คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : LayMin Chapter 6 November
November
คิมมินซอกกับจางอี้ชิงอยู่เกาหลีมาได้หลายสัปดาห์แล้วในขณะที่เรื่องเพลงก็ยังไม่ค่อยจะคืบหน้าไปเท่าไหร่ ชานยอลเล่าให้ฟังว่าพี่คริส โปรดิวเซอร์ที่ได้ฟังเพลงของอี้ชิงเขารู้ความจริงหมดแล้วว่าชานยอลเอาเพลงของคนอื่นมาให้ช่วยประเมิน ตอนแรกก็มีเคืองนิดหน่อยที่ชานยอลไม่ยอมบอกความจริงแต่ตอนหลังก็รับปากแล้วว่าจะช่วยเพราะอยู่ดีๆ ก็เกิดถูกใจตัวโน้ตขึ้นมาดื้อๆ เลยบอกให้ชานยอลช่วยนัดเจ้าของเพลงมาเจอกันสักหน่อยแต่นัดทีไรก็มีงานด่วนเข้ามาตลอดเลยต้องเลื่อนมาสองครั้งแล้ว และครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกเลื่อนออกไปเป็นครั้งที่สาม
“เออ… ฉันว่าเดี๋ยวฉันลองโทรหาไอ้พี่คริสดูอีกรอบดีกว่า” ชานยอลเอ่ยขึ้นในขณะที่เริ่มสังเกตเห็นสีหน้าของจางอี้ชิงดูไม่ค่อยจะดีนัก
“พอเถอะชานยอล ฉันเห็นนายพยายามที่จะโทรหาเขามาเป็นสิบๆ ครั้งแล้วตั้งแต่เรามานั่งกันอยู่ตรงนี้ ขอบใจมากแต่ฉันว่าพี่คริสของนายอาจจะกำลังยุ่งอยู่ ยังไงเราก็ลองรอต่อไปอีกสักนิดก็แล้วกัน ตกลงไหมอี้ชิง”
มินซอกเอ่ยขึ้นและหันไปถามความเห็นหนุ่มชาวจีนที่นั่งอยู่ข้างกายบนโซฟาหนังตัวใหญ่ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง อี้ชิงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าและยิ้มให้เล็กน้อย แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับไม่อาจซ่อนความหวาดหวั่นในใจของเขาได้
นี่คงไม่ได้เป็นฝีมือของแม่อีกแล้วใช่ไหม… อี้ชิงได้แต่คิดอยู่ในใจไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวเหลือเกินว่ามันจะกลายเป็นความจริง มินซอกรู้ดีถึงความกังวลข้อนั้นจึงเอื้อมมือไปแต่มือของชายหนุ่มชาวจีนที่เขาใกล้ชิดมาตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาและค่อยๆ กุมมันไว้อย่างให้กำลังใจ
ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดีสิน่า… สายตาของคนตัวเล็กบอกเช่นนั้น และอีกไม่กี่อึดใจก็เหมือนจะมีร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในร้าน
“พี่คริส…”
ชานยอลลุกขึ้นโบกไม้โบกมืออย่างตื่นเต้น มินซอกกับอี้ชิงจึงรีบหันไปมองตาม แล้วมินซอกก็หันกลับมายิ้มให้กับจางอี้ชิงอย่างรู้สึกมีหวัง และสิ่งนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มชาวจีนแท้ยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว
Day-Month-Year
ผ่านไปอีกหนึ่งวันที่เข้าใกล้ความฝันของจางอี้ชิงมากขึ้น หลังจากที่ได้พูดคุยกับโปรดิวเซอร์หนุ่มเพื่อนของชานยอลกลับมาอี้ชิงก็เอาแต่ขลุกอยู่กับกีต้าร์ตัวโปรดที่นำกลับมาจากประเทศจีนภายในโลกส่วนตัว เวลานั้นเขาไม่รู้หรอกว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาอันแสนคมเฉี่ยวของคนตัวเล็กที่อยู่ใกล้ๆ มินซอกเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือแล้วก็จ้องมองชายหนุ่มชาวจีนแท้ที่เขารักด้วยแววตาของความสุข จางอี้ชิงคือกำลังใจเดียวของเขานับตั้งแต่วันแรกที่พบ วันแรกของปีนี้… มินซอกทอดถอนใจ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วราวกับความฝัน สิบเดือนก่อนหน้านี้เขายังว่างเปล่าอยู่แท้ๆ สิบเดือนก่อนหน้านี้ชีวิตของคิมมินซอกยังมีแต่ตัวเอง ใครเลยจะนึกฝันว่าเวลาแค่นี้จะทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปมากมายจนไม่สามารถถอยกลับไปอยู่ ณ จุดๆ เดิมได้อีก
ในระหว่างที่ใจคิด อยู่ๆ คนตัวเล็กก็เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาว่าสักวันหนึ่งเขาต้องกลับไปอยู่ ณ จุดๆ นั้นอีกครั้ง จุดที่ไม่มีจางอี้ชิงเป็นคนสำคัญอยู่ในชีวิต ขณะที่น้ำตาเริ่มจะเอ่อท้นขึ้นมาคลอขังอยู่ในดวงตาคู่สวย คิมมินซอกก็รีบเงยหน้าขึ้นหวังจะซ่อนความกังวลทั้งหมดให้พ้นไปจากสายตาของคนที่เขารัก เผื่อว่าอี้ชิงจะหันมาเห็นเข้า คนตัวเล็กคงตอบคำถามไม่ได้หรอกว่าทำไม และหลังจากนั้นอีกไม่กี่อึดใจเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือตรงหน้าของคิมมินซอกก็ดังขึ้น
ในขณะที่อี้ชิงหยุดเล่นกีต้าร์และหันมามอง มินซอกก็รีบคว้าโทรศัพท์ของตัวเองทันที เขากดรับสายอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ...”
"สวัสดี... หวังว่าเธอคงจำเสียงฉันได้" ปลายสายตอบกลับมาอย่างช้าๆ เป็นภาษาอังกฤษ
"คุณ!"
