คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #62 : :: Chapter 44 : เผลอไผล - เข้าใจผิด - ผลลัพธ์ ::
เผลอไผล
คยูฮยอนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องแพ้ทางซองมินเพราะสายตาเรียบๆ เย็นๆ ที่จ้องมองอย่างเฉยเมยนั่นอีกแล้ว ไม่กล้าหือเพราะความผิดที่ติดตัวอยู่ก็เป็นชนักติดหลังให้ไม่สามารถทำอะไรได้
ซองมินมองผ่านกระจกเห็นคยูฮยอนยืนตบยุงรออยู่หน้าบ้านแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ กริยานั้นไม่มีทางรอดพ้นสายตาของรุ่นพี่จอมสาระแนไปได้
“เป็นอะไรกันเหรอ” ฮยอนจุงมายืนข้างๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
“หือ? ผมกับไอ้บ้านั่นน่ะเหรอ”
“ใช่ ไอ้ตูบของนายอ่ะ”
“ไม่รู้สิครับ” ร่างเล็กถอนหายใจซ้ำซาก “เหมือนกับว่า คนที่เคยทำผิดแล้วอยากจะแก้ตัวล่ะมั๊ง ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน”
“แล้วจะให้อภัยหรือเปล่า” ฮยอนจุงเหมือนคนตาทิพย์ที่สามารถมองเห็นและรับรู้เรื่องราวทุกอย่างได้อย่างแจ่มแจ้งจากการอธิบายเพียงไม่กี่คำ
“ผม... ไม่รู้”
“98% ของคำว่าไม่รู้หมายถึงไม่แน่ใจ นายอยากยกโทษให้ไอ้ตูบล่ะสิ” ซองมินหลุดหัวเราะพรืด เพราะฮยอนจุงยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นชื่อคยูฮยอนก็เลยเรียกแต่ไอ้ตูบๆๆ และตอนนี้ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นชื่อเล่นของคยูฮยอนไปซะแล้ว
“พี่อ่ะมั่ว ไม่รู้ก็คือไม่รู้สิ”
“ชั้นน่ะเดาแม่นนะจะบอกให้”
“แต่ตอนนี้เดาพลาดแล้ว จะกลับบ้านได้ยัง” ซองมินหาทางไล่ ยิ่งเขาอยู่ก็มีแต่ตัวเองจะถูกล้วงความลับและเผยไต๋ให้พูดเรื่องในใจ กว่าจะเฉลียวใจได้ก็คงถูกปลิ้นข้อมูลจนหมดเปลือกแล้ว
“อะไรอ่า ไล่กันเลย ชิๆ”
“ดึกแล้วนะฮะ เดี๋ยวพี่เสียงดังผมกลัวแม่ผมจะตื่นอ่ะ ไว้วันหลังค่อยมาใหม่ก็ได้”
“ยังไม่ได้ดูห้องนายเลยนะซองมินนี่” ร่างหนาทำงอแง
“คราวหน้าๆ”
“เง่อ”
ร่างอวบดันหลังสมส่วนของฮยอนจุงที่มีใบหน้ากระเดียดไปทางหวานสวยให้เดินเอื่อยๆ ไปหน้าบ้าน ตาเรียวสอดส่ายหาร่างหนาที่เห็นก่อนหน้านี้แต่มองไม่เห็น
“ไอ้ตูบไปไหนแล้วอ่ะ”
“ก็เข้าบ้านนอนน่ะสิ สงสัยเจ้าของให้เพ็ดดีกรีไปกินแล้วมั้ง คิๆๆ” ฮยอนจุงหัวเราะคิกตาม ซองมินโทรตามแท็กซี่จากศูนย์มาให้เพราะดึกป่านนี้ในหมู่บ้านเขาจะไม่มีรถวิ่งผ่าน พอฮยอนจุงจะเก็บตัวเองใส่รถจริงๆ ก็ยื่นหน้ามาจุ๊บเบาๆ ให้ที่แก้มนวลด้วยสีหน้าเบิกบาน
“เย้ๆ บายบ๊ายซองมินนี่~”
“ไอ้รุ่นพี่ประสาท” ร่างอวบถูแก้มตัวเองไปมาอย่างอารมณ์เสียนิดๆ ที่ถูกลวนลาม
สายลมโชยอ่อนออกมาจากบริเวณสวนข้างบ้านที่ลมเหนือพัดผ่าน หอบเอากลิ่นดินที่แปลงดอกไม้ลอยมาคละคลุ้ง ซองมินซึมซับธรรมชาติยามดึกอย่างสบายอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย ร่างเล็กเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาลงกองบนพื้นดินที่คละด้วยใบหญ้า ยิ้มน้อยๆ ก่อนหมุนร่างกลับเตรียมจะเข้าบ้าน
และคงได้ทำอย่างนั้นถ้าไม่มีมารผจญมายืนขวางไว้เสียก่อน
“หลบไป” คนน่ารักพูดเสียงเรียบ
“ไม่ ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร” ใจคนถามระส่ำระส่ายไปหมด ตั้งแต่ที่เห็นซองมินพาฮยอนจุงเข้าบ้านไปด้วยกันนานสองนาน ถ้าไม่ติดว่าเห็นรถฮโยมินจอดอยู่ตัวเองคงบุกเข้าไปอาละวาดแล้ว
นายเป็นของชั้นนะมินมิน ชั้นไม่ให้นายไปยุ่งกับใครนะ
“ชั้นบอกให้หลบไปยังไงล่ะ” ตากลมจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง เขาไม่ใช่ลีซองมินจอมอ่อมแอและยอมที่จะตกเป็นเบี้ยล่างของคยูฮยอนอีกแล้ว ลีซองมินคนนั้นมันตายไปแล้ว
“นายก็บอกชั้นมาก่อนสิว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับนาย” คยูฮยอนยังไม่ละความพยายาม แม้สายตาที่เย็นเยียบจะทำให้เขาใจฝ่อทุกครั้งที่ได้เห็นมันก็ตามที
“จะอยากรู้ไปทำไม ใช่เรื่องของนายเหรอ”
“มันจูบนายนะ!” คยูฮยอนกระชากเสียงหงุดหงิด
“แล้วไงล่ะ”
“ซองมิน!”
