ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #62 : :: Chapter 44 : เผลอไผล - เข้าใจผิด - ผลลัพธ์ ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.02K
      39
      26 มี.ค. 53

     

     


    เผลอไผล  

     

     

     

     

     

    คยูฮยอนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ   สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องแพ้ทางซองมินเพราะสายตาเรียบๆ เย็นๆ ที่จ้องมองอย่างเฉยเมยนั่นอีกแล้ว   ไม่กล้าหือเพราะความผิดที่ติดตัวอยู่ก็เป็นชนักติดหลังให้ไม่สามารถทำอะไรได้

    ซองมินมองผ่านกระจกเห็นคยูฮยอนยืนตบยุงรออยู่หน้าบ้านแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ   กริยานั้นไม่มีทางรอดพ้นสายตาของรุ่นพี่จอมสาระแนไปได้

    “เป็นอะไรกันเหรอ”   ฮยอนจุงมายืนข้างๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้

    “หือ?   ผมกับไอ้บ้านั่นน่ะเหรอ”

    “ใช่   ไอ้ตูบของนายอ่ะ”

    “ไม่รู้สิครับ”   ร่างเล็กถอนหายใจซ้ำซาก   “เหมือนกับว่า   คนที่เคยทำผิดแล้วอยากจะแก้ตัวล่ะมั๊ง   ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน”

    “แล้วจะให้อภัยหรือเปล่า”   ฮยอนจุงเหมือนคนตาทิพย์ที่สามารถมองเห็นและรับรู้เรื่องราวทุกอย่างได้อย่างแจ่มแจ้งจากการอธิบายเพียงไม่กี่คำ

    “ผม...   ไม่รู้”

    “98% ของคำว่าไม่รู้หมายถึงไม่แน่ใจ   นายอยากยกโทษให้ไอ้ตูบล่ะสิ”   ซองมินหลุดหัวเราะพรืด    เพราะฮยอนจุงยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นชื่อคยูฮยอนก็เลยเรียกแต่ไอ้ตูบๆๆ    และตอนนี้ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นชื่อเล่นของคยูฮยอนไปซะแล้ว

    “พี่อ่ะมั่ว   ไม่รู้ก็คือไม่รู้สิ”

    “ชั้นน่ะเดาแม่นนะจะบอกให้”

    “แต่ตอนนี้เดาพลาดแล้ว   จะกลับบ้านได้ยัง”   ซองมินหาทางไล่  ยิ่งเขาอยู่ก็มีแต่ตัวเองจะถูกล้วงความลับและเผยไต๋ให้พูดเรื่องในใจ    กว่าจะเฉลียวใจได้ก็คงถูกปลิ้นข้อมูลจนหมดเปลือกแล้ว

    “อะไรอ่า   ไล่กันเลย   ชิๆ”   

    “ดึกแล้วนะฮะ   เดี๋ยวพี่เสียงดังผมกลัวแม่ผมจะตื่นอ่ะ   ไว้วันหลังค่อยมาใหม่ก็ได้”

    “ยังไม่ได้ดูห้องนายเลยนะซองมินนี่”   ร่างหนาทำงอแง  

    “คราวหน้าๆ”

    “เง่อ”

    ร่างอวบดันหลังสมส่วนของฮยอนจุงที่มีใบหน้ากระเดียดไปทางหวานสวยให้เดินเอื่อยๆ ไปหน้าบ้าน   ตาเรียวสอดส่ายหาร่างหนาที่เห็นก่อนหน้านี้แต่มองไม่เห็น

    “ไอ้ตูบไปไหนแล้วอ่ะ”

    “ก็เข้าบ้านนอนน่ะสิ   สงสัยเจ้าของให้เพ็ดดีกรีไปกินแล้วมั้ง  คิๆๆ”   ฮยอนจุงหัวเราะคิกตาม   ซองมินโทรตามแท็กซี่จากศูนย์มาให้เพราะดึกป่านนี้ในหมู่บ้านเขาจะไม่มีรถวิ่งผ่าน   พอฮยอนจุงจะเก็บตัวเองใส่รถจริงๆ ก็ยื่นหน้ามาจุ๊บเบาๆ ให้ที่แก้มนวลด้วยสีหน้าเบิกบาน  

    “เย้ๆ   บายบ๊ายซองมินนี่~  

    “ไอ้รุ่นพี่ประสาท”   ร่างอวบถูแก้มตัวเองไปมาอย่างอารมณ์เสียนิดๆ ที่ถูกลวนลาม

    สายลมโชยอ่อนออกมาจากบริเวณสวนข้างบ้านที่ลมเหนือพัดผ่าน   หอบเอากลิ่นดินที่แปลงดอกไม้ลอยมาคละคลุ้ง   ซองมินซึมซับธรรมชาติยามดึกอย่างสบายอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย   ร่างเล็กเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาลงกองบนพื้นดินที่คละด้วยใบหญ้า   ยิ้มน้อยๆ ก่อนหมุนร่างกลับเตรียมจะเข้าบ้าน

    และคงได้ทำอย่างนั้นถ้าไม่มีมารผจญมายืนขวางไว้เสียก่อน

    “หลบไป”   คนน่ารักพูดเสียงเรียบ

    “ไม่   ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร”   ใจคนถามระส่ำระส่ายไปหมด   ตั้งแต่ที่เห็นซองมินพาฮยอนจุงเข้าบ้านไปด้วยกันนานสองนาน  ถ้าไม่ติดว่าเห็นรถฮโยมินจอดอยู่ตัวเองคงบุกเข้าไปอาละวาดแล้ว

    นายเป็นของชั้นนะมินมิน   ชั้นไม่ให้นายไปยุ่งกับใครนะ

    “ชั้นบอกให้หลบไปยังไงล่ะ”   ตากลมจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง   เขาไม่ใช่ลีซองมินจอมอ่อมแอและยอมที่จะตกเป็นเบี้ยล่างของคยูฮยอนอีกแล้ว   ลีซองมินคนนั้นมันตายไปแล้ว

    “นายก็บอกชั้นมาก่อนสิว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร   เกี่ยวข้องอะไรกับนาย”   คยูฮยอนยังไม่ละความพยายาม   แม้สายตาที่เย็นเยียบจะทำให้เขาใจฝ่อทุกครั้งที่ได้เห็นมันก็ตามที

    “จะอยากรู้ไปทำไม   ใช่เรื่องของนายเหรอ”

    “มันจูบนายนะ!   คยูฮยอนกระชากเสียงหงุดหงิด

    “แล้วไงล่ะ”  

    “ซองมิน!