"คิดได้แล้วหรือยังมินซอก ว่าควรจะรับข้อเสนอของฉัน"
"ผม..." ชายหนุ่มร่างเล็กหันไปเห็นว่าจางอี้ชิงกำลังมองอยู่อย่างห่วงๆ จึงตัดสินใจเดินออกไปคุยข้างนอกทันที
"ว่ายังไงมินซอก เลือกได้หรือยังระหว่างความฝันของเธอ กับความสุขบ้าๆ บอๆ ของลูกชายฉัน"
"ผมเข้าใจว่าผมปฏิเสธข้อเสนอของคุณไปแล้ว"
"ใจเย็นๆ ก่อนสิ คิดดูให้ดีๆ นะมินซอก เธออยู่กับลูกชายฉันแบบนี้ก็ไม่มีทางทำตามฝันของตัวเองได้สำเร็จหรอก ความฝันลมๆ แล้งๆ ของอี้ชิงก็เหมือนกัน เธอก็รู้ว่ามันจะไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะฉันไม่อนุญาตให้มันเป็น!"
"งั้นเหรอ... เดี๋ยวอีกไม่นานคุณก็จะได้รู้ ว่าเป็นไปได้ไหม"
"ไม่ต้องรอถึงขนาดนั้นหรอก ฉันรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่งั้นฉันคงไม่กล้าเดิมพัน"
"จางชิงฮวา... คุณคิดผิดแล้ว ที่ปล่อยให้ผมกลับมาหาเขา" มินซอกกดวางสายเพื่อเป็นการตัดบทสนทนาอย่างไม่ใส่ใจคำพูดต่อไปของคุณนายจาง
"เธอจะเป็นคนพาลูกกลับมาหาฉันด้วยมือของเธอเอง มินซอก..."
ทันทีที่ชายหนุ่มร่างเล็กก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเครียดขรึม อี้ชิงก็วางกีต้าร์ลงและเดินเข้ามาหาด้วยความห่วงใย
“นายไม่เป็นอะไรนะ”
มินซอกพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบก่อนจะเดินไปนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยหน่าย อี้ชิงจึงเข้าไปนั่งลงข้างๆ
“ถามได้ไหม… ใครโทรมาเหรอ” อี้ชิงเอ่ยขึ้นในขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง มินซอกรีบลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์มาดูด้วยท่าทางโมโห รู้สึกเหมือนโดนรังควานแบบที่จางอี้ชิงเคยโดน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อสายเรียกเข้านั้นไม่ใช่เบอร์แปลกๆ ที่ไหนแต่เป็น…
“แม่”
Day-Month-Year
หลังจากที่วางสายจากแม่ไปได้ไม่นาน มินซอกก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นร้านของเพื่อนแม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากย่านหอพักของชายหนุ่มสักเท่าไหร่ แม่มาทำธุระแถวนี้เลยถือโอกาสนัดเจอเอาของกินของฝากมาให้ตามที่เคยทำอยู่เสมอในสมัยที่เขายังเรียนไม่จบ
“ได้ยินว่ามีเพื่อนมาอยู่ด้วยที่ห้องพักของลูกแม่ก็เลยทำอาหารมาเผื่อ ไม่รู้ว่าจะถูกปากรึเปล่า อ้อ อย่าลืมแบ่งให้ปาร์คชานยอลด้วยนะ บังเอิญจริงๆ ที่มาอยู่ห้องข้างๆ กันแบบนี้” แม่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มละไมอันสุดแสนจะอบอุ่นและอ่อนโยน
“ขอบคุณครับแม่… ไหนดูซิว่ามีอะไรน่ากินบ้าง” มินซอกเอ่ยขึ้นพลางทำท่าจะแกะห่อผ้าดูแล้วแม่ก็ตีมือเขาเบาๆ ไปหนึ่งเผียะ
“นี่มินซอก… แกะตรงนี้มีหวังคนอื่นคงไม่ได้กินกันพอดี จริงสิ… แม่มีของขวัญอีกอย่างจะมาให้ลูกด้วย”
“ของขวัญ… ” มินซอกทวนถามอย่างงงๆ ในขณะที่แม่หยิบกล่องใบเล็กๆ ผูกโบเอาไว้อย่างดีขึ้นมามอบให้
“ก็ของขวัญเนื่องในโอกาสที่ลูกทำตามฝันจนสำเร็จจนได้ยังไงล่ะ” คำพูดของแม่ยิ่งทำให้มินซอกสับสนไปใหญ่ “แม่ดีใจนะที่รู้ข่าวว่ามินซอกของแม่กำลังจะได้ทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ตอนแรกที่มีเอกสารส่งไปถึงที่บ้านของเรา แม่ตื่นเต้นมากๆ เลยนะรู้ไหม ในที่สุดสิ่งที่ลูกทุ่มเททำอยู่ทุกลมหายใจก็สำเร็จ”
“…”
มินซอกทั้งงง ทั้งตกใจแต่เมื่อเห็นแม่ดูมีความสุขมากมายเหลือเกินก็กลับทำให้เขารู้สึกละอายจนไม่กล้าจะปฏิเสธ ตั้งแต่ขึ้นปีใหม่มาจนจวนจะครบปีอีกครั้งแล้วนี้ มินซอกรู้ตัวดีว่าเขาไม่เหมือนเดิมเลยซักนิด แต่แม่ไม่รู้หรอกว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้ทุ่มเทให้กับอนาคตของตัวเองจนถึงขนาดนั้น
"เปิดดูสิ"
เมื่อแม่ย้ำขึ้นมินซอก จึงต้องเปิดกล่องของขวัญดูอย่างขัดไม่ได้ แล้วก็เป็นนาฬิกาเรือนหนึ่ง... ซึ่งเท่าที่จำได้ชายหนุ่มร่างเล็กรู้ดีแก่ใจว่านาฬิการุ่นนี้แพงมากขนาดไหน และเขาเองก็เคยอยากได้มันมากเช่นกัน
"แม่..."
มิ นซอกกหันไปกอดผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ในขณะที่น้ำตาของเขาเริ่มไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น แต่การจะถามแม่ให้เข้าใจกลับกลายเป็นสิ่งยากเหลือเกินเพราะชายหนุ่มร่างเล็กไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง เขาได้แต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดแม่ราวกับตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กๆ
ให้ตายสิ... ไม่ได้อยู่แบบนี้มานานแล้วสินะ มินซอกรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินกับการวิ่งไปวิ่งมาในโลกข้างนอกอ้อมกอดของแม่
"ขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะมินซอกของแม่..." ผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิตของชายหนุ่มร่างเล็กยกมือขึ้นลูบไปมาบนศีรษะของเขาเบาๆ เมื่อตั้งสติได้... มินซอก รีบจึงเอ่ยถามถึงเรื่องเอกสารเกี่ยวกับทุนการศึกษาที่แม่บอกว่ามันถูกส่งไป ที่บ้านของเขาทันที แม่ค้นกระเป๋าอีกพักใหญ่ ก็หยิบซองเอกสารหนาปึกออกมาให้ ข้างในเป็นเอกสารเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยดังๆ ในยุโรปหลายแห่งที่เขามีสิทธิ์เลือกจะไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทได้ภายใต้ เงื่อนไขบางอย่าง แต่เมื่อพลิกดูจ่าหน้าซองดีๆ มินซอก ก็แทบจะโยนมันทิ้งลงให้ได้เสียตรงนั้นเพราะเจ้าของทุนการศึกษาที่ว่าก็คือ บริษัทในเครือของตระกูลจางภายใต้การควบคุมของคุณนายใหญ่ จางชิงฮวาผู้เอาแต่ใจ และไม่เคยยอมแพ้ใครนั่นเอง!
Day-Month-Year
หลังจากที่ส่งแม่กลับบ้านมินซอกก็ได้แต่ครุ่นคิดหนักอยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดินระหว่างทางกลับหอ เขาเปิดซองเอกสารที่ได้รับจากแม่ดูอีกครั้งพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ประเทศจีน หลังจากที่แยกขึ้นรถคันละคันกับอี้ชิงตามแผนสับขาหลอกคุณจาง มินซอกก็ถูกลักพาตัวไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่และฟื้นขึ้นมาในห้องส่วนตัวของอี้ชิง
“ฟื้นแล้วเหรอ… เธอน่ะ ชื่อมินซอกใช่ไหม” หญิงกลางคนที่ดูสวยสมวัยผู้หนึ่งเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษเรียบๆ ขณะกำลังจ้องเขม็งมาที่เขาจากปลายเตียง แม้จะยังไม่สามารถรวบรวมสติสัมปะชัญญะได้ครบถ้วนแต่มินซอกก็พอจะเดาออกได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้มีเป็นใคร
“นี่… ตกลงว่าเธอน่ะ เป็นอะไรกับลูกชายฉัน”
“ผม…”
“ตกลงว่าเป็นเพื่อนกันหรือว่าเป็นคนรัก”
“…”
“ตอบๆ มาเถอะ ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอรักลูกชายของฉันมากน้อยขนาดไหน”
“ผมรักจางอี้ชิง… หมายถึงรักจริงๆ ไม่ได้น้อยไปกว่าคุณ” มินซอกให้คำตอบด้วยท่าทีมั่นใจ ผู้หญิงคนนั้นเห็นแล้วก็คงเข้าใจทุกอย่างจึงค่อยๆ ยิ้มออกมา
“ฉันเริ่มจะรู้สึกถูกชะตากับเธอแล้วสิ ชัดเจนแบบนี้ก็ดี ฉันชอบ…”
“คุณต้องการอะไร”
“ฉันต้องการลูกชายของฉันคืน” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“งั้นคนของคุณก็จับมาผิดตัวแล้ว”
“ไม่ผิดหรอกมินซอก ฉันต้องการทำข้อตกลงกับเธอ รู้มาว่าฝันอยากจะไปเรียนต่อเกี่ยวกับภาษาศาสตร์แถวยุโรปนี่ ใช่ไหม…”
“…”
“ฉันกำลังวางแผนที่จะขยายกิจการและเข้าไปวางรากฐานธุรกิจทางฝั่งโน้นอยู่พอดี ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะให้จางอี้ชิงลูกชายของฉันไปเรียนรู้งานที่นู่นด้วย จะได้เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรอรับช่วงการเป็นผู้ควบคุมกิจการทั้งหมดของตระกูลต่อจากฉัน”
“เรื่องนั้น… มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก อี้ชิงไม่ได้เกิดมาเป็นนักธุรกิจ”
“แต่เขาจบบริหาร เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง... เธอไม่รู้หรอกเหรอ”
ให้ตายสิ คนตัวเล็กไม่อยากเชื่อเลยซักนิดแต่ก็ต้องตามน้ำไป “ก็ใช่… เพราะว่าคุณบังคับให้เขาเรียนยังไงล่ะ ถึงว่า… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้จงใจหนีคุณและออกไปตามความฝันถึงที่เกาหลี เพราะคุณเป็นคนแบบนี้นี่เอง”
“ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกของฉันเสมอ และครั้งนี้ฉันก็จะช่วยเธอให้สมหวังในทั้งสองเรื่องที่เธอต้องการ แค่เธอพาอี้ชิงกลับมาหาฉัน ทำให้เขาเลิกสนใจดนตรี เลิกสนใจกีต้าร์โง่ๆ กับเครื่องบันทึกเสียงอะไรพวกนั้นเท่านี้ก็พอ เธอจะได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ที่เธอต้องการ และเธอก็จะไม่ต้องพลัดพรากจากคนที่เธอรักด้วย ดีไหม…”
“ผมไม่เอา!” มินซอกตอบโดยไม่ต้องคิดได้ในทันที
“ไม่ต้องรีบตอบเร็วขนาดนี้ก็ได้… ฉันเชื่อว่าสุดท้ายแล้วยังไงเธอก็จะต้องตกลง”
“ไม่มีวัน ผมไม่ขายความฝันของจางอี้ชิงเพื่อให้ตัวเองไปถึงเป้าหมายก่อนเป็นอันขาด”