“ทำไม เดือดร้อนอะไรงั้นเหรอ” น้ำเสียงซองมินยังยียวนชวนให้โมโห
“ตอบชั้นมาดีๆ ได้มั๊ยซองมิน”
“อยากฟังชั้นตอบว่าอะไรล่ะ อืม... เป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกัน หรือว่าเป็นแฟนกันดี”
คนเป็นต่อกระหยิ่มยิ้มอย่างสะใจ ซองมินผลักอกกว้างที่อยู่ตรงหน้าออกไปให้พ้นจากรัศมีทางเดินแล้วก้าวขาผ่านหน้าร่างสูงไปพร้อมรอยยิ้มสมใจ
ร่างสูงตามไปคว้าแขนขาวที่กำลังจะเปิดประตูบ้านให้หันกลับมาทางตัวเอง ตากลมสะบัดมาจิกใส่อย่างไม่พอใจ
“อะไร ยังไม่พอใจนายเหรอ หรือว่าอยากฟังอะไรเพิ่ม รีเควสมาสิ เดี๋ยวชั้นจัดให้”
“หยุดได้แล้วมินมิน เลิกทำแบบนี้ซักที” คยูฮยอนเจ็บใจร่างตรงหน้าใจจะขาด ใบหน้ายียวนและคำพูดประชดประชันที่ร่างบางทวีใส่มันเป็นชนวนของพายุร้ายที่เริ่มตั้งเค้าทะมึนในใจของคยูฮยอนจนรู้สึกอยากจะบีบร่างแน่งน้อยให้หวาดกลัวและยอมสยบ
“แบบไหน ชั้นก็เป็นของชั้นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่นายไม่เคยได้เห็นมันเท่านั้นเอง” รอยยิ้มสังเวชกระตุกขึ้นที่มุมปาก “เพราะตลอดมานายคือคนที่เอาเปรียบและทำร้ายชั้นตลอดเวลาไงล่ะ”
“ชั้นก็ขอโทษนายไปแล้วไง ให้อภัยชั้นไม่ได้เหรอ” คยูฮยอนพูดเสียงอ่อน “ยกโทษให้ชั้นนะมินมิน”
น้ำเสียงอ้อนวอนที่เปล่งออกมามันทำให้ใจดวงน้อยที่แสนอ่อนโยนเริ่มสั่นไหว แววตาเว้าวอนกำลังทรมานให้กำแพงแห่งความเย็นชาของซองมินทลายลงไปทีละนิดๆ
ถ้าไม่ติดว่าภาพของวันเก่าที่เขาอ้อนวอนให้คยูฮยอนกลับมามันไม่มาซ้อนทับและฉีกเรื่องราวเหล่านั้นลงจนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี
“ทีเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน นายยังไม่เคยคิดจะยกโทษให้ชั้นเลย ตามรังควาญและทำร้ายชั้นจนไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายทั้งเป็น” เสียงหวานพูดแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน สายตาตัดพ้อฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจจนคนที่มองชาวาบไปทั้งหัวใจ “อย่ามาหวังเอาอะไรจากชั้นอีกคยูฮยอน กลับไปอยู่ในที่ของนายซะเถอะ”
“เลิกพูดเรื่องนี้สักทีจะได้มั๊ยมินมิน หยุดไล่ชั้นซะที นายก็ไม่ชอบไม่ใช่เหรอเวลาชั้นทำอะไรไม่ดีกับนายน่ะ จะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”
“แต่นายก็ทำ!” เสียงแข็งตอบกลับทันควันจนคยูฮยอนสะอึก “มันก็สาสมแล้วที่นายสมควรจะได้รับสิ่งที่เคยทำเอาไว้กับชั้น จำเอาไว้ว่าชั้นไม่เคยขอร้องให้นายกลับมา ไม่เคยบอกว่าอยากเห็นนายมายืนอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่เกิดมาชั้นไม่มีนายก็ยังอยู่ได้ กับอีแค่ผู้ชายคนนึงมันไม่ทำให้ชั้นตายหรอก” ดวงตาสวยเป็นประกายกร้าวอย่างคนเหนือกว่าที่มีอำนาจสั่งการทุกอย่าง ราวจอมเผด็จการที่แววตาจะมีเพียงความเด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่ง แม้จะเคยเจ็บเจียนตายเพราะคยูฮยอนแต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันพรากลมหายใจของเขาไปด้วย
“ฐานะของนายคือผู้ชายคนนึงที่ชั้นไม่ได้ต้องการ จำเอาไว้ด้วยว่าแม้แต่แตะต้องตัวชั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์ โจวคยูฮยอน!”
“นายยังไม่เลิกล้มความคิดนี้อีกเหรอ วันนั้นที่ชั้นจูบนายยังไม่ชัดเจนพออีกหรือไงว่าชั้นต้องการอะไร!”
“ก็แล้วมันอะไรล่ะ!” ขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิดเต็มทนกับคำพูดวกวนกำกวมฟังแล้วน่ารำคาญ วันก่อนทำทีเป็นอ่อนโยนมาให้กำลังใจจนเขาใจสั่น แต่วันนี้ก็กลับมาอีกพร้อมท่าทางกร่างและเอาแต่ใจไม่สนใจความรู้สึกของเขาเหมือนเมื่อก่อน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผู้ชายคนนี้มันจะเอายังไงกับเขากันแน่
“ชั้นก็แค่อยากให้นายยกโทษให้”
“นายเคยทำผิดอะไรไว้กับชั้นล่ะ” เสียงของซองมินสั่นพร่าอย่างเจ็บปวด กดริมฝีปากเข้าหากันแน่นเพื่อสกัดกั้นความวุ่นวายใจที่ปนเปมั่วกับความเสียใจจนจุกอกไปหมด
“ชั้นขอโทษที่ทิ้งนายไป ขอโทษที่ทำให้นายเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ขอโทษที่ไม่บอกความจริงกับนายว่าชั้นรู้สึกยังไง ชั้นขอโทษ”
ร่างเล็กถูกรั้งเข้ามากอดไว้แน่นในอ้อมกอดที่แสนจะโหยหา คยูฮยอนเฝ้ากอดเฝ้าหอมเรือนร่างบอบบางอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวซองมินจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงหากเขากระทำการรุนแรงให้ร่างเล็กบาดเจ็บ ความอ่อนโยนที่โหยหาและอยากได้รับมานานจากชายคนนี้ทำให้ซองมินสับสน คำพูดร้ายกาจที่เคยด่าทอประจานความชั่วร้ายกลืนหายลงไปในลำคอจนแทบสิ้น เหลือเพียงอ้อมกอดเล็กที่เลื่อนมือขึ้นไปกอดตอบร่างหนาอย่างแสนคิดถึง
อีกแล้ว ... ร่างกายมันตอบสนองสัมผัสแสนดีจากชายคนนี้ไปอีกครั้งแล้ว ...เพียงเพราะถ้อยคำสำนึกผิดเพียงไม่กี่คำ
แต่ครั้งนี้... ให้มันเป็นครั้งสุดท้ายซะเถอะลีซองมิน
คิบอมตื่นขึ้นด้วยอารมณ์ที่เติ่งสุดชีวิต ดวงตาคมคายจ้องมองเพดานที่แปะไว้ด้วยวอลเปเปอร์รูปของคนที่ใจโหยหาตลอดทั้งคืนอย่างปวดหัว ในใจก็นึกถึงแต่ร่างบางว่าป่านนี้กำลังทำอะไร หายโกรธและพร้อมที่จะคุยกับเขาหรือยัง และอีกหลายๆ อย่างที่พากันตีมวนมั่วไปหมดในหัว ยกเว้นเรื่องที่จะขอคืนดีหากดงเฮยังงี่เง่าและไม่มีเหตุผล
