ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #12 : :: Chapter 8 : Are you will abandon me? ::

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 53


     

     

     

     

    8

    Are  you  will  abandon  me?

     

     

     

     

    “แค่นี้ถึงกับตัวสั่นเลยรึไง”  

     

    เสียงนิ่งๆเย็นๆเอ่ยทำลายความเงียบ  เหลือบมองคนที่เดินอยู่ใกล้ๆจนเค้ารับรู้ได้ถึงอาการ สั่น

     

    “กะ.. ก็แหงล่ะสิ   น..น่ากลัวจะตาย   ชั้นเกลียดที่แบบนี้ที่สุด” อีกคนตอบเสียงแผ่ว   ไม่คิดจะปกปิดความกลัว   แต่ก่อนอวดเก่งยังไง   ตอนนี้ขอละจากมันชั่วคราวก็แล้วกัน

     

    “ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ   ให้ตายเหอะ   มีให้เลือกเป็นร้อยเป็นพันที่   ทำไมต้องที่นี่~!   ดงเฮร้องโหยหวน   และได้รับเสียงตอบกลับเป็นเสียงใบไม้บนยอดที่ลู่ลมกลับมา

     

    สยอง~

     

    “ง้า”  ดงเฮโอดครวญ   น่ากลัวชะมัด   “ส่งมาที่นี่ฆ่าชั้นให้ตายยังดีกว่าเลย”

     

    “พูดเรื่องตาย   เดี๋ยวก็ได้ตายจริงๆหรอก”   เสียงนิ่งที่ลงทุนเก๊กเสียงหลอนพูดระดมเข้าใส่   ยิ้มขำๆกับอาการผวาของร่างบาง   กลัวผีจนหลอนไปแล้วรึไง

     

    ภาพยั่วๆ ที่ชวนหื่นขึ้นกลับถูกทดแทนด้วยอาการหวาดกลัวแบบเด็กๆ แทน    ดูน่ารักน่าแกล้งจนอดใจไม่ได้จริงๆ

     

    “จ.. จริงเหรอ”   ดงเฮตาโต  เผลอคิดไปจริงๆ   ก็เรื่องผีน่ะ   เค้ากลัวไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว

     

    “อื้ม  จริง”   คิบอมยืนยัน   ท่าทางสั่นเป็นลูกนกนี่ยิ่งทำให้น่าแกล้ง

     

    สงสัยล่ะสิว่าสองคนกำลังอยู่ที่ไหน 

     

    ป่าช้า...   ผิด  

     

    ป่า...  ป่า..

     

    ป่าชายเลนไงล่ะ   คิบอมและดงเฮยืนอยู่บนสะพานไม้กลางชายฝั่งทะเลในเขตของจังหวัด   รถทัวร์นำพวกเขามาส่งหลังกลับจากบ้านพักคนชรา   กิจกรรมในคืนที่สอง   ทดสอบความกล้า ณ ป่าชายเลน  

     

    แค่คิดก็เสียวแว้ว  

     

    ทั้งมืด    ทั้งวังเวง   เสียงซัดของคลื่นทะเลที่รุนแรงยิ่งเพิ่มความน่ากลัว  มองไปรอบๆก็พอจะเห็นแสงสว่างบ้างรำไร   แต่ก็ยังคงมืดเอาการ   ต้นแสม   ต้นโกงกางขึ้นรกร้างไม่เป็นทิศทาง   เวลามันสั่นไหวเพราะแรงลมจนเกิดเสียงนั้นช่างน่าหวาดกลัวเป็นที่สุดสำหรับคนขวัญอ่อนและกลัวผีเป็นชีวิตจิตใจ  

     

    การผจญภัยในค่ำคืนนี้ช่างท้าทาย   เป็นเวลากลางคืนที่เงียบสงัด  คิบอมได้รับใบบอกทางมาหนึ่งใบและต้องตามหากระดาษแบบเดียวกันให้เจออีกสี่แผ่นก่อนพบทางออก   โดยตลอดทางนั้น  จงฮุนแจ้งว่ามีทางลวงอยู่ตลอดทางด้วยเช่นกัน   ระวังการหลงทางให้ดี   และที่สำคัญที่สุด   ห้ามแยกจากคู่บัดดี้โดยเด็ดขาด

     

    “รีบเดินเถอะ   จะได้ออกไปจากที่นี่”  มองฝ่าความมืดแล้วเห็นหยดน้ำตาคลอในดวงตาสวยก็อดสงสารไม่ได้   นับเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบที่ได้เดินทางมาเป็นคู่แรก   คู่ที่สองคือคู่นิชคุณกับมินโฮ   เว้นระยะห่างโดยการปล่อยตัวให้ห่างกันประมาณยี่สิบนาที  

     

    คิบอมปฏิเสธไม่ได้ว่า   ที่เร่งหน้าหวานให้ออกเดินนั้น   เป็นเพราะไม่อยากให้คนข้างหลัง..   ตามได้ทัน

     

    “อือ”  ดงเฮตอบรับเบาๆ   ยั่วเย่ออ่อยเอิ่ยอะไรเค้าไม่สนอีกแล้ว  ตอนนี้รู้อย่างเดียว...

     

    กลัวว้อยยยยย

     

    คิบอมออกเดินนำ  ก่อนหยุดชะงักเพราะแรงดึงเบาๆ

     

    หมับ

     

    ดงเฮจับชายเสื้อคิบอมเอาไว้แน่น   ขนาดที่ว่าเอาช้างมาฉุดก็จะไม่ยอมปล่อย  

     

    คิบอมสบตาฝ่าความมืดถาม  แม้จะรู้ว่าเพราะอะไร   แต่อยากจะได้ยินอะไรดีๆซักหน่อยเหมือนกัน

     

    “ช..ชั้นกลัว    ขอจับ..  แบบนี้ได้มั้ย”   เสียงหวานถาม   ไม่มีอาการเขินอาย   มีเพียงความประหม่าในน้ำเสียงแบบคนไม่มั่นใจ   ท่าทางแบบเด็กๆที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก  

     

    น่ารักน่าเอ็นดูในสายตาคนมองยิ่งนัก

     

    “ถ้าให้จับ   แล้วชั้นจะได้อะไร”   คิบอมต่อรอง   หรี่ตามองพลางคิดเล่นๆ 

     

    จะเอาอะไรมาแลกนะ

     

    “นายจะเอาอะไรล่ะ”  ไม่มีอะไรสู้ความกลัวได้ในนาทีนี้   ลีดงเฮยอมทุกอย่างแล้วจริงๆ   เวลาแบบนี้เค้าแค่อยากได้ใครซักคนมาปกป้อง   

     

    ดงเฮสงสัยกับตัวเองอยู่เหมือนกัน   ถ้าเป็นคนอื่น   ดงเฮจะไม่ยอมให้จับเนื้อแตะตัวด้วยซ้ำ   ต่อให้น่ากลัวแบบที่เป็นอยู่ก็เถอะ   เค้าก็ไม่น่าอยากจะถูก..ปกป้องแบบนี้   แต่ทำไมกับคนแก้มอ้วนคนนี้ถึงได้ทำให้เค้ากลายเป็นแบบนี้นะ

     

    “อย่าไปยุ่งกับไอ้หน้าลิ้มนั่น”   คิบอมบอกเรียบๆ

     

    “หา”  ดงเฮงง   แต่ก็ถูกดึงมือให้ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ  “นายหมายถึงใคร”

     

    “ก็ไอ้หน้าลิ้มนั่นน่ะแหละ”

     

    ก็ถูกประกาศท้าซะขนาดนั้นทำไมจะเดาไม่ออก   ว่าเค้ากำลังจะถูกไอ้หน้าลิ้มนั่น..  แย่งไป

     

    สิ่งของทุกชิ้นของตน   คิบอมหวง

     

    ทุกสิ่งอย่างของตน   จะไม่ยอมให้ใครเอาไป

     

    แม้แต่สิ่งที่ตนกำลังอยากจะเป็นเจ้าของ    ก็จะไม่ให้ใครหน้าไหนตัดหน้าแย่งมันไปได้ทั้งนั้น..!

