คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : :: Chapter 10 : Prove for love ::
10
Prove for love
“ทึกกี้ จุนกิ เจย์ นี่ฮันกยอง เค้าเป็นรองประธานชมรม เก่งมากเลยนะ เป็นคู่ซ้อมพิเศษของน้องนายด้วย” คังอินแนะนำฮันกยองแก่เพื่อน และประโยคสุดท้ายหันไปกล่าวกับจุนกิโดยตรง
“สวัสดีครับ ผมฮันกยอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คนสำเนียงแปร่งๆกล่าวอย่างสุภาพรู้จักกาลเทศะ ถูกใจจุนกิไม่น้อย ยิ้มรับสายตาเป็นมิตรที่ดูเค้นสัมพันธ์ของเค้ากับฮยอกแจเป็นพิเศษ แต่แกล้งไม่เอะใจอะไร
“ฮันกยอง นี่ทึกกี้ แฟนชั้นเอง ส่วนนี่จุนกิ พี่ชายฮยอกแจ” คังอินกล่าวถึงฐานะของคนทั้งสองที่ทำเอาฮันกยองใจชื้นขึ้นโข ยิ้มกว้างเป็นมิตร
พี่ชายหรอกเหรอ มิน่า ตัวเล็กเหมือนกัน แต่สูงกว่าหน่อย
“แล้วก็นี่ เจย์ คิม เพื่อนพวกชั้น ...แฟนฮยอกแจ”
กลั้นใจอย่างมากในการอ้างถึงฐานะของเจย์โดยไม่หัวเราะออกมาดังๆเพราะแผนสนุกของจุนกิ ฮยอกแจยืนตัวเล็กปากแดงอยู่ข้างๆ ‘แฟน’ ในขณะที่ฮันกยองหน้าเหวอไปแล้ว
แฟน... งั้นเหรอ...
น้องอ่อนแอของเค้า... มีแฟนไปแล้ว...
ฮันกยองอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก มองสลับไปมาระหว่างฮยอกแจและเจย์ ก่อนหยุดสายตานิ่งที่คนอ่อนแอ ท่าทีแบบนี้ทำให้จุนกิที่ยืนอยู่ข้างๆเจย์หันไปบีบมือเพื่อนเบาๆให้ทำตามแผนที่ตกลงกันไว้
เจย์เซ็งนิดหน่อยแต่ปั้นหน้ายิ้ม คว้าไหล่เล็กๆของฮยอกแจแล้วดึงเข้ามาใกล้ๆ ทวนคำพูดที่จุนกิกรอกใส่หูให้ฟังในรถขณะเดินทางซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง โดยหันทั้งหน้าทั้งตัวไปคุยกับแฟนหลอกๆที่ตอนนี้ก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน
ใจนึงก็อยากรู้ปฏิกิริยาของฮันกยอง อีกใจก็ห่วงความรู้สึก ทั้งความรู้สึกของตัวเองและความรู้สึกของฮันกยอง
...ถ้าพี่โหดไม่รู้สึกอะไรเลย น้องอ่อนแอจะรู้สึกยังไงนะ...
“คนนี้เหรอที่ฮยอกเล่าให้พี่ฟัง ทำไมไม่ชอบล่ะ พี่ก็เห็นว่าเค้าดูดีออก”
ที่พูดไปน่ะไม่ได้แม้แต่จะมองหน้าฮยอกแจเสียด้วยซ้ำ พอกล่าวจบก็หาวรดหัวคนตัวเตี้ยเบาๆอย่างกลั้นไม่อยู่ เพราะโดนพี่ชายตัวดีของคนตัวเล็กนี่ไปลากจากเตียงมาแต่เช้า แน่นอน ฮันกยองไม่เห็นฉากหาวหวอดนั้นหรอก
สิ่งที่ฮันกยองเห็นและคิด คือเจย์ที่ไถ่ถามว่าทำไมฮยอกแจถึงไม่ชอบตนทั้งๆที่ก็ดูสุภาพไม่ป่าเถื่อน และฮยอกแจ ก็มีท่าทีเป็นกังวลกลัวคนรักเข้าใจผิดเต็มประดา
สองคนนี้.... รักกัน
มันชัดเจนอยู่ในใจของคนที่เมื่อกี้กำลังหัวใจลิงโลด ก่อนที่คนทั้งหมดจะปรากฏตัว ตอนที่เค้าได้ยิ้มกับฮยอกแจ ตอนที่เค้าทำให้คนตัวเล็กๆบางๆเอียงอาย ตอนนั้น...
ไม่อยากเห็น...
ไม่อยากเห็นคนตัวเล็กถูกใครสัมผัส
ไม่อยากเห็นคนที่ตนรักใกล้ชิดกับคนอื่น...
ไม่อยากเห็นคนที่ตนเฝ้ามองมาหนึ่งปีพลอดรักกับใครอีกคน...
มันทนไม่ได้ จึงต้องรีบเร้นกายให้ห่างจากสถานการณ์ทำร้ายหัวใจนี่โดยเร็ว
“เอ่อ ผมมีธุระ ขอโทษด้วยนะครับ ไว้โอกาสหน้าเราคงได้พบกันใหม่”
ฮันกยองเอ่ยลาแล้วยิ้มฝืนๆที่ฝืดเต็มทนให้ทุกคนในที่นั้น เจย์ที่โดนจุนกิบีบมือแล้วบีบมืออีกจนแทบจะให้แหลกซะตรงนั้นต้องรีบต่อบท เดี๋ยวมันจะขาดตอน
“น่าเสียดายจังเลยนะครับ ผมนึกว่าผมจะได้ฝากฝังให้คนที่น่าไว้ใจดูแลคนรักของผมซะแล้ว เค้าเป็นคนบอบบางน่ะครับ เวลาผมไม่อยู่ ก็อยากจะได้ตัวแทนซักคนไว้ดูแลเค้า”
‘จบซะที บทปัญญาอ่อน’
เจย์พูดดังๆในใจอย่างเบื่อเต็มทน จุนกิที่ดูเหมือนจะตื่นตาตื่นใจกับละครฉากใหญ่นี้สะกิดสะเกาฮยอกแจให้รับช่วงต่อ
“...ไม่เอาอ่าพี่เจย์ ใครก็ดูแลฮยอกได้ไม่เท่าพี่เจย์หรอก ไม่เอาใครทั้งนั้นแหละ”
ฮยอกแจพูดแล้วทำหน้าอ้อน มีเพียงเจย์เท่านั้นที่เห็นว่านัยน์ตานั้นมันเจ็บปวดและกังวลมากเพียงใด รู้ดีว่าฮยอกแจทั้งกลัวทั้งเป็นห่วงฮันกยอง
‘ก็ในเมื่อมันรักกัน จะมามัวอะไรกันอีกวะ’
เจย์ คิม ได้แต่คิดในใจ เหลือบสายตาไปมองฮันกยองบ้าง อยากรู้ท่าทีของหมอนี่เหมือนกัน
บุรุษเพียงคนเดียวที่ถูกทุกสายตาในห้องจ้องสังเกตยืนนิ่ง มันสะอึกในใจ ภาพที่เค้าเคยวาดไว้ในฝันว่าฮยอกแจจะมาอ้อนเค้าซักครั้งด้วยความเต็มใจมันมลายหายไปจนสิ้น ฝันสลายมาเจอกับความเป็นจริง
ความเป็นจริงย่อมเจ็บปวดเกินทนรับ...