ไม่ใช่ว่าอยากจะทะเลาะกับคนที่รักแต่ไม่ว่ายังไงดงเฮก็ไม่เข้าใจความรู้สึกและการแสดงออกของเขา รักมากห่วงมาก ห่วงมากหวงมาก หวงมากก็หึงมาก นี่แหละนิสัยของคิบอมที่มีต่อของรักทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นอะไร อยากให้เขาเข้าใจตัวเองมากกว่านี้ นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางของคำว่าอยากจะมีอนาคตร่วมกัน ความคิดเล็กๆ ที่อยู่ในหัวคิบอมเสมอว่าอยากจะมีร่างบางเจ้าของรอยยิ้มสดใสนั้นเคียงข้างตลอดไปคงจะเป็นได้แค่ความฝันหากดงเฮยังไม่เข้าใจและต้องทะเลาะกันทุกครั้งที่เกิดปัญหา
วิ่งหนีออกไปอย่างนั้นคงก็ไม่พ้นร้องไห้ขี้มูกโป่ง ห่วงก็ห่วงรักก็สุดแสนจะรัก เขาน่ะเชื่อใจและไม่เคยคิดระแวง หากแต่เพราะซอนยีมีบางสิ่งที่น่ากลัวว่าจะเข้ามาบิดเบือนและเปลี่ยนใจของคนที่เขาหวงแหนไปจากตัวเองแล้วความอดทนที่มีมามันก็เตลิดหายไปจนหมด
ดงเฮคงไม่ได้โกรธอะไรตัวเองมากมายเพียงเสียใจและค่อนไปทางผิดหวังมากกว่าที่เขาผิดสัญญาที่ให้ไว้ แถมยังพูดจาแบบนั้นอีก ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ร่างสูงสะบัดไล่ความคิดมากมายแล้วลุกไปอาบน้ำ ฮันกยองโทรมาตามให้เขารีบไปเข้าคลาสเพื่อพรีเซนต์รายงาน Marketing ที่ทำค้างไว้เมื่อวาน พอถึงมหาวิทยาลัยคิบอมเลยตรงเข้าไปทำงานก่อนเป็นอันดับแรกและกว่าจะเสร็จก็ปาไปเที่ยงวันแล้ว
ออกจากตึกทรงสูงสีขาวได้ก็ตั้งใจว่าจะเดินไปหาคนที่กำลังเคืองโกรธพร้อมฮันกยองที่ฮยอกแจโทรมาจิกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วหวังไม่ให้คลาดสายตา ยิ่งเห็นเพื่อนรักยิ้มตาหยีมีความสุขก็ยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขายังหัวเราะร่าอยู่กับดงเฮอยู่เลย ถ้าไอ้รุ่นพี่เวรนั่นมันไม่ขอตามไปด้วยคงไม่ต้องเป็นแบบนี้
“อีกเดี๋ยวไอ้ผีจีนจะมานะ คิบอมก็มาด้วย”
“ให้เค้ามาทำไม” เสียงหวานห้วนสั้นตัดฉับคำพูดของฮยอกแจกลางอากาศ
“เฮ่อ ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ ตั้งแต่เช้าแล้วนะ” คุณหนูเล็กถอนหายใจ ซองมินยักไหล่อย่างจนปัญญากลับมาให้เมื่อฮยอกแจหันไปขอความเห็น “เมื่อไหร่จะเลิกโกรธคิบอมซะทีล่ะ ทะเลาะกันนานๆ ก็ไม่ดีนะ”
จากประสบการณ์ตรงที่ประสบมากับตัวก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ผิดใจกันระหว่างคนรักของเพื่อนอีก เพราะตอนที่ฮันกยองของเขาเฉยเมยและไม่สนใจมันรู้สึกเหมือนใจหาย แม้ตอนนั้นยังทำใจเฉยได้เพราะมีงานต้องสะสางก็เถอะ แต่พอเกิดเรื่องเข้าจริงๆ แล้วคิดว่าหากวันนั้นไม่มีผู้ชายที่แสนดีคนนี้คอยปลอบโยนแล้วล่ะก็เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะยืนหยัดอยู่ได้ยังไง
“เราเป็นผู้ชาย แต่คิบอมกลับพูดเหมือนกันเราเป็นผู้หญิงที่จะไปมีอะไรกับพี่ซอนยี ถ้าฮันกยองพูดแบบนั้นบ้างฮยอกจะรู้สึกยังไงล่ะ” ดวงตาหวานยังฉายแววเคืองไม่หาย ความโกรธมันไม่ได้ลดลงจากเมื่อคืนเลยแม้แต่นิด ยิ่งตลอดทั้งเช้านี้อีกฝ่ายไม่มีท่าทีสำนึกผิดหรือมาง้อก็ยิ่งบึ้งตึงเข้าไปใหญ่
“เตะก้านคอแม่งเลย”
“ไอ้ไก่ -*-”
“เอ๊า” ฮยอกแจร้องเสียงหลง ไม่เข้าใจว่าตนผิดอะไรถึงถูกซองมินดุ แต่พอเจอสายตาห้ามปรามเข้าไปก็เงียบกริบ
“ตอนนี้เราไม่อยากเห็นหน้าคิบอม” สิ้นเสียงของดงเฮฮันกยองก็โผล่พรวดเข้ามากลางวง แขนยาวคว้าร่างเล็กที่แสนหวงมาไว้ใกล้ตัวพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกจนตาเหลืออยู่ขีดเดียว
“อย่ารุ่มร่ามได้มั๊ยไอ้โหดบ้า” น้องอ่อนแอขู่เหมือนแม่เสือไม่มีผิด
ฝ่ายคิบอมที่เดินตามหลังมาพอเห็นคนสวยทำหน้าบูดไม่หายก็ตีหน้านิ่งเข้าใส่ ดงเฮเห็นอย่างนั้นก็ชักสีหน้าหงุดหงิดและไม่ยอมพูดยอมจา ร่างสูงนั่งลงข้างๆ ร่างเล็กที่เชิดหน้าหนีอย่างโกรธจริง แม้จะผิดใจกันอยู่แต่ก็ทำใจให้ห่างตาห่างตัวไม่ได้ซะทีเดียว ถึงจะไม่พูดและทำทีเป็นไม่แยแสแต่ก็ไม่อาจละความห่วงใยไปจากร่างบอบบางนี้ได้แม้แต่วินาที คิมคิบอมก็คือคิมคิบอมอยู่วันยังค่ำ
บรรยากาศมึนตึงชวนให้ฮยอกแจและซองมินเริ่มจิตตก จากที่คิดว่าจะช่วยไกล่เกลี่ยให้คืนดีกันไวๆ ก็เริ่มอยากจะเปลี่ยนแผน แต่ฮันกยองที่ดูเหมือนจะอยู่เฉยไม่เป็นก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน
“หนูเล็กอ่า ไปกินข้าวกันยัง ผมหิว” ร่างหนาร้องอ้อนแล้วโน้มตัวมาคลอเคลีย
“อะไรของนายเนี่ย มาหิวอะไรตอนนี้ เห็นมั๊ยว่าพวกชั้นกำลังเครียด” ตัวเล็กดุเข้าให้ ร่างใหญ่เลยได้โอกาสรวบร่างบางเข้ามากอดอย่างหวงแหน
“อย่าดุเลยน่า เป็นห่วงนะ”
ฮันกยองเลียนแบบท่าทางคำพูดอ่อนโยนที่มักได้ยินเสมอจากคู่ทูลิ้มที่ชอบทำสวีทออกหน้าออกตาเกินชาวบ้านเสมอ การกระทำที่ผ่านมาของคนที่เคียงข้างกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและไม่เคยห่างกันไกลนับจากวันที่คบกันมันไปสะกิดใจที่เกิดรอยร้าวขึ้นมาอย่างจัง
คิบอมเหลือบมองคนตัวเล็กที่ก้มหน้าลงนิดๆ ด้วยสายตาอาทร อยากจะเอื้อมมือออกไปเพื่อกอบกุมมือเล็กที่เฝ้าทะนุถนอมมาไว้กับตัวอีกครั้ง และแล้วความห่วงหาและรักที่ไม่เคยจางไปก็เป็นฝ่ายชนะทิฐิ มือหนาละจากตักตนเคลื่อนไปหาดงเฮที่นั่งก้มทำหน้าเหงาราวภาพสโลว์ พวกที่เติมเชื้อไฟรักเมื่อครู่จ้องลุ้นกันแทบหยุดหายใจ
“ดงเฮจ๊ะ”
อ๊ากกกกกกก!!! ยัยมารร้าย!!!