    “ทำไม   เดือดร้อนอะไรงั้นเหรอ”   น้ำเสียงซองมินยังยียวนชวนให้โมโห 

    “ตอบชั้นมาดีๆ ได้มั๊ยซองมิน”

    “อยากฟังชั้นตอบว่าอะไรล่ะ   อืม...   เป็นเพื่อนกัน   เป็นพี่น้องกัน    หรือว่าเป็นแฟนกันดี”

    คนเป็นต่อกระหยิ่มยิ้มอย่างสะใจ   ซองมินผลักอกกว้างที่อยู่ตรงหน้าออกไปให้พ้นจากรัศมีทางเดินแล้วก้าวขาผ่านหน้าร่างสูงไปพร้อมรอยยิ้มสมใจ

    ร่างสูงตามไปคว้าแขนขาวที่กำลังจะเปิดประตูบ้านให้หันกลับมาทางตัวเอง   ตากลมสะบัดมาจิกใส่อย่างไม่พอใจ  

    “อะไร   ยังไม่พอใจนายเหรอ   หรือว่าอยากฟังอะไรเพิ่ม   รีเควสมาสิ  เดี๋ยวชั้นจัดให้”

    “หยุดได้แล้วมินมิน   เลิกทำแบบนี้ซักที”   คยูฮยอนเจ็บใจร่างตรงหน้าใจจะขาด   ใบหน้ายียวนและคำพูดประชดประชันที่ร่างบางทวีใส่มันเป็นชนวนของพายุร้ายที่เริ่มตั้งเค้าทะมึนในใจของคยูฮยอนจนรู้สึกอยากจะบีบร่างแน่งน้อยให้หวาดกลัวและยอมสยบ

    “แบบไหน   ชั้นก็เป็นของชั้นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว   เพียงแต่นายไม่เคยได้เห็นมันเท่านั้นเอง”   รอยยิ้มสังเวชกระตุกขึ้นที่มุมปาก   “เพราะตลอดมานายคือคนที่เอาเปรียบและทำร้ายชั้นตลอดเวลาไงล่ะ”

    “ชั้นก็ขอโทษนายไปแล้วไง    ให้อภัยชั้นไม่ได้เหรอ”   คยูฮยอนพูดเสียงอ่อน   “ยกโทษให้ชั้นนะมินมิน”

    น้ำเสียงอ้อนวอนที่เปล่งออกมามันทำให้ใจดวงน้อยที่แสนอ่อนโยนเริ่มสั่นไหว   แววตาเว้าวอนกำลังทรมานให้กำแพงแห่งความเย็นชาของซองมินทลายลงไปทีละนิดๆ

    ถ้าไม่ติดว่าภาพของวันเก่าที่เขาอ้อนวอนให้คยูฮยอนกลับมามันไม่มาซ้อนทับและฉีกเรื่องราวเหล่านั้นลงจนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี

    “ทีเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน   นายยังไม่เคยคิดจะยกโทษให้ชั้นเลย    ตามรังควาญและทำร้ายชั้นจนไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายทั้งเป็น”   เสียงหวานพูดแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน   สายตาตัดพ้อฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจจนคนที่มองชาวาบไปทั้งหัวใจ    “อย่ามาหวังเอาอะไรจากชั้นอีกคยูฮยอน   กลับไปอยู่ในที่ของนายซะเถอะ”

    “เลิกพูดเรื่องนี้สักทีจะได้มั๊ยมินมิน   หยุดไล่ชั้นซะที   นายก็ไม่ชอบไม่ใช่เหรอเวลาชั้นทำอะไรไม่ดีกับนายน่ะ   จะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

    “แต่นายก็ทำ!   เสียงแข็งตอบกลับทันควันจนคยูฮยอนสะอึก   “มันก็สาสมแล้วที่นายสมควรจะได้รับสิ่งที่เคยทำเอาไว้กับชั้น   จำเอาไว้ว่าชั้นไม่เคยขอร้องให้นายกลับมา   ไม่เคยบอกว่าอยากเห็นนายมายืนอยู่ตรงนี้   ตั้งแต่เกิดมาชั้นไม่มีนายก็ยังอยู่ได้   กับอีแค่ผู้ชายคนนึงมันไม่ทำให้ชั้นตายหรอก”  ดวงตาสวยเป็นประกายกร้าวอย่างคนเหนือกว่าที่มีอำนาจสั่งการทุกอย่าง   ราวจอมเผด็จการที่แววตาจะมีเพียงความเด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่ง   แม้จะเคยเจ็บเจียนตายเพราะคยูฮยอนแต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันพรากลมหายใจของเขาไปด้วย

    “ฐานะของนายคือผู้ชายคนนึงที่ชั้นไม่ได้ต้องการ   จำเอาไว้ด้วยว่าแม้แต่แตะต้องตัวชั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์  โจวคยูฮยอน!

    “นายยังไม่เลิกล้มความคิดนี้อีกเหรอ   วันนั้นที่ชั้นจูบนายยังไม่ชัดเจนพออีกหรือไงว่าชั้นต้องการอะไร!

    “ก็แล้วมันอะไรล่ะ!   ขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิดเต็มทนกับคำพูดวกวนกำกวมฟังแล้วน่ารำคาญ   วันก่อนทำทีเป็นอ่อนโยนมาให้กำลังใจจนเขาใจสั่น   แต่วันนี้ก็กลับมาอีกพร้อมท่าทางกร่างและเอาแต่ใจไม่สนใจความรู้สึกของเขาเหมือนเมื่อก่อน      เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผู้ชายคนนี้มันจะเอายังไงกับเขากันแน่

    “ชั้นก็แค่อยากให้นายยกโทษให้”

    “นายเคยทำผิดอะไรไว้กับชั้นล่ะ”   เสียงของซองมินสั่นพร่าอย่างเจ็บปวด   กดริมฝีปากเข้าหากันแน่นเพื่อสกัดกั้นความวุ่นวายใจที่ปนเปมั่วกับความเสียใจจนจุกอกไปหมด

    “ชั้นขอโทษที่ทิ้งนายไป   ขอโทษที่ทำให้นายเสียใจจนถึงทุกวันนี้    ขอโทษที่ไม่บอกความจริงกับนายว่าชั้นรู้สึกยังไง   ชั้นขอโทษ”

    ร่างเล็กถูกรั้งเข้ามากอดไว้แน่นในอ้อมกอดที่แสนจะโหยหา   คยูฮยอนเฝ้ากอดเฝ้าหอมเรือนร่างบอบบางอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวซองมินจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงหากเขากระทำการรุนแรงให้ร่างเล็กบาดเจ็บ   ความอ่อนโยนที่โหยหาและอยากได้รับมานานจากชายคนนี้ทำให้ซองมินสับสน   คำพูดร้ายกาจที่เคยด่าทอประจานความชั่วร้ายกลืนหายลงไปในลำคอจนแทบสิ้น   เหลือเพียงอ้อมกอดเล็กที่เลื่อนมือขึ้นไปกอดตอบร่างหนาอย่างแสนคิดถึง

    อีกแล้ว ...   ร่างกายมันตอบสนองสัมผัสแสนดีจากชายคนนี้ไปอีกครั้งแล้ว    ...เพียงเพราะถ้อยคำสำนึกผิดเพียงไม่กี่คำ

    แต่ครั้งนี้...  ให้มันเป็นครั้งสุดท้ายซะเถอะลีซองมิน

     

     

     

     

     

     

     

    คิบอมตื่นขึ้นด้วยอารมณ์ที่เติ่งสุดชีวิต   ดวงตาคมคายจ้องมองเพดานที่แปะไว้ด้วยวอลเปเปอร์รูปของคนที่ใจโหยหาตลอดทั้งคืนอย่างปวดหัว   ในใจก็นึกถึงแต่ร่างบางว่าป่านนี้กำลังทำอะไร   หายโกรธและพร้อมที่จะคุยกับเขาหรือยัง  และอีกหลายๆ อย่างที่พากันตีมวนมั่วไปหมดในหัว   ยกเว้นเรื่องที่จะขอคืนดีหากดงเฮยังงี่เง่าและไม่มีเหตุผล