“ผมไปก่อนนะครับ” พูดจบแค่นั้นก็ผันตัวออกไปอย่างรวดเร็ว แม้เสียงของคังอินที่แกล้งรั้งไว้จะดังขนาดไหนก็ตาม คนที่เดินหนีออกไปก็ไม่มีท่าว่าจะหันมาสนใจฟังแม้แต่น้อย
“ทีนี้ ก็ถึงตาชั้นพิสูจน์หัวใจว่าที่น้องเขยบ้างละ”
จุนกิหมายมั่น ก่อนเดินตามฮันกยองไปพิสูจน์อะไรที่ตนว่า
...Prove for love...
- - - - My Sweetheart.. You’re Everything. - - - -
“มานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้ครับ”
เสียงหวานๆนุ่มๆดังมาจากด้านหลัง ฮันกยองไม่ได้ให้ความสนใจเลยซักนิด ยังเหม่อมองไปเรื่อยๆบนดาดฟ้าของตึกวิทยาศาสตร์ สถานที่ที่เคยมีเวลาร่วมกับฮยอกแจ ...คนมีเจ้าของ
ตอนเดินออกมา ใจมันสั่งให้ออกไปให้พ้นจากสถานที่นั้น แต่ไม่รู้ทำสองขาถึงพาก้าวมาที่นี่
“ขอผมนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ” จุนกิเอ่ยเป็นมารยาท แต่พาร่างกายนั่งไปแล้วเรียบร้อย
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ ฮันกยองจมอยู่กับภาพของคนสองคน และจุนกิที่กำลังคิดว่าจะพูดอะไรดี
“...เค้าสองคน คบกันมานานแล้วเหรอครับ”
เสียงแปร่งสำเนียงเอ่ยทำลายความเงียบ ไม่จ้องหน้าคู่สนทนาเพราะกลัวจะเห็นใครอีกคนซ้อนทับบนใบหน้าที่คล้ายคลึงกันนิดๆ
“ใครเหรอครับ?” จุนกิ แกล้งทำงงทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ
“อ่อนแอ... เอ่อ ฮยอกแจกับ... คุณเจย์น่ะครับ”
“อ๋อ สองคนนั้นน่ะเหรอครับ ก็เห็นควงกันมาซักพักแล้วหละครับ” จุนกิตีหน้าซื่อเล่าความเท็จ
“งั้นเหรอครับ เค้า... ดูดีนะครับ” ฮันกยองเลี่ยงที่จะพูดคำว่า ‘เหมาะสมกันดี’ ไปเป็นคำอื่นแทน เพราะมันช่างปวดใจ ภาพที่เห็นเมื่อครู่ยังสะท้อนไปมาบดบังทุกอย่างจนมืดมิด
“ครับ ก็คงงั้น” จุนกิเหลือบสายตามองก่อนทอดเบ็ด “แต่อ่านสายตาที่คุณมองน้องชายผมแล้ว ผมชอบให้คุณมองเค้ามากกว่านะ”
“คุณหมายความว่าไงครับ” ฮันกยองถามทันที คำพูดเมื่อกี้ มันแปลได้หลายทาง
อยากให้แค่มอง... หรือต้องการให้มองอยู่ตลอดกันแน่
“เจย์น่ะ บางครั้งเค้าก็อารมณ์แปรปรวนเกินไป ความอดทนน้อย อยู่กับฮยอกแจไม่ค่อยจะได้หรอกครับ หนูเล็กของผมต้องร้องไห้เพราะเค้าบ่อยๆ”
“หนูเล็ก?”
“ครับ ฮยอกแจเป็นคุณหนูเล็กของบ้าน ขานั้นเค้าขี้แยแล้วก็ดื้อ เรียกแบบนี้เลยเหมาะกับเค้าน่ะครับ” จุนกิตอบยิ้มๆ
“แล้วทำไมเค้ากับคุณเจย์ถึงทำให้ฮยอกแจร้องไห้ล่ะครับ” ตรงนี้ที่จี้ใจ ความรู้สึกเข้ามาตีกันไปหมด มั่นใจเกินล้านว่าเค้าจะไม่ทำให้ฮยอกแจร้องไห้เด็ดขาดหากได้โชคดีมีโอกาสอย่างเจย์ คิม โกรธเคืองผู้ชายอีกคนที่ทำให้น้องอ่อนแอของเค้าร้องไห้
และเจ็บลึกๆ ที่รู้ดีกว่าตนไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปก้าวก่าย
ถึงเค้าจะบอกฮยอกแจไปในวันนั้น... มันก็คงไม่มีค่าอะไร
ความรักของเค้า ไม่มีค่าพอที่จะมอบให้คนๆนั้นจริงๆ...
“ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ฮยอกแจเค้าขี้แย เรียกว่าอ่อนแอเลยก็ว่าได้ เวลาเจย์ไปเที่ยวก็จะเสียใจ ถูกดุเป็นประจำน่ะครับ จุ้นจ้านบ้างแหละ วุ่นวายบ้างแหละ”
“...” ฮันกยองนิ่งเงียบ กัดฟันกรอด กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน คนที่เค้าอยากจะถนอมมากที่สุด กลับมาช้ำใจเพราะผู้ชายพรรค์นี้
“ถ้าผมเดาไม่ผิด... คุณเอง ก็คงจะมีใจให้น้องชายผม” จุนกิพูดยิ้มๆ หันมองฮันกยองที่ดูจะโกรธเล็กน้อยจากเรื่องที่เค้าเล่าให้ฟัง
“...” คนที่กำลังไม่เข้าใจสถานการณ์ไม่ตอบอะไร รอฟังคนหน้าสวยพูดต่อ
“ผมน่ะ ไม่อยากให้ฮยอกแจเสียใจไปมากกว่านี้ ถ้าคุณพอจะทำให้เค้าหันมารักคุณแล้วมีความสุขได้ ผมจะช่วย”
“ช่วย? ช่วยอะไรครับ”
“ผมเป็นคนกลางที่พอจะรู้ความรู้สึกของคุณกับน้องชายผม ผมว่าคุณกับหนูเล็ก ต้องรักกันได้” จุนกิพูดชัดเจน ประกาศชัดว่าตนจะช่วยทำลายรัก และเชื่อมความสัมพันธ์ให้
“ผม...” ฮันกยองลังเล จุนกิเลยยิ้มให้น้อยๆแล้วเบือนหน้าไปมองท้องฟ้า ก่อนเปรยเบาๆ
“ฮยอกแจน่ะ เป็นคนที่ไม่ค่อยเข้มแข็งมาแต่เด็ก พอโต เค้าก็อยากจะแสดงตัวเป็นคนเข้มแข็ง พยายามซ่อนความอ่อนแอทั้งหมดเอาไว้ ทำให้ดูแล้วกลายเป็นคนรักสนุกกะโหลกกะลา แต่พอเจอปัญหาหนักๆเข้า เค้าก็ไม่เคยผ่านมันไปได้ด้วยดีเลยสักครั้ง ข้อนี้แหละที่ทำให้ผมเป็นห่วง... จนอดคิดไม่ได้ว่า วันนึงที่เค้าต้องอยู่เพียงลำพัง จะมีใครปกป้องและดูแลเค้าได้ดีเหมือนที่ผมเคยทำรึเปล่า...”
จุนกิเงียบไป ฮันกยองเฝ้านึกถึงคนตัวเล็กๆขาวๆปากแดงๆ สุดแสบจอมรั้นที่เค้ารู้จัก แต่ภาพนั้นกลับถูกซ้อนทับด้วยหยดน้ำตาและความอ่อนแอ ฮยอกแจที่เค้าเคยรู้จักมีอีกด้านที่พยายามปกปิดมันเอาไว้
แต่มันไม่มีเวลา ให้เค้าเรียนรู้มันอีกแล้ว...
...ผมต้องเสียคุณไปจริงๆเหรอฮยอกแจ...
“มีครั้งนึง เจย์ช่วยเค้าแก้ปัญหาอย่างไม่ตั้งใจจนสำเร็จ ฮยอกแจซึ้งมาก ปลาบปลื้มจนเพ้อว่านั่นคือความรัก น่าตลกดีนะ ที่ตอนนั้นเพียงแค่ผมลองแกล้งบอกเค้าว่า ‘หนูเล็กกำลังมีความรัก’ เค้าก็เชื่อผมอย่างสนิทใจ ไม่ลังเลเลยซักนิดในการปักใจเชื่อ คุณรู้มั้ย นั่นน่ะ เป็นรักแรกของฮยอกแจเลยนะ”
จุนกิเล่ายิ้มๆ เอาเรื่องที่คิดได้สดๆมาผสมกับเรื่องของฮยอกแจตอนที่ทะเลาะกับฮันกยองจนออกมาเป็นเรื่องเป็นราว คนที่นั่งฟังเบือนสายตาหนี ไม่อยากให้ใครมองเห็นความเจ็บปวดในแววตาของลูกผู้ชายอย่างเขาเท่าไหร่นัก
“แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า... เจย์ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นกับฮยอกแจน่ะสิ”
“ทำไมล่ะครับ ผมก็เห็นว่าเค้า... เอ่อ รักกันดี”
“นั่นแหละครับ สาเหตุที่ผมอยากให้คุณทำให้หนูเล็กเลิกกับเจย์ เจย์เค้าไม่อยากทำให้ฮยอกแจเสียใจ เลยทำเป็นรัก” จุนกิเฉลยปมตอแหล ทำเอาฮันกยองอึ้ง น้องอ่อนแอของเค้า... ไม่สิ ฮยอกแจกำลังยืนอยู่บนความรักจอมปลอมงั้นเหรอ
ฮันกยองเชื่อสนิทใจเพราะจุนกิกล่าวด้วยท่าทีและแววตาจริงจัง
“คุณว่าไงครับ คุณฮันกยอง ตกลงมั้ย ผมจะช่วยคุณ”
จุนกิเสนอ จากนั้นจึงเกิดความเงียบอยู่พักใหญ่ ฮันกยองจมอยู่กับความคิดอันสับสนของตัวเอง
ความรัก... กับความถูกต้อง
จุนกิยิ้ม เพราะมองออกในท่าทางลังเลของว่าที่น้องเขย
“ผมตกลงครับ” ฮันกยองเอ่ยตอบหลังตัดสินใจ จุนกิยิ้มรับอย่างพอใจ ก่อนอึ้งไปกับประโยคถัดมา “แต่ผมคงไม่ขอรับการช่วยเหลือจากคุณ ผมจะไม่เข้าไปแยกเค้าสองคน ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงฮยอกแจ แต่ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ผมจะยืนมองเค้าอยู่ห่างๆ ถ้าคุณเจย์ทำให้ฮยอกแจร้องไห้อีกเพียงครั้งเดียว ถึงแม้จะเป็นความช่วยเหลือที่เค้าไม่ต้องการ แต่ผมจะปกป้องเค้า... จากความเสียใจทั้งหมดเองครับ”
จุนกิสบสายตาแน่วแน่ของฮันกยองอย่างอึ้งๆ ใช่ ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการ แต่ผิดพลาดก็ตรงที่ ฮันกยองจะไม่ยอมเป็น...
