้อี้ป๋ออีกเพราะกลัวเจ้านายจะเอาเรื่องเขาที่เล่าเรื่องออกไป ก็มันใช่หลับนอนปกติเสียที่ไหนร่างกายล่อนจ้อนกันทั้งคู่แบบนั้น
“อี้ป๋อ ข้าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนะ มานั่งนี่ก่อนเถิด”
ซีเฉินยิ้มกว้างออกมาและหรี่ตามองร่างกายของอี้ป๋อตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางนึกว่าหลานชายคนนี้หาใช่ชายเย็นชาเยี่ยงเดิมไม่ บัดนี้กลายเป็นหนุ่มเร่าร้อนไปแล้ว ดุเด็ดขนาดพาว่าที่ภรรยาเข้าไปทำเรื่องอย่างว่าไม่เว้นคืนเยี่ยงนี้หาได้เป็นอี้ป๋อที่เคยรู้จัก
“เรื่องที่ซือจุยมาบอกข้ากับซีเฉิน เจ้ามีข้อแก้ตัวหรือไม่?”
“...”
อี้ป๋อถูกเวินฉิงซักถามเรื่องที่ซือจุยเอามารายงานเมื่อครู่ ไม่ต้องชี้แจงกับอี้ป๋อนักร่างสูงในชุดสีขาวสะอาดย่อมรู้ดีถึงเนื้อความที่ซือจุยคาบมาบอกแก่ใจ ร่างโปร่งขาวสะอาดแต่ดูเหนื่อยล้าทำเพียงส่ายหน้าเบาๆ เชิงยอมรับไร้ข้อโต้แย้งกับนาง
“นี่เจ้า...เกิดอะไรขึ้นกันแน่ข้าสับสนไปเสียหมด พวกเจ้าทั้งสองหาได้รักกันมิใช่หรือ เหตุใดพากันไปทำเรื่องอย่างว่า?”
“นั่นสิอี้ป๋อ ทำไมเจ้ากับคุณชายเซียวจ้านถึงได้ร่วมเตียงกันอีกคราโดยที่ข้ากับเวินฉิงไม่ได้ให้ยาใคร่ไปนะ”
ซีเฉินเอ่ยถามราวน้ำเย็นแต่เวินฉิงเหมือนดั่งเปลวไฟร้อน แต่คงมีเพียงอี้ป๋อเท่านั้นที่นั่งเงียบกำมือแน่นกับเนื้อผ้าตัวเองยามนั่งแล้วมันร่นขึ้นยับยู่ยี่ไปหมด อี้ป๋อเกิดมาหาไร้ความรู้สึกอึดอัดเยี่ยงนี้มาก่อนเพราะไม่รู้จะพูดเยี่ยงไร
“เมื่อคืนเซียวจ้าน...ให้ชายอื่นกอดที่โรงเหล้า” อี้ป๋อเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับสองอาน้าของตัวเองและพูดเพียงประโยคสั้นๆ ส่งกลับไป หากถามว่าซีเฉินกับเวินฉิงเข้าใจที่อี้ป๋อพูดหรือไม่ก็คงเข้าใจเพียงครึ่งหรือแค่หางอึ่งด้วยซ้ำ
“เจ้าช่วยสาธยายให้ความยาวกว่านี้ได้หรือไม่ ข้ามิใช่เณรน้อยเจ้าปัญญา”
เป็นซีเฉินที่ใจกล้าสืบความจากหลานชายตัวเองขึ้นมา คิ้วเข้มที่เคยเรียบตึงกลับเปลี่ยนเป็นขมวดเข้าหากันทันที เวินฉิงแทบเอาใจทั้งใจลุ้นกับคำตอบอี้ป๋อเสียจนอยากลุกไปกระชากคอถามแล้วหากจะช้าเยี่ยงนี้
“ข้า...หวง”
สั้นแต่ชัดเจน อี้ป๋อก้มหัวไปทางซีเฉินครั้งเวินฉิงครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปทางครัวปล่อยให้สองอาน้ามองหน้ากันแล้วยกยิ้มน้ำตาคลอเบ้าออกมา วันนี้ใช่วันที่ใครกอบกู้ประเทศจีนไว้หรือไม่ซีเฉินและเวินฉิงใคร่รู้ยิ่งนัก หรือเป็นวันทำทานครั้งใหญ่ของบรรพบุรุษเคยทำเอาไว้กันแน่
อี้ป๋อหลานชายจอมเงียบแสนเงียบไร้ความรู้สึกหวงเซียวจ้านถึงขั้นทนไม่ได้ที่เห็นกอดกับชายอื่นจึงพาขึ้นเตียง สองอาน้าพูดออกพร้อมเพรียงไร้การนัดหมายทันที
“สมแล้วที่เป็นอี้ป๋อ! /สมแล้วที่เป็นอี้ป๋อ!”
กลิ่นหอมกรุ่นของซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ซุปถั่วงอกและแกงเผ็ดหมูสามชั้นส่งไอร้อนและความหอมไปยังร่างที่เพิ่งตื่นไม่เต็มตานักให้ยันตัวนั่งท่ามกลางความเสียดท้องและเบื้องล่าง เมื่ออี้ป๋อเห็นว่าไม่ค่อยถนัดร่างนักจึงหวังเข้ามาช่วยพยุง แต่เป็นเซียวจ้านที่ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ช้าเลยคุณชายอี้ป๋อ ข้านั่งเองได้หาใช่พิการ”
แค่โดนแทงทะลุทะลวงเมื่อยามราตรีก็น่าอับอายพออยู่แล้ว เป็นชายเหมือนกันแท้ๆ แต่ไร้ซึ่งแรงขัดขืนอี้ป๋อได้แถมยังยินยอมเพรียกชื่อครางชื่อบุรุษชุดขาวตรงหน้าเสียอีก เพียงแค่นั้นก็น่าอายเกินทน เมื่ออี้ป๋อเห็นว่าเซียวจ้านห้ามเอาไว้จึงไปนั่งที่โต๊ะไม้เล็กกลางห้องแทน
“ให้ตายเถอะข้าเปลือยอย่างนี้...”
