ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Day Month Year [KrisYeol, HunHan, LayMin]

    ลำดับตอนที่ #3 : LayMin Chapter 2 Mar.-Apr.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 81
      0
      26 พ.ค. 58

                March 1

                ในขณะที่เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันแสนสดใส เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วคิมมินซอกได้รู้ข่าวจากซองอึนนูน่าว่าคุณย่าของเธอกำลังป่วยหนักในขณะที่คุณอาซึ่งเป็นผู้อยู่ดูแลมาโดยตลอดเกิดมีธุระด่วนต้องไปต่างประเทศกะทันหันพอดี ซองอึนนูน่าจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งร้าน Good friends และน้องชายชาวจีนของเธอเพื่อไปอยู่ดูแลคุณย่าในเมืองเล็กๆ ห่างออกไปจากเมืองหลวงพอสมควรเป็นการชั่วคราวจนกว่าคุณอาจะเสร็จธุระและกลับมาจากต่างประเทศ

                ข่าวนี้ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกใจหายและพลอยเป็นห่วงไปด้วยไม่น้อย แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ช่วงเวลาที่ซองอึนนูน่าไม่อยู่ เธอฝากร้านหนังสือที่แทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตของเธอ แล้วก็หนุ่มชาวจีนคนนั้นเอาไว้กับเขา

                “ฝากด้วยนะมินซอก ขอร้องล่ะ อี้ชิงคุยกับใครไม่ค่อยได้ เขาไม่มีเพื่อนที่นี่เลยนอกจากเธอ นูน่าแค่อยากจะให้เธอมาอยู่เป็นเพื่อนเขามากๆ เผื่อว่าจะมีอะไร...”

                สีหน้าของซองอึนนูน่าในขณะที่พูดอยู่กับชายหนุ่มร่างเล็กเหมือนมีรอยกังวลบางอย่างที่ไม่อาจเล็ดลอดสายตาคมเฉี่ยวของคิมมินซอกไปได้ ทันทีที่รู้ตัวว่าถูกจ้อง ซองอึนนูน่าก็เลยพูดแก้ไปว่า          “อันที่จริงก็คงจะไม่มีอะไรหรอก แต่ยังไงอี้ชิงก็ไม่ใช่คนเกาหลี แล้วถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ เธอก็จะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบไปด้วยไง ดีไหม”

                “คือ...” มินซอกอ้ำอึ้ง ไม่อยากจะพูดว่ากลัวจะไม่ได้อ่านก็เพราะมาอยู่ที่นี่นั่นแหละ  แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินลงมาจากชั้นสองพอดี

                “นูน่าครับ คือว่า... แขนเสื้อตัวนี้มันขาด อ้าวมินซอก ได้ยินว่านายจะมาช่วยดูแลร้านตอนที่นูน่าไม่อยู่เหรอ”

                จางอี้ชิงที่เดินถือเสื้อแขนยาวตัวบางลงมาจะให้นูน่าช่วยเย็บซ่อมเหมือนจะลืมเรื่องเสื้อขาดไปชั่วขณะแล้วก็เดินเข้าตบบ่าลูบหลังมินซอกอย่างสนิทสนมด้วยรอยยิ้ม

                มินซอกอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง แล้วก็ต้องตายเพราะยิ้มนั้นเหมือนเดิม!

                “ใช่... ฉันจะมา”

                “นี่เธอรับปากแล้วใช่ไหม” ซองอึนนูน่าแทรกขึ้นมาทันที หมดหนทางที่จะปฏิเสธ มินซอกก็ได้แต่ต้องตอบรับไปตามระเบียบ

                “ครับนูน่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทุกอย่างที่นี่จะต้องเรียบร้อย”

                เป็นยังไงล่ะ ในเวลาเพียงแค่สองเดือน มินซอกรู้สึกก้าวหน้าเป็นอย่างมากในเรื่องของจางอี้ชิงในขณะที่ฝันของเขายังคงหยุดนิ่งและไม่เคลื่อนไหว

                เขาคงยังไม่ได้ลืมมันหรอกจริงไหม...

                ฝัน... ที่จะสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศและกลับมาเป็นครูสอนภาษาในสถาบันชื่อดัง ฝัน... ที่จะมีหน้าที่การงานมั่นคง และจะสามารถทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเขาได้

                คิมมินซอก... ยังไม่ได้ลืมเป้าหมายเหล่านี้ใช่ไหม!

     

                09:00 am

                Good friends

                OPEN               10:30   AM                               CLOSE             08:30   PM

                คนตัวเล็กยืนรออยู่ที่หน้าประตูร้านในขณะที่สองมือกำลังกดโทรศัพท์ยิกๆ เพื่อปลุกใครคนหนึ่งให้ตื่นขึ้นมาเปิดประตูให้ ไม่นานเขาก็เห็นร่างชายหนุ่มเดินหาวออกมาจากส่วนในของร้าน Good friends

                จางอี้ชิงในเสื้อแขนยาวผืนบางสีเทาเหมือนจะยังสะลึมสะลือ เขาเปิดประตูให้กับคิมมินซอกอย่างช้าๆ ขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะโบกมือทักทาย หนังตาของชายหนุ่มก็เหมือนจะปิดลงอีกครั้งในขณะที่ถอยร่างเข้ามาภายในร้านก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟานั่งเล่นสำหรับลูกค้าแล้วทำท่าว่าจะหลับต่อในทันที