ซองมินกับฮยอกแจกรีดร้องลั่นในใจแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน รู้ทั้งรู้ว่าเสียมารยาทและเป็นการไม่ให้เกียรติรุ่นพี่ที่เคยช่วยเหลือตัวเองในหลายๆ เรื่องที่สบถใส่เธอแบบนี้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ จ๊าดง่าว!!!
“ครับพี่ซอนยี”
คิบอมถดมือกลับทันทีที่เสียงหวานร้องขานรับ ดวงหน้าคมคายที่เพิ่งคลายปมยุ่งเหยิงกลับมาถมึงทึงอีกครั้งอย่างเก็บกลั้นความหมองใจไว้ไม่อยู่เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้คนที่ตนหวงแหน
“ไปช่วยพี่แยกคอสตูมหน่อยได้มั๊ย พอดีพี่ไม่รู้น่ะว่าชุดไหนที่ดงเฮให้พี่ช่วยแก้ ตอนบ่ายก็ต้องส่งคืนร้านแล้วด้วย ไปช่วยพี่หน่อยนะจ๊ะ”
“เอ่อ..”
คนสวยอึกอักเหมือนเกรงใจร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่พอเบือนหน้ากลับไปมองคล้ายจะขออนุญาตไปช่วยซอนยีก็พบท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไม่สนใจตัวเองแทนเสียอย่างนั้น เป็นใครก็โมโหแล้วอยากจะประชดกลับ ความเดิมยังไม่หายความใหม่ก็เข้ามาแทรก เรื่องมันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่เมื่อดงเฮอยากจะเอาชนะไอ้คนหน้านิ่งนี่จนตัวสั่น
“ได้สิฮะ” รับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มท่ามกลางคิ้วของฮยอกแจที่กระตุกยิก ทว่าคิบอมยังคงทำเฉยไม่รู้สึกรู้สาหรือรับรู้อะไรด้วยจนร่างเล็กหน่ายที่จะสนใจ ทำยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาง้องอนหรือรู้สึกแคร์อะไรด้วยเลย มันน่าเจ็บใจนะ
“ปล่อยไปแบบนี้จะดีแน่แล้วเหรอ” ฮันกยองพยายามเรียกคืนสติของคิบอมกลับมา สายตามองร่างของดงเฮที่เดินออกไปสลับกับมองเพื่อนตัวเองที่มองตามหลังร่างเล็กไปไม่ห่าง
“ที่แกกลัวน่ะไม่ใช่พี่ซอนยีหรอก แต่แกกลัวความเย็นชาของแกจะแพ้ความอ่อนหวานของผู้หญิงมากกว่า ไอ้คิบอมเอ๊ย รักเค้าก็ไปเอาเค้าคืนมาสิวะ”
แสงตะวันสีนวลทอประกายสาดแสงอันอบอุ่นเพื่อหล่อหลอมภูเขาน้ำแข็งอันหนาทึบและโดดเดี่ยวให้หลอมละลาย
ผืนน้ำแข็งที่ว่าทนทานยังพ่ายแพ้ต่อการกัดกร่อนของแสงแห่งทิวา แล้วนับประสาอะไรกับใจคน
...หากแสงอรุณเปรียบได้ดังรอยยิ้มของดงเฮ ภูเขาน้ำแข็งอันแข็งแกร่งก็คงเป็นใจของคิบอมที่ยอมให้แผดเผาจนละลายกลายเป็นธารน้ำอย่างไม่เหลือชิ้นดี...
“อา น่าจะเป็นตัวนี้นะฮะ” ร่างเล็กคว้าชุดที่ตนใส่คืนก่อนไปแขวนที่ราวเพื่อแยกว่าผ้าชิ้นไหนบ้างที่ได้แก้ตะเข็บไปบ้างเพื่อจะได้แจ้งที่ร้านถูก
“แล้วตัวนี้ล่ะจ๊ะ” เรือนร่างสูงโปร่งแต่ได้รูปอย่างหญิงสาวที่สัดส่วนดีขยับเข้ามาใกล้ “พี่ว่าดงเฮใส่ชุดพวกนี้แล้วดูดีมากเลยนะ”
“พี่ซอนยีอย่าพูดแบบนั้นสิฮะ ผมไม่ค่อยชิน”
นอกจากคิบอมแล้วการถูกชมว่าสวยหรือเหมือนผู้หญิงมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเท่าไหร่ เว้นก็แค่ว่าจะถูกชายในดวงใจพูดชมว่าสวยอย่างนั้นน่ารักอย่างนี้ก็แค่นั้น แต่ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งหงุดหงิด สู้ไม่สนใจยังจะดีกว่า เฮอะ!
“หือ” หญิงสาวเลิกคิ้ว “ก็มันจริงนี่นา ดงเฮน่ะสวยจะตายไป”
“ไม่หรอกฮะ” คนสวยยิ้มเจื่อนๆ ซอนยีเลื่อนมือขึ้นมาสัมผัสพวงแก้มขาวจนคนถูกรุกเริ่มรู้สึกประหลาด
“เอ่อ...” หญิงสาวค้างมือไว้ที่เดิม ดวงตาเรียวสวยทอดมองมาอย่างมีความหมาย จากที่เคยคิดว่าพี่ซอนยีเป็นเพียงหญิงสาวใจดีความคิดนั้นก็ต้องพลันเปลี่ยนไปเมื่อมันไม่ผิดแผกอะไรจากสิ่งที่ฮีซอลเคยพูดไว้ให้ได้ยิน
‘ยัยซอนยี้น่ะตัวอันตราย ชั้นไม่ชอบขี้หน้ายัยนั่น’
“สวยจนพี่ยังอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้เลย...”
