ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #57 : :: Chapter 40 : จะอยู่ตรงนี้ตลอดไป ::

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.9K
      26
      26 มี.ค. 53

     

     

     

    จะอยู่ตรงนี้ตลอดไป

     

     

     

     

     

     

     

    จุนกิทรุดตัวลงกับเตียงแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ   ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความอ่อนล้า   เหนื่อยกายที่ผ่านมาน่ะไม่เท่าไหร่   รอยยิ้มและความสุขของคนในครอบครัวยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาเข้มแข็งและยืนหยัดได้ในทุกวันนี้   ทว่าเหนื่อยใจกับปัญหาที่รุมเร้าอยู่ ณ ตอนนี้มันหนักเกินกว่าจะให้ยิ้มออก

    ลีจุนกิไม่เคยตัดสินใจอะไรแล้วเสียใจภายหลัง   ทุกสิ่งที่เขากระทำจะผ่านการตรึกตรองอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลเสียออกมาอย่างดีที่สุดแล้วทั้งสิ้น  

    อาทิตย์ที่แล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลลีเพิ่งบอกเรื่องที่ตนตัดสินใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศกับครอบครัว   เสียงทัดทานว่าด่วนตัดสินใจเร็วเกินไปยังคงมีจากบิดา   และน้ำตาจากมารดาที่รู้ตัวว่าถึงเวลาที่อนาคตของลูกชายกำลังจะมาพรากระยะเวลาของครอบครัวให้ขาดหายไปชั่วคราว

    แม้จะมีการขัดความคิดเห็นอยู่ในตอนแรก   แต่เมื่อจุนกิยืนยันด้วยท่าทางเหมือนอย่างเคยเวลาตัดสินใจทำทุกสิ่งอย่างเหมือนที่ผ่านมาคุณและคุณนายลีก็ไร้เหตุผลที่จะคัดค้านหรือเหนี่ยวรั้งเส้นทางที่กำลังจะถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบอันงดงามอันเป็นสัญลักษณ์ของอนาคตที่สดใสและบริสุทธิ์

    แต่วันนี้เพิ่งจะมาบอกกับน้องชายตัวเล็กมันเลยทำให้ใจหายไปเยอะเหมือนกัน    ฮยอกแจเป็นเหมือนดวงใจของเขาไม่มีผิด   น้องชายร่างเล็กที่ขี้แยของเขาวันนี้กลับกลายเป็นเด็กตัวน้อยคนเดิมที่เข้ามากอดและร้องไห้อ้อนวอนให้เขาไม่จากไปไหน

    เรียนแบบอีเลิร์นนิ่งไม่ได้เหรอฮะ

    เสียงขาดห้วงเป็นระยะผสมกับเสียงสะอื้นของฮยอกแจกำลังทำให้จุนกิปวดร้าวไปทั้งหัวใจ    รู้สึกว่าตนเองกำลังทำร้ายน้องชายทางอ้อม   ...แม้ความจริงแล้วจะไม่มีฝ่ายใดผิดทั้งที่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องก็ตาม   

    แต่สิ่งใดในโลกล้วนไม่เที่ยง   ไม่ว่ากระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   ไม่ใครก็ใครต้องเดือดร้อนเพราะการกระทำนั้นเสมอ   ราวกับเป็นวัฏจักรปฏิบัติแห่งกงกรรมกงเกวียน    เลือกสิ่งใดไม่ได้   สิ่งใดก็ไม่ดี    สิ่งที่ตามมาอีกทีก็ไม่พ้นความทุกข์ตรมจากการตัดสินใจ

    ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากบอกเพื่อนสนิทคนไหนก่อนด้วยซ้ำ   หากเป็นแต่ก่อนเขาคงรู้สึกใจหายที่ต้องลาจาก    แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้น   

    ผมรู้สึกว่าใจของผมมันหายไปแล้วจริงๆ

    พี่ชายจะทิ้งหนูเล็กไปเหรอ...