“ผมจะไม่ยอมเป็นคนที่ทำให้คนที่ผมรักเสียใจเด็ดขาด ...ขอตัวนะครับ”
จบประโยคพร้อมบอกลาก่อนเดินออกมา หัวใจของเค้าต้องการการเยียวยารักษาสักพัก เดินกลับไปทางเดิม เพื่อปกป้องคนที่อ่อนแอ ...ลีฮยอกแจ
ทิ้งให้เจ้าของแผนการพิสูจน์หัวใจยืนยิ้มอย่างพอใจอยู่คนเดียว
“คนนี้สินะ ...คนที่จะปกป้องหนูเล็กได้ดีที่สุด ฮันกยอง...”
- - - - My Sweetheart... You’re Everything. - - - -
ขาสั้นๆเล็กๆพาตัวเองมาหยุดใต้ตึกวิทยาศาสตร์ที่ไร้คนพลุกพล่านเพราะเป็นเวลาเรียน เดินตามออกมาเพราะต้องการจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่นึกว่า จะได้มาเจอคนที่ทำให้ใจเต้นแรงรวดเร็วแบบนี้
...ยังไม่ได้คิดคำสารภาพรักเลย...
คนตัวเล็กยืนสั่นนิดๆเพราะความตื่นเต้น ก้มหน้าลงต่ำอย่างเขินอาย หลบสายตาของร่างสูงที่ทอดมองมาอย่างเศร้าๆ
“นาย... ไปคุยกับชั้นแป๊บนึงสิ”
พูดจบก็ออกเดินนำร่างสูงไปทางสวนหลังโรงเรียน ที่ที่ภรรยาผอ.เคยสละเวลามานั่งปลูกพรรณไม้ด้วยตัวเอง
ทั้งสองจ้องมองหน้ากันนิ่ง ฮันกยองมองใบหน้าที่ตนเคยเฝ้ามองมานาน ฮยอกแจมองใบหน้าของคนที่เขาเพิ่งจะรู้ตัวเองว่า ‘รัก’
“ฮยอกแจ / ฮันกยอง”
สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
“คุณพูดก่อนเถอะ / นายพูดก่อนสิ”
“ไม่ นายนั่นแหละพูดก่อน” ฮยอกแจเผลอสั่ง เค้าก็ยังอายอยู่นิดหน่อย
“ผม...” ฮันกยองเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจ “พี่ชายคุณ เล่าเรื่องของคุณกับคุณเจย์ให้ผมฟังหมดแล้ว”
“อ่อ..”
‘เรื่องอะไรวะ หรือจะเป็นเรื่องที่เราเป็นแฟนหลอกๆกัน’
“คุณเจ็บ..มากไหม” น้ำเสียงของฮันกยองช่างอ่อนโยน สายตาทอดมองมาอย่างเป็นห่วง แต่ฮยอกแจก็ทำได้เพียงแค่...
“เอ่อ..”
‘เจ็บอะไรวะ’
“คุณรักเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เห?”
“ทำไมคุณถึงทน ถ้าคุณไม่ชอบร้องไห้ คุณก็อย่าทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดสิ คุณยังมี... ใครอีกตั้งมากมายที่รักคุณ” ฮันกยองพูด แต่ฮยอกแจยังไม่เข้าใจ
“หา?”
‘ร้องไห้? เราไปร้องไห้เมื่อไหร่วะ เอ ถ้าพี่จุนกิเล่า ก็ร้องเพราะนายนี่นั่นแหละ แล้วทำไมมันยังงงๆว้า’
“คุณรักเขามากขนาดนั้นเลยใช่ไหม” ถามเสียงสั่น แต่อดกลั้นความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ข้างใน
“เอ๋?”
“ฮยอกแจ!” ฮันกยองพูดเสียงดัง ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นมันทำให้เค้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลก ที่พูดที่พล่ามไปนั่นฮยอกแจเหมือนไม่สนใจฟัง ทำเป็นไม่รู้เรื่อง มันน่าโมโห
“ช่างเถอะ ผมไปละ” ฮันกยองพูดแล้วหันหลังกลับเตรียมเดินออกไป ถ้าไม่มีเสียงรั้งไว้
“เดี๋ยวสิ ชั้นขอโทษๆ ชั้นไม่รู้จริงๆว่านายพูดเรื่องอะไร” น้ำใสๆเอ่อคลอที่ดวงตา แผ่นหลังของฮันกยองมันพร่ามัว รู้สึกเหมือนคนตรงหน้ากำลังจะจากเขาไปตลอดกาล กลั้นความอ่อนแอเอาไว้ไม่ได้ รู้แค่ว่า ถ้าไม่หยุด ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“คุณว่าไงนะ”
“ชั้นไม่เข้าใจ ถ้านายคุยกับพี่จุนกิแล้ว ทำไมนายถึงถามชั้นแบบนั้นล่ะ” นี่คือสิ่งที่ฮยอกแจสงสัย ตกลงที่คุยน่ะ คุยอะไรกัน
น้ำตาของคนตัวเล็กทำให้ใจฮันกยองอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะคว้าคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมกอด
“พี่ของคุณ บอกว่าคุณร้องไห้เพราะคนรัก มันทำให้ผมปวดใจ ผมที่อยากจะถนอมคนอ่อนแอคนนี้เอาไว้ กลับไม่เคยรู้เลยว่าคุณต้องรู้สึกแย่แค่ไหน ผม.. ผมขอโทษ”
ฮันกยองซุกหน้าเข้ากับซอกคอร่างบาง ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ไหล่ของฮยอกแจช่างบอบบางเหลือเกิน อ่อนแอเกินกว่าที่จะไปปกป้อง หรือดูแลใคร
“เป็นผมไม่ได้เหรอ ฮยอกแจ..” น้ำเสียงสั่นพร่า น้ำตาลูกผู้ชายมันไหลช้าๆอย่างหยุดไม่อยู่ ความเจ็บปวดในรัก ฮันกยองเพิ่งเข้าใจก็วันนี้
ฮยอกแจเริ่มเข้าใจ จุนกิคงสร้างเรื่องพิสูจน์ฮันกยองโดยมีเค้าเป็นตัวเอกแน่ๆ คิดได้อย่างงั้นก็รู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุ แขนเล็กๆยกขึ้นโอบรอบเอวหนาเบาๆ
“ผมเคยคิด ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจ ผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด คุณจะได้ไม่ต้องร้องไห้อีก ผมขอโทษ...”