“ผมว่าตัวนี้ก็ใช่นะ ตอนนี้ที่ใส่ฉากสุดท้ายไงฮะ” ร่างหนากว่าหญิงสาวนิดหน่อยแสร้งดึงชุดที่ซอนยีถือไว้แล้วจับๆ มันไปมาอย่างจงใจจะเปลี่ยนเรื่อง รู้แล้วว่าทำไมคิบอมถึงได้หึงหวงตัวเองนักหนา รู้แล้วว่าทำไมถึงหลุดคำพูดนั้นออกมาทำร้ายจิตใจ คิดได้อย่างนี้แล้วใจดวงน้อยก็เริ่มใจหดหู่และเศร้าสร้อยอย่างรู้สึกผิด
ซอนยีไม่ถือสาอะไรกับท่าทางเสเปลี่ยนเรื่องนั่น แต่ขืนปล่อยไว้นานคงชวดโอกาสที่จะแย่งคนตรงหน้ามาเป็นของตัวเอง ใครมือยาวสาวได้สาวเอา หากหัวใจของดงเฮสั่นคลอนและไหวเอนคงง่ายกับการช่วงชิง โอกาสที่เขาจะนั่งอยู่ใกล้แค่นี้โดยไม่มีเจ้าของมาตามเฝ้ามันน้อยนิดจนแทบจะเป็นศูนย์
ดงเฮนั่งมองนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยพยายามไม่สนใจหญิงสาวที่จ้องตัวเองไม่วางตา ท่าทางน่ารักที่หลิ่วนู่นเหล่นี่ไปทั่วดูแล้วมันก็น่ารักน่าชัง ซอนยีเป็นประเภทปากว่ามือถึง ปั่นหัวฮีซอลให้หึงซีวอนยังเคยทำมาแล้วนับประสาอะไรกับการรุกจีบคนมีเจ้าของ
แต่แล้วเมื่อคนสวยเบือนหน้ากลับมาอีกทีคนที่รอสบโอกาสอยู่จึงได้ฉกริมฝีปากลงไปประทับบนกลีบปากสีหวานที่หมายตาในทันใด
“อื้อ!” ดงเฮครางฮืออย่างตกใจและผลักร่างหญิงสาวออกไปอย่างรวดเร็ว ปากเล็กๆ หมายจะอ้าปากร้องการกระทำอุกอาจเมื่อครู่ ทว่าร่างที่คุ้นเคยของใครบางคนยืนกลับอยู่หลังประตูบานใส
“ค..คิบอม”
ตากลมเบิกโพลงตระหนกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ดวงหน้าหวานถอดสีและซีดเผือดเมื่อชายอันเป็นที่รักยืนนิ่งมองมาที่เขา แววตาวาวโรจน์ระคนเสียใจเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าภาพบาดใจเมื่อกี้ไม่สามารถหลุดรอดพ้นไปจากสายตาคิบอมได้
เป็นครั้งแรกที่ร่างสูงหันหลังให้ ดงเฮแทบจะขาดใจเมื่อคนที่รักเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจแม้แต่จะรอฟังตนไปอธิบาย
“คิบอม! คิบอม!!” ดงเฮกระวีกระวาดจะวิ่งตามออกไปแต่ก็ต้องชะงักเพราะมือของรุ่นพี่ที่เอื้อมมาจับเขา
“อย่ามายุ่งกับผม!!!”
ร่างเล็กตวาดลั่นก่อนสลัดตัวเองแล้วถลาไปคว้าประตูเลื่อนให้เปิดจนมันกระทับกับผนังดังปัง!
“...”
“คิบอม! อย่าเพิ่งไปนะ คิบอม ฮึก..”
แผ่นหลังกว้างที่ไม่สามารถใช้เสียงเรียกอ้อนวอนให้กลับมาได้นั้นชวนให้ใจหายและเจ็บปวด ตะโกนเพรียกหาอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบือนหน้ากลับมามองแม้แต่นิด ดงเฮร้องไห้จนจมูกแดงไปหมดกว่าจะวิ่งถึงตัวคิบอมแล้วคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน
“ฮึก.. คิบอม ฟังก่อนสิ ฟังเค้าก่อนสิ”
ดงเฮสะอื้นจนตัวโยนแต่สองมือยังกอดแขนคิบอมแน่นไม่ยอมปล่อย เพียงความเฉยเมยที่หวนกลับมาของชายตรงหน้านี้ก็มีอิทธิพลมากมายจนแทบจะทำให้ใจดวงน้อยขาดรอนๆ
“ปล่อย” น้ำเสียงแข็งกร้าวที่ไม่เคยได้ฟังตลอดชีวิตนี้กำลังทำให้ร่างเล็กหวาดกลัว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ละความพยายามที่จะอ้อนวอนให้เขาแยแส
“คิบอม เค้ากับพี่ซอนยีไม่ได้มีอะไรนะ ฮึก คิบอมเชื่อเค้านะ ฮือ.. เชื่อชั้นสิ”
ดวงเนตรสีอ่อนบวมช้ำอย่างน่าสงสาร จมูกสีขาวแดงเข้มยิ่งกว่าเก่า หากเป็นเวลาปกติคิบอมคงใจเสียและยอมแพ้ต่อน้ำตาของคนตรงหน้า ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่
ริมฝีปากของคนอ้อนวอนที่ลอยอยู่ตรงหน้ามันทำให้ร่างสูงนึกเจ็บปวด ใจอยากจะเชื่อแต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันยังคงทิ่มแทงใจให้เจ็บแค้นและชิงชัง ความไว้ใจที่เคยมีขาดสะบั้นลงนับตั้งแต่เห็นคนที่ตนรักหมดใจจูบกับผู้หญิงคนนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกหักหลังมันหักล้างความอาทรที่อยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมจนไม่เหลือซาก
ร่างสูงยังคงเงียบโดยไม่คลายดวงตาวาวโรจน์และแข็งกร้าวลง ความเงียบอันตรายที่บีบรัดหัวใจคนร้องไห้ให้รวดร้าว แต่มันคงเทียบไม่ได้กับหัวใจอันบอบช้ำของคิบอมที่เจ็บแค้นและทรมานเหมือนถูกแทงด้วยคมกริชอันเย็บเฉียบจนแทบจะกระอักออกมาเป็นลิ่มเลือด
...และฆาตกรผู้ถืออาวุธร้ายนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล คนที่กำลังร่ำไห้อยู่ต่อหน้าเขานี่เอง
“ฮือ คิบอม...”
“ลีดงเฮ ปล่อย!!!”