    เป็นครั้งแรกที่จุนกินึกโทษตัวเองที่ทำให้ฮยอกแจร้องไห้   ไข่ในหินที่ใช้หัวใจฟูมฟักดูแลมาตลอดชีวิตกำลังร่ำไห้และขอร้องไม่ให้เขาจากไป

    “พี่ขอโทษนะหนูเล็ก   แต่พี่จำเป็นจริงๆ    ...แล้วพี่   คงต้องขอเห็นแก่ตัวบ้าง”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ซองมินเดินทอดน่องไปเรื่อยบนลานอเนกประสงค์ที่จัดซุ้มขายสินค้ากิ๊ฟช็อปน่ารักๆ มากมาย    ความจริงแล้วตอนนี้ร่างอวบต้องไปที่คลาสเพื่อเตรียมเข้าเรียนในอีกสิบนาที   แต่ซองมินคิดว่าจะรอให้เริ่มเรียนก่อนแล้วเขาถึงจะค่อยเข้าไป   อะไรๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันทำให้เขาไม่พร้อมที่จะเรียนเอาซะเลย

    ตอนเช้าคยูฮยอนมาดักรออยู่ที่หน้าบ้านแล้วบังคับให้เขามาเรียนด้วยกัน   ปฏิเสธไม่ได้เลยจำต้องทนนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ   ร่างสูงชวนคุยนู่นนี่เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นจนซองมินรู้สึกหงุดหงิดและเจ็บปวดที่คยูฮยอนทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่เคยทำให้เค้าเจ็บปวดแทบตาย

    ตอนเย็นชั้นจะไปรอนายที่ห้องซ้อมนะ

    ประโยคสุดท้ายที่คยูฮยอนพูดก่อนจะขับรถไปจอดที่ลานจอดรถด้านหลังเป็นสิ่งเดียวที่ซองมินจำได้ว่ามันหมายความว่ายังไง   เพราะพยายามปิดหูปิดตาไม่สนใจแล้วนั่งเงียบมาตลอดทางแม้ว่าอีกฝ่ายจะชวนคุยหรือพูดแหย่มากขนาดไหนก็ตาม

    ซองมินรู้ดีว่าคยูฮยอนต้องการให้ตนเองจดจำผู้ชายคนใหม่ที่ใส่ใจและดูแลเขา   คำว่าเริ่มต้นใหม่คงไม่พ้นการที่เขาต้องกลับไปหลงรักคนใจร้ายคนนั้นอีก   เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่คยูฮยอนเริ่มต้นและคงจะทำจนกว่าซองมินจะยอมใจอ่อน

    ร่างบางกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าความเอาใจใส่ของผู้ชายคนนี้ที่เขาไม่เคยได้รับจะทำให้ตัวเองเผลอไผลหัวใจกลับไปรักอีกครั้ง   รู้ทั้งรู้ว่ามันยากเกินกว่าจะห้ามใจแต่ก็ต้องอดทน   ต่อให้คยูฮยอนจะดีแสนดีหรือร้ายกาจอีกมากมายเพียงไหนเขาก็เข็ดกับความอ้างว้างและเดียวดายนั่นจนลืมไม่ลงไปแล้ว

    “เธียร่า~

    ซองมินชักจะขยาดกับชื่อนี้ขึ้นมาแล้วสิ    ฮยอนจุงวิ่งเหยาะๆ มาแต่ไกลพลางโบกมือเรียกหนุ่มร่างอวบที่เดินเรื่อยเปื่อยอยู่แถวบอร์ดวิศวะ   พักหลังมานี้ฮยอนจุงเป็นตัวก่อกวนของทุกคน   เวลาไหนไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ขอให้บอกเถอะ   ไอ้เจ้าคนประหลาดคนนี้พร้อมปรากฏตัวทุกเมื่อเชื่อวัน

    “มาต้วมเตี้ยมอะไรแถวนี้    ทำไมไม่ไปซ้อมอ่ะ”

    “ผมแค่เดินเล่นน่ะฮะ”

    “อ่า   งั้นไปหาอะไรหม่ำเป็นเพื่อนหน่อยดิ   ไม่ได้กินอะไรมาสามปีแล้ว -O-

    ซองมินหัวเราะเบาๆ กับคำชวนพิลึกพิลั่นที่ไม่เคยเจอจากใครอื่น   เดินซื้อของกินที่เรี่ยรายตั้งซุ้มขายอยู่ที่ล็อคถัดไป   มะรืนนี้ก็จะถึงคืนแสดงละครแล้ว   จึงไม่แปลกนักที่วันก่อนวันครบรอบมหาวิทยาลัยจะมีซุ้มอาหารมากมายมาจัดเป็นนิทรรศการเพื่อหารายได้จากนักศึกษาด้วยกันเอง  