                “อะไรกันเนี่ยอี้ชิง... นายไม่คิดจะลุกขึ้นมาเตรียมเปิดร้านสักหน่อยเหรอ ตอนนี้นูน่าไม่อยู่นะ และฉันก็ไม่ใช่นูน่าของนายด้วย”

                “ขออีกห้านาทีได้ไหม” อี้ชิงพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตา

                “ไม่เอาแล้ว ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเดี๋ยวนี้”

                “ก็พาไปสิ...” อี้ชิงท้าโดยหารู้ไม่ว่าคนตัวเล็กคนนี้ไม่ได้บอบบางเหมือนอย่างที่คิด

                “โอ๊ย นั่นจะทำอะไรของนายน่ะ”

                อี้ชิงร้องขึ้นทันทีที่คิมมินซอกเข้ามาเหมือนจะยกร่างเขาขึ้นจากโซฟาแล้วพาเดินไปที่บันไดได้อย่างรวดเร็ว อี้ชิงรู้สึกเหมือนเท้าตัวเองลอยขึ้นจากพื้น เขาตกใจมากและไม่คิดว่ามินซอกจะมีแรงขนาดนี้

                “ก็บอกให้ไปล้างหน้า...” คนตัวเล็กกว่าย้ำในขณะที่อี้ชิงยังคงดื้อดึงหยุดยืนขยี้ตาอยู่ที่หน้าทางขึ้นบันได มินซอกเห็นแล้วก็คงจะทั้งหมั่นไส้ และทั้งรำคาญก็เลยฉุดร่างงัวเงียนั้นขึ้นมาบนชั้นสองด้วยกันอย่างรวดเร็ว แล้วดวงตาของเขาก็ต้องเบิกโพลงเมื่อพื้นที่ชั้นสองเต็มไปด้วยกระดาษปลิวว่อนมากมายไปหมดจนแทบไม่มีที่เดิน

                “อะไรของนายเนี่ย... นี่แต่งเพลงทั้งคืนงั้นเหรอ” มินซอกเริ่มไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมซองอึนนูน่าถึงได้ห่วงน้องชายคนนี้นัก มินซอกประคองร่างที่ง่วงงุนของอี้ชิงไปยังหน้าห้องน้ำแล้วก็ออกแรงผลักเขาเข้าไปอย่างเต็มที่

                “ล้างหน้าล้างตาแล้วก็อาบน้ำซะ อย่าช้านะ ใกล้จะถึงเวลาเปิดร้านแล้ว”

                “นายนี่ดุกว่านูน่าของฉันซะอีกนะมินซอก...” เมื่อเห็นอี้ชิงยังคงดื้อดึงคนตัวเล็กก็ปิดประตูใส่หน้าเขาแรงๆ ทันที

                “เดี๋ยวสิมินซอก” เสียงของจางอี้ชิงที่ลอยออกมาจากในห้องน้ำฟังดูเหมือนกำลังโอดครวญอะไรก็ไม่รู้ ให้มันได้อย่างนี้สิ... มินซอกกุมขมับตัวเองในขณะที่รู้สึกว่ากำลังโดนหนุ่มเจ้าปัญหาแผลงฤทธิ์ใส่เข้าจังๆ

                ใครจะไปรู้ว่าหลังประตูห้องน้ำจางอี้ชิงไม่ได้มีอาการงัวเงียแต่อย่างใด เขาตื่นเต็มตาแล้วและเขาก็กำลังยืนหัวเราะเบาๆ ด้วยความรู้สึกเอ็นดูในท่าทีของเพื่อนตัวน้อย

                จางอี้ชิงไม่ได้ขี้เซาอะไรขนาดนั้น เขาแค่อยากจะทำตัวเป็นเด็ก เวลาอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจก็เท่านั้นเอง...

     

               

    Day-Month-Year

     

                มินซอกหันกลับออกมาเก็บเศษกระดาษที่เรี่ยราดอยู่เต็มพื้นก็เห็นประตูห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งถูกเปิดทิ้งเอาไว้อยู่ เป็นห้องนอนของจางอี้ชิงงั้นเหรอ มินซอกคิดในใจได้แล้วก็เดินเข้าไปหมายจะปิดประตูให้แต่เมื่อมือของเขาได้สัมผัสกับลูกบิดดวงตาคมเฉี่ยวก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง

                “นี่มันห้องนอน หรือว่าห้องอะไรกันแน่เนี่ย...”