     

    “หน้าลิ้มไหนล่ะ   นายกำลังจะบอกให้ชั้นเลิกยุ่งกับนายเหรอ”  ดงเฮกวนกลับ   ไอ้หน้าลิ้มไหนล่ะ   ถ้าไม่บอกก็ขอทึกทักว่าเป็นนายแล้วกัน  ลิ้มแก้มแตก   ฮิๆ

     

    “ไม่ใช่”  คิบอมพูดเสียงเข้ม   ดุไปในน้ำเสียงนั้นก่อนขยายความ  “ผมหมายถึงนิชคุณ”

     

    “อ้อ”  ดงเฮร้องเสียงยาวรับรู้   มือของเค้าถูกคิบอมกุมไว้แน่นข้างหนึ่ง   เป็นการปกป้องของร่างสูงที่สื่อให้รู้ว่าไม่ต้องกลัว      คงเป็นเพราะแบบนี้ที่ทำลายความกลัวไปจนสิ้น   เดินย่ำแผ่นไม้เสียงดังต๊อกแต๊กไปพร้อมๆกับคิบอมและเริ่มใช้ฝีปากได้ดังเดิม

     

    “อ้ออะไร   ถ้าไม่รับปากก็จะปล่อย”   พูดแล้วก็ทำท่าจะผละมือออก  จนดงเฮต้องรีบตะครุบไว้แนบอกอย่างหวงแหน   ไม่อยากให้หายไป  ไม่อยากให้ความปลอดภัยนี้หายไปเลยจริงๆ

     

    “รับปากๆๆ   ไม่ยุ่งกับนิชคุณก็ได้  นายอย่าปล่อยมือจากชั้นนะ”  ดงเฮละลักละล่ำบอก   คิบอมที่ได้ฟังคำที่น่าพอใจก็พยักหน้ารับ  ก่อนจะรู้สึกถึงไอร้อนบนหน้าเมื่อสำนึกได้ว่าฝ่ามือของเค้าถูกหน้าหวานกอบกุมไว้บนกลางอกบาง

     

    “ห้ามทิ้งชั้นจริงๆนะ”  ดงเฮถามย้ำ  เสียงอ้อนเป็นเด็กๆ  

     

    “..อืม  ไม่ทิ้ง”  คิบอมตอบเสียงแน่น   เอื้อมมืออีกข้างที่ว่างอยู่ไปลูบหัวหน้าหวานเบาๆ  

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart..  You’re Everything. - - - -

     

     

     

     

    DarkHurt  Pub

     

    21.00 น.

     

    “แกจะมากันทำไมร้านนี้วะ   ที่อื่นไม่มีแล้วรึไง  ไอ้พวกบ้า”   ฮีซอลบ่น   ความเก่ายังไม่ทันจางเค้าก็ต้องมาเหยียบสถานที่คาวโลกีย์นี่อีกครั้ง   ทั้งๆที่ผ่านมาได้แค่คืนเดียวเท่านั้นเอง

     

    “อ้าว   ไอ้สันดาน   แค่นี้ด่า   ชั้นบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าให้หาป้ายมาแขวนคอ   คราวนี้เขียนไว้นะว่าไม่ชอบร้านนี้   จะได้รู้!  เจย์กวนกลับ   เรียกเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจในลำคอของฮีซอลได้อย่างดี   ถึงจะไม่ค่อยชอบใจ  แต่ก็ยอมกระแทกก้นลงกับเบาะของโซฟาภายในห้องวีไอพี

     

    “มะรืนนี้ด๊องก็จะกลับมาแล้วใช่มะ  ดีเลย   ชั้นจะได้ถามว่าแผนของชั้นสำเร็จรึเปล่า  คิๆ”  อิทึกถามแล้วหัวเราะเอง  ฮีซอลเลยเบ้หน้าใส่เจย์ประมาณว่า  มันบ้า

     

    “แผนอะไรเหรอทึกกี้”  คังอินที่นั่งโอบเอวคนรักถาม  แต่ถูกเชิดหน้าหนีอย่างงอนๆ

     

    “แกโดดไปชมรมจนลืมมันอีกล่ะซิ  เชิดใส่ซะขนาดนี้”   ฮีซอลพูด   คังอินได้แต่ทำหน้าจ๋อยๆประมาณว่า  เออ  มึงเดาเก่ง

     

    “อย่าโกรธเลยนะทึกกี้  วันนี้ก็ไปชมรมตามหน้าที่นี่นา   น้าๆ   อีกอย่าง   น้องของจุนกิใกล้จะมีแฟนแล้วนะ  ฝากมาตั้งปี”  คังอินอ้อนเอาใจ  เอ่ยถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่พักนี้กิจกาจทางครอบครัวรัดตัวไม่ให้ขยับไปไหน   จนต้องดร็อปเรียนไปอาทิตย์นึง

     

    “รู้แล้ว   ลีกิโทรมาบอกแล้ว   ชิ”   อิทึกยังไม่หายงอนดี     

     

    “เออ  ว่าแต่ไอ้จุนกิเป็นไงมั่ง  หายหัวไปเลย”   ฮีซอลกระดกเหล้าเข้าปากตาม   จะเรียกเหล้าคงไม่ได้  เพราะแอลกอฮอล์ในนั้นมีเพียง 1%             หนึ่งหยดเท่านั้นเองถ้าเทียบกับน้ำอัดลมที่ผสมอยู่   ซีวอนไม่ชอบให้เค้าดื่มเหล้า  ... เค้าจำได้

     

    “ก็รีบเคลียร์งานอยู่   เห็นว่าวันนี้ว่าง   เดี๋ยวก็คงมา”  เจย์เป็นคนตอบแทน

     

    “อ๋อเหรอ”  

     

    ฮีซอลลอบมองเจย์ที่กำลังซัดเหล้าเข้าปากราวน้ำบริสุทธิ์แบบไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว      

     

    ...ไอ้หมอนี่  มันแปลกๆ

     

    Cuz I can’t stop thinking about u girl…

     

    “ฮัลโหล  ซีวอนเหรอ”  อิทึกกรอกเสียงใส่โทรศัพท์   เบอร์หน้าจอโชว์หราเป็นชื่อลูกพี่ลูกน้อง

     

    “พรวด!   แค่กๆๆ”   ฮีซอลพ่นโค้กที่ดื่มเข้าไปออกมาเป็นน้ำพุหน้าพารากอน  เจย์รีบลูบหน้าลูบหลังให้เพื่อนทันที

     

    “เฮ้ย  ฮีซอล   แกเป็นไรมากเปล่า”  เจย์ถาม   มันเป็นบ้าอะไร   จู่ๆก็พรวด   ดีที่ไม่โดนหน้าเขา   ทว่าเสียงของคนทั้งสองกลับดังผ่านสัญญาณโทรศัพท์เข้าไปด้วย

     