“งั้นเธอก็จะไม่มีวันไปถึงเป้าหมาย ส่วนความฝันโง่ๆ ของจางอี้ชิงก็ไม่มีทางสำเร็จเหมือนกัน เธอก็รู้นี่ว่าฉันสามารถบันดาลให้มันเป็นแบบนั้นได้ จะเสียเวลาทำไมมินซอก สู้รับข้อเสนอของฉัน เลือกฝันของตัวเอง และชีวิตที่ดีกว่าให้กับอี้ชิง แค่นี้ก็จะไม่ต้องมีใครมาเดือดร้อน”
“ผมจะไม่ดูถูกตัวเอง แล้วก็ไม่ดูถูกคนที่ผมรักด้วยการรับข้อเสนอของคุณเด็ดขาด ปล่อยผมกลับไปหาเขา เราจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าสิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด มันไม่จริงเลยซักนิดเดียว”
“ฉันจะคอยดูวันที่พวกเธอพากันซมซานกลับมาหาฉัน…” จางชิงฮวาเอ่ยขึ้นแล้วก็เดินเชิดหน้าออกไปจากห้องทันที ไม่ช้าก็มีคนมาเชิญให้มินซอกกลับไปขึ้นรถคันเดิมที่เขานั่งมาเพื่อกลับไปเจออี้ชิงที่สนามบินอย่างรวดเร็ว
มินซอกยังจำได้ดีว่าวันนั้นอี้ชิงต้องจัดการเปลี่ยนตั๋วเที่ยวบินถึงสองครั้งเพื่อรอเขา สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้กลับมาเหยียบสนามบินอินชอนจนได้ โชคดีที่คุณนายจางเลิกไล่ล่าเพราะเธอคงจะสนุกมากกว่าที่จะนั่งรออยู่เฉยๆ ให้ลูกชายกลับไปง้อด้วยตัวเอง
“เฮ้อ…”
มินซอกถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขารู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่ท่าไม้ตายของคุณนายจางหรอก เดี๋ยวคงได้มีเรื่องบ้าบอกว่านี้แน่ แต่มันจะเป็นเรื่องอะไรแค่นั้น…
Day-Month-Year
November 19
หลังจากที่พี่คริสหายหน้าไปหลายวัน และชานยอลก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเพลงของอี้ชิงเลยมินซอกก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ในขณะที่ถูกบีบคั้นอยู่เรื่อยทางโทรศัพท์ คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเสียสติ อ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อี้ชิงฟังบ้างก็ไม่ได้ สุขภาพของเขาดีขึ้นมากแล้วแต่ถ้าต้องมาคิดมากอีกก็ไม่รู้จะเป็นยังไง โชคดีที่วันนั้นชายหนุ่มชาวจีนแต่งเพลงใหม่จบพอดีเลยชวนกันกับมินซอกว่าจะลองเอาไปเสนอที่สตูดิโอส่วนตัวของคริสดู เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วมินซอกก็ออกไปเคาะประตูเรียกชานยอลอยู่นาน จนอี้ชิงจัดการตัวเองเสร็จและเดินตามออกมาก็ไม่เห็นว่าเพื่อนตัวสูงของมินซอกจะตอบรับว่าอะไร
“ชานยอล อยู่ในห้องรึเปล่าน่ะ ชานยอล…” อี้ชิงลองช่วยเรียกดูบ้าง ไม่ช้าจึงเริ่มได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง
ประตูขยับแล้ว…
“ชานยอล!” ทั้งอี้ชิงและมินซอกร้องขึ้นอย่างตกใจทันทีที่เห็นสภาพเหมือนศพของเพื่อนที่เคยสดใสอยู่เสมอ นาทีนั้นมินซอกใจหายวาบ รู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วแน่ๆ ดวงตากลมโตของชานยอลดูล่องลอยราวกับคนไม่มีสติ มองดีๆ ยังเห็นได้ชัดว่ามีรอยแดงช้ำเหมือนกับคนพึ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ใบหน้าของเขาดูซูบซีดผิดไปจากยามปกติมาก เส้นผมที่ปราศจากการตกแต่งดูแลก็เหมือนจะจับตัวกันดูยุ่งเหยิงไปเสียหมด
“ทุกอย่างมันจบแล้ว ฉันเสียใจ… ที่ช่วยพวกนายไม่ได้”
“ชานยอล… ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้” มินซอกเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“อี้ชิง… ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรจะรับปากนายตั้งแต่แรก ไม่ควรทำให้นายมีความหวังทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองก็เป็นแค่นักแต่งเพลงกระจอกๆ และพี่คริสก็เป็นแค่ลูกจ้างของเขาอีกที ฉันผิดเอง ไม่ควรทำให้ทุกคนต้องมาเสียเวลากันแบบนี้ ฉันเสียใจ ฉัน…” ชานยอลทำท่าจะพูดอะไรอีกมากมาย
“ชานยอล… นี่ ชานยอล ฟังฉันก่อน” อี้ชิงเขย่าแขนเพื่อนตัวสูงเพื่อเรียกสติ “เรื่องนั้น… ช่างมันก่อนเถอะน่า ตอนนี้ฉันแค่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ ฉันกับมินซอกไม่อยากให้นายเป็นแบบนี้นะชานยอล ตั้งสติคุยกับพวกฉันหน่อย”
“ฉัน… ฉันเป็นคนทำให้มันจบเอง ฉันทำให้ทุกอย่างมันพังลงมาเอง ทั้งความฝันของนาย แล้วก็หน้าที่การงานของพี่คริส ฉันมันโง่ สมควรแล้วที่ไอ้พี่คริสมันจะโกรธเกลียดฉัน ฉันไม่น่าพลาดหลุดปากให้ท่านประธานรู้เลยว่าเพลงๆ นั้นมันเป็นเพลงของนาย ก่อนหน้านั้นฉันมัวแต่ช่วยพี่คริสทำเพลงเลยไม่ได้นอนทั้งคืน ฉันโง่ ฉันไม่มีสติ ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ โถ่เว้ย… ฉันมันโง่!” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร่างสูงแต่เพรียวบางผู้นั้นกล่าวโทษตัวเองมาเป็นชุดและทำท่าจะหันไปชกกำแพงเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ
“อย่าๆ ชานยอล” อี้ชิงร้องขึ้นก่อนจะคว้าหมัดของเพื่อนตัวโตเอาไว้ได้ทัน มินซอกเห็นเช่นนั้นแล้วก็ยิ่งร้อนใจจึงรีบเอ่ยถาม “ชานยอล… บอกฉันได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านประธานรู้เรื่อง”