                มินซอกกวาดสายตาไปทั่วก็เห็นแต่อุปกรณ์ดนตรีของจางอี้ชิงเรียงรายเต็มไปหมด พึ่งจะรู้ก็วันนี้ว่าห้องนอนของเขานั้นเป็นสตูดิโอเล็กๆ ด้วย

                “นายทำให้ฉันทึ่งอีกแล้วนะอี้ชิง” มินซอกพึมพำในขณะที่ห้ามสองเท้าตัวเองไม่ได้ เพียงไม่กี่อึดใจเขาก็เข้ามายืนอยู่ภายในห้องและสำรวจอุปกรณ์ต่างๆ ของจางอี้ชิงอย่างมีความสุข ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขาเดินไปเดินมาอยู่ภายในนั้น แต่ก็คงจะนานพอจนทำให้อี้ชิงอาบน้ำเสร็จ

                “นายน่ะ เข้ามาในห้องส่วนตัวแบบนี้ จะดูฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ”

                มินซอกรีบหันไปที่ประตูทันที จางอี้ชิงอยู่ในสภาพเปียก และมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่ห่อหุ้มร่างกายส่วนล่างเอาไว้ กับผ้าขนหนูอีกผืนพาดอยู่บนบ่าในขณะที่เจ้าตัวพยายามจะเอาชายด้านหนึ่งของมันมาเช็ดผมที่พึ่งสระเสร็จใหม่ๆ กลิ่นสบู่ กลิ่นแชมพูยังหอมกรุ่นติดตัวเขาเข้ามาในห้องอยู่เลย คิมมินซอกเห็นดังนั้นก็รีบหลบออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว

                “คือ... ฉันลงไปจัดหนังสือข้างล่างนะ”

     

               

    Day-Month-Year

     

                สวรรค์ชั้นเจ็ดของคิมมินซอก

                คนตัวเล็กนั่งหาวอยู่ตรงหน้ากองหนังสือภาษาอังกฤษที่วางซ้อนๆ กันอยู่บนโต๊ะในขณะที่ดวงตาคมเฉี่ยวของเขาพร่ามัวเต็มที

                เหนื่อย!

                ยอมรับเลยว่าเหนื่อยมากๆ กับการที่จะต้องไปดูแลร้าน แล้วก็ดูแลคนให้กับซองอึนนูน่าตลอดทั้งวันแล้วก็ต้องกลับมาอ่านหนังสือเตรียมสอบเพื่อพิชิตทุนการศึกษาสำหรับอนาคตที่สดใสต่ออีกทั้งคืน ชีวิตของคิมมินซอกเป็นแบบนี้มาได้ราวๆ สองสัปดาห์เศษแล้ว แต่ก็นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอยู่เหมือนกัน เพราะว่าช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเวลาที่แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข

                เป็นสองสัปดาห์... ที่ทำให้คิมมินซอกได้มีโอกาสก้าวเข้าไปในชีวิตส่วนตัวของจางอี้ชิงมากขึ้น

                มินซอกหันไปมองกระดานความฝันของตัวเอง เขารู้สึกเหมือนจางอี้ชิงกำลังยิ้มให้ แบบนี้ใช่ไหม ความรู้สึกของคนที่กำลังแอบชอบจนถอนตัวไม่ขึ้น...

     

               

    Day-Month-Year

     

                11:00 pm

                คิมมินซอกลืมตาขึ้นมาในห้องนอนของจางอี้ชิง บนเตียงหนานุ่มนั้นถูกเขายึดครองเอาไว้ตั้งแต่หัวค่ำหลังจากมื้ออาหารเย็น ในขณะที่เจ้าของห้องกำลังวุ่นวายอยู่กับการปรับโน่นแต่งนี่ แก้ไขเพลงในสตูดิโอเล็กๆ ส่วนตัวของเขาอยู่อย่างกระตือรือร้น

                “กี่โมงแล้วเนี่ย” คนตัวเล็กบิดขี้เกียจไปมาบนเตียงนอนของอี้ชิงราวกับมันเป็นเตียงของตัวเอง

                “ห้าทุ่ม”

                ชายหนุ่มที่กำลังนั่งหน้าคีย์บอร์ดตอบโดยไม่หันไปมองคนถามเลยแม้แต่นิด

                “อะไรนะ” มินซอกพรวดลุกขึ้นทันที “ฉันคงต้องรีบกลับแล้ว” เขารีบควานหากระเป๋าสะพายหลังใบโปรด

                “ไหนว่าจะรอฟังเพลงของฉันไงล่ะ” อี้ชิงหันมาถามพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู

                ตาย ตาย ตาย และ ตายอีกแล้ว... นี่จางอี้ชิงไม่รู้หรือไงว่ารอยยิ้มแบบนี้ เป็นยิ้มที่คิมมินซอกไม่เคยปฏิเสธได้เลยซักครั้ง

                จิตใจของเขาทำด้วยอะไรกัน!

                “ก็... ฉันมีเรื่องที่จะต้องทำนี่นา” คนตัวเล็กบ่นอุบอิบในขณะที่รูดซิบกระเป๋าเปิดเข้าเปิดออกเพื่อประวิงเวลาสำหรับการตัดสินใจที่ยากลำบากนี้

                จางอี้ชิงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังลำบากใจเพราะเขาแน่ๆ จึงเก็บยิ้มร้ายๆ นั้นไว้ก่อนจะถอดหูฟังออกแล้วก็เดินออกจากห้องไปทันที

                “อ๊ะ อี้ชิง...”