    “เปล่าๆ  ไอ้เจย์   ขอน้ำหน่อย  แค่กๆ” 

     

    เจย์ยื่นน้ำให้  ฮีซอลหน้าแดงเถือกเพราะอาการสำลัก   อิทึกที่เห็นฮีซอลเริ่มเป็นปกติจึงหันไปสนทนากับซีวอนต่อ

     

    “อืม  ไม่เป็นไรหรอก   แค่สำลักน้ำน่ะ   ช่าย   เจย์ก็อยู่   แล้วก็ชั้นกับไอ้หมีควาย”  อิทึกคุยโทรศัพท์  มิวายแอบแดกดันคนรักงอนๆ   ฮีซอลที่พอจะเดาบทสนทนาออกหน้าถอดสี   เค้าทำให้ไอ้เด็กบ้าคิดมากอีกรึเปล่าเนี่ย

     

    “จะมาเหรอ   เอ่อ..”   อิทึกอึกอัก   เมื่อเย็นเจย์เพิ่งเล่าเรื่องที่ซีวอนทะเลาะกับฮีซอลให้ฟัง   กลัวว่าถ้าซีวอนมาจะเกิดเรื่องอีก

     

    “เอางั้นเหรอ  อือ  แป๊บนะ”  อิทึกยื่นโทรศัพท์ให้ฮีซอล   หน้าสวยรับมางงๆแล้วยกแนบหู

     

    “ฮัลโหล”

     

    [พี่ฮีซอล   พี่อยู่ไหน] 

     

    “อยู่ผับสิ  ถามโง่ๆ   ผับที่นายมาป้อกับยัยซอนยีนั่นด้วยนะ”   หน้าสวยแอบประชด  แต่ซีวอนหาสนใจไม่ในตอนนี้

     

    [ดื่มหรือเปล่าครับ]  ซีวอนถามซักไซ้   แต่ฮีซอลไม่ได้รำคาญกับมันเลย  

     

    “ดื่มดิ   ถ้ามาแล้วไม่ดื่มจะให้ทำไร   พาคนเข้าห้องรึไง”  ฮีซอลพูดตามนิสัย   แต่มันทำให้ซีวอนที่เผลอตัวแสดงอาการหึงหวงออกมาซะนี่

     

    [อย่านะครับ!   ผม...  จะไปหา   ได้มั้ย..]  

     

    อีกฝั่งถาม   ฮีซอลเหลือบมองคนรอบข้าง   คังทึกนั่งง้องอนไม่สนใจเค้า   ส่วนเจย์ก็กระดกเหล้าอย่างเดียวไม่สนใจใคร

     

    “ทำไมคราวนี้ถามล่ะ  ปกตินึกจะมาก็มาไม่ใช่รึไง”   ฮีซอลถามสิ่งที่สงสัย

     

    [ผม..  กลัวพี่จะรำคาญ   ถ้าพี่บอกไม่  ผมก็จะไม่ไป]   เสียงซีวอนดูหงอยไปถนัด  ฮีซอลอมยิ้มนิดๆกับน้ำเสียงนั่น

     

    บอกแล้วไง  ชั้นจะไม่ทำให้นายเสียใจ..

     

    “ไม่รำคาญหรอก..  จะมาก็มาสิ”   ฮีซอลพูดเสียงเบาแล้วทุบโซฟาดังปั้กๆ  เจย์ปรายตามองอาการต่อมเขินแตกของเพื่อนแล้วส่ายหัวอย่างระอา   

     

    [จริงเหรอครับ!]   ซีวอนทะลึ่งตัวจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่  น้ำเสียงลิงโลดดีใจ

     

    “อือ  จริง”

     

    [งั้นเดี๋ยวผมไปหา  สิบนาทีถึง  พี่..รอผมนะ]  ซีวอนพูดเบาๆ  แต่ฮีซอลได้ยินมันชัดเจน

     

    “อืม  จะรอ”

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart.. You’re Everything. - - - -

     

     

     

     

    “คิบอม   ชั้นว่ามันเหมือนตอนมาเข้าค่ายลูกเสือเลยอ่า”  

     

    ดงเฮพูดทำลายความเงียบ    นึกถึงประสบการณ์สมัยมัธยมต้น    อยู่กับคนมีปากที่เหมือนไม่มีปากก็ต้องมานั่งพล่ามเองอย่างนี้

     

    “มีใบๆแบบนี้ให้  แล้วก็เดินทางไกลตอนกลางคืน   น่ากลัวชะมัด”  

     

    “อืม”   ร่างสูงตอบรับในลำคอ   สองมือของสองคนเกาะเกี่ยวกันไม่ห่าง   มืออีกข้างของคิบอมถือไฟฉายกระบอกขนาดกลางแล้วกวาดแสงไปมาหากระดาษใบ้ทาง   แม้ที่เดินมาจะมีแต่ทางตรงก็เถอะ   แต่อีกซักพักก็ต้องเจอทางแยก   เค้าต้องใช้ใบปริศนาต่อไปในการเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง  

     

    “นายแปลปริศนานี่ได้ยังอ่า”   ดงเฮถาม   เอื้อมมือไปล้วงกระดาษใบจิ๋วที่อกเสื้อด้านซ้ายของร่างสูงมาอย่างถือวิสาสะ   ทักทายให้หัวใจคิบอมเต้นเล่นๆ

     

    “ยัง”  คิบอมตอบ   “คุณอ่านสิ”   ไม่ใช่ว่าแปลไม่ได้   แต่ยังไม่ได้อ่านมันเลยต่างหาก  

     

    “งืม   ส่องไฟมาหน่อย   ...ซ้ายหรือขวามั่วเอาถ้าเดาเก่ง   แล้วจะเซ็งถ้าเดาผิดแล้วพลัดหลง   ช่วยกันคิดหาวิธีเดินจงกลม   โปรดอย่างงคำแต่งไร้กวี” 

     

    ดงเฮอ่านงงๆแล้วคอมเม้นท์    ตลกกับกลอนใบ้นั้น   “ฮิๆ  ซึงฮยอนแต่งแน่เลย  มั่วชัดๆ”

     

    “อืม” 

     

    สรุปว่าต้องเดาทางเองสินะ   ทางแยกข้างหน้า

     

    ฟึบฟับๆๆ

     

    เสียงใบไม้เสียดสีดังทำร้ายประสาทอีกครั้ง   ดงเฮบีบมือคิบอมแน่นแล้วขยับตัวเข้าประชิด

     

    “ชั้นไม่ชอบเลยแบบนี้   ไม่ชอบเลยๆ”   

     

    “ไม่เป็นไรนะ  ผมอยู่ตรงนี้”  คิบอมปลอบ   ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องตะเพิดคนๆนี้ออกไปให้ไกลนี่

     

    “สะพานนี่กว้างจัง   รู้สึกเหมือนคนเดินอยู่ข้างๆได้เป็นสิบเลย”    ดงเฮจินตนาการกว้างไกลเสมอ  เผลอคิดไปเล่นๆว่า ผอ สระ อี จะขนาบตัวอยู่ข้างๆ

     

    “ไม่ต้องกลัวนะ   ไม่มีใคร   เห็นมั้ย”   คิบอมเปลี่ยนมือขวาที่เดิมทีเกาะกุมมือดงเฮไว้เป็นมือซ้ายแทน  เอื้อมมือไปโอบไหล่บางให้เข้ามาใกล้   พิสูจน์ว่าข้างๆดงเฮไม่มีใคร   นอกจากเค้า

     

    “อะ..อือ” 

     

    สุดจะเขิน   สุดจะอาย   แต่รู้สึกดี

     

    คิบอมเผยยิ้มแก้มแตกอีกครั้งเมื่อร่างบางยอมแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอด  

     

    “คุณต้องถือไฟฉายนะ  มือผมไม่ว่างเลย”  คิบอมว่า   ส่งไฟฉายให้มือขวาของดงเฮ   แล้วเกาะกุมมือซ้ายของหน้าหวานอีกครั้ง

     

    “อื้อ..”   ตอบรับเสียงแผ่ว   รู้ว่าตัวเองต้องหน้าแดงมากแน่ๆ  ก็หน้าเค้าออกจะร้อนซะขนาดนี้นี่นา 

     

    นายใจเต้นแรงเพราะตาแก้มแตกนี่อีกแล้วดงเฮ..!!!