ชายหนุ่มที่กำลังตีโพยตีพายอย่างไร้สติได้ยินคำถามนั้นก็ค่อยๆ หันมา คิมมินซอกเห็นสายตาอันน่าสงสารอย่างที่สุดของเขาแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ตัดสินใจลากชานยอลให้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“พี่คริสถูกไล่ออก… และชื่อของพวกเราก็ถูกแบนในวงการเพลงของเกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้ มันเป็นเพราะฉันไม่มีสติคนเดียว”
อี้ชิงได้ยินแบบนั้นก็ถอยห่างออกมาจากชานยอลทันที แม้ภายนอกจะรู้สึกชาแปลกๆ แต่ก็เจ็บในใจพิลึก…
“นายไม่ผิดหรอกฉันผิดเอง ขอโทษด้วย…” ชายหนุ่มชาวจีนเอ่ยขึ้นแล้วก็เดินกลับเข้าไปภายในห้องของคิมมินซอกอย่างรวดเร็วก่อนจะตัดสินใจขังตัวเองเอาไว้ในห้องน้ำ
"มินซอก... ฉันจะทำยังไงดี!" ในขณะที่ชานยอลหันหน้ามาถามด้วยตาแดงๆ มินซอกก็ดูจะเริ่มกระวนกระวายใจมากเพราะเป็นห่วงอี้ชิงจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
"นาย... ใจเย็นๆ ก่อนนะชานยอล เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก ถึงนายจะไม่ได้หลุดปากพูดแบบนั้นไป แม่ของอี้ชิงก็ต้องสืบจนรู้แล้วก็มาเล่นงานพวกเราอยู่ดี ตอนนี้... นายอยู่นิ่งๆ ก่อนนะ ฉันจะแก้ปัญหาให้เอง"
ชาย หนุ่มร่างเล็กบอกกับเพื่อนตัวยักษ์ให้สงบสติอารมณ์ลงแล้วก็วิ่งกลับไปที่ ห้องของตัวเองโดยด่วน ก่อนจะรีบตรงเข้าไปตบประตูห้องน้ำแล้วร้องเรียกจางอี้ชิงด้วยท่าทีร้อนรน
ผ่านไปอีกนานพอสมควร เรียนเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ มินซอก ลองแนบหูฟังที่หน้าประตูได้ยินแต่เสียงคนร้องไห้เบาๆ ก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรงและเริ่มร้องไห้ออกมาบ้างด้วยความ เหนื่อยใจเหลือเกิน
"อี้ชิง... อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ออกมาคุยกับฉันได้ไหม ขอร้อง..."
"..."
"อี้ชิง... อี้ชิงได้ยินฉันรึเปล่า ฉันเป็นห่วงนายมากนะรู้ไหม อี้ชิง... ขอร้องล่ะ นายไม่สงสารฉันบ้างเลยเหรอ" มินซอก เริ่มพูดเหมือนอ้อนวอน แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มร่างเล็กล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ดูโดยพลัน
ชั่วขณะนั้นดวงตาคมเฉี่ยวก็เบิกโพลงขึ้นเหมือนรำลึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ และคิมมินซอกก็จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
คุณนายจาง… อีกเดี๋ยวเราคงได้เจอกัน!
Day-Month-Year
หลังจากที่ร้องไห้และเผลอหลับไปในห้องน้ำอี้ชิงก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตึงๆ ในหัว ครั้งนี้คงจะต้องยอมแพ้แม่แล้วจริงๆ เพราะความฝันของเขากำลังทำให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อน อี้ชิงคิดได้ก็ลูบหน้าลูบตาแล้วหันไปเปิดประตูคิดว่าจะได้เห็นร่างเล็กๆ ของมินซอกเอนตัวซบอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของมัน ชายหนุ่มต้องขอโทษเขา ต้องขอโทษเขาอย่างจริงจังที่คอยแต่จะนำปัญหามาให้ อี้ชิงคิดเอาไว้ในใจหมดแล้วว่าจะทำอย่างไรบ้าง คิดแม้แต่กระทั่งจะโอบกอดเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุดยังไง แล้วจะพูดว่าอะไรบ้างทว่าหลังประตูบานนั้นกลับมีเพียง ความว่างเปล่า ชายหนุ่มชาวจีนจึงค่อยๆ ก้าวเท้าออกมาก่อนที่จะพบว่าไม่ใช่เพียงแค่หลังประตูเท่านั้นแต่เป็นห้อง ทั้งห้องที่ไม่มีแม้แต่เงาของคิมมินซอก!
วูบ หนึ่งในขณะที่กำลังมองหา อี้ชิงเริ่มกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนตัวเล็ก เขารีบวิ่งออกจากห้องไปเคาะประตูเรียกชานยอลที่ห้องข้างๆ ทันที
"ชานยอล... ชานยอล มินซอกอยู่กับนายรึเปล่า ชานยอล..."
อี้ ชิงตบประตูเรียกอยู่หลายครั้งก็ไม่มีใครตอบราวกับว่าไม่มีคนอยู่ภายในห้อง ชายหนุ่มเริ่มตกเป็นฝ่ายร้อนใจขึ้นมาบ้างจึงรีบออกไปวิ่งตามหามินซอกในสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งย่านหอพัก จางอี้ชิงวิ่งอยู่อย่างนั้นจนเหนื่อย จนเวลาล่วงเลยไปกระทั่งมืดค่ำ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจต่อสายโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศไปหาซองอึนนูน่าที่คอยดูแลคุณตาอยู่ที่ปักกิ่ง
"นูน่าครับ... มินซอกได้ติดต่อไปหานูน่าบ้างไหม"
"ไม่นะอี้ชิง เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า..." ซองอึนเอ่ยถามในขณะที่อี้ชิงกำลังลดหูโทรศัพท์ลงไม่ฟังต่อ สายตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อนึกถึงบางสิ่งบางอย่างด้วยความโกรธเกรี้ยว ชายหนุ่มตัดสินใจรีบกลับไปที่หอพักของคิมมินซอกทันทีแล้วรีบแพ็คกระเป๋าเดินทางไปที่สนามบินอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ฉันขอร้องนายบ้างล่ะนะมินซอก อย่าเป็นอะไรไป!