เซียวจ้านหลงลืมไปแล้วกระมังว่าร่างกายของตัวเองนั้นเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์จึงตะครุบผ้าห่มมาปิดแนบอกตัวเองแล้วส่ายดวงตาไปมาเพื่อหาเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อครู่ยามได้เห็นเนื้อกายตัวเองเต็มไปด้วยจุดแดงแต่งแต้มใบหน้าก็ยิ่งเห่อร้อน
พ่อตัวดีนั่งยิ้มกริ่มพลางจัดมื้ออาหารเช้าในห้องหน้าตาระรื่นยิ่งนึกหมั่นไส้
“ข้าจัดเอาไว้อยู่ในห้องน้ำ เจ้าไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วมาทานมื้อเช้าเสีย แต่ถ้าเจ้าไม่ลุกไปข้าจะถือว่าเจ้าอยากให้ข้ามอบให้อีกรอบ”
“พอเลยนะหวังอี้ป๋อ นี่เจ้ากลายเป็นคนเยี่ยงนี้เสียเมื่อไหร่?”
กลายเป็นคนคิดถึงแต่เรื่องบนเตียงไปเสียเมื่อไหร่นี่คือสิ่งที่เซียวจ้านต้องการจะขยายนั่นแหละ
“ข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้และข้าจะมาคิดแค้นกับเจ้า”
ลุกขึ้นก็เอาผ้าห่มห่อตัวเป็นเกลียวเข้าไปในห้องน้ำด้วย เดินทุลักทุเลท่าไม่เป็นปกติยิ่งทำให้คนที่นั่งมองจนกว่าร่างบางหายเข้าห้องน้ำยิ้มชอบใจ เพียงนี้แล้วหากจะยังกล้าเมาไปท่องราตรีให้ชายอื่นแทะโลมได้อย่าเรียกข้าว่าหวังอี้ป๋อเลย
“หยุดคีบให้ข้าได้แล้ว ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
เซียวจ้านที่อาบน้ำอาบท่าแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยชุดเสื้อบางสีขาวของอี้ป๋อออกมาจากห้องน้ำนั่งลงอยู่ที่เก้าอี้ไม้กลางห้องตรงข้ามกับหวังอี้ป๋อก่อนจะกำชับเสียงเข้ม พอมองเสื้อผ้าตัวเองตอนนี้ก็ยิ่งทำหน้ายู่ เหตุใดไม่เข้าไปห้องเขาแล้วเอาชุดมาวางให้กันนะ แต่ช่างเถิดเดี๋ยวใครจักรู้พอดีสู้อุดอู้อยู่ในห้องเนี่ยแหละดีแล้ว
“...”
อี้ป๋อเมื่อโดนสั่งห้ามให้คีบเนื้อหมูสามชั้นใส่ชามข้าวของเซียวจ้านก็พับตะเกียบลงกับโต๊ะและตั้งใจฟังที่เซียวจ้านอยากหารือด้วย มื้อเช้าที่คาบช่วงเป็นมื้อเที่ยงจึงเป็นหมันอยู่อย่างนั้น
“ข้า...เรื่องเจ้ากับข้า...เอ่อ”
“รู้หมดแล้ว”
“ห้ะ? อะไรนะอี้ป๋อ? นี่เจ้าเอาเรื่องไปบอกคนอื่นหรือ?”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างเป็นไข่ห่านยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินถนัดหู ความตั้งใจจะให้ความอับอายเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความลับกลับกลายเป็นรู้กันทั้งบ้านไปแล้ว ทีนี้เซียวจ้านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไม่สิหากเป็นเยี่ยงนี้เรื่องงานแต่งคงไม่จัดพรุ่งนี้เชียวหรือ
“ข้าเปล่า...ซือจุยมาเห็น”
“อ๋า ซือจุยเห็นก็คงไม่แย่เท่าไหร่นัก คนในบ้านเท่านั้นย่อมรู้...ห้ะ ซือจุย!”
ซือจุยรู้โลกรู้ เซียวจ้านจำได้แม่นตั้งแต่เรื่องจมน้ำครานั้นก็เล่าขานไปทั่วว่าโดนอี้ป๋อผายปอดแล้วครานี้ล่ะไม่รู้กันไปถึงเป่ยหนานแล้วหรือ (เป่ยหนาน = เหนือใต้)
“เหตุใดเจ้ายังเพิกใจได้เยี่ยงนี้?”
เซียวจ้านยกตะเกียบชี้หน้าอี้ป๋ออย่างคาดคั้น เรื่องเสียหายเยี่ยงนี้อี้ป๋อควรร้อนใจมิใช่หรือไงกัน
“ข้าว่าก็ดี ทั่วไปจะได้รู้ว่าเจ้ากับข้าได้เสียกันหลายคราใครไม่กล้ายุ่ง”
ข้าหวง พอใจหรือยัง
จู่ๆ ประโยคเมื่อคืนก่อนที่เซียวจ้านจะหลับไปจากความเหนื่อยล้าก็ดังเข้าหัวเสียจนต้องลดตะเกียบในมือลงมา หวังอี้ป๋อเจ้ากล้าพูดเยี่ยงนี้ออกมาได้ไม่อายปากตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ เซียวจ้านจึงไม่รั้งรอจะคลายความสงสัย
“นี่ ที่เจ้าพูดว่าหวงข้าเจ้าแกล้งข้าเล่นงั้นหรือ?”
...ตึกตักๆๆ ...
อาการคล้ายจะเป็นโรคหัวใจของเซียวจ้านดังขึ้นมาท่ามกลางกลีบปากหยักที่ค่อยๆ เผยอขึ้นพร้อมกับดวงตาสีนิลที่สอดจ้องประสานเข้ามาอย่างจริงจังทำเอาเซียวจ้านขนลุกไปหมด
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนชอบพูดปด?”