     

    “อ๊ะ   นั่นไงทางแยก  ซ้ายกับขวา   ทางไหนดี”   ดงเฮถามความเห็น   ทางซ้ายมีแสงไฟสว่างรำไรไม่น่ากลัว   ทางขวามืดทึบมองไม่เห็นอะไร

     

    “ขวา/ซ้าย”   เสียงเข้มตอบเรียบๆ  ผิดกับเสียงหวานที่แย้งขึ้นทันที

     

    “ทางขวาของนายน่ากลัวจะตายไป   เห็นมั้ยมันมืด   มืดๆอย่างนั้นใครเค้าจะไปเดินกัน   ต้องทางซ้ายสิ”  เสียงหวานแจกแจง

     

    “งั้นชั้นไปทางขวา   เธอไปทางซ้าย”   สรรพนามเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์คนพูด   แล้วตอนนี้ล่ะ   คิบอมมีอารมณ์อะไรกันแน่

     

    “หา”

     

    “ตามนี้”  คิบอมพูดสั้นๆแล้วทำท่าจะผละมือออกไป

     

    “นี่!   นายอย่าไปนะ!   ดงเฮผวาถลาตัวไปคว้าคิบอมไว้แน่น   แต่ด้วยขนาดตัวที่ห่างกันเหลือเกินทำให้ร่างบางได้แต่กอดร่างสูงไว้จากทางด้านหลังเพียงเท่านั้น

     

    “นายอย่าขี้โกงสิ   นายบอก...  ว่าจะไม่ทิ้งชั้น”   ดงเฮท้วง   พูดเสียงเบาเพราะรู้สึกใจไม่ดีอย่างถึงที่สุด   ไม่มีเลย   คนที่ทำให้เค้ารู้สึกว่าตัวเองจะปลอดภัยได้มากขนาดนี้

     

    “อืม  ไม่ทิ้ง”  

     

    “ไม่จริงอ้ะ!   ก็เห็นอยู่ว่านายกำลังจะทิ้ง   นายจะไปทางนั้น”   ดงเฮเถียง   เกาะคนตัวสูงไว้แน่นไม่ปล่อย   ไม่มีทางได้เห็นเลยว่า   ใบหน้าของคนที่ตนกำลังกอดนั้น..   พยายามกลั้นยิ้มยังไง

     

    “ชั้นไม่ได้ทิ้ง  แต่เธอเลือกเดินไปทางนั้นเองต่างหาก”

     

    “แล้วทำไม..  นายไม่ไปกับชั้นล่ะ”

     

    “...”

     

    “ไปทางนี้เถอะนะ   ทางนั้นมันมืด  ชั้นกลัว”   เสียงหวานเว้าวอน   ออดอ้อนแบบที่ถนัด   คนถูกทำนั้นต้องกลั้นใจ   ทำเสียงแข็งใส่   ทั้งที่อยากจะตามใจหน้าหวานใจจะขาด

     

    “ถ้าไป  ชั้นจะได้อะไร”

     

    ไอ้แก้มแตก!   นายนี่มันขี้งกจริงๆเลย    ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ!

     

    “อีกละ   นายนี่มัน...   ก็แล้วนายจะเอาอะไรล่ะ”   เสียงหวานพูดออกแกมประชดประชัน   น้ำเสียงขัดใจเพราะถูกเอาเปรียบซ้ำสอง

     

    “หึๆ   เอาเป็นนี่แล้วกัน”

     

    ฟอดดดด

     

    ร่างสูงพลิกตัวหันมาแล้วก้มลงหอมแก้มนิ่มไปฟอดใหญ่   ท่ามกลางความตกใจของหน้าหวานที่กระพริบตาปริบๆเพราะโดนขโมยความหอมจากแก้มนวล 

     

    คิบอมผละออกอย่างอ้อยอิ่งระคนเสียดาย   ก่อนจะเดินนำไปทางซ้ายที่ดงเฮเลือก   หันกลับมามองคนที่ยืนนิ่งเพราะยังอึ้งไม่หาย

     

    “เอ้า   ตามมาสิ   หรืออยากจะให้ผมกลับไปทำอีกซักรอบ”   คิบอมเย้าอารมณ์ดี   แกล้งยั่วอารมณ์โมโหหน้าหวาน

     

    “นาย!   กล้าดียังไงมาหอมแก้มชั้น!   ดงเฮวิ่งไปเอาเรื่อง   ทุบแขนแข็งแรงไปหลายทีให้หายโมโห  

     

    “แล้วคุณจะทำยังไง    จะหอมแก้มผมคืนมั้ยล่ะ”   คิบอมยั่วไม่เลิก   รวบมือบางเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้หยุดการประทุษร้ายเขา   การยั่วของคิบอมแตกต่างกับการยั่วของดงเฮก็ตรงที่ว่า   มันยั่วโมโหนี่ละนะ

     

    “ไอ้ทุเรศ!   ดงเฮกัดฟันกรอด   อยากจะทึ้งหัวหล่อๆนั่นให้กระจุยจะได้หายแค้น   มันอัดอั้นอยู่ในอกจนอธิบายไม่ถูก   ทั้งโกรธทั้งโมโห   แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  

     

    “ชั้นไม่ยอมให้เธอด่าชั้นอย่างเดียวหรอกนะ”   คิบอมว่าจบก็กระชากร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนก่อนกดจูบลงบนแก้มนิ่มอีกข้างอย่างรุนแรง   โมโหนิดๆ  และสุขลึกๆ

     

    พลั่ก!

     

    “คนบ้า!  ทุเรศ!   นายมันแย่ที่สุด!  

     

    “ชั้นจะยอมให้เธอด่าก็แล้วกัน   แต่แลกกับ...  จุ๊บ  จุ๊บ  จุ๊บ”

     

    ไม่ต้องสงสัย   คิบอมเอาคืนคำบริภาษของดงเฮด้วยการจุ๊บแก้มนิ่มสลับซ้ายขวา     ผละตัวออกแล้วเดินฉับๆนำหน้าไป   ทิ้งให้คนถูกกระทำดิ้นเร่าๆอย่างเดือดเป็นไฟ

     

    โอ๊ย!   ให้ตายสิ   โกรธก็โกรธ   โมโหก็โมโห   กลัวก็กลัว     ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง   ฮึ่ย!   คอยดูนะ   ชั้นไม่ยอมนายแน่!