    ซองมินกับฮยอนจุงแวะกินนู่นกินนี่กันไม่หยุดปาก   ซองมินเพิ่งรู้ว่ามีคนที่กินเก่งกว่าเค้าอยู่ก็วันนี้    ฮยอนจุงแวะจิ้มขนมทุกร้านที่เดินผ่าน   ถ้าถูกใจก็ซื้อไม่ถูกใจก็จิ้มอีกชิ้นแล้วออกเดินต่อ   เสียงสรรเสริญบุพการีจึงลอยมาตามลมให้ได้ยินกันเป็นระยะๆ

    “เธียร่า   ซื้อตอกโปกีกินสิ”   ร่างสูงที่เคี้ยวแป้งผัดซอสแดงในปากอยู่พูดงึมงำๆ   เจ้าของบทเธียร่าหน้าเหวอทันที

    “หา   พี่ก็ซื้อเองสิ”   บรรดาแก๊งค์กระต่ายไก่ปลาคนที่งกที่สุดเห็นทีจะเป็นซองมินที่ฐานะทางบ้านค่อนข้างธรรมดา   จึงถูกสั่งสอนมาไม่ให้ใช้เงินมือเติบ

    “ตังค์หมดแล้วอ่ะ”   พูดพลางยกถุงมากมายที่ถืออยู่ให้ดูเป็นหลักฐาน

    “แต่ผมไม่อยากกินน่ะ”   ร่างอวบทำหน้าแหย

    “ไดเอทเหรอ   กินเหอะ”

    “ผมให้พี่ยืมเงินก่อนก็ได้นะ”  

    “ม่ายอาว   อยากกินตอกโปกีฟรีอ่ะ”

    เจ้าคนหน้าด้านทำหน้าเป็นแล้วลอยหน้าลอยตาตอบ   ซองมินแยกเขี้ยวใส่ไอ้บ้าตรงหน้าแต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้   ฮยอนจุงยืนตาใสประกายปิ๊งๆ แล้วพูดอ้อน

    “น๊าๆ   อยากกิน”

    ซองมินต้องใจอ่อนแล้วซื้อตอกโปกีที่ไม่ได้อยากกินมาให้ไอ้รุ่นพี่คนนี้ตอดอย่างช่วยไม่ได้   จากที่คิดว่าฮยอนจุงเองก็คงเป็นรุ่นพี่ที่น่านับถืออยู่พอตัวตอนนี้คงต้องขอเปลี่ยนความคิด 

    เพราะมันน่ะหาสาระอะไรไม่ได้เลย !!!

     

     

     

     

     

     

    “ไอ้บ้านั่นมันจะรังควานคนอื่นเค้าไปถึงไหนกันวะ”

    ร่างสูงสบถอย่างรำคาญพลางมองตามน้องชายกับเพื่อนรุ่นเดียวกันเดินตอดกินอาหารสำหรับชิมของร้านนู้นร้านนี้ไปเรื่อย   จุนกิเงยหน้าขึ้นมองตามแล้วกล่าวบ้าง

    “ฮยอนจุงเค้าก็เป็นแบบนี้ของเค้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เหรอ   ดูนายจะไม่ชอบเค้าจังนะ”

    “หน้ามันเหมือนส้นตีน”   เจ้าคนห้วนพูดจาหยาบกระด้างบ้างเป็นครั้งคราวในพักหลังๆ นี้   คำหยาบคายแทบไม่มีให้ได้ยิน   ยกเว้นก็แต่ตอนที่เจย์จะพูดถึงคนที่ไม่ชอบขี้หน้าหรือกำลังหงุดหงิด

    “นายก็ชอบว่าคนอื่นไปเรื่อย”   จุนกิเปรย   “ถึงยังไง...”