    ไม่ใช่ว่าอยากจะทะเลาะกับคนที่รักแต่ไม่ว่ายังไงดงเฮก็ไม่เข้าใจความรู้สึกและการแสดงออกของเขา   รักมากห่วงมาก   ห่วงมากหวงมาก    หวงมากก็หึงมาก   นี่แหละนิสัยของคิบอมที่มีต่อของรักทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นอะไร   อยากให้เขาเข้าใจตัวเองมากกว่านี้   นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางของคำว่าอยากจะมีอนาคตร่วมกัน  ความคิดเล็กๆ ที่อยู่ในหัวคิบอมเสมอว่าอยากจะมีร่างบางเจ้าของรอยยิ้มสดใสนั้นเคียงข้างตลอดไปคงจะเป็นได้แค่ความฝันหากดงเฮยังไม่เข้าใจและต้องทะเลาะกันทุกครั้งที่เกิดปัญหา

    วิ่งหนีออกไปอย่างนั้นคงก็ไม่พ้นร้องไห้ขี้มูกโป่ง   ห่วงก็ห่วงรักก็สุดแสนจะรัก   เขาน่ะเชื่อใจและไม่เคยคิดระแวง  หากแต่เพราะซอนยีมีบางสิ่งที่น่ากลัวว่าจะเข้ามาบิดเบือนและเปลี่ยนใจของคนที่เขาหวงแหนไปจากตัวเองแล้วความอดทนที่มีมามันก็เตลิดหายไปจนหมด

    ดงเฮคงไม่ได้โกรธอะไรตัวเองมากมายเพียงเสียใจและค่อนไปทางผิดหวังมากกว่าที่เขาผิดสัญญาที่ให้ไว้    แถมยังพูดจาแบบนั้นอีก   ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว  ร่างสูงสะบัดไล่ความคิดมากมายแล้วลุกไปอาบน้ำ   ฮันกยองโทรมาตามให้เขารีบไปเข้าคลาสเพื่อพรีเซนต์รายงาน Marketing ที่ทำค้างไว้เมื่อวาน   พอถึงมหาวิทยาลัยคิบอมเลยตรงเข้าไปทำงานก่อนเป็นอันดับแรกและกว่าจะเสร็จก็ปาไปเที่ยงวันแล้ว

    ออกจากตึกทรงสูงสีขาวได้ก็ตั้งใจว่าจะเดินไปหาคนที่กำลังเคืองโกรธพร้อมฮันกยองที่ฮยอกแจโทรมาจิกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วหวังไม่ให้คลาดสายตา   ยิ่งเห็นเพื่อนรักยิ้มตาหยีมีความสุขก็ยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขายังหัวเราะร่าอยู่กับดงเฮอยู่เลย   ถ้าไอ้รุ่นพี่เวรนั่นมันไม่ขอตามไปด้วยคงไม่ต้องเป็นแบบนี้

    “อีกเดี๋ยวไอ้ผีจีนจะมานะ   คิบอมก็มาด้วย”

    “ให้เค้ามาทำไม”   เสียงหวานห้วนสั้นตัดฉับคำพูดของฮยอกแจกลางอากาศ

    “เฮ่อ   ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ   ตั้งแต่เช้าแล้วนะ”   คุณหนูเล็กถอนหายใจ    ซองมินยักไหล่อย่างจนปัญญากลับมาให้เมื่อฮยอกแจหันไปขอความเห็น    “เมื่อไหร่จะเลิกโกรธคิบอมซะทีล่ะ    ทะเลาะกันนานๆ ก็ไม่ดีนะ”

    จากประสบการณ์ตรงที่ประสบมากับตัวก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ผิดใจกันระหว่างคนรักของเพื่อนอีก   เพราะตอนที่ฮันกยองของเขาเฉยเมยและไม่สนใจมันรู้สึกเหมือนใจหาย   แม้ตอนนั้นยังทำใจเฉยได้เพราะมีงานต้องสะสางก็เถอะ   แต่พอเกิดเรื่องเข้าจริงๆ แล้วคิดว่าหากวันนั้นไม่มีผู้ชายที่แสนดีคนนี้คอยปลอบโยนแล้วล่ะก็เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะยืนหยัดอยู่ได้ยังไง

    “เราเป็นผู้ชาย   แต่คิบอมกลับพูดเหมือนกันเราเป็นผู้หญิงที่จะไปมีอะไรกับพี่ซอนยี   ถ้าฮันกยองพูดแบบนั้นบ้างฮยอกจะรู้สึกยังไงล่ะ”   ดวงตาหวานยังฉายแววเคืองไม่หาย   ความโกรธมันไม่ได้ลดลงจากเมื่อคืนเลยแม้แต่นิด   ยิ่งตลอดทั้งเช้านี้อีกฝ่ายไม่มีท่าทีสำนึกผิดหรือมาง้อก็ยิ่งบึ้งตึงเข้าไปใหญ่

    “เตะก้านคอแม่งเลย”

    “ไอ้ไก่ -*-”

    “เอ๊า”   ฮยอกแจร้องเสียงหลง  ไม่เข้าใจว่าตนผิดอะไรถึงถูกซองมินดุ    แต่พอเจอสายตาห้ามปรามเข้าไปก็เงียบกริบ

    “ตอนนี้เราไม่อยากเห็นหน้าคิบอม”   สิ้นเสียงของดงเฮฮันกยองก็โผล่พรวดเข้ามากลางวง   แขนยาวคว้าร่างเล็กที่แสนหวงมาไว้ใกล้ตัวพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกจนตาเหลืออยู่ขีดเดียว

    “อย่ารุ่มร่ามได้มั๊ยไอ้โหดบ้า”   น้องอ่อนแอขู่เหมือนแม่เสือไม่มีผิด

    ฝ่ายคิบอมที่เดินตามหลังมาพอเห็นคนสวยทำหน้าบูดไม่หายก็ตีหน้านิ่งเข้าใส่   ดงเฮเห็นอย่างนั้นก็ชักสีหน้าหงุดหงิดและไม่ยอมพูดยอมจา   ร่างสูงนั่งลงข้างๆ ร่างเล็กที่เชิดหน้าหนีอย่างโกรธจริง   แม้จะผิดใจกันอยู่แต่ก็ทำใจให้ห่างตาห่างตัวไม่ได้ซะทีเดียว   ถึงจะไม่พูดและทำทีเป็นไม่แยแสแต่ก็ไม่อาจละความห่วงใยไปจากร่างบอบบางนี้ได้แม้แต่วินาที   คิมคิบอมก็คือคิมคิบอมอยู่วันยังค่ำ

    บรรยากาศมึนตึงชวนให้ฮยอกแจและซองมินเริ่มจิตตก   จากที่คิดว่าจะช่วยไกล่เกลี่ยให้คืนดีกันไวๆ ก็เริ่มอยากจะเปลี่ยนแผน   แต่ฮันกยองที่ดูเหมือนจะอยู่เฉยไม่เป็นก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน

    “หนูเล็กอ่า   ไปกินข้าวกันยัง   ผมหิว”   ร่างหนาร้องอ้อนแล้วโน้มตัวมาคลอเคลีย

    “อะไรของนายเนี่ย  มาหิวอะไรตอนนี้   เห็นมั๊ยว่าพวกชั้นกำลังเครียด”   ตัวเล็กดุเข้าให้   ร่างใหญ่เลยได้โอกาสรวบร่างบางเข้ามากอดอย่างหวงแหน