“ให้ผมดูแลคุณเอง ให้ผมสอนคุณให้เข้มแข็ง ให้ผมยืนอยู่ข้างๆคุณ ให้ผมปกป้องคุณตลอดไป ได้ไหม... ฮยอกแจ ผมรักคุณ”
วาจาสารภาพความในใจถูกเอ่ยในช่วงเวลาที่ทุกอย่างเริ่มและพร้อมที่จะลงตัว ฮยอกแจที่รู้ใจของตัวเอง ฮันกยองที่พร้อมและเข้าใจในตัวคนอ่อนแอของเขาทุกอย่าง นี่คงเป็นเหตุผล ว่าทำไมหัวใจและรักถึงต้องใช้เวลา เพราะการที่จะเรียนรู้มัน ไม่ใช่แค่ต้องการเพียงชั่วข้ามคืน แต่รัก เป็นมากกว่านั้น สิ่งที่เรียกว่านิรันดร์กับหัวใจ
อย่างน้อย... ก็สำหรับฮันกยอง ที่คิดจะให้รักของเขาในครั้งนี้ เป็นนิจนิรันดร์ตลอดไป
รอให้แน่ใจ รอให้ชัดเจน รอเพื่อวันนี้
“ผมรักคุณ” ฮันกยองพูดซ้ำ
“ฮ...ฮันกยอง”
รู้สึกเหมือนฝันไป คนที่ตนแอบรักคิดเหมือนกัน มันเป็นอะไรที่วิเศษ...
“ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ” ฮันกยองพร่ำบอก ฮยอกแจหลับตารับฟังอย่างเต็มใจ วจีนี้ช่างหวานหู ฟังกี่ครั้ง ก็ไม่เบื่อ
“ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรัก...”
“ชั้นก็รักนาย”
ถ้อยคำเบาๆเอ่ยตอบรับคำรักของอีกคน ฮันกยองดึงตัวฮยอกแจออกแทบจะในทันใด ก่อนจ้องลึกลงไปในดวงตาที่มีรักเอ่อล้นออกมาเต็มเปี่ยม
“ฮยอกแจ...”
ฮันกยองไม่สนใจว่าทำไม ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น รู้แต่ว่าแขนแข็งแรงได้พาคนตัวเล็กเขาสู้อ้อมกอดอีกครั้ง กอดที่เต็มไปด้วยรักละมุน
“เป็นผมได้จริงๆเหรอ...”
ขอแค่มีเพียงสักครั้ง ที่ฮันกยองจะได้มั่นใจโดยไม่ลังเล ไม่ต้องเฝ้านึกไปเองแค่ฝ่ายเดียว
“อันที่จริง เป็นนายมาตั้งนานแล้วนะ” ตอบเสียงหวานใสแล้วผละตัวออกเบาๆ ก่อนเขย่งปลายเท้าหอมแก้มฮันกยองไปที
“พี่จุนกิ มาวันนี้เพื่อทดสอบนาย พี่เจย์เป็นเพื่อนของพี่เค้า ไม่ได้เป็นอะไรกับชั้น พี่จุนกิขอร้องให้เราเล่นละครเพื่อพิสูจน์ใจนายว่าคิดยังไงกับชั้น ฮันกยอง ถ้านายจะโกรธที่พวกเราโกหกก็โกรธชั้นแค่คนเดียวนะ พี่ชั้นเค้าแค่เป็นห่วง เค้าไม่ได้... อ๊ะ”
คนตัวสูงไม่สนใจสิ่งคนร่างเล็กจะพูดต่อไป คว้าร่างเล็กเข้ามากอดอีกครั้ง กอดให้รับรู้ถึงตัวตน ให้เค้าแน่ใจ ว่ามันไม่ใช่ความฝัน หรือหากเป็นฝัน เค้าก็ยินดีที่จะยอมเป็นเจ้าชายนิทรา ตกสู่ห้วงภวังค์แห่งรักนี้ไปจนตาย
“ผมไม่สน ผมไม่สน แค่รู้ว่าคุณรักผม แค่คุณไม่ได้รักใครนอกจากผม ก็พอแล้ว” ฮันกยองพร่ำบอก ฮยอกแจตอบรับกอดนั้นแน่น ราวกับทั้งสองจะไม่มีวันยอมให้อะไรมาแยกกันและกันออกไปได้
รักที่เริ่มต้นอย่างไม่รู้ตัว
ความรู้สึกอิ่มเอมที่เกิดขึ้นจากพลังแห่งรัก
พลังที่จะช่วยเยียวยารักษาความเจ็บปวด
หาใช่ทางกาย หากแต่เป็นทางใจ
ฮยอกแจ... ชโลมความรักบนหัวใจของฮันกยองที่เพิ่งสูญสลายไป ให้กลับมามีชีวิต เพื่อดำเนินต่อไปเพื่อเขาอีกครั้ง...