    “ถึงยังไงเค้าก็เป็นเพื่อนเรา   เราน่าจะพูดดีๆ กับเค้าบ้างนะเจย์   ...เปลี่ยนมั่งเหอะ   เทศน์บทนี้มากี่ครั้งแล้วล่ะนายน่ะ”   เจ้าคนรู้ทันกระหยิ่มยิ้ม   จุนกิส่ายหัวน้อยๆ กับคำพูดนั่น

    “นายมันก็อย่างงี้ทุกที   ชั้นว่าจบไปไม่ต้องทำงานแล้วมั๊ง    บวชไปเลยสิ้นเรื่อง   เทศน์ให้ไอ้ซีวอนฟังน่ะ   มันคงชอบ”  

    “เจย์น่ะ”   คนสวยว่าเข้าให้อย่างเง้างอน   แต่ไม่นานก็กลับมายิ้มหวานเหมือนเดิมอย่างเคยประสาคนโกรธใครไม่เป็น   ไม่ว่าจุนกิจะพูดหรือจะทำอะไรก็ดูเหมือนเจย์จะรู้ทันเขาอยู่เรื่อยไป  

    “นายคิดอย่างงั้นจริงๆ ใช่มั๊ยล่ะบีหนึ่ง”

    “เราก็คิดเหมือนที่นายคิดนั่นแหละบีสอง  ฮิๆ”   เสียงหวานหัวเราะใสขึ้นมาทันทีที่ต่อประโยคจบ   ปกติเจย์จะไม่ค่อยเล่นอะไรปัญญาอ่อนทำนองนี้สักเท่าไหร่แต่วันนี้เขาก็ลองแหย่เพื่อนด้วยคำพูดตลกๆ แบบนี้     คงหนีไม่พ้นจากการที่จุนกิทำหน้าเศร้ามาทั้งวัน   จะมียิ้มออกก็หลังจากเลิกประชุมแล้วมานั่งเล่นอยู่กับเขานี่แหละ

    “ยิ้มได้แล้วเหรอ”  

    เสียงหัวเราะเงียบไปทันทีที่เขาพูด   จุนกิหน้าเจื่อนแต่ก็พยายามยิ้ม   รู้อยู่ว่าไม่มีทางปิดบังเพื่อนคนนี้ได้   แต่ว่าเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเปิดอกบอกความในใจและความรู้สึกที่จะทำให้มิตรภาพดีๆ สั่นคลอน

    “เราก็แค่...   เครียดๆ นิดหน่อยน่ะ”

    “เรื่อง?”

    “ก็หลายๆ เรื่อง”    จุนกิเฉไฉ

    “ก็แล้วมันเรื่องอะไรล่ะวะ”

    จุนกิอึกอักเหมือนไม่อยากตอบ   เห็นแบบนั้นเพื่อนสนิทเลยสวนคำพูดขึ้นมา

    “เรื่องน้องนายกับฮันกยองหรือเปล่า”

    “เอ๋?”

    “ชั้นเห็นเดี๋ยวนี้สองคนนั้นมันตึงๆ ใส่กันนะ   น้องนายดูไม่ค่อยสนใจไอ้เด็กจีนนั่นเหมือนเมื่อก่อน   ส่วนอีกคนก็ดูเหมือนหน่ายๆ ยังไงชอบกล”   เจย์พูดตามที่เห็น   พี่ชายคนดีเพิ่งเอะใจจึงเริ่มย้อนความถึงเรื่องของฮันกยองกับฮยอกแจ   อาจจะเพราะเขาไม่ได้สังเกตเท่าที่ควรจึงไม่รู้ว่าฮยอกแจละเลยเวลาต่อฮันกยองไปมากจนว่าที่น้องเขยของเขาไม่พอใจมาได้เกือบสามอาทิตย์แล้ว

    “เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

    “จะรู้ได้ไง   วันๆ เห็นทำแต่เรื่องวันฉลองกับทุนของพวกบริหาร”    เจย์ยักไหล่   ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้จริงๆ ว่าทุนที่จุนกิวุ่นจัดการนั้นมันเป็นทุนของใคร

    ความรู้สึกกังวลเหมือนสมัยก่อนเริ่มครอบงำจุนกิอีกครั้ง   ใจนึกอยากจะวิ่งไปหาหนูเล็กของตนเพื่อปลอบโยนและยกเลิกแผนการไปศึกษาต่อ   แต่ความคิดที่ว่าสักวันฮยอกแจต้องโตเป็นผู้ใหญ่โดยปราศจากตนเองที่คอยกางแขนปกป้องมันก็ต้องยั้งใจ   นั่งลงอย่างเดิมด้วยใบหน้าอมทุกข์โดยมีคนข้างกายเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่หัวไหล่บางที่แบกรับภาระไว้มากมาย