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart..  You’re Everything. - - - -

     

     

     

     

    มือบางคว้าเอาแก้วเหล้าที่มีแอลกอฮอล์ผสม(อยู่น้อยนิด)ขึ้นทำท่าจะยกขึ้นดื่ม   แต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไปก่อนมันแตะริมฝีปากบาง   จมูกโด่งก้มลงดมฟุดฟิดที่ขอบแก้วแล้วยกขึ้นจิบนิดๆ

     

    “มีเหล้านี่”   คุณชายมองคนสวยดุๆ  

     

    “แค่หยดเดียวซิมบ้า   จะใส่  ไม่ตายหรอก”   ฮีซอลเชื่อฟังซีวอนพอตัว   แต่ก็ขอดื้อรั้นในแบบของตัวเองนิดหน่อยจนคนรอบข้างสงสัย    

     

    ...จะเล่นตัวเพื่อ?

     

    “หยดเดียว   ใส่หาสวรรค์วิมานอะไรวะ”   เจย์แดกดัน

     

    “เออ   เรื่องของชั้น   หมาไม่เกี่ยว”  ฮีซอลตอกกลับ   เหลือบมองซีวอนว่ามีท่าทีอย่างไร   จะหึงเค้าอีกมั้ยน้า...      เอ๊ย   จะเสียใจรึเปล่าต่างหากล่ะ

     

    คิ้วเรียวขมวดเป็นปม   เมื่อซีวอนมีท่าทีนิ่งเฉย   ไม่ได้มีสายตาไม่พอใจ   แล้วพอเห็นว่าเค้ามองอยู่ก็ส่งยิ้มให้ซะงั้น   เป็นรอยยิ้มที่..  ฮีซอลชอบซะด้วยสิ   รอยยิ้มหล่อๆ

     

    ไม่หึงแล้วเหรอ   โห่   เซ็ง!

     

    “ซีวอน   ตอนอยู่บ้านแม่ถามถึงพี่หรือเปล่าอะ”   อิทึกเอียงหน้ามาถาม   หลังจากหายงอนแล้วซบไหล่คนรักอยู่พักใหญ่

     

    “อ้อ   ใช่ครับ   คุณป้าถามผมว่าทำไมหมู่นี้พี่ฮีซอลกับพี่คังอินไม่ไปเที่ยวบ้านบ้าง   คุณป้าคิดถึงน่ะครับ”  

     

    “ฮ้า  ดีจัง”  อิทึกลิงโลด   นึกว่าจะโดนตำหนิเกี่ยวกับเรื่องที่พักนี้กลับบ้านดึกบ่อยๆ   แถมเมื่อวานเค้าก็ไม่ได้กลับไปนอนบ้าน   ไปค้างกับไอ้หมีบ้าพลังนี่อีก...   จากหมีบ้าพลังเลยกลายเป็นหมีหมดพลังไปเลย  

     

    “งั้นวันนี้เราไปหาคุณแม่กันนะแบลร์”   อิทึกเอ่ยปากชวนคนรักที่ยิ้มตาหยีตอบตกลง   “นายด้วยนะฮีซอล”

     

    “เหวย   เรื่อง   แม่นายชอบเอาชั้นไปแต่งหน้าทาปาก   แถมถ้าแม่ซีวอนอยู่นะ   ชั้นโดนเล่นยันเช้า”   ฮีซอลขยาด   พี่น้องคู่ที่เป็นมารดาของเพื่อนสนิทและ..  เอ่อ   น้องชายต่างก็ชอบแต่งองค์ทรงเครื่องให้เขา   เคยมีครั้งนึงถูกลากไปแต่งหน้าทำสวยกับอิทึก   ตกใจสุดชีวิตกับลิปสติกกระสือนั่น   และแปลกใจสุดๆที่อิทึกนั่งเฉยยอมให้แม่ๆเล่นตามอำเภอใจ   พอลับหลังไปถามว่าทำไมก็ได้รับคำตอบอันเป็นที่กระจ่าง

     

    ชิน

     

    “ฮิๆ   น่าๆ   เดี๋ยวนายก็ชินซอลลี่   อีกหน่อยก็ต้องแต่งเข้าบ้าน   จริงมั้ยวอนนี่”   ผู้มีความสามารถพิเศษในการตั้งสมญานามอย่างอิทึกหาผู้ร่วมขบวนการเรนเจอร์

     

    “จริงครับพี่ทึกกี้”

     

    “เออซี้   ของแกมันง่ายนี่   คราวที่แล้วกว่าชั้นจะแกะสังกะตังบนหัวได้   แกรู้มั้ย   ชั้นไม่กล้าออกไปไหนตั้งสองวัน”   ฮีซอลย้อนความ

     

    “เดี๋ยวผมไปช่วยแกะให้อีกก็ได้”   โดยมีซีวอนช่วยต่อความ  เรียกความอับอายบนหน้าสวยให้พุ่งเป็นริ้วๆ

     

    “ฮั่นแน่   สองคนนี่ไปทำอะไรแบบนั้นกันเมื่อไหร่   ชั้นไม่เห็นเคยรู้”   อิทึกแซว   เลยถูกหมีท้าวหน้าปรามนิดๆ(?)

     

    “ทึกกี้   อย่าไปแซวเค้าสิครับ   เราต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นนะ   จุ๊ๆๆ”  

     

    ทว่าคำปรามนั้นช่างเห็นดีเห็นงานกันซะจริงจริ๊ง   ฮีซอลอายม้วนด่ากลบเกลื่อน   ผิดกับซีวอนที่ฉีกยิ้มจนเกือบถึงใบหู

     

    “บ้านหมีถึกกับนางฟ้าตกสวรรค์พวกแกน่ะสิ   วันๆถ้าไม่มีอะไรทำก็กลับไปเล่นจ้ำจี้กันเหมือนเดิมเลยไป   รำคาญ”  

     

    “แน่ะๆๆ    อิจฉาล่ะซิ   อยากเล่นกับซีวอนบ้างก็บอกมาเหอะน่า   คิกๆๆ”  อิทึกยังไม่หยุด   ซีวอนเห็นเข้าทีก็รีบใส่ต่อ

     

    “พี่อยากจะ..   กับผมจริงๆเหรอ”   

     

    “อ..ไอ้บ้า!   พวกแกนี่มันจริงๆเลย   ทะลึ่งลามก   จกเปรต”    ฮีซอลชี้ๆๆรายตัว   ทั้งโกรธทั้งอาย   คังทึกหัวเราะกันสนุก   ซีวอนจัดการปรามอารมณ์โมโหของคน(ที่)รักด้วยการดึงร่างบางมานั่งบนตัก

     

    “ไม่เอาน่าพี่ฮีซอล   ใจเย็นๆนะคร้าบ”

     

    “จ..ใจเย็นบ้านแกสิไอ้ซิมบ้า   ปล่อยชั้นโว้ย”   ฮีซอลดิ้นพล่าน   แต่อ้อมแขนของซีวอนช่างรัดแน่นเหลือเกิน

     

    “ไม่เอาอะ   แบบนี้อุ่นดี”   เด็กหล่อมาดคุณชายดื้อเพ่ง   พยายามรั้งหน้าของฮีซอลเข้าแนบอกกว้างอีกต่างหาก

     

    “อ๊ากก  ปล่อยช้านนน”   ฮีซอลไม่ยอม   ทั้งที่ลึกๆแล้วอยากจะพักเหนื่อยจากการดีดดิ้นในอ้อมกอดนี่เต็มแก่ก็เถอะ

     

    “แกก็ยอมๆมันไปซะทีเหอะ   ชั้นขี้เกียจถูกตราหน้าว่าเป็นหมาลักเนื้อย่องขโมยกินของคนอื่นอีก”