- - - - My Sweetheart.. You’re Everything. - - - -
“บอกว่าไม่กินๆ เอ๊ะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง หา”
หน้าสวยหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะอาหารที่ถูกยัดเยียดให้ ไอ้เรื่องเมื่อเช้าละก็ทั้งน่าโมโหน่าอับอาย ไม่นึกเลยว่าไอ้ที่ฝัน... มันจะทำให้เค้าละเมอเผลอตัว(เกือบ)กดเจ้าซิมบ้าไปจริงๆ
“น่า นะครับ ทานอีกหน่อยนะ อาหารว่างมีใครกินกาแฟแก้วเดียวแบบพี่บ้างเล่า” ซีวอนไม่ยอม ยื่นน้ำส้มคั้นกับครัวซองท์ของว่างรอบบ่ายมาประเคน
“ไม่มีก็ไม่มีดิ ชั้นผิดเหรอที่เป็นตัวของตัวเองน่ะ” คนสวยลอยหน้าลอยตาตอบ
“เฮ้อ ผมเป็นห่วงพี่นะครับ ทานแต่กาแฟเดี๋ยวก็ปวดท้อง”
ห่วงจนจะบ้าตาย คนๆนี้เคยทำอะไรคิดถึงตัวเองมั่งมั้ยนะ ต้องให้เขาคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย
“ชิ ก็ได้ๆ กินก็กินสิ ...ใครใช้ให้ห่วงเล่า...” ประโยคหลังพูดเบาๆ พร้อมกัดครัวซองท์เข้าปาก ก้มหน้างุดๆ หน้าสวยเขินไม่น้อยกับทุกคำพูด ทุกการกระทำของเด็กหน้าหล่อ
ซีวอนยิ้มกว้างกับท่าทางเขินอายนั่น จะมองกี่ทีๆก็น่ารัก
Rrrr Rrr Rr
โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นเพราะหน้าสวยกดปิดเสียง แรงสะเทือนทำเอาสะดุ้งกันเลยทีเดียว ฮีซอลมองชื่อที่โชว์หราก่อนทำหน้าเอื่อยๆแล้วกดรับ
“มีไร”
[อยู่ไหนอ่า] คนปลายสายถาม ซีวอนเหล่มองนิดๆ อยากรู้ว่าเป็นใคร
“ถามโง่ๆ เมื่อวานแกส่งชั้นให้ใครหิ้วไปล่ะ” เพราะประโยคนี้ซีวอนเลยยิ้มออก รู้ตัวคนร้ายแล้ว
[อ้าว ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ]
“ที่นี่สบายดี มีคุณชายชเวเป็นคนรับใช้ เรื่องไรจะยอมกลับง่ายๆ”
‘คุณชายชเว’ ที่ว่าหันขวับพลางทำหน้าประมาณว่า ‘ขี้ข้ากับว่าที่สามีมันต่างกันนะครับ พี่ฮีซอล’
[อ๋อเหรอ ไม่ใช่ว่าที่ไม่กลับน่ะเพราะอยากมีเวลาอะจุ๊งอะจิ๊งอะหงุงอะหงิงกันเหรอ] อิทึกยั่วประสาท
“ภาษาบ้าอะไร ไอ้ถึกกี้ อย่ามาวอนนะ เดี๊ยะๆ”
[จิ๊ๆ เอาชื่อชั้นไปทำเสียหมด ชั้นจะโทรมาบอกว่า น้องลีกิแฮปปี้เอนดิ้งกับแฟนหมาดๆแล้วนะ] อิทึกพูดเริงร่า
“อ๋อ ก็ดีแล้วนี่”
[ฮิๆ ที่สนุกกว่านั้นนะ จุนกิให้เจย์เล่นละครตบตาว่าเป็นแฟนฮยอกด้วยแหละ ผู้ชายจีนคนนั้นหึงเดินหนีไปเลย] อิทึกพูดสนุกปาก
“หืม ไอ้เจย์มันยอมเหรอ?” ฮีซอลถามงงๆ คนอย่างเจย์ คิมเนี่ยนะ ยอมเล่นละครเป็นตัวตลกให้คนอื่นดู พิลึกว่ะ
ความรู้สึกอึดอัดเย็นยะเยือกที่แผ่มาครอบคลุมตัวเองเรื่อยๆทำเอาฮีซอลรู้สึกแปลกๆ หันไปหาต้นเหตุก็พบกับหน้าหล่อๆที่บัดนี้... มุ่ย หงิก และ... งอน
[ก็ยอมนะ ลีกิบังคับน่ะ]
“โหย อะไร ที่ชั้นอ้อนวอนไปกอดขามัน แม่ง ยังไม่ชายตาแลเลย”
เผลอพูดเพราะมันพลั้งปาก ยิ่งทำให้สีหน้าคุณชายชเวหงิกเข้าไปอีก
[สงสัยเพราะแกไม่สวยเหมือนชั้นเหมือนลีกิมั้ง คิๆๆ] อิทึกพูดประสาเคะ ไม่ได้นึกถึงใจเมะ ที่ถ้าให้ยืนเรียงตัวเลือกสามคน คงขอตายดีกว่า คนนี้ก็สวย คนนั้นก็สวย อีกคนก็ส๊วยสวย
“เออๆ งั้นแค่นี้นะ” ฮีซอลตัดบทเพราะจู่ๆคนร่างสูงก็ลุกหนีไปดื้อๆ
[อืมๆ เจอกันพรุ่งนี้ บาย]
ติ๊ด~
หน้าสวยหย่อยโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิมก่อนลุกออกไปตามคุณชายขี้หึง
ซีวอนเดินออกมาไม่ไกลเท่าไหร่ บริเวณสระว่ายน้ำของบ้าน ฮีซอลที่เพิ่งเห็นคุณชายชเวงอนยืนหน้าบึ้งอยู่ริมสระเผยยิ้มออกมานิดๆ รอยยิ้มแบบที่มีเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้
“มาทำอะไรตรงนี้ ซิมบ้าซีวอน”
“กินข้าว”
‘ซิมบ้าซีวอน’ ตอบมาเรียบๆกวนๆ ยังไม่ยอมหันหน้ามาสบตาคู่สนทนา
“เออ กินให้อร่อยแล้วกัน ชั้นจะได้ออกไปเที่ยวกับ ‘เพื่อน’ ชั้น” เน้นหนักตรงคำว่าเพื่อน เค้าอาจโรคจิตก็ได้ที่จู่ๆก็รู้สึกอยาก... ถูกหึง ถูกหวงจากคนๆนี้ แต่ก็เพราะซีวอนนั่นแหละ เพราะไอ้เด็กบ้านี่ เค้าไม่ผิดซะหน่อย
“...”
“งั้นไปละ”
หมับ!