    “พอซะมั่งเหอะนายน่ะ    จะไปทำอะไรเพื่อคนอื่นนักหนา   ชีวิตนายก็ให้มันเป็นชีวิตของนายสิ”

    “นั่นครอบครัวเรานะ”

    “ครอบครัวนายมันไม่ล่มจมเพราะนายดูแลทุกคนไม่ดี   เพราะนายจะเห็นแก่ตัวบ้างหรอกนะ    ตัวเองน่ะ   หัดดูแลซะบ้างสิ”

    มือหยาบลูบเบาๆ บนหน้าผากเนียนขาวแล้วพูดต่อ   “ตั้งแต่ได้รู้จักนาย   ไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นไม่เห็นนายทำหน้ายุ่ง   ถ้านายได้มองตัวเองในกระจกจะรู้ว่าตัวเองแก่มากขนาดไหน”

    “จริงอ่ะ”    หน้าสวยๆ เริ่มบูดเบี้ยวเพราะถูกแซวด้วยสีหน้าจริงจัง

    “เออ”

    “ไม่จริง   เจย์ล้อเราเล่นแน่ๆ”   จุนกิเริ่มพะวง   หากเป็นคนอื่นมาพูดล้อเกี่ยวกับหนังหน้าของตัวเองเขาอาจจะไม่ใส่ใจอะไร    แต่นี่คือเจย์คิม!

    “ง่า”

    คนสวยเบะปากแล้วหลุดมาดเข้มแข็งเสมอยามอยู่กับใครคนนี้   เจย์คิมทำให้เขาอมยิ้มได้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยปราศจากเรื่องหมองใจ   แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่เคยเป็นจุดพลิกผันมิตรภาพและความรู้สึกแต่มันก็ไม่สามารถทำใจให้ลืมไปได้ว่าคนๆ นี้มีค่าและสำคัญต่อกันและกันมากมายขนาดไหน

    ไม่กี่นาทีที่สบตาจุนกิรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนอบอุ่นและแข็งแรงเหมือนค่ำคืนที่เคยหลับใหลในอ้อมกอดของกันและกัน   ความเผลอไผลที่ผุดขึ้นราวพลุไฟที่สว่างวาบและส่งเสียงดังครึกโครมจนชาวาบไปทั้งกายมันชวนให้เขารู้สึกแปลกๆ

    ความต้องการที่อยู่ลึกที่สุดในก้นบึ้งแห่งความปรารถนามักเป็นสิ่งที่คนเราคิดไม่ถึงเสมอ

    “ไปเหอะ”   เจย์ว่าพลางฉุดให้อีกคนลุกขึ้นตาม

    “ไปไหน?”

    “จะพาไปกินตอกโปกี   เห็นฮยอนจุงมันกินแล้วก็หิว”

    “เลี้ยง?”   ตาหวานๆ หลิ่วมองอย่างอารมณ์ดี

    “เลี้ยงน้ำแค่นั่นแหละ”

    “โห่   เจย์อ่า”

     

     

     

     

     

     

    “ข้าว่าข้าจะย้ายออกมาอยู่ที่คอนโด”   คิบอมพูดเปรยๆ ใบหน้าคมคายฉายแววครุ่นคิดไปด้วยขณะพูด

    “ย้ายทำไมวะ”

    “ก็...   ก็พ่อข้าจะพาแม่ไปอเมริกาสามเดือน   ข้าเลยไม่จำเป็นต้องกลับไปนอนบ้านทุกว่า   ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกน่าจะสะดวกกว่า”  

    “สะดวกเรื่อง?”

    “เออน่า   ไอ้นี่   เซ้าซี้อะไรแต่เช้าวะ”

    “เอ้า    ถามนิดถามหน่อยก็ไม่นะไอ้เวร”

    “ก็แกจะรู้ไปทำไมเยอะแยะ”

    “แกก็ตอบๆ มาเหอะน่า    เผื่อแม่แกตามตัวแล้วมาถามข้าข้าจะได้ตอบถูก”    ฮันกยองยกเหตุผลเข้าข่มจนคิบอมต้องยอมคายความลับ

    “ถ้าข้าพาดงเฮเข้าบ้านบ่อยๆ พ่อบ้านคิมอาจจะสงสัย   ออกมาอยู่คนเดียวน่าจะดีกว่า   ข้าอยากดูแลเค้าตลอดเวลาว่ะ   บอกตรงๆ   หวง”