    “อย่าดุเลยน่า   เป็นห่วงนะ”

    ฮันกยองเลียนแบบท่าทางคำพูดอ่อนโยนที่มักได้ยินเสมอจากคู่ทูลิ้มที่ชอบทำสวีทออกหน้าออกตาเกินชาวบ้านเสมอ   การกระทำที่ผ่านมาของคนที่เคียงข้างกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและไม่เคยห่างกันไกลนับจากวันที่คบกันมันไปสะกิดใจที่เกิดรอยร้าวขึ้นมาอย่างจัง

    คิบอมเหลือบมองคนตัวเล็กที่ก้มหน้าลงนิดๆ ด้วยสายตาอาทร   อยากจะเอื้อมมือออกไปเพื่อกอบกุมมือเล็กที่เฝ้าทะนุถนอมมาไว้กับตัวอีกครั้ง   และแล้วความห่วงหาและรักที่ไม่เคยจางไปก็เป็นฝ่ายชนะทิฐิ    มือหนาละจากตักตนเคลื่อนไปหาดงเฮที่นั่งก้มทำหน้าเหงาราวภาพสโลว์   พวกที่เติมเชื้อไฟรักเมื่อครู่จ้องลุ้นกันแทบหยุดหายใจ

    “ดงเฮจ๊ะ”

    อ๊ากกกกกกก!!!    ยัยมารร้าย!!!

    ซองมินกับฮยอกแจกรีดร้องลั่นในใจแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน   รู้ทั้งรู้ว่าเสียมารยาทและเป็นการไม่ให้เกียรติรุ่นพี่ที่เคยช่วยเหลือตัวเองในหลายๆ เรื่องที่สบถใส่เธอแบบนี้   แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่   จ๊าดง่าว!!!

    “ครับพี่ซอนยี” 

    คิบอมถดมือกลับทันทีที่เสียงหวานร้องขานรับ   ดวงหน้าคมคายที่เพิ่งคลายปมยุ่งเหยิงกลับมาถมึงทึงอีกครั้งอย่างเก็บกลั้นความหมองใจไว้ไม่อยู่เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้คนที่ตนหวงแหน

    “ไปช่วยพี่แยกคอสตูมหน่อยได้มั๊ย   พอดีพี่ไม่รู้น่ะว่าชุดไหนที่ดงเฮให้พี่ช่วยแก้   ตอนบ่ายก็ต้องส่งคืนร้านแล้วด้วย    ไปช่วยพี่หน่อยนะจ๊ะ”

    “เอ่อ..”

    คนสวยอึกอักเหมือนเกรงใจร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ   แต่พอเบือนหน้ากลับไปมองคล้ายจะขออนุญาตไปช่วยซอนยีก็พบท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไม่สนใจตัวเองแทนเสียอย่างนั้น   เป็นใครก็โมโหแล้วอยากจะประชดกลับ   ความเดิมยังไม่หายความใหม่ก็เข้ามาแทรก   เรื่องมันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่เมื่อดงเฮอยากจะเอาชนะไอ้คนหน้านิ่งนี่จนตัวสั่น

    “ได้สิฮะ”   รับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มท่ามกลางคิ้วของฮยอกแจที่กระตุกยิก   ทว่าคิบอมยังคงทำเฉยไม่รู้สึกรู้สาหรือรับรู้อะไรด้วยจนร่างเล็กหน่ายที่จะสนใจ   ทำยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาง้องอนหรือรู้สึกแคร์อะไรด้วยเลย    มันน่าเจ็บใจนะ

    “ปล่อยไปแบบนี้จะดีแน่แล้วเหรอ”   ฮันกยองพยายามเรียกคืนสติของคิบอมกลับมา   สายตามองร่างของดงเฮที่เดินออกไปสลับกับมองเพื่อนตัวเองที่มองตามหลังร่างเล็กไปไม่ห่าง  

    “ที่แกกลัวน่ะไม่ใช่พี่ซอนยีหรอก    แต่แกกลัวความเย็นชาของแกจะแพ้ความอ่อนหวานของผู้หญิงมากกว่า   ไอ้คิบอมเอ๊ย   รักเค้าก็ไปเอาเค้าคืนมาสิวะ”

     

     

    แสงตะวันสีนวลทอประกายสาดแสงอันอบอุ่นเพื่อหล่อหลอมภูเขาน้ำแข็งอันหนาทึบและโดดเดี่ยวให้หลอมละลาย

     ผืนน้ำแข็งที่ว่าทนทานยังพ่ายแพ้ต่อการกัดกร่อนของแสงแห่งทิวา   แล้วนับประสาอะไรกับใจคน

    ...หากแสงอรุณเปรียบได้ดังรอยยิ้มของดงเฮ   ภูเขาน้ำแข็งอันแข็งแกร่งก็คงเป็นใจของคิบอมที่ยอมให้แผดเผาจนละลายกลายเป็นธารน้ำอย่างไม่เหลือชิ้นดี...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อา   น่าจะเป็นตัวนี้นะฮะ”   ร่างเล็กคว้าชุดที่ตนใส่คืนก่อนไปแขวนที่ราวเพื่อแยกว่าผ้าชิ้นไหนบ้างที่ได้แก้ตะเข็บไปบ้างเพื่อจะได้แจ้งที่ร้านถูก

    “แล้วตัวนี้ล่ะจ๊ะ”   เรือนร่างสูงโปร่งแต่ได้รูปอย่างหญิงสาวที่สัดส่วนดีขยับเข้ามาใกล้   “พี่ว่าดงเฮใส่ชุดพวกนี้แล้วดูดีมากเลยนะ”

    “พี่ซอนยีอย่าพูดแบบนั้นสิฮะ   ผมไม่ค่อยชิน”

    นอกจากคิบอมแล้วการถูกชมว่าสวยหรือเหมือนผู้หญิงมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเท่าไหร่   เว้นก็แค่ว่าจะถูกชายในดวงใจพูดชมว่าสวยอย่างนั้นน่ารักอย่างนี้ก็แค่นั้น    แต่ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งหงุดหงิด   สู้ไม่สนใจยังจะดีกว่า   เฮอะ!

    “หือ”  หญิงสาวเลิกคิ้ว   “ก็มันจริงนี่นา   ดงเฮน่ะสวยจะตายไป”

    “ไม่หรอกฮะ”   คนสวยยิ้มเจื่อนๆ   ซอนยีเลื่อนมือขึ้นมาสัมผัสพวงแก้มขาวจนคนถูกรุกเริ่มรู้สึกประหลาด

    “เอ่อ...”   หญิงสาวค้างมือไว้ที่เดิม   ดวงตาเรียวสวยทอดมองมาอย่างมีความหมาย   จากที่เคยคิดว่าพี่ซอนยีเป็นเพียงหญิงสาวใจดีความคิดนั้นก็ต้องพลันเปลี่ยนไปเมื่อมันไม่ผิดแผกอะไรจากสิ่งที่ฮีซอลเคยพูดไว้ให้ได้ยิน

    ยัยซอนยี้น่ะตัวอันตราย    ชั้นไม่ชอบขี้หน้ายัยนั่น

    “สวยจนพี่ยังอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้เลย...”