ชัดเจนกว่าส่องกล้องทางไกลก็คือแววตาจริงจังและน้ำเสียงหาใช่หยอกล้อไม่ของคุณชายอี้ป๋อนั่นแหละ
“ทำไมต้องมาหวงข้า ข้าไม่ใช่ญาติพี่น้องของเจ้า”
“อืม เป็นเมีย”
หวังอี้ป๋อพูดออกมาได้หน้าตาเฉยก่อนจะคีบหมูสามชั้นเข้าปากอย่างไม่สะทกสะท้านผิดกับเซียวจ้านที่อยากจะเอื้อมมือไปบีบคอคนตรงหน้าใจจะขาด
ตายซะเถิดหวังอี้ป๋อ!!!!!
ได้แต่คิดในใจเท่านั้น
ร่างในชุดเสื้อซับในสีขาวสะอาดตาก้มๆ ยืนๆ อยู่ตรงบันไดชั้นสองสอดส่องมายังชั้นล่างว่ามีใครอยู่หรือไม่ หากมีคนอยู่อย่างซีเฉินและเวินฉิงขี้ล้อนั่นเซียวจ้านจะได้กระโดดลงหน้าต่างไปชั้นล่างแทน เพลาเยี่ยงนี้เลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่า
“เจ้าเป็นอะไร?”
“ชู่ว! เงียบไปเลยเจ้าตัวปัญหา”
เซียวจ้านเอ็ดไปยังบุรุษข้างๆ ที่เดินตามกันมาจากในห้องหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยก็ว่าจะเดินไปข้างล่างเสียหน่อยแต่ถ้าอี้ป๋อเสียงดังแบบนี้มีหวังคนข้างล่างได้แห่มาซักเรื่องเมื่อคืนแน่
“น่าเบื่อ”
อี้ป๋อส่ายหัวให้กับความไร้สาระของเซียวจ้านก่อนจะเดินลงบันไดไปด้วยความสบายอกสบายใจต่างกับเซียวจ้านที่ไม่อยากเจอหน้าสองอาน้าตระกูลหวังเอาเสียเลย
“เอ้า คุณชายหลี่ เหตุใดถึงทำเป็นลิงเป็นค่างโลดโผนตรงบันไดล่ะ?”
“น้าเวินฉิง”
เซียวจ้านกรอกตามองบนเพดานก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างทดท้อใจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยหนีรอดพ้นสายตาของคนในบ้านนี้ทุกทีสิน่า ร่างบางในชุดขาวแปลกตาจึงค่อยๆ เดินลงบันไดมาตามเสียงเรียก
“นี่ข้าพลาดอะไรไปหรือ? เดี๋ยวนี้ใส่เสื้อผ้าของว่าที่สามีได้แล้วหรือไร?”
ก้นยังไม่ถึงตั่งไม้ก็ถูกเวินฉิงทักล้อเสียแล้ว ประเด็นแรกทำเอาเซียวจ้านทำหน้าเบื่อ ก็เรื่องเสื้อตัวดีของอี้ป๋อยังไงล่ะ แต่ยังไงเสียอีกในเมื่อคนจัดหาให้ยังยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มอย่างไม่ทุกข์ร้อนปล่อยให้เซียวจ้านนั่งเหงื่อตกคนเดียว
“ข้า...เลิกล้อข้าเถิดแค่นี้ข้าก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ใช่! เพราะเจ้าเลยอี้ป๋อ เจ้าคนเดียว!”
“หึ”
อี้ป๋อหันหน้ามาทางเซียวจ้านและส่งเสียงผ่านลำคอสั้นๆ ดวงตาของเซียวจ้านเห็นถึงความผิดแปลกเมื่อมีแค่เวินฉิงอยู่เรือนคนเดียวมันแปลกไปนะ
“ท่านน้าเวินฉิงแล้วท่านอาซีเฉินล่ะ ไปไหนเสียเล่า?”
“ไปดูท่าเรือหวังหนานตั้งแต่เช้าแล้ว เออจริงสิข้าจะบอกอี้ป๋ออยู่พอดีว่าช่วงนี้มีคนลักลอบเอาซากสัตว์ผิดกฎบ้านเมืองเข้ามา ข้าจะไหว้วานเจ้าไปดู”
อี้ป๋อวางจอกน้ำชาลงกับโต๊ะไม้และพยักหน้าเป็นเชิงรับคำสั่งก่อนที่จะหยัดกายยืนเต็มความสูง เซียวจ้านขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและมองใบหน้าของเวินฉิงที่ยิ้มส่งมาให้ ทว่ายิ้มเยี่ยงนี้ช่างมีเลศนัยเสียจริง
“ท่านน้าเวินฉิงเชิญกล่าวมาตามตรงเถิด ท่านจะให้ข้าตามอี้ป๋อไปด้วยใช่หรือไม่?”
“แหม สมกับที่เป็นเซียวจ้านคนฉลาดเสียจริง ดีเลยข้าไม่อ้อมค้อมข้าอยากให้เจ้าเริ่มตามว่าที่สามีเจ้าไปดูงานดูการของตระกูล แต่เจ้าไม่ไปก็ได้ข้าเข้าใจว่าเมื่อคืนคง...”
“ไปข้าจะไป ท่านน้าหยุดล้อข้าเพราะอี้ป๋อตัวดีเสียเถิด!” ถ้าจะยกเรื่องเมื่อคืนมาหยอกล้อให้เขินอายอีกครา เซียวจ้านยอมตากแดดตากลมไปท่าเรือกับอี้ป๋อเสียดีกว่า
ลมแดดร้อนของจีนยามหน้าร้อนช่างร้อนสมชื่อฤดูกาล เซียวจ้านเป็นมนุษย์ขี้ร้อนมากๆ คนหนึ่งจึงพกพัดสีขาวเทาติดไม้ติดมือมาด้วยแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก หวังอี้ป๋อเดินอยู่ข้างๆ อดหันมาดูคนเหงื่อหยดไม่ได้อยากจะถามก็ขี้เกียจอ้าปากพูด
“ร้อน เจ้าต้องมาที่นี่ทั้งๆ ที่ร้อนขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ?”