    “เดี๋ยวๆๆ   ไอ้คิบอม    นี่พ่อกับแม่แกไม่รู้เรื่องดงเฮเหรอ”

    ฮันกยองทำหน้าไม่อยากเชื่อ   ถึงรู้ดีว่าคิบอมไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใครแม้แต่กับครอบครัวก็ตามที   แต่แบบนี้มันก็อาจจะเกินไป

    “ข้าไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ”   คิบอมทำสีหน้าลำบากใจ   “ข้ากลัวทำให้แม่ข้าผิดหวัง”

    “อืม   ข้าเข้าใจ   แล้วแกจะอยู่คอนโดนานแค่ไหร่”

    “จนกว่าพ่อกับแม่จะกลับมามั๊ง   ยังไม่แน่ใจ    ต้องรอดูอีกที”

    ฮันกยองพยักหน้าแล้วพึมพำรับรู้   ไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของคิบอมมากนักในตอนนี้เพราะลำพังเรื่องของตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอด  

    ผมไม่ได้คุยกับฮยอกแจมากี่วันแล้วนะ    แล้วคุณจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่าฮยอกแจ...?

    ฮันกยองสลัดความคิดชวนปวดหัวออกไป   ร่างสูงไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าเข้าไปทักทายหรือพูดคุยคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น คนรักของตัวเอง   ไม่อยากทำตัวน่ารำคาญให้ฮยอกแจต้องหน่ายใจและทอดทิ้งเขาไปในที่สุด

    ร่างสูงเดินออกมาจากห้องเลคเชอร์แล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ   ร่างเล็กของคนที่ใจเพรียกหาตลอดเวลายืนคอยอยู่เบื้องหน้าพร้อมดวงหน้าที่ดูเศร้าสร้อย   ความเศร้าโศกที่คลออยู่ในลูกปัดสีอ่อนของร่างบางทำให้ใจเขากระตุกวูบ   ฮันกยองปราดเข้าไปหาฮยอกแจแทบจะในทันที

    ไม่มีสองมือที่โอบกอดเหมือนเคย...

    ฮันกยองหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วสบตานิ่งอย่างถามไถ่   ฮยอกแจเบือนหน้าหนีเพื่อข่มน้ำตาที่กำลังจะพรั่งพรูออกมายามพบเจอป้อมปราการอันแข็งแกร่งอย่างฮันกยอง   ความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยพบเจอมันกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง

    คนอ่อนแอ...   ลีฮยอกแจ   นายมันอ่อนแอ

    ร่างเล็กขยับเข้าหาแล้ววาดวงแขนโอบรัดเอวหนาของร่างสูง   ซุกหน้าเข้ากับบ่าแข็งแรงมั่นคงที่ยังคอยให้เขาซบเสมอยามอ่อนแรงและหมดกำลังใจ   ร้องไห้ออกมาเงียบๆ อย่างปวดร้าวเกินกว่าจะทนกักเก็บไว้ได้อีกต่อไป

    แม้ความน้อยใจที่ผ่านมาจากการที่คนตรงหน้าละเลยตนจะแน่นสุมอยู่เต็มทรวง   ทว่าความรักล้นหัวใจที่มีให้มันก็ไม่เคยจางหาย   หัวใจสั่งให้ใช้อ้อมกอดกระชับร่างบางของคนที่อยากจะปกป้องไว้ด้วยชีวิตเอาไว้อย่างหวงแหนและอ่อนโยน    ปกป้องลีฮยอกแจเอาไว้ด้วยร่างกายทั้งหมดของฮันกยอง

    มันอบอุ่นและปลอดภัยจนฮยอกแจขอยอมตายหากต้องเสียอ้อมกอดนี้ไปให้ใคร

    บางทีใครสักคนอาจจะต้องละความรู้สึกส่วนตัวเพื่อดูแลใครอีกคนที่ตัวเองรัก    แม้จะเสียใจแต่เขาก็อาจต้องปล่อยให้มันผ่านไปและช่วยประคับประคองคนอ่อนแอให้มีแรงกำลังจะก้าวต่อ

    ตอนนี้ฮันกยองรู้แล้ว ...    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น   สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาจะเห็นก็คือรอยยิ้มของลีฮยอกแจ   คนที่เขาต้องการให้เคียงข้างกันตลอดไป