     

    เจย์พูดเรียบๆ   อารมณ์เซ็งๆและคำพูดแปลกๆของเค้าทำให้ฮีซอลยอมหยุด   รวมทั้งซีวอนที่งงๆในคำพูดนั่นด้วย

     

    แอ๊ด 

     

    “ขอโทษนะที่มาช้า   พอดีแวะกลับบ้านน่ะ”  

     

    ผู้มาใหม่เอ่ยขออภัยตามมารยาท   มองหาที่ว่างนั่งที่เหลืออยู่ที่เดียว   ที่เดิมของฮีซอลที่ตอนนี้ย้ายก้นไปนั่งตักของซีวอนนั่นเอง

     

    “ลีกิ   กว่าจะมาได้นะ  เล่นซะชั้นกับซอลลี่ทะเลาะกันไปหลายยก   ฮิๆ”   อิทึกเอ่ยทักลีกิ   หรือลีจุนกิ   นางฟ้าหน้าสวยและหวานอีกคนของกลุ่ม

     

    “อื้อ   โทษทีนะที่ให้รอ   พอดีน้องชายเรามีปัญหาน่ะ”   จุนกิขอโทษขอโพย  ฮีซอลถามต่อเบาๆ

     

    “ฮยอกแจน่ะเหรอ”

     

    “อื้ม   เห็นว่าฮันกยองมาพูดแปลกๆใส่น่ะ   น่าเป็นห่วงอยู่เลย   เออนี่   คังอิน   ที่ชมรมเป็นไงบ้าง    สองคนนั้นน่ะ”  

     

    “อ้อ   สองคนนั้นน่ะเหรอ   สองสามวันมานี่เห็นมึนๆตึงๆกันทั้งคู่   ฮยอกเค้ามาขอลาชมรมกับชั้นนะ   ส่วนฮันก็เหมือนกัน   หมอนั่นไปตามฮยอกนั่นแหละ”

     

    “เราอยากจะเห็นหน้าฮันกยองซักหน่อยแล้วสิ   คังอิน   พรุ่งนี้บ่ายๆเราแวะไปชมรมนายได้มั้ย”   จุนกิถาม

     

    “บ่ายเหรอ   อืม   ได้ๆ   พรุ่งนี้นายไปเรียนแล้วใช่มั้ย   งั้นไปพร้อมชั้นก็ได้”  คังอินตอบตกลง   เสียวๆอยู่ว่านางฟ้าของเค้าจะเกิดพิโรธขึ้นมาหรือเปล่า

     

    “แล้วตกลงมีเรื่องอะไรกันน่ะ”   อิทึกดูจะสนใจจนออกนอกหน้า   เลยถูกฮีซอลแขวะเข้าให้

     

    “สาระแนซะทุกเรื่อง”

     

    “พี่ฮีซอล    พูดไม่เพราะเลยครับ”   และโดนดุแทบจะในเวลาเดียวกัน    ซีวอนถูกคนในอ้อมกอดค้อนให้เคืองๆเพราะมาดุตน   แต่ซีวอนก็ไม่ยอมใจอ่อน   ไม่ยิ้มแย้มให้

     

    “เอ๋?”   จุนกิงงกับท่าทีเง้างอดนั้น

     

    “ฮีซอลมันก็อย่างงี้แหละ   นิสัยเป็นประจำเดือนมาไม่ปกติ   อย่าไปสนใจ”   เจย์บอก   จุนกิจึงหันมายิ้มหวานให้แล้วหัวเราะคิกๆอย่างเห็นด้วย

     

    “อะไรของแกไอ้เจย์   ชิ”   งอนคนนู้นก็ไปพาลคนนี้    นี่แหละนิสัยที่แท้จริงของคิมฮีซอล   “อะไร   ไม่ต้องมาทำหน้า   ถ้าไม่ชอบก็ปล่อยเลย   จะไปนั่งที่อื่น”

     

    “ที่เต็มแล้วครับ”

     

    “งั้นก็จะนั่งพื้น   ชั้นไม่สน”   ฮีซอลยังดื้อ   จึงทำให้จุนกิพอนึกได้

     

    “อ๊ะ   นี่เก้าอี้ซอลลี่เหรอ   เราขอโทษนะ   นายมานั่งต่อเถอะ”   จุนกิทำท่าจะลุกเพราะนิสัยขี้เกรงใจอยู่เป็นทุน   แต่ถูกเจย์คว้าเอาไว้ให้นั่งลงก่อน    ฮีซอลจึงโดนตำหนิอีกรอบ

     

    “เห็นมั้ย   พี่ทำให้พี่จุนกิคิดมากเลย   นั่งนี่แหละ   พี่จุนกิครับ   พี่ฮีซอลเค้ามีที่นั่งประจำแล้ว   เก้าอี้นั่นพี่นั่งเถอะครับ”   ซีวอนดุฮีซอลแล้วหันไปกล่าวยิ้มๆให้จุนกิ   ฮีซอลเห็นอย่างนั้นจึงสะบัดหน้าใส่แล้วเชิดไปอีกทาง   บอกให้รู้   ว่าเนี่ย   งอน!      งอนๆๆ   งอนเว่ย

     

    “พี่เป็นอะไรน่ะครับ”   ซีวอนถามเบาๆ    เอียงหน้ามาคุยกันสองคน   ปล่อยให้อิทึกซักไซ้จุนกิเรื่องของฮยอกแจต่อไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ปนสาระแนตามที่ฮีซอลพูด

     

    “อะไร  ไม่ได้เป็น   จะมาสนใจทำไม   โน่น   ไปถามอิทึก   ไปถามจุนกินู่น”   ซอลลี่ยังคงงอน

     

    “หืม   แน่ใจเหรอครับว่าจะให้ถาม”

     

    “เออ”

     

    “ทำไมล่ะครับ”

     

    “ไม่รู้   ไม่ต้องมายุ่ง”   ฮีซอลปัด   ความน้อยใจมันพุ่งขึ้นแน่นอยู่ที่อก   มันทั้งจุก   ทั้งเจ็บ

     

    “ไม่รู้ก็ไม่รู้ครับ   แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะ   ถ้าไม่ใช่พี่...    ถ้าไม่ใช่เรื่องของพี่   หรืออะไรที่เกี่ยวกับพี่  ผมก็ไม่อยากรู้หรอก”  

     

    “จริงนะ”

     

    “ผมจะโกหกพี่ทำไม”

     

    “ไม่รู้นายสิ   ไม่อยากรู้ด้วย   หยิบแก้วชั้นมาซิ”   ฮีซอลปัดเขินด้วยการสั่ง  ซีวอนหยิบให้แต่โดยดีเพราะเข้าใจว่ามีวิสกี้ผสมอยู่เพียงหนึ่งหยดตามที่ฮีซอลบอก   โดยหารู้ไม่   ว่าในขณะที่สองคนกำลังงอนง้ออยู่นั้น   รุ่นพี่จอมหวังดีที่แอบประสงค์ร้ายลึกๆได้ทำอะไรลงไปในแก้วน้ำบ้าง

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart.. You’re Everything. - - - -

     

     

     

     

    “เจอแล้วคิบอม   อืม   ลูกศรชี้ไปทางขวานะ”

     

    “อืม”  

     

    ร่างบางดึงมือร่างสูงที่ตนจับไว้แน่นแล้วพาเดินไปเร็วๆ  ถึงจะโกรธจะโมโหยังไงก็ไม่เทียบเท่าความกลัวของเค้าหรอก   จะยอมให้ซักครั้ง   ไอ้แก้มระเบิด!