    “ผมว่าตัวนี้ก็ใช่นะ   ตอนนี้ที่ใส่ฉากสุดท้ายไงฮะ”   ร่างหนากว่าหญิงสาวนิดหน่อยแสร้งดึงชุดที่ซอนยีถือไว้แล้วจับๆ มันไปมาอย่างจงใจจะเปลี่ยนเรื่อง   รู้แล้วว่าทำไมคิบอมถึงได้หึงหวงตัวเองนักหนา   รู้แล้วว่าทำไมถึงหลุดคำพูดนั้นออกมาทำร้ายจิตใจ   คิดได้อย่างนี้แล้วใจดวงน้อยก็เริ่มใจหดหู่และเศร้าสร้อยอย่างรู้สึกผิด

    ซอนยีไม่ถือสาอะไรกับท่าทางเสเปลี่ยนเรื่องนั่น   แต่ขืนปล่อยไว้นานคงชวดโอกาสที่จะแย่งคนตรงหน้ามาเป็นของตัวเอง   ใครมือยาวสาวได้สาวเอา   หากหัวใจของดงเฮสั่นคลอนและไหวเอนคงง่ายกับการช่วงชิง   โอกาสที่เขาจะนั่งอยู่ใกล้แค่นี้โดยไม่มีเจ้าของมาตามเฝ้ามันน้อยนิดจนแทบจะเป็นศูนย์

    ดงเฮนั่งมองนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยพยายามไม่สนใจหญิงสาวที่จ้องตัวเองไม่วางตา   ท่าทางน่ารักที่หลิ่วนู่นเหล่นี่ไปทั่วดูแล้วมันก็น่ารักน่าชัง   ซอนยีเป็นประเภทปากว่ามือถึง   ปั่นหัวฮีซอลให้หึงซีวอนยังเคยทำมาแล้วนับประสาอะไรกับการรุกจีบคนมีเจ้าของ

    แต่แล้วเมื่อคนสวยเบือนหน้ากลับมาอีกทีคนที่รอสบโอกาสอยู่จึงได้ฉกริมฝีปากลงไปประทับบนกลีบปากสีหวานที่หมายตาในทันใด    

    “อื้อ!  ดงเฮครางฮืออย่างตกใจและผลักร่างหญิงสาวออกไปอย่างรวดเร็ว   ปากเล็กๆ หมายจะอ้าปากร้องการกระทำอุกอาจเมื่อครู่   ทว่าร่างที่คุ้นเคยของใครบางคนยืนกลับอยู่หลังประตูบานใส

     

     

     

    “ค..คิบอม”

    ตากลมเบิกโพลงตระหนกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ   ดวงหน้าหวานถอดสีและซีดเผือดเมื่อชายอันเป็นที่รักยืนนิ่งมองมาที่เขา   แววตาวาวโรจน์ระคนเสียใจเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าภาพบาดใจเมื่อกี้ไม่สามารถหลุดรอดพ้นไปจากสายตาคิบอมได้

    เป็นครั้งแรกที่ร่างสูงหันหลังให้   ดงเฮแทบจะขาดใจเมื่อคนที่รักเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจแม้แต่จะรอฟังตนไปอธิบาย

    “คิบอม!   คิบอม!!   ดงเฮกระวีกระวาดจะวิ่งตามออกไปแต่ก็ต้องชะงักเพราะมือของรุ่นพี่ที่เอื้อมมาจับเขา

    “อย่ามายุ่งกับผม!!!

    ร่างเล็กตวาดลั่นก่อนสลัดตัวเองแล้วถลาไปคว้าประตูเลื่อนให้เปิดจนมันกระทับกับผนังดังปัง!  

    “...”

     

     

     

     

    “คิบอม!  อย่าเพิ่งไปนะ   คิบอม  ฮึก..”

    แผ่นหลังกว้างที่ไม่สามารถใช้เสียงเรียกอ้อนวอนให้กลับมาได้นั้นชวนให้ใจหายและเจ็บปวด  ตะโกนเพรียกหาอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบือนหน้ากลับมามองแม้แต่นิด   ดงเฮร้องไห้จนจมูกแดงไปหมดกว่าจะวิ่งถึงตัวคิบอมแล้วคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน

    “ฮึก..  คิบอม   ฟังก่อนสิ   ฟังเค้าก่อนสิ”

    ดงเฮสะอื้นจนตัวโยนแต่สองมือยังกอดแขนคิบอมแน่นไม่ยอมปล่อย   เพียงความเฉยเมยที่หวนกลับมาของชายตรงหน้านี้ก็มีอิทธิพลมากมายจนแทบจะทำให้ใจดวงน้อยขาดรอนๆ

    “ปล่อย”   น้ำเสียงแข็งกร้าวที่ไม่เคยได้ฟังตลอดชีวิตนี้กำลังทำให้ร่างเล็กหวาดกลัว  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ละความพยายามที่จะอ้อนวอนให้เขาแยแส

    “คิบอม   เค้ากับพี่ซอนยีไม่ได้มีอะไรนะ   ฮึก   คิบอมเชื่อเค้านะ    ฮือ..  เชื่อชั้นสิ”

    ดวงเนตรสีอ่อนบวมช้ำอย่างน่าสงสาร   จมูกสีขาวแดงเข้มยิ่งกว่าเก่า   หากเป็นเวลาปกติคิบอมคงใจเสียและยอมแพ้ต่อน้ำตาของคนตรงหน้า   ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่

    ริมฝีปากของคนอ้อนวอนที่ลอยอยู่ตรงหน้ามันทำให้ร่างสูงนึกเจ็บปวด   ใจอยากจะเชื่อแต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันยังคงทิ่มแทงใจให้เจ็บแค้นและชิงชัง   ความไว้ใจที่เคยมีขาดสะบั้นลงนับตั้งแต่เห็นคนที่ตนรักหมดใจจูบกับผู้หญิงคนนั้น    ความรู้สึกเหมือนถูกหักหลังมันหักล้างความอาทรที่อยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมจนไม่เหลือซาก

    ร่างสูงยังคงเงียบโดยไม่คลายดวงตาวาวโรจน์และแข็งกร้าวลง   ความเงียบอันตรายที่บีบรัดหัวใจคนร้องไห้ให้รวดร้าว   แต่มันคงเทียบไม่ได้กับหัวใจอันบอบช้ำของคิบอมที่เจ็บแค้นและทรมานเหมือนถูกแทงด้วยคมกริชอันเย็บเฉียบจนแทบจะกระอักออกมาเป็นลิ่มเลือด  

    ...และฆาตกรผู้ถืออาวุธร้ายนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล   คนที่กำลังร่ำไห้อยู่ต่อหน้าเขานี่เอง

    “ฮือ   คิบอม...”

    “ลีดงเฮ   ปล่อย!!!