เสียงกัมปนาทตวาดลั่นไม่ต่างอะไรไปจากสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของดงเฮ ร่างเล็กผงะด้วยความหวาดกลัวเป็นจังหวะให้คิบอมสะบัดแขนออกจนดงเฮล้มลงไปกอง ก้าวเท้าจากไปโดยไม่แม้แต่จะเบือนเสี้ยวหน้ากลับมามอง สายตาเว้าวอนมองตามไปแผ่นหลังกว้างที่ไกลออกไปทุกทีด้วยดวงใจที่แตกสลาย
ไม่เหลือความรู้สึกที่จะอายใคร ดงเฮกอดเข่าตัวเองร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังอย่างบ้าคลั่งราวคนเสียสติ
“คิบอม ฮึก คิบอม ฮือ... ชั้นขอโทษ”
หากซองมิน ฮยอกแจและฮันกยองไม่ติดใจว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงคงไม่มีใครมาเห็นดงเฮกอดตัวเองสะอื้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซองมินร้องอย่างตกใจทันทีที่เห็นสภาพดูไม่ได้ของเพื่อนรัก สายตาเหม่อลอยและเต็มไปด้วยความเสียใจมันช่างน่าเวทนา
“เพื่อนนายมันชักจะใจร้ายกันเกินไปแล้วนะ” ฮยอกแจรับไม่ได้ที่เพื่อนตัวเองกลายสภาพเป็นแบบนี้
“นั่นสิ ไอ้คิบอมมันเป็นบ้าอะไรของมันขึ้นมาอีก”
“เดี๋ยวสิพวกนายน่ะ รู้แล้วหรือไงว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่าตีโพยตีพายกันได้มั๊ย ฮันกยอง แทนที่นายจะปรามแฟนนายแต่กลับเห็นดีเห็นงามไปด้วยเนี่ยนะ” ซองมินหันไปดุฮันกยอง ฮยอกแจพูดไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา สู้ให้ฮันกยองจัดการเองคงจะสบายกับเขามากกว่า
“ด๊อง ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงน่ะ”
คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ดงเฮซุกตัวเองเข้ากับมุมห้องแล้วสะอื้นเงียบๆ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ใจพร่ำหาแต่ชื่อของคิบอมราวคนกำลังจะขาดใจ
“โทรไปถามคิบอมดิ๊”
“เบอร์ล่ะ”
“เอาเบอร์คิบอมให้ซองมินหน่อย” ฮยอกแจหันไปบอกร่างสูงข้างกายแล้วตามไปนั่งข้างดงเฮ อ้อมกอดเล็กๆ แต่อบอุ่นช่วยประคองใจของเพื่อนรักยามอ่อนแอได้เสมอแม้ในเวลาที่ใครบางคนอ่อนแรงเกินกว่าจะต่อสู้กับอะไรได้ไหว
ซองมินต่อสายอยู่สักพักคิบอมก็ปิดเครื่องใส่ ครั้นจะให้โทรเข้าเบอร์ที่บ้านก็คงจะไม่ได้เพราะคิบอมย้ายออกมาอยู่ที่คอนโด ซึ่งนอกจากดงเฮแล้วก็ยังไม่มีใครทราบเบอร์ติดต่อที่คอนโดสักคน แม้กระทั่งฮันกยอง
“เดี๋ยวผมจะลองโทรไปที่โอเปอร์เรเตอร์ให้เขาต่อสายห้องคิบอมนะ” ฮันกยองบอกแล้ววุ่นกับโทรศัพท์อยู่สักพัก แต่ผลปรากฏว่าคิบอมสั่งความไว้แล้วว่าจะไม่รับทุกสายที่ติดต่อเข้ามา พอจนปัญญาที่จะจัดการก็ขอตามคนอื่นมาช่วยกันคิดดีกว่า ยังไงหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว “ซองมินเรียกพี่ฮีซอลมานี่ได้มั๊ย”
“ขืนพี่ฮีซอลรู้เรื่องคิบอมก็ตายน่ะสิ เผลอๆ จะทะเลาะกันใหญ่โตด้วย ตอนนี้คิบอมคงอารมณ์ไม่ปกติเท่าไหร่ด้วย” ซองมินคิดอย่างรอบคอบ
“ก็จริง”
“ชั้นว่าพาด๊องไปส่งบ้านดีกว่า อารมณ์แบบนี้คงไม่มีกะใจจะเรียนต่อแล้วละ”
“งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปส่ง” ฮันกยองขันอาสา ฮยอกแจผละออกมาจากปลาตัวน้อยแล้วตรงมาพูดเรื่องที่ข้องใจ
“ลองไปถามพี่ซอนยีสิ เค้าอยู่ด้วยกันจนถึงตอนที่คิบอมออกไปตามด๊องไม่ใช่เหรอ”
ผลสรุปคือฮันกยองกับฮยอกแจจะเป็นคนไปส่งดงเฮแล้วให้ซองมินไปถามความ แต่ทุกอย่างก็ต้องผิดแผนในทันทีเมื่อตัวอวบได้รับโทรศัพท์จากใครบางคน
“ไม่มี ...ไม่ต้อง ชั้นมีปัญญากลับเองได้” ฮยอกแจเลิกคิ้วกับน้ำเสียงห้วนๆ และท่าทางไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ของซองมินที่มีต่อคนในสาย “จิ๊ งั้นก็ใช้สมองของนายหาตัวชั้นให้เจอแล้วกัน”
ซองมินกดตัดสายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ สั่งการให้ฮยอกแจกับฮันกยองไปหาซอนยีส่วนตัวเองจะพาดงเฮกลับบ้าน ส่วนเหตุผลร่างอวบไม่ปริปากบอกแต่คงไม่พ้นเจ้าคนเซ้าซี้ที่ตามตอแยอยู่ทุกวี่วัน
สายตาของคนเศร้าเลื่อนลอยไร้ประกายวาวราวดาวอ่อนแรงบนผืนฟ้าสีมัว ซองมินขับรถของฮันกยองออกมาจากมหาวิทยาลัยโดยใช้เส้นทางที่ผ่านหน้าย่านการค้ารวมถึงห้างสรรพสินค้าของซีวอน ตาบวมที่เริ่มช้ำและดูท่าคงอักเสบจ้องมองไปยังสวนสาธารณะที่ปักใจอยู่กับมันเนิ่นนาน
“ซองมิน” เสียงหวานแหบพร่าแต่ยังอยากที่จะเรียกอีกฝ่ายให้หันมาสนใจ
“หือ”
“จอดรถหน่อยสิ”
“ฮะ? จอดทำไมอ่ะ ด๊องจะไปไหน”
“สวนสาธารณะ”
เพียงคำสั้นๆ ที่ตอบกลับมา ซองมินถอนหายใจเบาๆ และยอมตามใจคนที่กำลังเสียศูนย์ ขับรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถของห้าง Hyundai แล้วพากันเดินออกมาที่สวนพฤกษาขนาดกว้าง ซองมินเดินตามร่างเพื่อนรักห่างๆ เพราะเข้าใจว่าดงเฮคงต้องการอยู่คนเดียว
ร่างอวบมองตามคนช้ำใจเดินไปนั่งบริเวณม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ดงเฮนั่งซึมมองพื้นดินอยู่อย่างนั้นโดยไม่เคลื่อนไหวและไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ซองมินมองภาพตรงหน้าอย่างใจเสียและหดหู่ลงไปตามๆ กัน