     

    “เหลืออีกสองทางแยก   ก็ได้ออกไปแล้ว”  คิบอมเอ่ยเรียบๆ   จับสังเกตได้ว่าดงเฮดูจะเหนื่อยๆ

     

    “จริงดิ!   ดีจัง”  ว่าแล้วก็กระโดดโลดเต้นดีใจเป็นเด็กๆ  ไม่ได้สังเกตว่าแผ่นไม้บริเวณนั้นทรุดโทรมมากเท่าใด

     

    โครม!

     

    “เฮ้ย!

     

    “อ๊ะ!

     

    หมับ!

     

    “จับไว้แน่นๆ”  คิบอมสั่งเสียงเข้ม 

     

    เพราะอาการดีใจจนเกินเหตุทำให้ไม้ที่ผุอยู่แล้วเกิดหักลงตรงช่วงขาของดงเฮ   ขาขวาเลยพลาดร่วงลงไป   โชคดีที่คิบอมคว้าเค้าไว้ทัน

     

    “เจ็บ  คิบอม   เจ็บ”   ดงเฮร้อง   รู้สึกเหมือนขาไปขูดกับรอยแตกของไม้

     

    “ค่อยๆยกตัวขึ้นนะ   ผมจะดึงคุณเอง   ระวังหน่อยนะ”  คิบอมปลอบเสียงนุ่ม   ดงเฮทำตามอย่างว่าง่าย

     

    “ไม่ได้   มันเจ็บ  คิบอม  ฮึก”  หน้าหวานเริ่มสะอื้น   หัวใจของคิบอมรู้สึกทรมานแปลกๆทันทีที่ได้ยินมัน..

     

    “ต้องไม่เจ็บสิ   อดทน   ได้ยินมั้ยดงเฮ”

     

    “ฮือ  อึก..   อ..อย่าดุสิ”

     

    “ได้ๆ   ผมจะไม่ดุ  คุณทำตามที่ผมบอกนะ   จับตัวผมไว้ครับ   ใช่  อย่างนั้น  ค่อยๆยกขาขึ้นมานะ   ช้าๆ   อย่างนั้นครับ   เก่งมากเด็กดี   ผมช่วยคุณอยู่นะ”

     

    “ขาซ้ายยืนได้ใช่มั้ยครับ”

     

    “อือ   ด..ได้”

     

    “เอาขาซ้ายเหยียบบนเท้าผมนะครับ   อย่างนั้นคนดี   พอคุณยกขาขวาขึ้นมาแล้วก็ยกไว้สูงๆเลยนะ   ไม่ต้องยืน   โอเคมั้ย”

     

    “อืม..”

     

    ดงเฮทำตามที่บอกจนยกขาออกมาได้สำเร็จ  

     

    คิบอมปลอบโยนไม่ขาด   ดงเฮทำตามที่เขาบอกอย่างเชื่อฟัง   เจ็บเหลือเกินตอนพยายามยกขาขึ้นจากรอยแตกของสะพาน   แผ่นไม้ที่แหลมขูดเข้ากับเนื้อบางๆอย่างไม่ปรานี   เจ็บจนอยากจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมาเสียแต่ตรงนั้น   แต่ทว่าคำปลอบโยนของคิบอมกลับมีพลังอย่างน่าประหลาด   ช่วยบรรเทาความเจ็บที่ขาไปทีละช้าๆ

     

    “ด..ได้แล้วๆ”

     

    “ครับ   ดีครับ   ทีนี้ค่อยๆนั่งลงนะ   ผมจะดูแผลให้”  คิบอมบอก   ปล่อยคนในอ้อมแขนให้นั่งลงกับพื้นไม้ที่ดูท่าจะแข็งแรง   ส่องไฟฉายไปที่เรียวขาเล็กเพื่อดูบาดแผล

     

    กางเกงขายาวมีเศษดินและเสี้ยนไม้ติดอยู่เล็กน้อย   คิบอมปัดมันออกไปก่อนแล้วค่อยๆเลิกกางเกงขายาวขึ้นเหนือเข่า

     

    ความขาวของผิวหนังตัดกับสีแดงของเลือดที่ไหลซิบๆอยู่ตลอดเวลา   บาดแผลไม่ลึกจนน่ากลัว   แต่เลือดที่ไหลไม่หยุดนั้นน่าเป็นห่วงอยู่เอาการ

     

    “เจ็บ”  ดงเฮบอกความรู้สึก  “เลือดไหลไม่หยุดเลยคิบอม”

     

    “อืม   ผมรู้   ไม่เป็นไรนะ”  คิบอมปลอบ  “คุณมีผ้าเช็ดหน้ามั้ย”

     

    “มี”  ดงเฮตอบแล้วหยิบยื่นให้   คิบอมรับมาแล้วผูกเข้ากับผ้าเช็ดหน้าของตน   โชคดียังมีอยู่ที่ขาของดงเฮนั้นเรียวเล็ก   ไม่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเหมือนเขา   ผ้าเช็ดหน้าสองผืนจึงสามารถรัดเพื่อห้ามเลือดได้

     

    ดงเฮลอบมองใบหน้าคมที่ตอนนี้กำลังให้ความสนใจกับบาดแผล   ไล่มองตั้งแต่เนินหน้าผาก   คิ้วเรียว   สายตาคม   จมูกโด่ง   และริมฝีปากหนา...  เหลือบมองไปยังแก้มที่กินเนื้อที่เกือบทั่วใบหน้าอย่างสนใจ  ลอบยิ้มน้อยๆ   ก่อนเบือนสายตากลับมายังริมฝีปากของคิบอม...  ที่เค้า..  เคยสัมผัส

     

    พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง

     

    ดงเฮก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า

     

    นั่นเป็นจูบแรก...  

     

    ที่ไม่เลวเลย...

     

    อ๊า   นึกแล้วก็เขิน   ตาลิ้มแก้มแตกนี่จะว่าไปก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย   เป็นห่วงแถมยังปกป้องเราอีกต่างหาก   ถ้าเป็นเมื่อก่อน   ถ้านายยังไม่ทำให้ชั้นโมโหตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน   ไม่แน่นะนายลิ้มแก้มแตก   ชั้นอาจจะชอบนายไปแล้วก็ได้

     

    “...ดงเฮ    ดงเฮ”   เสียงเรียกมาพร้อมกับการเขย่าไหล่บางเบาๆ

     

    “ห๊ะ..  หา   อ...อะไร”

     

    “ผมถามว่าคุณเดินไหวมั้ย”

     

    “ว..ไหวสิ”   ดงเฮตอบอึกอัก   เมื่อกี้เค้าเผลอคิดอะไรไปน่ะ   โอ๊ย   เขินๆๆ

     

    พูดจบก็พยุงตัวเองขึ้นโดยมีร่างสูงคอยช่วย   แต่ยืนบนพื้นได้ไม่ทันก้าวขา  ก็ทำท่าเซจะทรุดร่วงลงไปอีกรอบ

     

    “โอ๊ย   เจ็บจัง   ชั้นเดินไม่ได้”   พูดน้ำตาเล็ด   ความเจ็บแล่นกลับมาอีกครั้ง  

     

    “เจ็บขนาดนี้ไม่ต้องเดินแล้วละ  ฝืนไปเดี๋ยวก็พิการกันพอดี”   คิบอมพูดเรียบๆไม่คิดอะไร   แต่หน้าหวานนี่สิ   คิดไปไกลแล้ว