                มินซอกร้องตามออกไปในขณะที่รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดไปแล้ว นี่จางอี้ชิงกำลังโกรธเขาเหรอ หรือว่างอน... ให้ตายสิ มินซอกไม่กล้าที่จะคิดอะไรทั้งนั้นเลยได้แต่รีบวิ่งตามไปง้อให้เร็วที่สุด อี้ชิงลงไปที่ชั้นล่างแล้ว มินซอกเห็นหลังไวๆ ก็รีบลนลานตามลงไปทันที

                “อี้ชิง คือฉันขอโทษ เรื่องเพลงของนาย เอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะมีฟังแต่เช้าเลยดีไหม” มินซอกตามไปพูดข้างๆ ในขณะที่อี้ชิงเดินไปรื้อๆ ค้นๆ อะไรไม่รู้ตรงเค้าน์เตอร์อย่างไม่สนใจ

                “โถ่... อี้ชิง อย่าโกรธฉันเลยนะ ได้โปรดล่ะ ฉันขอร้อง...” มินซอกยังคงพร่ำพูดต่อไปโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายว่าเขากำลังอมยิ้มอยู่

                “นี่ นายน่ะ หยุดพูดได้แล้ว ละเอานี่ไปอ่านซะ”

                จางอี้ชิงส่งหนังสือสองสามเล่มมาให้ตรงหน้าในขณะที่คนตัวเล็กยืนจ้องด้วยดวงตาใสแจ๋วอย่างงุนงงเต็มที่

                เทคนิคภาษาขั้นเทพ... กูรูไวยากรณ์... รู้ทันทุนเรียนต่อนอก...

                อะไรของเขากันเนี่ย จะให้อยู่เป็นเพื่อน ก็เลยหาหนังสือให้อ่านรอไปพลางๆ งั้นเหรอ... มินซอกมองตามหลังอี้ชิงที่เดินกลับขึ้นไปชั้นบนอย่างไม่เข้าใจ และในที่สุดก็ต้องยอมจำนนด้วยการหอบหนังสือเหล่านั้นเดินกลับเข้าไปอ่านในห้องสตูดิโอเล็กๆ ของศิลปินหนุ่มอย่างปฏิเสธไม่ได้

     

                ระหว่างที่จางอี้ชิงกำลังนั่งทำเพลงอยู่อย่างเงียบๆ มินซอกก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนกัน แม้จะมีหลายครั้งที่วอกแวก ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าพักสายตาต่างหาก คือเมื่อใดก็ตามที่มินซอกเริ่มล้ากับการเพ่งดูตัวอักษรในหนังสือเขาก็จะเงยหน้าขึ้นแล้วแอบมองจางอี้ชิงอยู่เสมอ ผู้ชายคนนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจสำหรับคิมมินซอก เขาเป็นคนที่ดูดี รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูมีเสน่ห์ แววตาของเขามีความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว แต่ก็แฝงไปด้วยความดื้อรั้น และบางครั้งก็ชอบทำตัวเหมือนเด็กๆ ไม่ยอมโตบ้าง บางทีเขาอาจแค่ต้องการให้มีคนอยู่ใกล้ๆ และคอยดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพอได้อยู่ใกล้ใครเขาหน่อยก็เลยอ้อนเสียจนทำให้เขาหลงรักไปทั่ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซองอึนนูน่าถึงได้ รัก ห่วง และเอ็นดูจางอี้ชิงคนนี้ยังกะลูกชาย!

               

               

    Day-Month-Year

     

                มินซอกอ่านหนังสือจนเผลอฟุบหลับไปแล้วในขณะที่อี้ชิงยังคงทำเพลงอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาแทบจะทิ้งความฝันของตัวเองไปแล้วหลังจากที่ต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จเสียที

     

                เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้วเขาเกือบโยนกีต้าร์ทิ้งหลังจากเข้าไปติดต่อสมัครงานกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้รับการต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เมื่อหัวหน้าทีมโปรดิวเซอร์ได้ฟังเพลงของเขาก็แสดงท่าทีสนใจเป็นอย่างมากและบอกว่าจะติดต่อกลับมา ในขณะที่หัวใจของจางอี้ชิงก็กำลังพองโต เขารู้สึกเหมือนสิ่งที่ฝันอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วแต่มันก็ถูกปัดทิ้งไปในพริบตาเมื่อหัวหน้าทีมโปรดิวเซอร์ติดต่อมาอย่างรวดเร็วในขณะที่เขายังเดินทางกลับไปไม่ถึงบ้านด้วยซ้ำ

                “คุณจางอี้ชิงใช่ไหมครับ คือทางเราต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่ไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานในบริษัทได้ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ บางทีคุณอาจจะไม่เหมาะกับการทำงานในด้านนี้ ขอโทษอีกครั้งนะครับ”

                สายโทรศัพท์ตัดไปเพียงแค่นั้น ตัดไปโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้อี้ชิงได้พูดอะไรเลย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องพบกับความผิดหวัง เวลานั้นจางอี้ชิงได้แต่คิดว่าเขาเองเหรอที่เลือกเดินผิดทางมาโดยตลอด หรือว่าตัวเขา... จะไม่เหมาะกับทางสายนี้จริงๆ

                ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ความเหนื่อยล้า ความเครียด และความรู้สึกท้อแท้ถั่งโถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน ช่วงนั้นจางอี้ชิงแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลยนอกจากนั่ง นอน และเหม่อลอย... เขารู้สึกเหมือนคนเคว้งคว้าง เมื่อความเชื่อมั่น และความฝันที่เขาพยายามจะวิ่งไล่ไขว่คว้ามาโดยตลอดถูกทำให้เป็นเหมือนสิ่งที่ผิดฝาผิดตัว หรือความจริงเขาควรกลับไปหาแม่ แล้วใช้ชีวิตตามแบบที่แม่ต้องการในประเทศจีน เลิกล้มความฝันที่ถูกมองว่าไร้สาระมาโดยตลอดในสายตาของแม่ และกลับไปเป็นคุณหนูจาง... ทายาทคนเดียวที่เป็นทั้งความหวัง และผู้สืบทอดกิจการทั้งหมดของตระกูลฝ่ายแม่

                และก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้น ซองอึนนูน่าก็ตัดสินใจต่อสายโทรศัพท์โทรทางไกลข้ามประเทศไปหาคุณตาของเขาแล้วเปิดวิดีโอคอล

                “เป็นยังไงหลานรักของตา... เหนื่อยนักเหรอ จางอี้ชิง ถึงจะยอมถอดใจง่ายๆ แบบนี้”

                “คุณตาครับ... ผมคิดถึงคุณตา”

                “ไอ้เจ้าเด็กบ้า... อย่ามาคิดถึงตาถ้าแกยังทำในสิ่งที่แกพูดเอาไว้ให้สำเร็จไม่ได้”

                “คุณตาครับพรุ่งนี้ผมจะกลับไปหา”

                “แกจะกลับมาให้แม่แกจับใส่กรงไว้ดูเล่นอีกอย่างนั้นเหรอ...”

                “...” คำพูดของคุณตาเหมือนจะทำให้อี้ชิงหน้าเสียไปจนนูน่าต้องตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ

                “โถ่หลานเอ๊ย... จงจำเอาไว้เถิดว่าแกน่ะไม่ใช่นกตัวเล็กๆ อย่างที่แม่แกเข้าใจหรอก ปีกของแกทั้งใหญ่กล้า แข็งแกร่ง และสวยงาม... พิสูจน์ให้แม่แกเห็น ทะยานออกไปให้สุดฟ้า อย่าพึ่งท้อกับเรื่องแค่นี้ เข้าใจใช่ไหม”

                อี้ชิงน้ำตาไหล “ผมบินได้แล้วจริงๆ เหรอครับคุณตา”

                “อ้าว... จริงสิหลาน” รอยยิ้มปรานีถูกส่งผ่านจอโทรศัพท์มาทำให้อี้ชิงอุ่นใจขึ้นมากแม้จะไม่สามารถสัมผัสได้มากกว่านี้ก็ตามแต่เขาก็ยังไม่วายกังวลกับสิ่งที่ต้องพบเจอ

                “ถ้าผมทำไม่ได้ เป็นนักแต่งเพลง เป็นศิลปินไม่ได้ล่ะครับคุณตา คุณตาจะผิดหวังในตัวผมไหม”

                “ตาจะผิดหวังมากกว่าถ้าแกหยุดอยู่แค่นี้... จางอี้ชิง... แกเกิดมาพร้อมกับเสียงกีต้าร์ แกเกิดมาเป็นนักดนตรี ตารู้ แกทำได้... แกจะทำได้ดีเหมือนกับพ่อของแก” สีหน้าและแววตาของผู้สูงวัยแสดงความรำลึกถึงอย่างเสียดายที่พ่อของจางอี้ชิงได้มีโอกาสอยู่กับลูกชายคนเดียวของเขาเพียงไม่นานก็ต้องมาจากไปในขณะที่อี้ชิงร้องไห้หนักขึ้นเมื่อคุณตาพูดถึงพ่อ

                “อี้ชิงหลานเอ๊ย... ถ้าพ่อของแกยังอยู่ เขาจะไม่ยอมให้แกเลิกเล่นดนตรีแน่ๆ เชื่อตา”

                “ครับ...” จางอี้ชิงรับคำด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือในขณะที่ซองอึนนูน่าก็บีบไหล่เขาเบาๆ อย่างอ่อนโยน

                “เอาล่ะ... ยิ้มและไปสู้ต่อได้แล้วไอ้เจ้าเด็กขี้แย ตาไม่อยากแพ้พนันกับแม่ของแกหรอกนะ ได้ยินไหม”

                เด็กหนุ่มหัวเราะทั้งน้ำตา  ในขณะที่คุณตากำมือขวาขึ้นแล้วยกสูงเป็นสัญลักษณ์บอกให้สู้พร้อมทั้งพูดแบบเกาหลีอย่างที่ซองอึนเคยสอนว่า

                “ฮวา-อิ-ทิง!

     

                ตั้งแต่นั้นอี้ชิงก็ตัดสินใจว่าจะลองดูอีกซักครั้ง แต่ถ้าคราวนี้ยังไม่สำเร็จ เส้นทางนี้ก็คงจะไม่เหมาะกับเขาจริงๆ อย่างที่ใครหลายคนบอก และเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ชายหนุ่มจึงมุ่งมั่น และตั้งใจมากขึ้นกับการเริ่มต้นเขียนเพลงใหม่ ในห้วงเวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างก้าวผ่านเข้ามาในชีวิต เวลาที่ได้รู้จักกับสีสันที่หลากหลายในธรรมชาติมากขึ้น เวลาที่มีคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เข้ามาขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์

                ก็ทำไมจางอี้ชิงคนนี้จะดูไม่ออกล่ะ เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่ามินซอกสนใจเขา และเขาก็อยากจะลองดูเหมือนกัน อยากรู้ว่าคนตัวเล็กคนนี้จะทำได้ซักแค่ไหน

                รักเขา... โดยไม่ต้องสูญเสียความเป็นตัวเอง!