    เสียงกัมปนาทตวาดลั่นไม่ต่างอะไรไปจากสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของดงเฮ   ร่างเล็กผงะด้วยความหวาดกลัวเป็นจังหวะให้คิบอมสะบัดแขนออกจนดงเฮล้มลงไปกอง   ก้าวเท้าจากไปโดยไม่แม้แต่จะเบือนเสี้ยวหน้ากลับมามอง   สายตาเว้าวอนมองตามไปแผ่นหลังกว้างที่ไกลออกไปทุกทีด้วยดวงใจที่แตกสลาย

    ไม่เหลือความรู้สึกที่จะอายใคร   ดงเฮกอดเข่าตัวเองร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังอย่างบ้าคลั่งราวคนเสียสติ

    “คิบอม  ฮึก  คิบอม    ฮือ...   ชั้นขอโทษ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หากซองมิน   ฮยอกแจและฮันกยองไม่ติดใจว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงคงไม่มีใครมาเห็นดงเฮกอดตัวเองสะอื้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว   ซองมินร้องอย่างตกใจทันทีที่เห็นสภาพดูไม่ได้ของเพื่อนรัก   สายตาเหม่อลอยและเต็มไปด้วยความเสียใจมันช่างน่าเวทนา

    “เพื่อนนายมันชักจะใจร้ายกันเกินไปแล้วนะ”   ฮยอกแจรับไม่ได้ที่เพื่อนตัวเองกลายสภาพเป็นแบบนี้  

    “นั่นสิ   ไอ้คิบอมมันเป็นบ้าอะไรของมันขึ้นมาอีก”

    “เดี๋ยวสิพวกนายน่ะ   รู้แล้วหรือไงว่ามันเกิดอะไรขึ้น   อย่าตีโพยตีพายกันได้มั๊ย   ฮันกยอง   แทนที่นายจะปรามแฟนนายแต่กลับเห็นดีเห็นงามไปด้วยเนี่ยนะ”   ซองมินหันไปดุฮันกยอง   ฮยอกแจพูดไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา   สู้ให้ฮันกยองจัดการเองคงจะสบายกับเขามากกว่า

    “ด๊อง   ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงน่ะ”

    คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ   ดงเฮซุกตัวเองเข้ากับมุมห้องแล้วสะอื้นเงียบๆ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง   ใจพร่ำหาแต่ชื่อของคิบอมราวคนกำลังจะขาดใจ

    “โทรไปถามคิบอมดิ๊”  

    “เบอร์ล่ะ”

    “เอาเบอร์คิบอมให้ซองมินหน่อย”   ฮยอกแจหันไปบอกร่างสูงข้างกายแล้วตามไปนั่งข้างดงเฮ  อ้อมกอดเล็กๆ แต่อบอุ่นช่วยประคองใจของเพื่อนรักยามอ่อนแอได้เสมอแม้ในเวลาที่ใครบางคนอ่อนแรงเกินกว่าจะต่อสู้กับอะไรได้ไหว

    ซองมินต่อสายอยู่สักพักคิบอมก็ปิดเครื่องใส่   ครั้นจะให้โทรเข้าเบอร์ที่บ้านก็คงจะไม่ได้เพราะคิบอมย้ายออกมาอยู่ที่คอนโด   ซึ่งนอกจากดงเฮแล้วก็ยังไม่มีใครทราบเบอร์ติดต่อที่คอนโดสักคน   แม้กระทั่งฮันกยอง

    “เดี๋ยวผมจะลองโทรไปที่โอเปอร์เรเตอร์ให้เขาต่อสายห้องคิบอมนะ”   ฮันกยองบอกแล้ววุ่นกับโทรศัพท์อยู่สักพัก   แต่ผลปรากฏว่าคิบอมสั่งความไว้แล้วว่าจะไม่รับทุกสายที่ติดต่อเข้ามา   พอจนปัญญาที่จะจัดการก็ขอตามคนอื่นมาช่วยกันคิดดีกว่า   ยังไงหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว   “ซองมินเรียกพี่ฮีซอลมานี่ได้มั๊ย”

    “ขืนพี่ฮีซอลรู้เรื่องคิบอมก็ตายน่ะสิ   เผลอๆ จะทะเลาะกันใหญ่โตด้วย   ตอนนี้คิบอมคงอารมณ์ไม่ปกติเท่าไหร่ด้วย”   ซองมินคิดอย่างรอบคอบ

    “ก็จริง”

    “ชั้นว่าพาด๊องไปส่งบ้านดีกว่า   อารมณ์แบบนี้คงไม่มีกะใจจะเรียนต่อแล้วละ”

    “งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”   ฮันกยองขันอาสา   ฮยอกแจผละออกมาจากปลาตัวน้อยแล้วตรงมาพูดเรื่องที่ข้องใจ

    “ลองไปถามพี่ซอนยีสิ   เค้าอยู่ด้วยกันจนถึงตอนที่คิบอมออกไปตามด๊องไม่ใช่เหรอ”

    ผลสรุปคือฮันกยองกับฮยอกแจจะเป็นคนไปส่งดงเฮแล้วให้ซองมินไปถามความ   แต่ทุกอย่างก็ต้องผิดแผนในทันทีเมื่อตัวอวบได้รับโทรศัพท์จากใครบางคน

    “ไม่มี    ...ไม่ต้อง   ชั้นมีปัญญากลับเองได้”   ฮยอกแจเลิกคิ้วกับน้ำเสียงห้วนๆ และท่าทางไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ของซองมินที่มีต่อคนในสาย   “จิ๊   งั้นก็ใช้สมองของนายหาตัวชั้นให้เจอแล้วกัน”

    ซองมินกดตัดสายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์   สั่งการให้ฮยอกแจกับฮันกยองไปหาซอนยีส่วนตัวเองจะพาดงเฮกลับบ้าน   ส่วนเหตุผลร่างอวบไม่ปริปากบอกแต่คงไม่พ้นเจ้าคนเซ้าซี้ที่ตามตอแยอยู่ทุกวี่วัน

    สายตาของคนเศร้าเลื่อนลอยไร้ประกายวาวราวดาวอ่อนแรงบนผืนฟ้าสีมัว   ซองมินขับรถของฮันกยองออกมาจากมหาวิทยาลัยโดยใช้เส้นทางที่ผ่านหน้าย่านการค้ารวมถึงห้างสรรพสินค้าของซีวอน   ตาบวมที่เริ่มช้ำและดูท่าคงอักเสบจ้องมองไปยังสวนสาธารณะที่ปักใจอยู่กับมันเนิ่นนาน

    “ซองมิน”   เสียงหวานแหบพร่าแต่ยังอยากที่จะเรียกอีกฝ่ายให้หันมาสนใจ

    “หือ”

    “จอดรถหน่อยสิ”

    “ฮะ?   จอดทำไมอ่ะ   ด๊องจะไปไหน”

    “สวนสาธารณะ”

    เพียงคำสั้นๆ ที่ตอบกลับมา   ซองมินถอนหายใจเบาๆ และยอมตามใจคนที่กำลังเสียศูนย์   ขับรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถของห้าง Hyundai แล้วพากันเดินออกมาที่สวนพฤกษาขนาดกว้าง   ซองมินเดินตามร่างเพื่อนรักห่างๆ เพราะเข้าใจว่าดงเฮคงต้องการอยู่คนเดียว  

    ร่างอวบมองตามคนช้ำใจเดินไปนั่งบริเวณม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่   ดงเฮนั่งซึมมองพื้นดินอยู่อย่างนั้นโดยไม่เคลื่อนไหวและไม่สนใจสิ่งรอบข้าง   ซองมินมองภาพตรงหน้าอย่างใจเสียและหดหู่ลงไปตามๆ กัน   

    ความรู้สึกเสียศูนย์แบบนี้ซองมินเคยเจอมากับตัว   แค่นี้ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนรักต้องการอะไร