“อดทน”
อืม ช่างเป็นคำตอบที่เซียวจ้านหน้าชาเสียจริง พูดมาแบบนี้ไม่ด่าเซียวจ้านตรงๆ เหมือนพูดไร้ยางอายบนห้องไปเลยล่ะว่าเซียวจ้านเป็นคนไร้ความอดทน
“ขอบใจท่านมากอี้ป๋อ ด่าข้ามาเถิดข้าจะได้รู้สึกว่าเป็นบุรุษที่ไม่ใช่บุรุษ”
“จะถึงแล้ว”
ไฉนหาเรื่องชวนตีแต่กลับเร่งฝีเท้าไปยังท่าเรือไม่สนใจเซียวจ้านบ่นเยี่ยงนี้ล่ะ คนที่โบกพัดยิ่งหัวร้อนเข้าไปใหญ่นับเป็นคราที่สองของวันที่อยากจะฆ่าอี้ป๋อให้ตายคาท่าเรือเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ คนอะไรเย็นชาชะมัดต่างกับเรื่องบนเตียง
“แล้วข้าจะไปคิดถึงเรื่องแบบนั้นทำไมกันนะ!”
เซียวจ้านใช้พัดโขลกหัวตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่งเพื่อปัดเป่าความคิดบ้าๆ ในหัวสมอง ทำไมกันนะต้องเป็นเซียวจ้านคนเดียวที่ต้องมานั่งคิดแต่เรื่องที่อีกคนไม่แม้แต่จะใส่ใจด้วย ใช่สิเขามันคือผู้ถูกกระทำ
“จะยืนอีกนานไหมเห็นบอกร้อนก็เข้ามาสิ”
เป็นเซียวจ้านที่ยืนแข็งทื่อกับสิ่งที่อี้ป๋อพูดออกมาในร่มของหลังคาไม้ใกล้ท่าเรือนั่น หรือหากจะให้เซียวจ้านคิดเข้าข้างตัวเองก็คือที่อี้ป๋อเร่งฝีเท้าไปไวๆ ก็เพียงเพื่ออยากให้อีกคนเดินตามไปหลบในร่มหรอกหรือ
คนเย็นชาอย่างอี้ป๋อไม่น่าจะเป็นคนเยี่ยงนี้ได้
“หนึ่ง...สอง...”
“ไปแล้วๆ ไฉนต้องเร่งข้าด้วยเจ้าพิกุลทอง”
เซียวจ้านใช้พัดปัดไอหน้าที่เห่อร้อนเพื่อไล่ความคิดว่าอี้ป๋อใส่ใจตัวเองนั่นทิ้งไปก่อนจะเร่งเท้าให้ทันอี้ป๋อที่แทบจะเดินมากระชากบุรุษขี้ร้อนอย่างเขาเข้าร่มให้อายคนทั้งเมือง
“ห้ามพูดกับใคร”
อี้ป๋อหันมากำชับเซียวจ้านที่ยืนหลบในร่มข้างๆ เมื่อมีชายสามคนเดินตรงมาทางนี้ ชายหนุ่มเหล่านั้นแต่งตัวดีบ่งบอกว่าน่าจะเป็นลูกผู้ดีมีเงินเพียงปราดเดียวที่เซียวจ้านเห็นก็มองออก แต่ที่มองไม่ออกคือทำไมไม่ให้พูดกับใคร เขาไม่ได้เป็นใบ้เหมือนอี้ป๋อเสียหน่อย
“ห้ามยิ้มด้วย”
“ห้ะ? นี่เจ้าไม่ไล่ข้ากลับเรือนหรือห้ามให้ข้าหายใจไปเลยล่ะ เรื่องมากจริงเพื่ออะไรหวังอี้ป๋อ?”
เซียวจ้านยังไม่ได้คำตอบอันแสนจะสร้างความหงุดหงิดให้ตัวเองชายสามคนนั้นก็เดินมาถึงตัวอี้ป๋อและเซียวจ้านแล้ว ชายหนุ่มเหล่านั้นก้มหัวทักทายอี้ป๋อเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองสายตามามองบุรุษแปลกหน้าข้างกายอี้ป๋อแทน
“สวัสดีคุณชายอี้ป๋อวันนี้มาที่ท่าเรือไม่ได้บอกกล่าวพวกข้าเลยไม่ได้เตรียมร่มมาให้ช่างไร้มารยาท”
“...”
หวังอี้ป๋อไม่ได้ตอบกลับอะไรไปทำเอาเซียวจ้านอดขายหน้าแทนบุรุษผู้หนึ่งที่ทักทายไม่ได้ ไฉนต้องเย็นชากับมนุษย์ร่วมโลกไปเสียทุกคนด้วยกันนะ เป็นเซียวจ้านที่ส่งยิ้มส่ายหน้าเตรียมจะเอื้อนเอ่ย
“ว่าแต่ท่านคือใครงั้นหรือ? ข้าไม่เคยพบเจ้าของรอยยิ้มสวยอย่างท่านมาก่อน”
“ข้าชื่อหลี่เซียวจ้าน เป็นหลานของท่านอาเจียงเฉิงสหายของท่านอาซีเฉิน ข้าฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
“ฮึ่ม!!”
เซียวจ้านกำลังยกมือทำความรู้จักกับสามบุรุษตรงหน้าเพื่อเป็นมารยาทแต่กลับต้องหันหน้าไปทางต้นเสียงกระแอมไอข้างๆ ไม่ใช่เพียงร่างบางเท่านั้นคนตรงข้ามก็อดเหงื่อแตกหันไปมองตามเสียไม่ได้
“เอ่อ...ข้ายินดีที่ได้พบท่านนะ คุณชายหลี่”
“ข้าก็ด้วย นี่หมิงซื่อ หมี่เหริน และข้าจินจื่อเซวี่ยน”
ชายผู้หนึ่งผู้มีใบหน้าคมคายและร่างกายขาวผุดผ่องผายมือแนะนำสหายข้างๆ ทั้งสอง เซียวจ้านส่งยิ้มให้อีกครั้งและยกมือทักทายอย่างอารมณ์ดีแม้ไม่รู้จักว่าเป็นลูกใครก็ตาม
“ฮึ่ม!!”