หันหลังเดินไม่ทันก้าวเท้า ข้อมือเรียวก็ถูกมือหนาของอีกคนคว้าหมับเอาไว้ ไม่ยอมให้ไปไหน
“อะไร ปล่อยเด่ะ” คนสวยขอใช้สิทธิ์สวยเลือกได้ไม่ชายตาแลหน่อยแล้วกัน แต่ซีวอนมีรึจะยอม เรื่องอื่นอะไรก็ได้แค่ฮีซอลต้องการซีวอนพร้อมจะทำอย่างเต็มใจ จะขัดใจก็มีแต่เรื่องนี้
“พี่จะไปไหน” รุ่นน้องที่รัก(?)ถามดุๆ เมื่อรุ่นพี่ที่รักยังดื้อสะบัดมือเขาทิ้งไม่เลิก
“ไปเที่ยว ไปมันส์ ไปลั้ลลาน่ะสิ ถามได้” ฮีซอลตอบหน้าชื่อตาบาน ขี้เกียจสะบัดมือกาวนั่นแล้ว เหนียวเกิน
“ไม่ได้ครับ” แม้จะติดนิสัยสุภาพบุรุษสุดเพอร์เฟ็คเพียงใด แต่ด้วยความเป็นคุณชายผู้ได้ทุกอย่างดังใจก็ช่วยปลูกฝังนิสัยเอาแต่ใจนิดๆอยู่เหมือนกัน แต่มันจะแสดงออกมา ก็กับสิ่งของหรือบุคคลที่ส่งผลต่อจิตใจอย่างมากเท่านั้น
“คิดว่าชั้นจะฟัง” ฮีซอลเชิดหน้ากวนๆพูดใส่ซีวอน
“งั้นผมไปด้วย”
“ง่ะ” มาไม้นี้ ฮีซอลถึงกับครางหงอยๆเลยทีเดียว ถ้าซีวอนไปมีหวังเค้าอย่าได้ใกล้ใคร แถมยังต้องไปนั่งหน้าแดงกับทุกๆการกระทำของหมอนี่ในที่สาธารณะอีก สู้ไม่ไปจะยังดีกว่า
“หึๆ พี่ไม่ไปแล้วเหรอครับ ว้า ตอนนี้ผมชักนึกสนุกอยากจะไปลั้ลลาแบบที่พี่พูดซะแล้วสิ ไปกันเถอะนะครับ” ซีวอนพูดหน้าระรื่น จับทางพี่คนสวยของเขาได้สบาย
“ชิ ไม่ไปแล้ว ปล่อยเลย จะไปหาคุณป้า”
เอาวะ ยอมกลับไปเป็นตุ๊กตาบาร์บี้บ้าบอให้แม่ไอ้ซิมบ้าดีกว่าเป็นตัวตลกน่าอายอยู่ตรงนี้ ฮีซอลเชิดหน้าแล้วสะบัดแขนจ้ำอ้าวเดินหนีไป แต่ก็ถูกคนตัวใหญ่ดึงร่างทั้งร่างให้กลับมาปะทะแผงอกแข็งแรงอีกครั้ง
“อ๊ะ”
คนสวยเผลอเปล่งเสียงหวานไพเราะเสนาะจิตคนฟัง ใบหน้าที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ มีที่ว่างให้อณูลอดผ่านเพียงน้อยนิด ดวงตากลมโตที่คนร่างสูงละสายตาไปไม่ได้ดูแวววับพราวระริก ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดกับเป็นจังหวะการหายใจ
ซีวอนมองหน้าสวยของคนในอ้อมกอดที่แนบชิด รอยยิ้มบางๆเผยบนใบหน้าคมสัน รอยยิ้มที่ไม่ว่ากี่ทีๆฮีซอลก็รู้สึกเหมือนถูกละลาย ไม่มีแรงแม้จะทรงตัว จะว่าไป ซีวอนมีอิทธิพลกับเขามากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ขอจูบนะครับ...”
ดวงตาที่ว่ากลมโตสวยใสนั่นเบิกกว้างขึ้นไปอีก ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก ยิ่งกว่าหญิงสาวหลายคนที่เคยพบพาน คำตอบที่ร่างสูงกำลังเฝ้ารอทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจร่างบาง
‘จะมาขอทำไมวะ จะจูบก็จูบดิ ตอนก่อนๆนึกจะทำก็ทำไม่ใช่หรือไง จะให้ชั้นบากหน้าพูดเหรอว่าจูบสิ จูบเลย โปรดจูบชั้น!’
‘น่าอายจะตาย! ใครจะไปทำ!!!’
“ก็จูบสิ...”
‘แว๊กๆๆๆ แล้วชั้นทำไปทำไมแว๊ แกๆๆ ไอ้ซิมบ้า ไม่ต้องมายิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์แบบนั้นเลยนะเว้ย ทำชั้นอับอายเดี๋ยวปั๊ดไม่ให้จูบเลยนี่’
ฮีซอลโวยวายในใจอย่างบ้าคลั่ง หลับตาปี๋หลีกหนีสายตาซีวอนที่ดูมีเลศนัยนั่นเป็นพัลวัน จะรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ริมฝีปากของตนถูกครอบครองนั่นแหละ...
"อื้อ.... ..อืม...."