    เนิ่นนานจนดวงอาทิตย์คล้อยต่ำและหายลับไปที่สุดขอบฟ้า   นานจนซองมินเดินแยกออกไปหาอะไรกินแล้วกินอีกจนแอบเรอออกมาเบาๆ อย่างอดไม่อยู่   กระทั่งกลับมาดูเพื่อนตัวเองก็ยังพบว่าร่างเล็กไม่ได้เปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาอะไรไปจากเดิมเลย 

    ยกเว้นก็แต่น้ำตาที่ไหลออกมาและเหือดแห้งสลับกันไป   ซองมินเคยคิดว่าตัวเองอ่อนแอและน่าสมเพชมากกว่าใครในโลกที่พ่ายแพ้ให้แก่ความรักจนขนาดสูญเสียแม้กระทั่งความเป็นตัวเอง   หากแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าแม้แต่วีรบุรุษผู้อาจหาญก็ยังต้องยอมจำนนรับความปราชัยจากสนามรัก

    “ด๊อง   ค่ำแล้วนะ   กลับบ้านเถอะ”   คนมีความอดทนสูงตรงเข้ามาเรียกเบาๆ   แต่ดงเฮยังคงไม่รู้ตัว  จนซองมินต้องสะกิดเรียกแทน

    ใบหน้าเศร้าหมองเบือนมาหาอย่างเชื่องช้า   ดงเฮเปรียบเสมือนซอมบี้ที่มีเพียงร่างไร้วิญญาณ   ดวงหน้าขาวซีดเผือดไร้สีสัน   ดวงตาเศร้าสร้อยปริ่มไปด้วยหยาดน้ำแทบตลอดเวลา   เพียงเพราะแค่นึกถึงตอนที่ถูกทอดทิ้งจากคิบอมแล้วมันก็รู้สึกอยากจะตายซะให้ได้

    ดงเฮส่ายหน้าแทนคำตอบ   “ซองมินกลับไปก่อนเถอะ”

    “ได้ไงอ่ะ   มันอันตรายนะ   เฮ่อ..   เอาเป็นว่าเค้าไปหาอะไรให้ด๊องกินก่อนดีกว่า   เดี๋ยวมานะ”

    ซองมินเดินมาซื้อตอกโปกีตรงริมถนนร้านเมื่อกี้ที่เขามานั่งกิน   ระหว่างทางที่เดินผ่านมาคนน่ารักสังเกตเห็นรุ่นพี่เทย่าจอมวีนคู่อริฮยอนจุงที่เดินสวนกัน   หญิงสาวเหล่สายตามองตามมาที่เขาเล็กน้อยก่อนสะบัดหน้าเดินฉับๆ ต่อไปอย่างไม่สนใจ   ซองมินเองก็ไม่ใคร่ที่จะอยากข้องแวะด้วยนักจึงไม่ได้คิดจะทักทาย  

    สุดมุมถนนไม่ไกลออกไปนักมีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินเตร่เหล่ผู้หญิงด้วยสายตาหื่นกระหายอยู่ประมาณสี่คนที่คาดว่าคงจะเป็นแก๊งค์เดียวกัน   หนึ่งในนั้นสะกิดลูกพี่ของมันให้หันมองตาม

    “พี่กอซองๆ   นั่นมันกระต่ายน้อยของพี่หรือเปล่าน่ะ”

    “ไหนๆๆ     บ๊ะ!   ใช่จริงๆ ด้วย   เดินหาตั้งนาน”

    “นึกว่ามันจะกลับบ้านไปแล้วซะอีก   จิ๊ๆๆ   ขาวๆ อวบๆ แบบนี้มันน่า...”

    “เฮ่ยๆ   ของข้าเอ็งอย่ามาสะเออะ   รอให้ข้าฟัดจนหายอยากก่อนแล้วพวกเอ็งค่อยมากินต่อ”   กอซองแสยะยิ้มชั่วร้าย   “แล้วแม่คนสวยอีกคนอยู่ไหน   ตอนมาก็มาด้วยกันไม่ใช่เหรอ”

    ไอ้พวกกลุ่มดาวอุบาทว์ขับรถตามซองมินมาตั้งแต่พวกเขาออกจากมหาวิทยาลัย   แต่คลาดกันระหว่างที่ซองมินกับดงเฮเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้า   พวกมันเลยทดค่าเวลาที่เสียเที่ยวมาเดินหม้อสาวสวยเล่นเพราะคิดว่าคงชวดหนุ่มน้อยน่ารักไปแล้ววันนี้   แต่ที่ไหนได้แจ๊กพ็อตดันมาแตกเอาซะได้

    “เอาเลยมั๊ยพี่”  

    “ไอ้โง่   เดี๋ยวไก่ตื่นสิวะ   มันมาด้วยกันก็น่าจะรู้ว่าอีกคนอยู่ไหน   รอให้มันอยู่ด้วยกันก่อนแล้วค่อยจัดการทีเดียว   หึๆๆ  ขาวๆ แบบนี้ล่ะพ่อจะทำให้แม่งน่วมไปทั้งตัวเลย”

    “ให้ผมคนนึงได้มั๊ยพี่   ถึงจะเป็นผู้ชายแต่สวยเป็นบ้าเลย”

    “ไอ้ห่านี่   เออๆๆ   แต่ขอข้าเลือกก่อนก็แล้วกัน    เอ้อ   ไปเอากล้องท้ายรถมาด้วย   เผื่อเอาไว้แบล็คเมล์มันทีหลัง   เดี๋ยวพลาดเหมือนคราวที่แล้วอีกพ่อข้าเล่นยับแน่”

    ทันทีที่ซองมินเดินกลับมาหาเพื่อนที่นั่งรออยู่   ร่างเล็กก็โดนประชิดตัวและถูกสองในสี่ของพวกกอซองกระชากตัวไปที่โกดัง   มือสากอุดบนปากจนซองมินปวดไปหมด   เพียงแค่เห็นหน้านัมกอซองเท่านั้นมือที่ปัดป้องตัวเองก็ชะงัก   รู้ดีว่าให้ใช้กำลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถหลุดรอดเงื้อมมือเดนสวะไปได้   ระหว่างที่ถูกนำตัวไปก็ควานหาโทรศัพท์อย่างแนบเนียน   ใช้ความที่ไม่ขัดขืนเป็นจุดเบี่ยงเบนความสนใจแล้วกดปุ่มโทรล่าสุดออกไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คิบอมหลับตาลงด้วยความขมขื่น   ฮันกยองรัวทุบประตูห้องเขาหลังจากกดอินเตอร์โฟนแล้วเขายังคงไม่สนใจ   ฮันกยองคงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงน่าดูที่คิบอมไม่แม้แต่จะส่งเสียงตอบรับ   ตลอดเวลาที่เพียรเรียกคิบอมเอาแต่นั่งเงียบอยู่บนเตียงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

    อยากจะเบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้าที่มีคนที่เขาเรียกว่าคนรักยิ้มแฉ่งมาให้   แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ล้วนแต่เจอดวงตากลมสีหวานของดงเฮจ้องกลับมาเสมอจนคิบอมเหนื่อยและหงุดหงิดใจที่จะลืมตา

    สู้หลับตาแล้วหนีมันไปให้พ้นๆ คงจะดีกว่า

    “ไอ้คิบอม!!  ดงเฮไม่ยอมกลับบ้านก็เพราะแกนะเว๊ย   ใจคอจะไม่สนใจเค้าเลยหรือไงวะ!!!   ฮันกยองตะโกนลั่น

    เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ...