Day-Month-Year
21 November
พลบค่ำ… ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลจางอันถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศความเงียบเหงาวังเวงและไออากาศที่เริ่มจะหนาวเย็น ภายในห้องสี่เหลี่ยมอันว่างเปล่าคุณนายจางกำลังนั่งเหม่อมองออกไปรอบๆ ห้องอยู่เพียงลำพังด้วยแววตาสีหม่น
เนิ่นนานเกือบจะเท่าอายุของจางอี้ชิงแล้วที่ห้องนี้กลายเป็นห้องที่ไม่มีใครอยู่ จางชิงฮวากำลังนึกถึงอดีตสมัยที่ห้องนี้ยังคงมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความรักและความสดใสอยู่ ณ ตอนนั้น… เธอเองก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่อ่อนโยนและเปราะบางมากๆ คนหนึ่ง เธอเป็นคนที่รักเสียงเพลง เธอยังคงจำได้ และเธอก็รักเขา… รวมทั้งเพลงของเขาอย่างสุดหัวใจ
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายบางอย่างขึ้น ที่ทำเธอเกลียดชังมันไปอย่างตลอดกาล…
เป็นความผิดของมันจริงๆ แล้วหรือ…
ชั่วขณะที่กำลังว่ายวนอยู่ในกระแสธารแห่งเวลานั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกข้างนอก
“คุณนายคะ คุณนาย คือว่า…”
จางชิงฮวากำลังจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูก็พบว่าชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังพังประตูเข้ามอย่างรุนแรงด้วยท่าทีอันเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่มีใครในบ้านหลังนี้เคยเห็นมาก่อน
“อี้ชิง!”
“มินซอกอยู่ที่ไหน”
“แม่…”
“ผมถามว่าคนของผมอยู่ที่ไหน!” ท่าทางรุ่มร้อนของอี้ชิงทำให้คุณนายจางรู้ทันทีว่าให้ตายยังไง เธอก็คงไม่มีทางได้ลูกชายคืนมาจากเด็กหนุ่มชาวเกาหลีคนนั้นแน่ถ้าเขาไม่เต็มใจพาอี้ชิงมามอบให้เธอกับมือ
“เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่…” จางชิงฮวาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คุณทำอะไรกับคนของผม”
“เก่งออกอย่างนั้น ฉันจะไปทำอะไรได้…” จางชิงฮวานึกถึงสีหน้าแววตามุ่งมั่นของคิมมินซอกตอนที่เขามาที่นี่แล้วก็ทอดถอนใจ เด็กคนนั้นมาเพื่อที่จะปฏิเสธทุกอย่างที่เธอเสนอให้และบอกว่าเขาจะปกป้องความฝันของจางอี้ชิง และทำฝันของตัวเองให้เป็นจริงให้ได้อย่างไม่ยอมแพ้
“นี่คือความรักของผม ต่างจากคุณตรงที่ผมไม่ได้เห็นแก่ตัว” เด็กหนุ่มร่างเล็กคนนั้นเอ่ยขึ้นทำให้จางชิงฮวารู้สึกโกรธเกรี้ยว
“นี่เธอ!”
“คุณไม่รู้หรอกเหรอคุณนายจาง ว่าที่จริงแล้วพ่อของจางอี้ชิงยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยจากคุณไปไหน และยังอยู่ในตัวตนลูกชายของคุณเสมอ แต่คุณนั่นแหละที่พยายามจะทำลายเขา เข่นฆ่าเขาให้ตายลงอย่างช้าๆ ทีละนิดๆ ด้วยความเห็นแก่ตัวและไม่ยอมรับความจริงของตัวคุณเอง!”
ขณะที่กำลังอยู่ในห้วงของความคิดคำนึง อยู่ๆ จางชิงฮวาก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบที่แขนข้างซ้ายอย่างแรง
“เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผมมากยิ่งกว่าที่คุณเป็น ฉะนั้น… อย่าแตะต้องเขาเป็นอันขาด”
“จางอี้ชิง…” เสียงร้องปรามดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง คุณหนูจางรีบหันไปก็เห็นซองอึนนูน่ากำลังเข็ญรถเข็ญของคุณตาตรงเข้ามาหาเขาทันที
“คุณตา… กลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้วเหรอครับ” คุณหนูจางลดท่าทีที่ก้าวร้าวลงอย่างเห็นถนัด
“มาตามหามินซอกใช่ไหม…”
Day-Month-Year
ที่คอนโดของพ่ออี้ชิง ชายหนุ่มร่างเล็กชาวเกาหลีแท้ๆ กำลังปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดและจัดเก็บข้าวของต่างๆ ภายในนั้นให้เป็นที่เป็นทางอยู่ เขารู้ว่าเดี๋ยวจางอี้ชิงก็คงจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ที่จริงแล้วมินซอกก็ไม่ได้หวังหรอกว่าจะได้เจอกับคนที่เขารักอีกในเวลานี้ เขาก็แค่อยากจะจัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยเข้าไว้
ก่อนที่จะไป!