    อาจเป็นคำสั้นๆ ที่ลบล้างซึ่งความผิดใจทุกอย่าง

    อาจเป็นคำสั้นๆ ที่ปลอบประโลมให้ใจไม่สั่นคลอน

    คำสั้นๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกดีมากกว่าคำใดบนโลกที่ถูกประโคมเข้าใส่

    “ผมยังอยู่ตรงนี้นะ”

     

     

     

     

     

    หลังจากปลดปล่อยความเศร้าหมองออกไปโดยการร้องไห้ทั้งคืนอยู่กับฮันกยองแล้ว   น้องอ่อนแอก็ยอมรับความเป็นจริงที่จะห่างไกลจากพี่ชายคนเดียวนานถึงสองปี   ฮยอกแจยิ้มรับอ้อมกอดเบาๆ ของจุนกิในตอนเช้าของวันด้วยความสุขใจ    แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าความเสียใจยังไม่คลายจากไปทั้งหมด    แต่เขาก็ไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงของชีวิตคนที่เขารักมากที่สุด

    กาลเวลาทำให้คนเราเติบโต    ทว่าความเจ็บปวดก็ทำให้คนเราเข้มแข็ง

    เย็นวันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการแสดงจริงคืนพรุ่งนี้   ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่นตามที่วางแผนเอาไว้อย่างสวยงาม   นักแสดงทุกคนถอนหายใจแรงๆ ให้กับความเหนื่อยอ่อนและความสำเร็จในอีกขั้นของโปรเจ็คต์งานวันฉลองมหาวิทยาลัยอีกครั้งก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน

    คิบอมแจ้งกับที่บ้านว่าจะย้ายออกมาอยู่คอนโดเมื่อวาน   วันนี้จึงเป็นวันแรกที่เขาจะย้ายเข้าไป   รุ่นพี่จอมกวนทั้งหลายคะยั้นคะยอให้ดงเฮอ้อนคิบอมพาไปเปิดคอนโดหรูริมแม่น้ำฮันให้ชมเป็นขวัญตาเสียหน่อย   น้องชายคนสวยก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะคิบอมเองก็บอกไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าจะพาทุกคนไปดูพร้อมกันถ้าอยากไป

    ห้องของคิบอมยึดครึ่งหนึ่งของชั้นยี่สิบสี่เอาไว้ทั้งหมด    สไตล์การจัดตกแต่งห้องเป็นฝีมือของลิ้มแก้มแตกอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะมันไม่มีเอกลักษณ์ตายตัว   เหมือนห้องโล่งๆ ที่มองไปแล้วสบายตาเพราะเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นสีที่กลมกลืนกันกับโทนสีของห้อง   ห้องครัวไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ครบครันไปด้วยเครื่องครัวที่เมื่อสามวันก่อนคิบอมเพิ่งสั่งให้เพิ่มเติมลงไปเพราะรู้ดีว่าใครบางคนชอบทำอาหาร

    ดงเฮเป็นคนแรกที่ประเดิมเข้าไปในห้องนอนกว้างสีขาวสว่าง   ผนังฝั่งตรงหน้าเขาเป็นกระจกทั้งหมดสำหรับทิวทัศน์ที่งดงามของแม่น้ำฮัน   คนสวยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมราคามันถึงแพงลิบลิ่ว

    แต่ที่น่าประหลาดใจจนทำให้ใครหลายๆ คนส่งเสียงโห่ร้องแซวก้องคงจะหนีไม่พ้นวอลเปเปอร์บนหัวเตียงที่เต็มไปด้วยภาพของลิ้มหน้าหวาน

    รูปถ่ายของดงเฮในอิริยาบถต่างๆ ถูกเมคอยู่บนวอลเปเปอร์ที่ประดับบนเตียงนอนสีเข้ม   มันถูกออกแบบให้เป็นภาพที่มองแล้วสบายตาในทุกครั้งที่มอง   รอยยิ้มหวานจางๆ หรืออาจจะเป็นยิ้มแยกเขี้ยวจนเห็นฟันที่เรียงตัวกันสวยงามนั้นมันชวนให้คนในภาพหน้าแดงจัดอย่างหยุดไม่อยู่   โดยเฉพาะประโยคที่เขียนว่า ‘I love U’