“เอ้ะ อี้ป๋อนี่เจ้าเอากระโถนไหมท่าจะอยากขากน้ำลาย”
เซียวจ้านไม่ขอทนอีกแล้วมายืนกระแอมกระไอราวกับมีเสมหะ จู่ๆ โดนแดดนึกไม่สบายขึ้นมาหรือไรช่างขัดจริง
“ไปทำงานเสีย”
“เอ่อ...คุณชายหมายถึงพวกข้า...เอ่อขอรับ ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ช้าก่อน”
ป๋อส่งสายตาไปหาบุรุษทั้งสามตรงหน้าก่อนจะขานไล่ให้ไปทำงานไม่ให้ยืนคุยเสียเวลาอยู่ตรงนี้ เมื่อทั้งสามเห็นแววตาดุดันของอี้ป๋อก็รีบก้มหัวเตรียมลาไปทำงานแต่เสียงเข้มก็เอ่ยทักขึ้นมาขัดเรียวขาแกร่งจะก้าวเดิน
“ขอรับ?”
“ชายผู้นี้หลี่เซียวจ้าน...เป็นว่าที่ภรรยาข้า”
ตายโหง! ฟ้าจะล่มดินจะทลายหรือพายุจะเข้าท่าเรือหวังเป่ยเสียแล้วกระไร จินจื่อเซวี่ยนเบิกตาโพลงไม่แพ้สหายด้านข้างมองหน้าอี้ป๋อสลับกับใบหน้าของเซียวจ้านสลับไปมาอย่างนึกถึงชะตากรรมอันร้าย หวังอี้ป๋อไม่เคยพาผู้ใดมานอกเสียซือจุย
พาเซียวจ้านมาก็ว่าแปลกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือแนะนำยศให้รู้กันไปอีกว่าเซียวจ้านเป็นใคร เยี่ยงนี้แล้วหาได้ไปยุ่งไม่ ต้องรีบไป สามหนุ่มต้องรีบก้มหัวให้แล้วไปจากตรงนี้ก่อนจะโดนอี้ป๋อฆ่ากันด้วยสายตาน่ากลัว
“นี่เจ้า...เจ้าพูดอะไรออกไปอี้ป๋อ!!”
“ก็หาใช่พูดปด ถ้าเจ้ายิ้มหวานอีกทีข้าจะโยนเจ้าลงแม่น้ำหวังเป่ยเสีย”
ช้าก่อน ที่โกรธเสียงแข็งกระแอมไอไม่หยุดนี่อย่าพูดเชียวนะว่าเป็นเพราะเซียวจ้านยืนคุยยืนยิ้มกับชายอื่น บ้าไปแล้วกระมังให้เซียวจ้านยืนร้องไห้หรือไร บ้าไปแล้วหวังอี้ป๋อ
“เจ้ากล้าดีเกินไปแล้วนะ ข้าไปเป็นว่าที่ภรรยาของเจ้าเสียเมื่อไหร่?”
เออ ก็เป็นไปนานแล้วมิใช่หรือ เซียวจ้านยืนกรานความคิดของตัวเองแล้วกลอกตาไปมา
“ให้ข้าย้ำอีกไหมล่ะข้าพร้อมเสมอ หึ”
“หวังอี้ป๋อ เจ้ามันร้ายกาจเกินคน!”
แต่พอก้มหน้าคิดไม่ทันไรอี้ป๋อก็จัดคำพูดสั้นๆ มาให้เซียวจ้านหน้าแดงอีกแล้ว ปากก่นตะโกนด่าหวังอี้ป๋อที่เดินไปทางคนงานด้านในไปแต่ว่าหัวใจกลับเต้นผิดจังหวะ สมกับที่ตะโกนด่าว่าร้ายกาจจริงเชียว
เซียวจ้านกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อให้ทันเจ้าของแผ่นหลังแกร่งที่แม้มองจากด้านหลังก็ยังคงสง่างามสมกับคำเลื่องลือว่าอี้ป๋อคือบุรุษในฝันของสตรีทั้งเมือง เย่อหยิ่ง รักษากิริยาสุขุมและยากจะเอื้อมถึง เรียวขาเรียวหยุดชะงักนึกคิดถึงตัวเองที่กลับได้ชายผู้นี้มาเป็นของตัวเองถึงสองครั้งสองครา
แม้จะไม่ได้ยินยอมพร้อมใจเท่าไหร่นักก็เถิด
“คุณชายอี้ป๋อเหตุใดถึงมาด่วนเสียขนาดนี้ ข้าตกใจหมด” เสียงของชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าสีส้มโอรสดูท่าแล้วน่าจะเป็นคนเก่าแก่ของท่าเรือนี้ในสายตาของเซียวจ้าน ชายผู้นั้นมองมายังคนข้างหลังอี้ป๋อจนเซียวจ้านอดโค้งตัวเคารพคนอาวุโสกว่าไม่ได้
“อ่า ข้าชื่อซูเซ่อ ชายข้างหลังคุณชายอี้ป๋อคงเป็นคุณชายเซียวจ้านแห่งเมืองเจียงใช่หรือไม่?”
“นี่ท่านรู้จักข้าได้อย่างไรหรือ?”
เมื่อเจ้าของชื่ออย่างเซียวจ้านได้ยินชายวัยกลางคนตรงหน้าพูดชื่อแซ่ถูกทุกกระเบียดนิ้วจึงเดินออกมาจากข้างหลังอี้ป๋อเพื่อมายืนเคียงข้างกัน คงมีเพียงเซียวจ้านที่ท่าทางกระตือรือร้นเพียงผู้เดียวส่วนอี้ป๋อก็นิ่งเฉยสมกับเป็นอี้ป๋อนั่นแหละ
“ข้าเป็นคนเก่าแก่ของที่นี่ ดูแลท่าเรือมาตั้งแต่สมัยยังไม่รุ่งเรืองขนาดนี้ เหตุใดจะไม่รู้เรื่องที่คุณชายคือว่าที่หลานสะใภ้ตระกูลหวังกันเล่า”
เซียวจ้านแทบสำลักน้ำลายตัวเองได้แต่คิดในใจว่าไม่น่าไปถามให้ช้ำอก ย่อมแน่อยู่แล้วว่าแทบทุกตารางเมืองคงรู้จักเขาในฐานะว่าที่ภรรยาของอี้ป๋อ มันไม่แปลกตรงไหนเลย
“เอ่อ...รู้กันหมดเชียวหรือ?”