- - - - My Sweetheart.. You’re Everything. - - - -
ร่างบางนั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่ในห้องพักของรีสอร์ท รู้สึกดีใจนิดๆที่ไม่พลาดหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ติดกระเป๋ามาด้วย
Rrrr Rrr Rr
โทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียงสั่นกับโต๊ะดังครืดๆ ดงเฮเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนยิ้มนิดๆเมื่อเห็นชื่อที่โชว์หราแล้วรับสาย
“ยอโบเซโย”
[ฮัลโหลด๊อง นี่ๆๆๆ โอ๊ย ตื่นเต้นๆ] ปลายสายมีน้ำเสียงระริก ดูตื่นเต้นจนพูดไม่รู้เรื่อง
“เอ้าๆ พูดดีๆสิซองมิน เราฟังไม่รู้เรื่อง” ดงเฮถามยิ้มๆกับอาการของอีกฝ่าย คุยโทรศัพท์ไม่ต้องเกรงใจเพื่อนร่วมห้องเพราะอีกฝ่ายไปร่วมกิจกรรมเคิร์สที่พิพิธภัณฑ์ ก่อนยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงเรื่องตอนเช้า
‘คิมลิ้มบอม’ ก่อนออกเดินทางยังคงวกกลับมาที่ห้องพักพร้อมกำชับให้นอนพักผ่อนเยอะๆ ห้ามลุกไปไหน ถ้าหิวก็กดโทรศัพท์โทรตามแม่บ้าน แจจินติดต่อให้ดูแลดงเฮไว้เรียบร้อยแล้ว สีหน้าดุๆปนเป็นห่วงของคิบอมทำให้ดงเฮอดไม่ได้ที่จะยิ้มยามนึกถึง
[ฮัลโหล ด๊องอยู่รึเปล่า ด๊องงง] ปลายสายประท้วง ดงเฮไม่ตอบเขาซักที
“ห๊ะ อ้อ อยู่ๆ เมื่อกี๊มินนี่ว่าอะไรนะ”
[เค้าบอกว่า ฮยอกแจ คบกับไอ้โหดของมันแล้วนะ]
“หืม ฮัน... อ้อ ฮันกยองน่ะเหรอ” ดงเฮพูดอย่างนึกขึ้นได้
[ช่าย เมื่อกี้นี้เอง ตอนมาเล่าให้เค้าฟังนะหน้างี้แดง ฮิๆ ด๊องน่าจะได้เห็น]
“อื้ม พรุ่งนี้คงได้เห็นแหละ ไม่สิ มะรืนนี้”
[อ้าว ทำไมล่ะ กลับพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?]
“ใช่ แต่ว่าเค้าให้กลับบ้านเลยไง ไปโรงเรียนอีกวัน เป็นกรณีพิเศษน่ะ” ดงเฮกล่าวถึงการพักผ่อนของผู้ประกวดเคิร์สทุกคน ซึ่งจะประกาศผลอีกสองสามวันข้างหน้า แต่คนหน้าหวานไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่
[อ๋อ ดีจังเลย รู้งี้ประกวดมั่งดีกว่า ฮิๆ งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฮันกยองอะไรนั่นมาส่งฮยอกแจที่หน้าห้อง เค้าออกไปล้อซะหน่อยดีกว่า แค่นี้น้า บ๊ายบาย] ซองมินส่งเสียงเริงร่า ดงเฮบอกลาแล้ววางสายก่อนวางโทรศัพท์ลงที่เดิม
“ทุ่มกว่าแล้วเหรอเนี่ย อาบน้ำดีกว่า แล้วค่อยไปหาอะไรกิน”
ร่างบางบอกกับตัวเองแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป แม้จะเจ็บที่แผลนิดหน่อยเวลาเดิน แต่มันก็หายไปเมื่อนึกถึงเมื่อวานตอนตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วพบว่ามีเจ้าชายหน้าแข็งไม่ชอบยิ้มฟุบหน้าอยู่ที่ขอบเตียง โดยที่กุมมือของเค้าไว้ไม่ยอมปล่อย
ซ่า ซ่า
เสียงน้ำไหลภายในห้องน้ำทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องพักของตนขมวดคิ้วมุ่น ก่อนชักสีหน้าหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นร่างบางนอนอยู่บนเตียงอย่างที่คิดไว้
ไม่รู้รึไง ว่าห้ามให้แผลโดนน้ำน่ะ!
เมื่อวานกว่าเค้าจะกลั้นใจยอมเช็ดตัวขาวๆบางๆนั่นได้โดยไม่ทำรอย.... แค่นั่งมองรอยเดิมที่ตนเป็นคนประทับเอาไว้ก็เล่นซะเหนื่อย แม้จะใจแข็งไม่พอที่จะทำใจเช็ดตัวในส่วนล่างก็เถอะ แต่นี่คนป่วยจอมดื้อนั่นยังจะไปอาบน้ำให้ความอดทนเค้าหมดอีกหรือไง!
ปังๆๆๆ
“ลีดงเฮ! ลีดงเฮ! ออกมาเดี๋ยวนี้” คิบอมพูดเสียงเข้ม ทุบประตูรัวๆ
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ ชั้นกำลังอาบน้ำอยู่ นายเป็นอะไรรึเปล่า” ปกติคนเก็บอารมณ์คนนี้ไม่ใช่คนประเภทเรียกเสียงดังแล้วทุบประตูเอาๆแบบนี้นี่นา
พอคนในห้องน้ำทำท่าเหมือนจะเป็นห่วงตน อารมณ์หมองๆก็ค่อยๆคลายออกโดยไม่รู้ตัว ปล่อยให้ความเป็นห่วงเข้าครอบคลุมอารมณ์ทั้งหมด
“หมอห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำ คุณไม่ควรอาบน้ำ”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก ชั้นยกขาน่ะ ไม่โดนหรอก” ดงเฮตอบตามจริง โชคดีที่ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำอยู่พอดี การลงไปนั่งในอ่างแล้วอาบน้ำโดยยกขาอีกข้างพาดมาข้างนอกไม่ใช่เรื่องยากเลย
คนอยู่ข้างนอกลองคิดภาพตามที่อีกฝ่ายอธิบาย เท่านั้นแหละ อะไรบางอย่างภายในกางเกงก็เริ่มคับแน่นจนรู้สึกอึดอัด
ใบหน้าหล่อเหลาแดงซ่าน แกมบวมๆขึ้นสีเรื่อ สะบัดหัวไล่จินตภาพที่ทำให้เค้าฟุ้งซ่านออกไปให้หมด แต่ทำเท่าไหร่มันก็ลบไม่ออก กายขาวๆ ผิวนุ่มละเอียดมือยามจับต้อง ดวงตาหวานที่เคยปรือเยิ้มยั่วยวนในครานั้น อีกทั้งใบหน้าแดงๆนั่น...
โว๊ยยยย!!
อยู่ไม่ได้แล้ว!
ปัง!
ดงเฮสะดุ้งเมื่อประตูห้องถูกกระแทกปิดอย่างแรง
‘นายลิ้มบอมนั่นอารมณ์ขึ้นๆลงๆซะจริงจริ๊ง’
- - - - My Sweetheart.. You’re Everything. - - - -
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552
ความคิดเห็น