ความรู้สึกเสียศูนย์แบบนี้ซองมินเคยเจอมากับตัว แค่นี้ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนรักต้องการอะไร
เนิ่นนานจนดวงอาทิตย์คล้อยต่ำและหายลับไปที่สุดขอบฟ้า นานจนซองมินเดินแยกออกไปหาอะไรกินแล้วกินอีกจนแอบเรอออกมาเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ กระทั่งกลับมาดูเพื่อนตัวเองก็ยังพบว่าร่างเล็กไม่ได้เปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาอะไรไปจากเดิมเลย
ยกเว้นก็แต่น้ำตาที่ไหลออกมาและเหือดแห้งสลับกันไป ซองมินเคยคิดว่าตัวเองอ่อนแอและน่าสมเพชมากกว่าใครในโลกที่พ่ายแพ้ให้แก่ความรักจนขนาดสูญเสียแม้กระทั่งความเป็นตัวเอง หากแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าแม้แต่วีรบุรุษผู้อาจหาญก็ยังต้องยอมจำนนรับความปราชัยจากสนามรัก
“ด๊อง ค่ำแล้วนะ กลับบ้านเถอะ” คนมีความอดทนสูงตรงเข้ามาเรียกเบาๆ แต่ดงเฮยังคงไม่รู้ตัว จนซองมินต้องสะกิดเรียกแทน
ใบหน้าเศร้าหมองเบือนมาหาอย่างเชื่องช้า ดงเฮเปรียบเสมือนซอมบี้ที่มีเพียงร่างไร้วิญญาณ ดวงหน้าขาวซีดเผือดไร้สีสัน ดวงตาเศร้าสร้อยปริ่มไปด้วยหยาดน้ำแทบตลอดเวลา เพียงเพราะแค่นึกถึงตอนที่ถูกทอดทิ้งจากคิบอมแล้วมันก็รู้สึกอยากจะตายซะให้ได้
ดงเฮส่ายหน้าแทนคำตอบ “ซองมินกลับไปก่อนเถอะ”
“ได้ไงอ่ะ มันอันตรายนะ เฮ่อ.. เอาเป็นว่าเค้าไปหาอะไรให้ด๊องกินก่อนดีกว่า เดี๋ยวมานะ”
ซองมินเดินมาซื้อตอกโปกีตรงริมถนนร้านเมื่อกี้ที่เขามานั่งกิน ระหว่างทางที่เดินผ่านมาคนน่ารักสังเกตเห็นรุ่นพี่เทย่าจอมวีนคู่อริฮยอนจุงที่เดินสวนกัน หญิงสาวเหล่สายตามองตามมาที่เขาเล็กน้อยก่อนสะบัดหน้าเดินฉับๆ ต่อไปอย่างไม่สนใจ ซองมินเองก็ไม่ใคร่ที่จะอยากข้องแวะด้วยนักจึงไม่ได้คิดจะทักทาย
สุดมุมถนนไม่ไกลออกไปนักมีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินเตร่เหล่ผู้หญิงด้วยสายตาหื่นกระหายอยู่ประมาณสี่คนที่คาดว่าคงจะเป็นแก๊งค์เดียวกัน หนึ่งในนั้นสะกิดลูกพี่ของมันให้หันมองตาม
“พี่กอซองๆ นั่นมันกระต่ายน้อยของพี่หรือเปล่าน่ะ”
“ไหนๆๆ บ๊ะ! ใช่จริงๆ ด้วย เดินหาตั้งนาน”
“นึกว่ามันจะกลับบ้านไปแล้วซะอีก จิ๊ๆๆ ขาวๆ อวบๆ แบบนี้มันน่า...”
“เฮ่ยๆ ของข้าเอ็งอย่ามาสะเออะ รอให้ข้าฟัดจนหายอยากก่อนแล้วพวกเอ็งค่อยมากินต่อ” กอซองแสยะยิ้มชั่วร้าย “แล้วแม่คนสวยอีกคนอยู่ไหน ตอนมาก็มาด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
ไอ้พวกกลุ่มดาวอุบาทว์ขับรถตามซองมินมาตั้งแต่พวกเขาออกจากมหาวิทยาลัย แต่คลาดกันระหว่างที่ซองมินกับดงเฮเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้า พวกมันเลยทดค่าเวลาที่เสียเที่ยวมาเดินหม้อสาวสวยเล่นเพราะคิดว่าคงชวดหนุ่มน้อยน่ารักไปแล้ววันนี้ แต่ที่ไหนได้แจ๊กพ็อตดันมาแตกเอาซะได้
“เอาเลยมั๊ยพี่”
“ไอ้โง่ เดี๋ยวไก่ตื่นสิวะ มันมาด้วยกันก็น่าจะรู้ว่าอีกคนอยู่ไหน รอให้มันอยู่ด้วยกันก่อนแล้วค่อยจัดการทีเดียว หึๆๆ ขาวๆ แบบนี้ล่ะพ่อจะทำให้แม่งน่วมไปทั้งตัวเลย”
“ให้ผมคนนึงได้มั๊ยพี่ ถึงจะเป็นผู้ชายแต่สวยเป็นบ้าเลย”
“ไอ้ห่านี่ เออๆๆ แต่ขอข้าเลือกก่อนก็แล้วกัน เอ้อ ไปเอากล้องท้ายรถมาด้วย เผื่อเอาไว้แบล็คเมล์มันทีหลัง เดี๋ยวพลาดเหมือนคราวที่แล้วอีกพ่อข้าเล่นยับแน่”
ทันทีที่ซองมินเดินกลับมาหาเพื่อนที่นั่งรออยู่ ร่างเล็กก็โดนประชิดตัวและถูกสองในสี่ของพวกกอซองกระชากตัวไปที่โกดัง มือสากอุดบนปากจนซองมินปวดไปหมด เพียงแค่เห็นหน้านัมกอซองเท่านั้นมือที่ปัดป้องตัวเองก็ชะงัก รู้ดีว่าให้ใช้กำลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถหลุดรอดเงื้อมมือเดนสวะไปได้ ระหว่างที่ถูกนำตัวไปก็ควานหาโทรศัพท์อย่างแนบเนียน ใช้ความที่ไม่ขัดขืนเป็นจุดเบี่ยงเบนความสนใจแล้วกดปุ่มโทรล่าสุดออกไป
คิบอมหลับตาลงด้วยความขมขื่น ฮันกยองรัวทุบประตูห้องเขาหลังจากกดอินเตอร์โฟนแล้วเขายังคงไม่สนใจ ฮันกยองคงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงน่าดูที่คิบอมไม่แม้แต่จะส่งเสียงตอบรับ ตลอดเวลาที่เพียรเรียกคิบอมเอาแต่นั่งเงียบอยู่บนเตียงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
อยากจะเบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้าที่มีคนที่เขาเรียกว่าคนรักยิ้มแฉ่งมาให้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ล้วนแต่เจอดวงตากลมสีหวานของดงเฮจ้องกลับมาเสมอจนคิบอมเหนื่อยและหงุดหงิดใจที่จะลืมตา
สู้หลับตาแล้วหนีมันไปให้พ้นๆ คงจะดีกว่า
“ไอ้คิบอม!! ดงเฮไม่ยอมกลับบ้านก็เพราะแกนะเว๊ย ใจคอจะไม่สนใจเค้าเลยหรือไงวะ!!!” ฮันกยองตะโกนลั่น
เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ...