“ฮ่าๆ คุณชายเซียวจ้านวางใจเถิด ใครๆ รู้เรื่องนี้ก็จริงแต่หาใช่จะรู้จักหน้าตาของคุณชาย ที่ข้าพูดออกไปเพราะข้าเดาเอาน่ะ ก็คุณชายอี้ป๋อเคยพาใครมาดูท่าเรือของตระกูลเสียที่ไหน”
ตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างที่เซียวจ้านได้ยินมาจากชายหนุ่มสามคนเมื่อครู่...อี้ป๋อไม่เคยพาใครเคียงข้างกายเยี่ยงนี้มาก่อน นึกถึงแล้วมันรู้สึกสั่นในหัวใจ แปลกเสียจริง
“ข้ามาที่นี่เพราะเรื่องลักลอบเอาซากสัตว์เข้ามาแล้วมันผ่านท่าเรือไป”
“เรื่องนี้...ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นไปได้เยี่ยงไร เชิญท่านทั้งสองไปด้านในห้องทำงานเถิดตรงนี้ร้อนนัก คุณชายเซียวจ้านเหงื่อไหลหมดแล้ว”
อี้ป๋อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันมาทางเซียวจ้าน แต่ยังไม่ทันที่เซียวจ้านจะเดินตามซูเซ่อไปมือหนาก็คว้าแขนเล็กเอาไว้เสียก่อนและหยิบผ้าเช็ดหน้าในเสื้อคลุมตัวหนายื่นให้เซียวจ้าน ใบหน้าหวานเปลี่ยนเป็นความตกใจและแปลกใจในเวลาเดียวกัน
อี้ป๋อเอาผ้าเช็ดหน้าส่วนตัวมาให้เพราะเหตุใดกัน
“อะไร?”
“ผ้าเช็ดหน้า เจ้าเห็นเป็นสุรางั้นหรือ?”
เดี๋ยวนี้มีวาจายอกย้อนกับเขาด้วยหรือ งงในงงจนเซียวจ้านอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เพราะไม่รู้ว่านี่ใช่หวังอี้ป๋อที่เขาเคยให้ฉายาว่าพ่อดอกพิกุลหรือไม่
“ข้าเห็นว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าไม่ได้ตาบอด แต่ที่ถามเพราะเอามาให้ข้าทำไม?”
“...”
อี้ป๋อไม่ตอบจนเซียวจ้านปลงในใจ คนอย่างอี้ป๋อถ้าได้ทำดีกับใครคงไม่มีทางพูดออกมาแน่แต่เน้นการกระทำมากกว่า มือบางจึงต้องยื่นไปรับผ้าเช็ดหน้ามาไว้ในมือและซับเหงื่อตามไรผม ใบหน้าและลำคอตามที่อี้ป๋ออยากให้ทำนั่นแหละ
“หึ” นี่เซียวจ้านไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่ ก็เขาเห็นอี้ป๋อยกยิ้มมุมปากเพียงเสี้ยววินาทีและเดินนำหน้าเขาไปน่ะสิ นับวันอี้ป๋อชักจะประหลาดขึ้นทุกวัน เป็นคนใส่ใจเพื่อนร่วมโลกตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่สิ ต้องเรียกว่าใส่ใจเซียวจ้านคนเดียวถึงจะถูก อี้ป๋อเคยไปทำแบบนี้กับใครเสียที่ไหนกัน วันๆ ไม่ท่องตำราหรือเก็บตัวอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ผูกมิตรกับใครสักคน
ภายในห้องทำงานอันคุ้นเคยต่ออี้ป๋อเพราะมาที่นี่ทีไรก็ต้องเข้ามาแห่งนี้ที่สร้างเอาไว้ให้เขาและผู้ดูแลท่าเรือคนสำคัญต่างๆ ได้คุยงานกัน เพียงแต่เป็นเซียวจ้านที่ได้ย่างกรายเข้ามาครั้งแรกก็รับรู้ถึงความรวยของอี้ป๋อซะแล้ว
ใช่ว่าที่นี่คับแคบ ตรงกันข้ามช่างใหญ่โตกว้างขวาง มีโต๊ะและเก้าอี้ไม้ราคาแพงตั้งอยู่สองจุด จุดหนึ่งคงไว้นั่งจิบน้ำชาหารือกลุ่มเล็ก ส่วนอีกจุดมีไว้หารือคนจำนวนมากจากโต๊ะยาวและเก้าอี้ที่มีมากกว่าห้าที่ และวันนี้ก็คงคุยงานเล็กน้อยจึงมานั่งที่จุดจิบน้ำชา
“ข้าไม่นึกว่าเรื่องที่ข้ากำลังดูอยู่จะไปถึงคุณชายไวปานนี้”
“เพราะมันสำคัญน้าเวินฉิงเลยให้ข้ารีบมาดู”
กลายเป็นเซียวจ้านตัวหดเท่ามดเพราะไม่รู้ว่าจะเอาตัวไปแทรกตรงไหนดี เรื่องการเรื่องงานแบบนี้เขาไม่รู้เรื่องด้วยเสียหน่อยเลยทำได้แค่นั่งดูเขาคุยงานกันพลางสำรวจไปรอบๆ ห้อง ทุกจุดทุกมุมเป็นเพียงห้องที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือน่าจะบันทึกการค้า บัญชีและข้อมูลของเรือที่มาเทียบท่า
เซียวจ้านเห็นแบบนั้นก็คลายความอยากรู้ลงไปได้บ้างจนกระทั่งอี้ป๋อเริ่มคุยงานจริงจังกับซูเซ่อจึงละความสนใจพวกนั้นเป็นเรื่องตรงหน้าแทน
“นี่คือบันทึกเรือที่มาเทียบท่าของเราเมื่อสามวันก่อน ช่วงที่มีเรื่องลักลอบเอาซากสัตว์เข้ามาทำให้พวกคนตรวจเพ่งเล็งมาที่ท่าเรือเรา”
“ข้าไม่ได้อยากขัดนะแต่ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดต้องเพ่งเล็งมาที่ท่าเรือด้วย?”