    ร่างสูงคว้าโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไว้ใกล้ตัวมาถืออย่างชั่งใจ   ใจคิบอมมันทั้งจุกทั้งเจ็บ   อารมณ์โกรธที่คุกรุ่นอยู่ตอนนี้มันยากจะทำใจให้ต้องเผชิญหน้ากับดงเฮ   แต่ถึงจะถูกทำให้เจ็บปวดและเสียใจแค่ไหนรักที่ล้นใจมันก็ไม่เคยจางหาย   เพราะรักคำเดียวจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คิบอมกดโทรออกถึงคนที่ทำให้ใจไม่เป็นปกติ

    [ค..คิบอม]

    รอไม่ถึงสองวินาทีอีกฝ่ายกระวีกระวาดกดรับสายอย่างรวดเร็ว   แต่ทันทีที่คิบอมเปิดเครื่องนั้น Miss Call จากคนๆ นั้นก็แจ้งเข้ามาจนเกือบสี่สิบสาย

    ...   

    [เชื่อเค้าแล้วใช่มั๊ย   ยกโทษให้กันแล้วใช่มั๊ย]   เสียงหวานสั่นพร่าปนเสียงสะอื้นจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง

    “ยัง”   คิบอมตอบทันควัน   “ทำไมไม่กลับบ้าน”    ยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้   จะรู้บ้างมั๊ยว่าตัวเองกำลังจะทำให้เขากลายเป็นบ้าเพราะถูกปั่นหัว   เดี๋ยวทำให้โมโหเดี๋ยวทำให้เป็นห่วงจนคิบอมอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด

    [ฮึก   คิบอม  ขอโทษนะ   ชั้นไม่ได้อยากจูบกับพี่ซอนยีจริงๆนะ   เชื่อชั้นนะ]

    “อยู่ที่ไหน”

    ไม่มีกะใจจะฟังคำแก้ตัวหรือคำพูดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆ นั่นจนทำให้เขาเจ็บใจอีกแล้ว   คิบอมตัดบทด้วยคำพูดห้วนสั้นจนคนฟังกลั้นน้ำตาไม่ไหวร้องไห้โฮ

    [ฮือๆๆ   คิบอม   ใจร้าย   คิบอมใจร้าย]

    คิบอมแทบอยากจะสวนกลับไปว่าใครกันแน่ที่ใจร้าย   ทั้งที่เขาเคยเตือนเคยบอกกระทั่งแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าอย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนี้หรือใครคนอื่นแต่ดงเฮน่ะเคยที่จะฟังบ้างมั๊ย   เพราะความที่ไว้ใจคนอื่นมากจนเกินไปผลสุดท้ายเลยไม่พ้นเราทั้งคู่ที่ต้องเจ็บกันสองฝ่ายจากการกระทำของตัวเอง

    [ไม่รักกันแล้วใช่มั๊ย   ฮึก..]

    “อย่าพูดแบบนี้นะ”   คิบอมเสียงแข็ง   “ถ้าไม่รักผมจะเป็นบ้าแบบนี้เหรอ”

    แทนที่คนฟังจะร้องไห้เสียใจเพราะโดนดุหากแต่ดงเฮกลับมีสีหน้าดีใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง   น้ำตาที่ปริ่มรื้นรอบดวงตามาจากความเต็มตื้น

    [เค้าขอโทษนะ   ยกโทษให้เค้าได้มั๊ย]

    “ตอนที่พูดตอนที่บอกน่ะ   ทำไมไม่ฟัง”  น้ำเสียงเรียบนิ่งของคิบอมมันแฝงไว้ด้วยความน้อยใจและผิดหวัง  ขมขื่นแทบบ้าที่ต้องมารับสภาพที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้   “ผมยังทำใจไม่ได้”  

    [ฮือๆๆ   คิบอมเค้าขอโทษ   เค้าขอโทษ] 

    “จะร้องไห้ทำไมอีก   เดี๋ยวก็บ่นปวดหัว”   เคืองก็เคือง   เป็นห่วงก็เป็นห่วง  

    [ฮึก..]

    “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

    [คิบอม]  ปลายสายเรียกเสียงแผ่ว   เริ่มรู้สึกหนักอึ้งที่หัวขึ้นมาแล้วจริงๆ   [อย่าเลิกรักเค้านะ  ฮึก   อย่าเลิกรักกันนะ]

    คำพูดอ้อนวอนที่ได้ยินมันเยียวยาดวงใจที่แตกสลายของคิบอมให้สมานประสานกันจนเข้าใกล้รูปรอยเดิม   คำตอบจากปากบอกออกไปอย่างไม่ต้องรีรอเสียเวลาคิด

    “อืม”

    [เรียกเค้าว่าหนูด๊องหน่อยสิ   คนดีหรืออะไรก็ได้   นะ   นะคิบอม]   เว้าวอนอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวจะถูกมองว่าอ้อนวอนขอความรักหรือยอมเสียศักดิ์ศรี   ในเมื่อทั้งหมดทั้งมวลของใจที่ต้องการมันคือคนๆ นี้แล้วจะต้องให้ความสำคัญอะไรกับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่   ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกที่ประณามเหยียดหยาม   แต่เพื่อผู้ชายที่ผมจะขอกุมมือไปตลอดชีวิต   ผมก็ยอม

    “...”

    [ฮึก..   เค้ารักคิบอมนะ]

    “อืม”   คำบอกรักที่มีความหมาย   คงมีค่าที่สุดเมื่อตอนที่ใครคนนั้นพร้อมจะพูดมันออกมาให้ได้ยิน   และตอนนี้เขาขอเลือกที่จะเป็นฝ่ายรับฟังคำนั้นจะดีกว่า   “อยู่ที่ไหน   ผมจะไปรับ”

    [สวนสาธารณะ...   อ๊ะ!!   อื้อ!!!   ปล่อยนะ!!]

    “ดงเฮ!  ดงเฮ!!

    [หึๆๆ  แกน่ะ]  สุ้มเสียงชั่วร้ายแผดออกมา   [คิมคิบอมใช่มั๊ย]

    “แกเป็นใคร   ทำอะไรดงเฮ!!   คิบอมกัดฟันกรอด   ร่างกายมันอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป   คว้าเอากุญแจรถและพรวดพราดออกไปทันที

    [แฟนแกน่ะเหรอ   หึๆๆ   สวยๆ ขาวๆ แบบนี้จะเอาไว้ทำอะไร  แกก็น่าจะรู้นะ]

    “ถ้าแกกล้าแตะต้องคนของชั้นแม้แต่ปลายเล็บ   ชั้นไม่ปล่อยแกเอาไว้แน่”

    [หึๆ  ก็ให้มันรู้กันไปสิ   แต่คงต้องหลังจากคนของแกมันถูกข้าฟัดจนไม่เหลือซากแล้วล่ะนะ    ถนอมกันดีไม่ใช่เหรอ   ข้าจะขยี้ดวงใจแกให้แหลกเลย   ฮ่าๆๆ]

    “โธ่เว๊ย!!!!

    คิบอมสบถลั่นแล้วทุบผนังลิฟต์จนเสียงกัมปนาทดังก้อง  

    หากคุณเป็นอะไรไป   ผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย

    “แม่งโว๊ย!!!   เร็วสิวะ!!!!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

     

    -  เข้าใจผิด  -  ผลลัพธ์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×