     

                เมื่อแสงสว่างของวันใหม่เริ่มสาดเข้ามาภายในห้อง จางอี้ชิงนั่งมองหน้าคนที่กำลังหลับอยู่บนเตียงของตัวเองอย่างอดเอ็นดูไม่ได้ ขณะรออัพโหลดไฟล์เพลงที่พึ่งทำเสร็จลงในแผ่นซีดี ชายหนุ่มหาวเบาๆ และยกมือขึ้นลูบผมมินซอกทำให้คนตัวเล็กตกใจตื่น

                “จะทำอะไรน่ะ...” ดวงตาคมเฉี่ยวเบิกกว้างในขณะที่พรวดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและทำท่าจะพูดต่ออีกมากแต่จางอี้ชิงยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากน้อยนั้นไว้เสียก่อน

                ขณะที่หัวใจของคิมมินซอกกำลังเต้นแรง จางอี้ชิงเอานิ้วชี้ข้างนั้นกลับมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ว่าให้เงียบเสียงหน่อย และเพลงที่พึ่งอัพโหลดเสร็จก็ดังขึ้นแบบออโต้

                เสียงดนตรีพลิ้วไหว สดใส มีพลัง ฟังสบาย หรือว่า...

                หวาน...

                คิมมินซอกก็บอกตัวเองไม่ได้เช่นกัน...

     

               

    Day-Month-Year

     

                โครม!

                เสียงรถจักรยานล้มลงกระแทกพื้นตรงหน้าร้าน Good friends ดังขึ้นทำเอาคนตัวเล็กตกอกตกใจวิ่งออกจากเค้าน์เตอร์ในร้านมาดูทันที

                “อี้ชิง!

                ดวงตาของคิมมินซอกเบิกกว้างทันทีที่เห็นสภาพของจางอี้ชิงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ รถจักรยานที่พึ่งจะล้มลงเมื่อสักครู่

                “เกิดอะไรขึ้น ทำไม...” คนตัวเล็กรีบเข้ามาประคองร่างชายหนุ่มให้นั่งขึ้นดีๆ ก่อนแล้วก้มลงสำรวจบาดแผล

                “ฉันไม่เป็นไร นายปล่อยฉันเถอะ”

                “แต่...”

                “ปล่อยเถอะมินซอก ฉันกำลังสับสน” อี้ชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าแววตาของเขาดูเครียดขรึมจนมินซอกไม่อยากที่จะคาดเดาเลยว่าเขาไปเจอกับเหตุการณ์อะไรมา จางอี้ชิงลุกขึ้นช้าๆ แล้วก็เดินเข้าไปนั่งบนโซฟาภายในร้านก่อนจะเอนหลังลงและหลับตาอย่างเหนื่อยหน่ายกับโลกใบนี้เสียเต็มประดา

                มินซอกยกจักรยานคันน้อยของหนุ่มจีนขึ้นตั้งตามปกติแล้วก็เดินตามเข้ามานั่งลงข้างๆ บนโซฟาพร้อมส่งสายตาใสแจ๋วจ้องมองด้วยความรู้สึกห่วงใย

                เป็นอะไรไปนะอี้ชิง... นายจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหม...

                “มินซอก...” อี้ชิงขยับริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อเรียกชื่อของคนตัวเล็กให้ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด

                “นายคิดว่าเพลงของฉัน บกพร่องตรงไหนอย่างนั้นเหรอ”

                “ไม่นะอี้ชิง... นายอย่าบอกนะว่าเพลงของนายถูกปฏิเสธ”

                “...”

                “บ้าไปแล้ว... ค่ายเพลงที่ไหนจะตัดสินใจเร็วขนาดนั้น” มินซอกบ่นไปในขณะที่อี้ชิงลืมตาขึ้นแล้วก็หันมาหาเขา

                “ค่ายเพลงทุกที่มินซอก... ทุกที่ๆ ฉันไปถึงตัดสินใจภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง แล้วพวกเขาก็...”

                “พอแล้วไม่ต้องพูด”

                “แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธฉัน!

                เป็นยังไงล่ะ ห้ามก็ไม่ฟัง พูดออกมาแล้วก็เจ็บปวดจนต้องกัดฟันแน่น จางอี้ชิงคนดี... อย่าว่าแต่นายเลยที่ไม่เข้าใจ มินซอกคนนี้เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แล้วเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่เค้าน์เตอร์ก็ดังขึ้น

                “คงจะเป็นซองอึนนูน่า” มินซอกเอ่ยออกมาแล้วก็เดินไปรับสายในทันที

                ขณะที่อี้ชิงกำลังจมอยู่กับความคิดสับสนของตัวเอง เขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะโทรมาจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียก

                “อี้ชิง... เป็นภาษาจีนน่ะ”

                ภาษาจีน!