“สมกับเป็นคุณชายใหญ่โตเสียจริง ความอยากรู้มิผิดหรอกข้าจะชี้แจงให้ฟัง เพราะคนตรวจเมืองสงสัยว่าท่าเรือเรามีส่วนเกี่ยวข้องน่ะสิ”
“อ๋า ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอี้ป๋อถึงต้องเร่งเดินทางมาเพียงนี้ เพราะหากข่าวลือนี่ออกไปคงเป็นผลเสียต่อท่าเรือ อี้ป๋อเจ้าเลยอยากหาต้นตอใช่หรือไม่?”
อี้ป๋อพยักหน้าตามคำถามของเซียวจ้าน ใช่อย่างที่เซียวจ้านประเมินออกมาทุกคำ ท่าเรือนี้เจริญรุ่งเรืองเพราะปราศจากเรื่องสินบนใต้โต๊ะหรือเรื่องผิดกฎหมาย การที่ซากสัตว์ผ่านท่าเรือไปหาใช่เรื่องดีเพราะคนตรวจเมืองต่างๆ จะคิดเอาได้ว่าที่นี่ค้าผิดกฎหมาย
“ข้าต้องหาให้พบว่าเป็นเรือจากเมืองใดหรือลำไหน เราทั้งหมดจะได้ส่งหลักฐานให้คนตรวจเมืองต่อไป”
“เพื่อจะได้ไม่ให้ท่าเรือมีมลทิน ใช่หรือไม่อี้ป๋อ?” เซียวจ้านถามสมทบอีกครั้ง จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็ชักกระตุ้นให้เซียวจ้านนึกสนุกอยากร่วมด้วยเสียแล้วสิ ช่างท้าทายเหมือนกำลังเป็นคนตรวจเมืองล่าผู้ร้าย มันแปลกใหม่และน่าสนุกไม่น้อย
“แต่แปลกอยู่อย่างนึง”
“อะไรแปลกหรือคุณชายเซียวจ้าน?”
ซูเซ่อยิ้มส่งมาให้เซียวจ้านที่ตั้งประเด็นขึ้นมาด้วยความเอ็นดู ไม่แปลกที่ซีเฉินจะอยากได้เซียวจ้านมาเกี่ยวดองเมื่อเห็นแล้วว่าสติปัญญานั่นหาใช่เป็นรองใคร อาจจะน้อยกว่าอี้ป๋อแต่ก็เรียกว่าฉลาด
“คนตรวจที่นี่ก็มีตั้งเยอะและที่ข้าอ่านในตำราตระกูลเจ้ามาข้าก็เห็นว่าต้องตรวจสินค้าด้วยไม่ใช่หรือ พวกของต้องห้ามไม่น่าจะหลุดไปอย่างง่ายๆ นะ”
อี้ป๋อหันมามองเสียงเจื้อยแจ้วของชายข้างๆ และอมยิ้มออกมาเพื่อชื่นชมในความสังเกต คราแรกอี้ป๋อก็แอบนึกว่าชายคนนี้ดูท่าจะไม่ใส่ใจอะไรให้หนักหัวแต่วันนี้ได้เห็นแล้วว่าทุกตัวหนังสือเซียวจ้านจดจำรายละเอียดได้หมด
แปลกใจและรู้สึกชื่นชมตามๆ กัน
“เอ๊ะ แต่ข้าต้องชมตระกูลหวังเสียเล็กน้อยนะ”
“ชื่นชมเรื่องอันใด?”
อี้ป๋อเผยอปากถามและหันไปมองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเซียวจ้านที่ทั้งยิ้มและหัวเราะออกมา ก็ไม่เห็นว่าเรื่องงานเรื่องการมันจะน่าขันตรงไหน
“ก็ดูแลท่านซูเซ่อดีจริงๆ ไงเล่า ข้าอดชื่นชมไม่ได้ที่เลี้ยงดูคนเก่าแก่เสียจนมีทองมีเงินเต็มคอเต็มข้อมือ ไหนจะเป็นเสื้อผ้าที่ดูก็รู้ว่าราคาสูงลิ่ว”
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้วตระกูลหวังดีต่อข้ามากข้าเลยตั้งใจทำงานทั้งชีวิตก็เพื่อท่าเรือหวังเป่ย”
หากใครได้ยินเข้าก็คงคิดว่าเป็นเพียงประโยคชื่นชมบุญคุณหรือการเลี้ยงดูลูกน้องธรรมดาทั่วไปแต่ไม่ใช่หวังอี้ป๋อแน่นอน ดวงตาสีนิลมองไปตามเนื้อผ้าราคาแพงของซูเซ่อที่ร้อยวันพันปีไม่ค่อยได้เห็น ไหนจะข้อมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อยาวสีส้มโอรสนั่นอีก
ทองเส้น หยก ทุกสิ่งคือราคาแพงเสียจนใครไม่กล้าใส่มานั่งทำงานกลางผู้คนขึ้นลงท่าเรืออันเต็มไปด้วยคนยกของจับกัง และอี้ป๋อไม่เคยได้เห็นซูเซ่อมีเงินมากมายขนาดนี้มาก่อนด้วย
“นี่ข้ากำลังโชคดีหรือนี่ที่จะได้เกี่ยวดองกับตระกูลทั้งร่ำรวยและเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารีนี้อย่างตระกูลหวัง ข้าล่ะดีใจเสียจริง”
รอยยิ้มเปื้อนหน้าหวาน เสียงหัวเราะดังก้อง แต่ทุกสิ่งทั้งอี้ป๋อและเซียวจ้านรับรู้ดีว่ามันเป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น เมื่อการแสดงบทหนึ่งเสร็จสิ้นทั้งอี้ป๋อและเซียวจ้านก็ออกมาจากห้องทำงานทันที เห็นว่าใบหน้าที่จ้องหากันโดยไม่ได้นัดหมาย หาได้มีคำใดเอื้อนเอ่ยไม่ ชายทั้งสองในชุดสีขาวสะอาดและชุดสีเทาเข้มก็เป็นอันรู้ใจว่าใครคิดอะไรอยู่
“เราไปหาที่กินข้าวแล้วคุยกันดีหรือไม่อี้ป๋อ?”