แล้วเสียเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ จนทำให้คนตัวเล็กที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่เกิดสะดุ้งขึ้นมา สงสัยจะเป็นซองอึนนูน่าแน่ๆ ชายหนุ่มชาวเกาหลีนึกได้ก็เดินตรงไปที่ประตูทันที เมื่อเอื้อมมือไปแตะลูกบิดยังไม่ทันจะได้เปิด ประตูนั้นก็ถูกไขเข้ามาเสียแล้วด้วยฝีมือของคนข้างนอก
มินซอกรีบถอยหลบเข้าไปในห้องเพื่อไม่ให้โดนบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็วชนเข้าใส่อย่างรุนแรง และก่อนที่จะได้เห็นหน้าผู้มาเยือนอย่างแจ่มชัด ชายหนุ่มร่างเล็กก็รู้สึกได้ถึงแรงปะทะที่ใครคนนั้นโถมเข้าใส่ตัวเขาอย่างเต็มรัก
“จางอี้ชิง…”
มินซอกร้องเรียกขึ้นในขณะที่ตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มชาวจีน
ในที่สุดก็หาเจอจนได้… จางอี้ชิงทั้งโล่งอกและดีใจที่เห็นคิมมินซอกของเขายังปลอดภัยดีทุกอย่างและกำลังยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่ผลักไส วินาทีนั้นชายหนุ่มชาวจีนไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดคำใดๆ เลย นอกจากจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งผ่านไปอีกเนิ่นนาน มินซอกจึงค่อยๆ ดันใหล่ของออกและยืดตัวขึ้นก่อนประทับริมฝีปากลงบนปากของจางอี้ชิงอย่างนุ่มนวล
“ขอโทษนะ นายคงตกใจแย่เลยใช่ไหม” มินซอกเอ่ยขึ้นในขณะที่น้ำตาของเขากำลังค่อยๆ ไหลทะลักออกมาเป็นทางบนสองแก้ม
อี้ชิงก้มลงมองสบตามินซอกด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับคนตัวเล็กแล้วดึงเข้ามากอดไว้แนบอกอีกครั้งอย่างสุดรักและหวงแหน นึกถึงตอนที่ตัวเองหายไปบ้างมินซอกจะรู้สึกยังไงนะตอนนั้น คิดแล้วคิดอีกจางอี้ชิงก็ยิ่งรู้สึกตัวว่า ณ ตอนนี้เหมือนเขาจะรักคิมมินซอกมากกว่าความฝันของเขาเสียอีก
ในตอนนี้… ให้ทิ้งทุกอย่างไปให้หมดเลยก็ยังได้ ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอ เพราะถ้าไม่มีมินซอก ใครกันจะมาคอยอยู่เคียงข้างและร่วมยินดีไปด้วยเมื่อความฝันเป็นจริง
และถ้าไม่มีคิมมินซอก ใครกันจะคอยปกป้องความฝันของจางอี้ชิงและให้กำลังใจเขาจนสู้ทำมันมาได้ไกลถึงขนาดนี้
จางอี้ชิงคิดแล้วก็ก้มลงประทับจูบลงบนหน้าผากของมินซอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไล่ลงมาที่ริมฝีปาก พร้อมกับเอื้อมมือข้างหนึ่งไปด้านหลังเพื่อปิดประตูล็อคให้เรียบร้อย ไม่มีคำพูดนอกจากการกระทำเพียงอย่างเดียว และตอนนี้ อี้ชิงก็กำลังเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ จูบนั้นเนิ่นนานและมีความหมายมากกว่าปกติ ถึงจะรู้ดีว่าการผูกมัดจะยิ่งทำให้เขาทั้งคู่ต้องทรมานใจมากขึ้นเมื่อถึงเวลาต้องไกลจากกันแต่สุดท้ายแล้วมินซอกก็ยอมแพ้
“อี้ชิง… ฉันรักนาย”
ทันทีที่แผ่นหลังว่างเปล่าของเขาแตะลงบนฟูกหนานุ่ม มินซอกก็ไม่อยากจะนึกถึงสิ่งใดอีกแล้ว เรื่องของวันพรุ่งนี้… ก็ขอให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้เถอะนะ
Day-Month-Year
22 November
09.12 am จางอี้ชิงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนอันแสนอบอุ่น ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาที่วางทับอยู่บนร่างกายของเขา อี้ชิงยังสัมผัสได้ถึงร่องรอยของคนตัวเล็กที่แอบลุกออกไปก่อนตอนไหนก็ไม่รู้ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาถึงนี่เมื่อคืน เขายังไม่ได้พูดอะไรกับคิมมินซอกเลยซักคำ คิดแล้วก็รู้สึกขัดเขินแปลกๆ จนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ชายหนุ่มร่างเล็กคนนั้นก็ช่างน่ารักเหลือเกิน นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากให้รีบเช้าแต่เวลานับเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ถ้าหากจะขออะไรตอนนี้ จางอี้ชิงคงอยากจะขอให้ค่ำลงอีกครั้งเร็วๆ มากกว่า เขาไม่เคยเอาแต่ใจขนาดนี้มาก่อน...
แล้วถ้าไม่มีมินซอกล่ะ ชายหนุ่มชาวจีนคนนี้จะอยู่ได้อย่างไรกัน…
เมื่อนอนขลุกอยู่กับร่องรอยของเรื่องเมื่อคืนอีกเนิ่นนานจนพอใจแล้ว จางอี้ชิงก็ลุกขึ้นเดินออกมาตามหามินซอกข้างนอก ท่ามกลางบรรยากาศของห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบ แม้แต่เงาของคนตัวเล็กอี้ชิงก็มองไม่เห็นเลยซักนิด ชายหนุ่มหันไปมองบนโต๊ะอาหารก็บังเอิญเห็นแซนวิชทูน่าสลัดวางอยู่สองชิ้นในจานใบเดียว พร้อมกับกระดาษอีกหนึ่งแผ่นที่ถูกพับครึ่งและสอดเอาไว้อยู่ใต้จานใบนั้น
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า…” อี้ชิงพยายามปลอบใจตัวเองขณะเดินเข้ามาหยิบกระดาษแล้วคลี่ออกดู
จางอี้ชิงที่รัก