ร่างสูงคว้าโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไว้ใกล้ตัวมาถืออย่างชั่งใจ ใจคิบอมมันทั้งจุกทั้งเจ็บ อารมณ์โกรธที่คุกรุ่นอยู่ตอนนี้มันยากจะทำใจให้ต้องเผชิญหน้ากับดงเฮ แต่ถึงจะถูกทำให้เจ็บปวดและเสียใจแค่ไหนรักที่ล้นใจมันก็ไม่เคยจางหาย เพราะรักคำเดียวจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คิบอมกดโทรออกถึงคนที่ทำให้ใจไม่เป็นปกติ
[ค..คิบอม]
รอไม่ถึงสองวินาทีอีกฝ่ายกระวีกระวาดกดรับสายอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่คิบอมเปิดเครื่องนั้น Miss Call จากคนๆ นั้นก็แจ้งเข้ามาจนเกือบสี่สิบสาย
“...”
[เชื่อเค้าแล้วใช่มั๊ย ยกโทษให้กันแล้วใช่มั๊ย] เสียงหวานสั่นพร่าปนเสียงสะอื้นจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“ยัง” คิบอมตอบทันควัน “ทำไมไม่กลับบ้าน” ยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จะรู้บ้างมั๊ยว่าตัวเองกำลังจะทำให้เขากลายเป็นบ้าเพราะถูกปั่นหัว เดี๋ยวทำให้โมโหเดี๋ยวทำให้เป็นห่วงจนคิบอมอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด
[ฮึก คิบอม ขอโทษนะ ชั้นไม่ได้อยากจูบกับพี่ซอนยีจริงๆนะ เชื่อชั้นนะ]
“อยู่ที่ไหน”
ไม่มีกะใจจะฟังคำแก้ตัวหรือคำพูดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆ นั่นจนทำให้เขาเจ็บใจอีกแล้ว คิบอมตัดบทด้วยคำพูดห้วนสั้นจนคนฟังกลั้นน้ำตาไม่ไหวร้องไห้โฮ
[ฮือๆๆ คิบอม ใจร้าย คิบอมใจร้าย]
คิบอมแทบอยากจะสวนกลับไปว่าใครกันแน่ที่ใจร้าย ทั้งที่เขาเคยเตือนเคยบอกกระทั่งแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าอย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนี้หรือใครคนอื่นแต่ดงเฮน่ะเคยที่จะฟังบ้างมั๊ย เพราะความที่ไว้ใจคนอื่นมากจนเกินไปผลสุดท้ายเลยไม่พ้นเราทั้งคู่ที่ต้องเจ็บกันสองฝ่ายจากการกระทำของตัวเอง
[ไม่รักกันแล้วใช่มั๊ย ฮึก..]
“อย่าพูดแบบนี้นะ” คิบอมเสียงแข็ง “ถ้าไม่รักผมจะเป็นบ้าแบบนี้เหรอ”
แทนที่คนฟังจะร้องไห้เสียใจเพราะโดนดุหากแต่ดงเฮกลับมีสีหน้าดีใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง น้ำตาที่ปริ่มรื้นรอบดวงตามาจากความเต็มตื้น
[เค้าขอโทษนะ ยกโทษให้เค้าได้มั๊ย]
“ตอนที่พูดตอนที่บอกน่ะ ทำไมไม่ฟัง” น้ำเสียงเรียบนิ่งของคิบอมมันแฝงไว้ด้วยความน้อยใจและผิดหวัง ขมขื่นแทบบ้าที่ต้องมารับสภาพที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ “ผมยังทำใจไม่ได้”
[ฮือๆๆ คิบอมเค้าขอโทษ เค้าขอโทษ]
“จะร้องไห้ทำไมอีก เดี๋ยวก็บ่นปวดหัว” เคืองก็เคือง เป็นห่วงก็เป็นห่วง
[ฮึก..]
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
[คิบอม] ปลายสายเรียกเสียงแผ่ว เริ่มรู้สึกหนักอึ้งที่หัวขึ้นมาแล้วจริงๆ [อย่าเลิกรักเค้านะ ฮึก อย่าเลิกรักกันนะ]
คำพูดอ้อนวอนที่ได้ยินมันเยียวยาดวงใจที่แตกสลายของคิบอมให้สมานประสานกันจนเข้าใกล้รูปรอยเดิม คำตอบจากปากบอกออกไปอย่างไม่ต้องรีรอเสียเวลาคิด
“อืม”
[เรียกเค้าว่าหนูด๊องหน่อยสิ คนดีหรืออะไรก็ได้ นะ นะคิบอม] เว้าวอนอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวจะถูกมองว่าอ้อนวอนขอความรักหรือยอมเสียศักดิ์ศรี ในเมื่อทั้งหมดทั้งมวลของใจที่ต้องการมันคือคนๆ นี้แล้วจะต้องให้ความสำคัญอะไรกับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกที่ประณามเหยียดหยาม แต่เพื่อผู้ชายที่ผมจะขอกุมมือไปตลอดชีวิต ผมก็ยอม
“...”
[ฮึก.. เค้ารักคิบอมนะ]
“อืม” คำบอกรักที่มีความหมาย คงมีค่าที่สุดเมื่อตอนที่ใครคนนั้นพร้อมจะพูดมันออกมาให้ได้ยิน และตอนนี้เขาขอเลือกที่จะเป็นฝ่ายรับฟังคำนั้นจะดีกว่า “อยู่ที่ไหน ผมจะไปรับ”
[สวนสาธารณะ... อ๊ะ!! อื้อ!!! ปล่อยนะ!!]
“ดงเฮ! ดงเฮ!!”
[หึๆๆ แกน่ะ] สุ้มเสียงชั่วร้ายแผดออกมา [คิมคิบอมใช่มั๊ย]
“แกเป็นใคร ทำอะไรดงเฮ!!” คิบอมกัดฟันกรอด ร่างกายมันอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป คว้าเอากุญแจรถและพรวดพราดออกไปทันที
[แฟนแกน่ะเหรอ หึๆๆ สวยๆ ขาวๆ แบบนี้จะเอาไว้ทำอะไร แกก็น่าจะรู้นะ]
“ถ้าแกกล้าแตะต้องคนของชั้นแม้แต่ปลายเล็บ ชั้นไม่ปล่อยแกเอาไว้แน่”
[หึๆ ก็ให้มันรู้กันไปสิ แต่คงต้องหลังจากคนของแกมันถูกข้าฟัดจนไม่เหลือซากแล้วล่ะนะ ถนอมกันดีไม่ใช่เหรอ ข้าจะขยี้ดวงใจแกให้แหลกเลย ฮ่าๆๆ]
“โธ่เว๊ย!!!!”
คิบอมสบถลั่นแล้วทุบผนังลิฟต์จนเสียงกัมปนาทดังก้อง
หากคุณเป็นอะไรไป ผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย
“แม่งโว๊ย!!! เร็วสิวะ!!!!!”
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
ความคิดเห็น