                ดวงตาของชายนุ่มเบิกกว้าง เขารีบกระโจนไปคว้าหูโทรมาตอบโต้กับปลายสายทันที

                “สวัสดีครับ”

                “กลับบ้านได้แล้วอี้ชิง... หมดเวลาทำตัวไร้สาระแล้ว”

                “คุณ!” สีหน้าแววตาของจางอี้ชิงดูเหมือนกำลังตกใจสุดขีด

                “มีอะไรรึเปล่าอี้ชิง...” มินซอกร้องถามฉับพลันในขณะที่ชายหนุ่มชาวจีนรีบตั้งสติและบอกกับคิมมินซอกออกไปว่า

                “ขอโทษนะ นายกลับไปก่อนได้ไหมมินซอก”

     

               

    Day-Month-Year

     

                ไม่รู้ว่าวันและคืนผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว หลังจากที่จางอี้ชิงได้รับโทรศัพท์สายนั้น เขาก็ดูจะกลายเป็นคนที่เก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้น บางครั้งก็คุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้และพูดเป็นภาษาจีนว่า

                “อย่ามายุ่งกับผม”

                มินซอกรู้เพราะเขาเองก็เคยเรียนภาษาจีนมาก่อน ถึงแม้ว่าจะฟังได้แค่เป็นคำๆ เท่านั้นก็ตาม เขารู้ว่าจางอี้ชิงกำลังมีปัญหาที่ทำยังไงเจ้าตัวก็ไม่ยอมเล่า โทรไปปรึกษาซองอึนนูน่าก็แล้ว เธอแสดงอาการห่วงใยเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ยอมบอกอะไรอยู่ดี

                “อี้ชิง... ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันไหม”

                หลังจากที่ปิดร้านแล้วมินซอกก็เอ่ยชวนขึ้นในขณะที่จางอี้ชิงกำลังนั่งเหม่อออกไปภายนอกหน้าต่างของห้องสตูดิโอส่วนตัวของเขา

                “นายไปเถอะ ฉันอยากจะกินที่นี่มากกว่า”

                “งั้น... เราไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทำอะไรกินกัน ดีไหม”

                อี้ชิงหันไปมองดวงหน้าสดใสของคิมมินซอกด้วยสายตาเรียบเฉย รู้สึกเหมือนถ้าเขาปฏิเสธก็จะดูเป็นการใจร้ายกับคนตัวเล็กมากเกินไป

                “แบบนั้นก็ได้...” ชายหนุ่มตอบหน้าตายในขณะที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปคว้าเอาแจ็คเก็ตตัวโปรดมาสวมใส่

               

                เข็มนาฬิกาเลื่อนไปอีกราวๆ สองชั่วโมงเศษชายหนุ่มทั้งสองถึงได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าร้าน Good friends อีกครั้งพร้อมกับเนื้อและผักที่หอบหิ้วมาจากซุปเปอร์มาเก็ตจนเต็มมือ

                สาเหตุที่นานก็เพราะคนตัวเล็กเอาเรื่องซื้อของเป็นข้ออ้างพาอี้ชิงไปเที่ยวเล่นคลายเครียดเสียมากกว่า แต่ยังไงก็ตามคนตัวสูงกว่าก็ต้องยอมรับว่าผ่อนคลายขึ้นเยอะเหมือนกันหลังจากที่คิดมากมาเป็นอาทิตย์แล้ว และเมื่อจางอี้ชิงล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อควานหากุญแจร้านขึ้นมาได้ในขณะที่เขากำลังจะจ่อมันเข้ากับกลอนประตูกระจกบานเลื่อนของร้านก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามันถูกเปิดทิ้งเอาไว้อยู่แล้ว จางอี้ชิงปล่อยถุงพลาสติกร่วงลงจากมือและรีบกระโจนเข้าไปภายในร้านอย่างรวดเร็ว

                “อี้ชิง...” มินซอกเองก็โยนทุกอย่างทิ้งแล้วก็วิ่งตามไปเหมือนกัน ส่วนของร้านชั้นล่างไม่มีอะไร แต่...

                จางอี้ชิงวิ่งขึ้นมาถึงหน้าประตูห้องนอนของตัวเองที่ถูกเปิดค้าง แล้วก็หยุดยืนทื่อไปราวกับไฟฟ้าช็อต

                ว่างเปล่า...

                อย่าว่าแต่อุปกรณ์ดนตรี ในห้องๆ นั้น ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยแม้แต่เสื้อผ้าของจางอี้ชิง

                “โถ่เว้ย!” ชายหนุ่มเตะประตูห้องอย่างรุนแรงจนมันแทบพัง ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของร้าน Good friends จะดังขึ้น

                “อี้ชิง...” มินซอกร้องเรียกอย่างหวาดหวั่น

                “นายกลับไปก่อน...”