ฉันขอโทษที่จากไปในตอนที่นายหลับ ที่ฉันต้องทำแบบนี้ เพราะฉันรู้ดีว่าฉันคงไปไหนไม่ได้แน่ถ้ารอให้นายตื่นขึ้นมาเสียก่อน ฉันขอโทษที่ไม่เข้มแข็ง ฉันรักนาย และไม่อยากจะเห็นนายต้องเจ็บปวดอีกแล้ว อี้ชิง… นายคงกำลังสับสนและต้องการเหตุผลจากฉันสินะว่าทำไมต้องไป ฉันเองก็เหมือนกับนาย มีความฝันที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน ฉันขอโทษที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ครอบครัวของฉันมากกว่า นานมาแล้วเคยมีใครคนหนึ่งพูดกับฉันว่าการที่เรารักใคร และทำให้เราต้องสูญเสียความเป็นตัวตนของเราไปหรือจะต้องละทิ้งความฝันของตัวเองนั่นไม่ใช่ความรัก อี้ชิง… นายเป็นคนสำคัญแต่ความฝันของฉันก็สำคัญเช่นกัน ฉันรักนาย รักความฝันของนายและฉันจะเป็นกำลังใจให้นายเสมอ ต่อจากนี้ไปคุณนายจางจะไม่มายุ่งกับสิ่งที่นายจะเริ่มต้นทำที่นี่ ฉันขอร้องให้นายทำมันให้สำเร็จเพื่อฉันได้ไหม ฉันอยากได้ยินเพลงของนาย ในที่ๆ แม้จะไกลแสนไกลจากที่นี่เป็นคนละทวีปก็ตาม จางอี้ชิง ฉันรักนาย และฉันจะกลับมาหานายแน่ สัญญา…
จางอี้ชิงพับกระดาษลงและสอดไว้ที่เดิมด้วยมือที่สั่นระริก ร่างกายของเขากำลังจะหมดแรงชายหนุ่มจึงเลื่นเก้าอี้โต๊ะอาหารนั้นออกมาและนั่งลงด้วยสีหน้าแววตาอันเลื่อนลอย เกิดอะไรขึ้นก็เมื่อคืนนี้เองเขายังได้นอนกอดร่างเล็กๆ ของคิมมินซอกอยู่เลย ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ชายหนุ่มวนเวียนคิดแล้วก็ยิ่งปวดหัวขึ้นมาเหมือนโรคเก่าจะกำเริบ แล้วเสียงเคาะเรียกที่ประตูก็ดังขึ้น
“อี้ชิง… อี้ชิงเปิดประตูให้นูน่าหน่อยได้ไหม”
ซองอึนที่รู้เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างมินซอก คุณตา แล้วก็คุณนายจางรีบมาที่นั่นทันทีตามคำขอร้องของมินซอกหลังจากที่เขาได้ขึ้นเครื่องออกจากสนามบินปักกิ่งไปแล้ว
“อี้ชิง… อี้ชิงได้ยินนูน่ารึเปล่า” เธอเคาะเรียกเท่าไหร่ๆ น้องชายของเธอก็ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่นิด ในขณะที่พี่สาวเริ่มห่วง เธอจึงตัดสินใจให้บอดี้การ์ดจัดการพังประตูเข้าไป
“อี้ชิง!” ซองอึนร้องขึ้นอย่างตกใจทันทีที่เห็นน้องชายกำลังนั่งกุมศีรษะอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางเจ็บปวด “รีบเข้ามาช่วยพาคุณหนูจางไปโรงพยาบาลสิ” เธอหันไปออกคำสั่งกับบอดี้การ์ดผู้ติดตาม
“ไม่เป็นไรหรอกครับนูน่า ผมจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น ผมแค่ต้องการคำอธิบาย…”
Day-Month-Year
29 November
หลังจากที่เสียผู้เสียคนไปเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทันทีที่ตั้งสติได้จางอี้ชิงก็เริ่มเดินไปตามเข็มทิศที่คิมมินซอกได้ทิ้งเอาไว้ให้ทันที ในขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่กับคริสและชานยอลในปักกิ่ง จางอี้ชิงยื่นซองเอกสารหนาๆ ซองหนึ่งให้กับเขาทั้งคู่
“นี่คือสิ่งที่ฉันกับมินซอกจะรับผิดชอบพวกนาย… ถ้ายังยินดีที่จะร่วมงานกัน ฉันจะรู้สึกขอบคุณพวกนายมาก” อี้ชิงเอ่ยขึ้นในขณะที่คริสกับชานยอลหันมาสบตากันเงียบๆ ไม่พูดอะไรก่อนที่คริสจะเอื้อมมือไปหยิบซองเอกสารใบนั้นขึ้นมาเปิดดู
“นี่นาย… จะทำค่ายเพลงเหรอ” คริสร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อะไรนะ” ชานยอลรีบคว้าเอกสารในมือคริสมาดูให้เห็นด้วยตาของตัวเองทันที
“โปรเจ็คนี้เป็นโปรเจ็คของพ่อฉัน เขาเริ่มเอาไว้ก่อนที่จะจากฉันกับแม่ไปด้วยโรคร้าย พอดีว่ามินซอกไปเจอเข้าตอนที่ทำความสะอาดคอนโด ก็เลยแอบเก็บเอาไว้ให้ฉัน เขาขอให้ฉันทำมันต่อด้วยมือของฉันเอง และฉันก็กำลังจะทำเดี๋ยวนี้…”
“ก็ดี ฉันกำลังตกงานอยู่ อยากจะเริ่มเลยไหมล่ะเจ้านาย…” ไอ้พี่คริสของชานยอลดูตอบรับง่ายๆ ตามประสาคนที่ไม่คิดเยอะทันที
“เดี๋ยวแล้วนี่แม่นายจะไม่ว่าอะไรเหรอ” ชานยอลเอ่ยขึ้น
“ไม่หรอก แม่กำลังเดิมพันกับมินซอกอยู่” อี้ชิงเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตาเขากำลังเลื่อนลอยออกไปไกลแสนไกล
มินซอก… ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้นายต้องพ่ายแพ้กับแม่ของฉันเป็นอันขาด
คุณหนูจางคนดีของแม่ได้เลือกข้างแล้ว!
------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้คืออัพเพื่อบูชาซี่โครงพี่อี้เลยค่ะ มีความไปเห็นในคอนมาคือดีมากๆ ในส่วนของฟิค พี่แกเข้ามาแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง อยู่ๆ ก็จัดสงสัยจะทนมานาน คราวก่อนบอกว่าจะจบตอนนี้ แต่เอ้าไหนๆ ก็ไหนๆ ละต่ออีกตอนละกัน ใครรอฮุนฮาน พี่ลู่มาตอนหน้าแล้วนะคะ ไว้เจอกันค่ะ เดี๋ยวขอตัวไปสกรีมรอยยิ้มของโอเซฮุนต่อ ติดตาตรึงใจมากตั้งแต่วันเสาร์ละ สงสัยต้องไปต่อฟิคอีกเรื่องเพื่อเซ่นสรวงบูชาเช่นกัน ๕๕๕ ไว้แวะมาคุยกันได้นะคะ แท็ก #ficdaymonthyear
ความคิดเห็น