“อืม”
เดินทางมาไม่กี่นาทีทั้งอี้ป๋อและเซียวจ้านก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่ด้านล่างเปิดเป็นร้านอาหารดั้งเดิม มือเรียวยกขึ้นสูงเพื่อเรียกคนมารับสั่งอาหาร ด้วยความเคยชินจึงสั่งแต่รสจัดจนมาฉุกคิดได้ว่าคนตรงหน้าเขาหาได้ชอบอาหารเผ็ดไม่จึงเปลี่ยนอาหารสองสามอย่างเพื่ออี้ป๋อด้วย
นั่นก็ทำเอาอี้ป๋ออดละสายตาจากเซียวจ้านไม่ได้เลย ความใส่ใจที่แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียวจ้านถึงจำได้แต่นั่นก็สร้างจังหวะหัวใจให้พลิ้วไหวดุจสายลมบางเบาแต่โหมระลอกเข้ามาเรื่อยๆ อย่างง่ายดายและไร้เหตุผล
“ข้าเกือบลืมแหนะว่าเจ้าไม่ชอบอาหารรสจัดข้าเลยสั่งทั้งผัดถั่วงอกและซุปมาเพิ่ม เจ้าต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่?” อี้ป๋อสบสายตาไปยังเซียวจ้านและส่ายหน้าเบาๆ เพียงเท่านี้ก็เกินพอแล้ว แต่เพียงวาจากำลังเอ่ยถึงพ่อค้าว่าต้องการสุรานั่นแหละอี้ป๋อถึงได้พูด
“เจ้ามีเรื่องต้องทำกับข้ามิใช่หรือ สุรางดเว้นเป็นน้ำชา”
“อี้ป๋อ...ข้า..เฮ้อ ตามที่ชายผู้นี้กล่าวเลย สุราไม่รับ”
มือเรียวโบกมือเป็นเชิงหยุดสั่งอาหารแค่นี้หลังจากนั้นจึงเหลือเพียงหวังอี้ป๋อและเซียวจ้านนั่งดื่มน้ำชารออาหารมาที่โต๊ะ บรรยากาศผู้คนมากมายกำลังกินอาหารอยู่ดีๆ กลับจ้องมองมาที่บุรุษทั้งสอง คราแรกเซียวจ้านก็นึกสงสัยว่าทำไมต้องเพ่งเล็ง แต่พอเห็นว่าทั้งร้านมีอี้ป๋อผู้คงความรูปงามนั่นก็คงไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยแล้ว
“เจ้านี่นะหน้าตาออกจะหล่อเหลาแต่ทำไมไม่ยิ้มบ้างเลย เจ้าดูสิคนทั้งร้านมองเจ้าโดยที่เจ้าหน้าตาอมทุกข์แบบนี้มันก็เกินไป”
“ทำไมข้าต้องยิ้มอย่างเจ้า ยิ้มไปเรื่อยเห็นใครก็ยิ้ม” น้ำเสียงทุ้มกำลังประชดประชันเซียวจ้านอยู่หรือนี่ ดวงตารีเปลี่ยนเป็นมองอี้ป๋ออย่างขวางๆ ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะหาเรื่องแต่เป็นอี้ป๋อที่หาเรื่องเขาก่อน
“ข้ายิ้มก็เป็นเรื่องปกติ มีสุขก็ยิ้มมีทุกข์ก็ยิ้มแล้วมันไปหนักอะไรเจ้า”
“เหอะ!”
อี้ป๋อถอนลมหายใจออกมาแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่มอารมณ์คุกรุ่นพลางนึกย้อนไปที่ท่าเรือ ไม่ว่าจะเป็นชายคนไหนเซียวจ้านก็ยิ้มให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกของจินจื่อเซวี่ยน คนงานลามไปยังซูเซ่อ หากมีหมาก็คงยิ้มให้หมาด้วย
“เจ้านี่หงุดหงิดจริงเชียว”
“เพราะใครกันล่ะ?”
อี้ป๋อเงยหน้าขึ้นมาเถียงเซียวจ้านทำเอาแปลกใจที่คนนิ่งและเงียบเป็นเป่าสากพักนี้สวนคำทันควันเซียวจ้านทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่มีคนอื่นมาเกี่ยวกับเซียวจ้าน อี้ป๋อคนนี้มักจะพูดไวตอบไวเสมอ
“ข้า? ข้าไปทำอะไรให้”
“บื้อจริง”
ร่างหนุ่มภายใต้ชุดขาวสะอาดสะบัดชายแขนเสื้อมาวางที่ตักแกร่งอย่างไม่สบอารมณ์ อี้ป๋อคิดในใจว่าตัวเองออกอาการจนเจ้าตัวยังนึกขันในตัวเองแต่เซียวจ้านก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว
100%
#ม่านวิวาห์อลเวง
เปิดรอบรีปริ้นท์แล้ว!!
PRE - VIEW ม่านวิวาห์อลเวง [Chaotic wedding] #ป๋อจ้าน MPREG FIC AUTHOR : SNOOKY
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจผ่าน #ม่านวิวาห์อลเวง ด้วยนะคะ
ช่องทางการติดตามการอัพเดตแฟนฟิค
TWITTER : @porzhan
AUTHOR : SNOOKY
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอิ่มมม หมดคำจะพูด55555555555
เอ็นดูเซียวจ้าน555555
โอ๊ย 555 ผีหื่นจังเลยเนาะพี่จ้าน
หนูจ้าน ถูกผีอำไม่รู้ตัวอีก
กก็เจ้าไร้เดียงสาขนาดนี้
??’???’???’?????????????
ผีครางกระเส่า 555+