                “แต่ว่าอี้ชิง นายควรจะแจ้งตำรวจ...” มินซอกแนะนำในขณะที่อี้ชิงดูไม่สนใจ และคล้ายๆ กับว่าเขาจะกำลังดำดิ่งลงไปในหุบเหวที่มีแต่ความสับสน มืดมน และไร้ซึ่งทางออก

                “มินซอก ฉันขออยู่คนเดียว”

                “แต่... ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนนายจะดีกว่าไหม”

                “ออกไป... ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ” ชายหนุ่มหันมาตวาดใส่คนตัวเล็กเหมือนมองไม่เห็นหน้าใครทั้งนั้น มินซอกสะดุ้งเล็กน้อยแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่  เขาเดินไปเก็บกระเป๋าเป้ของตัวเองที่โซฟาบนชั้นสองอย่างเงียบๆ ในขณะที่เสียงโทรศัพท์ก็ยังคงดังขึ้นไม่หยุด และเมื่อเก็บทุกอย่างเข้ากระเป๋าเรียบร้อยคนตัวเล็กก็หันมาบอกง่ายๆ ว่า

                “มีอะไรก็โทรมานะ”

                จากนั้นเขาก็เดินลงไปในแบบที่อี้ชิงคงไม่มีทางรู้หรอกว่าระยะทางจากร้าน Good friends ไปถึงหอพักของเขาในวันนี้จะยืดยาวและยากลำบากกว่าทุกๆ วันด้วยความที่รู้สึกแย่และรู้สึกผิดมากมายเหลือเกิน ทั้งกับจางอี้ชิงและซองอึนนูน่า มินซอกตำหนิตัวเองมาตลอดทางว่าถ้าเขาไม่พาอี้ชิงออกไปข้างนอกในเวลานั้นเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น!

     

               

    Day-Month-Year

     

                กว่าจะผ่านค่ำคืนอันยาวนานนั้นมาได้ มินซอกต้องนอนร้องไห้จนหมอนแทบขึ้นราด้วยความรู้สึกผิดที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างจากตอนที่เดินกลับหอนั่นก็คือ เขาไม่น่าทิ้งจางอี้ชิงเอาไว้แบบนั้น มินซอกไม่มีสติสตางค์ และอารมณ์มากพอที่จะทำอะไรทั้งนั้น รวมทั้งอ่านหนังสือ เขาพยายามที่จะข่มตานอนๆ ไป แต่ก็ทำไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าขอให้เช้าเร็วๆ เป็นตายร้ายดียังไงก็จะต้องรีบไปดูจางอี้ชิงที่ร้านให้ได้ สัญญาว่าคราวนี้ต่อให้เขาจะขับไสไล่ส่งยังไงก็จะไม่หนีออกมาจากเขาอีกแล้ว ครั้นพอเช้าขึ้นมาจริงๆ คนตัวเล็กก็เลยรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะแล่นไปยังร้าน Good friends ทันที

     

                Good friends

                OPEN               10:30   AM                               CLOSE             08:30   PM

                คนตัวเล็กยืนจิ้มโทรศัพท์ยิกๆ อยู่หน้าร้านเพื่อส่งข้อความหาจางอี้ชิงแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง มินซอกเริ่มร้อนรนก็เลยตัดสินใจโทรหาแต่ก็ไม่มีใครรับสายอีกเช่นกัน ทำยังไงดี คิดอะไรไม่ออกแล้วเขาจึงตัดสินใจแนบหน้ามองผ่านกระจกดำเข้าไปภายในร้าน ทุกอย่างมันดูมืดๆ เพราะไม่ได้เปิดไฟเลยซักดวง มินซอกยกมือขึ้นตบหัวตัวเองอย่างรู้สึกอยากเอาโทษ

                “โง่จริงๆ เลย เมื่อคืนฉันปล่อยนายเอาไว้คนเดียวได้ยังไงกันนะ ให้ตายสิ... จางอี้ชิง ทำไมฉันใจคอไม่ค่อยดีเลยก็ไม่รู้”

                คนตัวเล็กเดินวนไปวนมาที่หน้าร้านอยู่พักใหญ่ นึกขึ้นได้ก็เลยรีบโทรไปหาซองอึนนูน่าทันที โชคดีที่พี่สาวคนสวยเคยซ่อนกุญแจสำรองของร้าน Good friends เอาไว้ในกระถางต้นไม้ที่หน้าร้าน แต่จะต้องขุดดินในกระถางค่อนข้างลึกที่เดียวถึงจะเจอกุญแจได้ มินซอกจึงไม่รอช้า ในขณะที่ขุดๆ เท่าไหร่ก็หากุญแจสำรองไม่ได้ซักทีคนตัวเล็กเลยตัดสินใจยกกระถางขึ้นแล้วทุ่มลงบนพื้นอย่างแรงจนกระถางแตกออก

                “เจอแล้ว!

                มินซอกรีบคว้ากุญแจสำรองมาไขเข้าไปภายในร้านแล้วรีบกดสวิตซ์ไฟให้เปิดสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็...

                ยับ! สภาพของร้านบอกได้คำเดียวว่ายับ...

                อี้ชิงคงอาละวาดหนักตลอดทั้งคืน หนังสือบนชั้นของนูน่าหล่นเรี่ยราดกระจัดกระจายเต็มไปหมด บางเล่มก็ขาดลุ่ย มีแต่กระดาษปลิวว่อนไปทั่ว หัวใจของมินซอกเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความหวั่นวิตก เขาเดินไปเตะถูกโทรศัพท์มือถือของจางอี้ชิงที่หล่นหน้าจอแตกอยู่บนพื้นก่อนที่หัวใจทั้งดวงจะหายวาบ

                “จางอี้ชิง!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×