     

    “หา   ช..ชั้นต้องพิการเลยเหรอ   ม..ไม่เอานะ   ไม่เอาๆๆ   ได้ยังไง   ชั้นยังเรียนม.ปลายไม่จบ   ยังไม่เคยมีแฟน   ยังไม่ได้มีจูบแรกด้วยซ้ำ”   ดงเฮเริ่มสติแตก   แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายของหน้าหวานนั่นแหละทำให้ร่างสูงต้องรีบแก้   ...ด้วยความดีใจลึกๆ

     

    “จูบแรกน่ะมีไปแล้ว”   ...กับผมนี่ไง

     

    “อ๊ะ   จริงสิ    เอ่อ...   บ้า”   หน้าหวานหลุบสายตาลงต่ำ  ซ่อนใบหน้าเขินอายด้วยการซุกหน้าลงกับแผงอกของคิบอม   ร่างสูงพอใจกับท่าทางน่ารักนั้นจนอดที่จะเป็นนายลิ้มแก้มแตกไม่ได้

     

    “ผมล้อเล่นน่ะ   ไม่พิการหรอก   ไปกันเถอะ”   คิบอมพูดทันทีที่พอจะควบคุมตัวเองได้   เค้าต้องรีบพาคนในอ้อมแขนไปทำแผลให้เร็วที่สุด

     

    “ไปยังไง   ชั้นเดินไม่ไหวเลย”

     

    “ขึ้นหลังผม”  คิบอมบอกสั้นๆแล้วบิดตัวให้ดงเฮอยู่ด้านหลัง   ก่อนย่อตัวลงแล้วเอามือตบบ่าตัวเอง

     

    “เร็วเถอะ”

     

    “อ...อืม”  

     

    ขอเวลาอึ้งซักนิดก็ไม่ได้   ดงเฮค่อยๆวางร่างไปกับแผ่นหลังกว้างของร่างสูง   โอบแขนไปรอบคอ   แนบใบหน้าเข้ากับไหล่ขวาของคิบอม

     

    “ผมจะยืนแล้วนะ”

     

    “อื้อ”

     

    คิบอมยืนขึ้นเต็มความสูงเพราะต้องพยุงทั้งตัวเองและดงเฮในครั้งแรก   ส่งผลให้ดงเฮต้องกอดตัวเองให้แนบแน่นเข้ากับคิบอมกันตก   แล้วคิบอมจึงค่อยๆโน้มตัวลงแล้วออกเดิน

     

    “หนักมั้ย”

     

    “ก็นิดหน่อย”

     

    “จริงเหรอ!   ชั้นหนักห้าสิบเองนะ”   เรื่องน้ำหนักนี่ไม่รู้ทำไม   มันยอมไม่ได้~!

     

    “อ้วนจัง”  คิบอมแกล้ง   ทั้งๆที่เค้าเองคิดไปไกลแล้วว่าหน้าหวานตัวเบาขนาดนี้   เค้าคงอุ้มไปที่เตียงได้สบายๆเลย

     

    “ไม่อ้วนซะหน่อย”   ดงเฮแย้งทันควัน

     

    “คร้าบๆ   ไม่อ้วนก็ไม่อ้วน”  คิบอมอารมณ์ดีกว่าเคย   พาดงเฮยิ้มตามไปด้วย     ซบหน้าลงกับไหล่ขวาจนคิบอมได้กลิ่นหอมของบางอย่าง   ดวงตาคมเหลือบมองคนข้างหลังไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนถึงทางออก...

     

    “อ้าว   ทำไมขี่คอขี่หลังกันมาล่ะ   แล้วนั่น..   เฮ้ย!   ดงเฮเป็นอะไรน่ะคิบอม”   จงฮุนร้องเสียงตระหนก   เรียกให้ซึงฮยอน  แจจิน   และคนอื่นที่อยู่แถวนั้นรุมเข้ามาเป็นการใหญ่

     

    “สะพานมันหักน่ะ   ดงเฮเค้าพลาดตกลงไป”  

     

    “นี่อย่าบอกนะว่าตรงทางแยกแรกพวกนายเลือกทางซ้ายน่ะ”   จงฮุนซักต่อ

     

    “อืม   ทำไม”

     

    “เพราะนายเลยซึงฮยอน   ชั้นบอกแล้วว่าอย่าไปแต่งกลอนมั่วๆพรรค์นั้น   ไม่ใช่อะไรหรอกคิบอม  คือทางออกน่ะมีทางเดียว   เดินทางไหนก็ออกมาที่นี่อยู่ดี   แต่ทางที่นายเลือกมันดันเป็นทางที่ไม้ผุมากๆไปแล้วน่ะสิ”   จงฮุนขยายความ   คิบอมตวัดสายตาไปที่ซึงฮยอนด้วยสายตาแข็งกร้าว     

     

    “อืม...”    คนบนหลังที่หลับไปสักพักขยับตัวนิดหน่อยเพราะเสียงเอะอะ   คิบอมยอมละความสนใจทั้งหมดกลับมาที่หน้าหวาน   รีบพาไปนั่งบนเก้าอี้ทันทีแล้วจับแก้มเบาๆปลุกให้ตื่น

     

    “อือ   คิบอม...  ถึงแล้วเหรอ” 

     

    “ใช่   จงฮุน   มีหน่วยปฐมพยาบาลใช่มั้ย”   เสียงเข้มถามประธานนักเรียน

     

    “ก็มี   แต่มีแค่กล่องพยาบาลนะ   พวกเราต้องทำแผลกันเอง”

     

    “งั้นผมจะพาดงเฮไปโรงพยาบาล”   คิบอมตัดสินใจ   ถึงแม้ใครจะทัดทานเขาก็คงไม่ฟัง   จงฮุนรู้นิสัยคนในปกครองที่ไม่เคยอยู่ในการปกครองดี    อีกอย่าง     อาการของดงเฮถ้าให้ถึงมือหมอน่าจะดีกว่า

     

    “งั้นแจจิน   เรียกรถแท็กซี่ให้คิบอมหน่อยนะ”  

     

    “อื้ม   ได้   ดงเฮอดทนหน่อยนะ”   แจจินตอบรับแล้วหันไปให้กำลังใจดงเฮก่อนจะเดินออกไป

     

    “หายเจ็บหรือยัง”   คิบอมหันมาถามอาการ

     

    “อย่าทักสิ   เดี๋ยวชั้นก็เจ็บอีก”   ดงเฮขัดเป็นเด็กๆ   จนคิบอมต้องหัวเราะออกมาเบาๆกับความอารมณ์ดีไม่แคร์สถานการณ์ของหน้าหวาน

     

    “มีงี้ด้วย”

     

    “คิกๆ  แหงล่ะสิ”

     

    “คิบอมฮะ!   รถมาแล้วฮะ”   แจจินตะโกนเรียก  คิบอมบอกขอบใจดังๆแล้วช้อนตัวดงเฮขึ้น

     

    “อ๊ะ..”   หน้าหวานอุทานนิดหน่อยแต่ยอมอยู่นิ่งๆในอ้อมแขนนั้นด้วยท่าอุ้มเจ้าสาว   ลอบมองใบหน้าคมคายที่ดูจะจริงจังในการช่วยเหลือเขาเหลือเกิน

     

    นายเป็นคนยังไงกันแน่นะ   คิมคิบอม...

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart.. You’re Everything. - - - -

     

     

     

     

    วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×