    ถ้าไม่มีรูปบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียงที่เป็นรูปเดี่ยวของคิบอมคงถูกมองว่าเจ้าของห้องคือลีดงเฮแน่ๆ

    “ผมอยากเห็นคนดีทุกเช้าที่ลืมตาขึ้นมาเลย”

    ตากลมกะพริบปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ   รอยยิ้มเล็กๆ ที่ค่อยๆ แย้มหวานขึ้นทีละนิดนั้นเป็นสิ่งที่คิบอมหวังจะเห็นแต่แรกตั้งแต่สั่งให้ช่างมาจัดการเรื่องรูปนั่นแล้ว  

    “แหวะ !!!    กูเลี่ยนโว๊ย”

    ฮีซอลสบถคนแรกแล้วสะบัดตูดหนีออกไปอย่างหมั่นไส้เสียเต็มประดา    ซีวอนนึกชมคิบอมในใจเกี่ยวกับความโรแมนติกส่วนตัวของเจ้าเด็กพูดไม่เก่ง   คนอื่นๆ ทยอยกันส่ายหัวแล้วพากันออกไปทีละคน   ดวงหน้าหวานขึ้นสีเข้มจัดอย่างอับอายปนซาบซึ้งใจ  

    “คิดยังไงทำแบบนี้เนี่ย   ดูสิ   พี่ๆ เค้าอ้วกกันหมดแล้วอ่ะ”   ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากวอลเปเปอร์สีหวาน

    “สวยดีออก   สวยมาก”

    “บ้า >///<

    คนสวยยิ้มเขินแล้วค้อนให้งามๆ หนึ่งทีแก้อาย   คิบอมยีผมนุ่มอย่างเอ็นดูแล้วเดินอ้อมไปยังฝั่งกระจกที่มองเห็นแม่น้ำฮันอันงดงามยามอาทิตย์อัสดง

    “มาดูนี่สิหนูด๊อง”   ร่างเล็กเดินเข้ามาหาอย่างว่าง่ายตามเสียงเรียก

    “โห...   สวยจัง”   ตากลมเบิกกว้างกับภาพสวยๆ ที่เป็นตัวเรียกราคาหลายสิบล้านวอนของคอนโดแห่งนี้อย่างชื่นชอบ 

    “ชอบใช่มั๊ย”

    “อื้อ   สวยมากเลยอ่ะ”

    ร่างหนาเขยิบไปช้อนตัวร่างบางจากทางด้านหลังแล้วกักขังไว้ในอ้อมกอดอย่างรักใคร่   ดงเฮหันมายิ้มให้นิดๆ แล้วกระชัดแขนหนาเข้าหาตัวให้มากกว่าเก่า  

    คนสวยเอนศีรษะพิงกับอกกว้างแล้วยืนซบอิงในอกอุ่นอย่างสุขใจ   ดวงตาสองคู่จ้องมองออกไปยังที่ไกลแสนไกลด้วยความรู้สึกเดียวกัน  

    “ตอนที่ซื้อที่นี่   ผมคิดเอาไว้ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วยืนมองแม่น้ำฮันแบบนี้”   คิบอมทอดเสียงนุ่มนวลเชื่อมใจคนฟัง  ร่างสูงเบือนร่างไปที่เตียงกว้างแล้วโคลงตัวไปมาเบาๆ อย่างอ่อนโยน

    “ผมจะจูบราตรีสวัสดิ์คนดี   บอกรักทุกเช้าที่คุณตื่น    ผมจะไปอาบน้ำแล้วก็รอคนดีทำอาหารเช้า   จูบลาตอนผมไปทำงานพร้อมกับจูบต้อนรับเมื่อผมกลับบ้าน”

    “ฝันเอาไว้เยอะจังนะ”

    พอคิดภาพตามแล้วใจดวงน้อยๆ ก็รู้สึกสั่นไหว   มันเต้นเบาอย่างสงบทว่าเป็นเสียงเดียวกับใจของคิบอม   เสียงทุ้มที่ข้างหูพรรณนาถึงความฝันที่จะใช่ชีวิตร่วมกันมันทำให้เขาอิ่มเอมไปทั้งหัวใจ

    “ก็แน่สิ   ต้องรีบจองเอาไว้ก่อนด้วยนะเนี่ย   เดี๋ยวว่าที่เจ้าสาวผมจะหนีไปซะก่อน   ...กับไอ้โทนี่นั่น”  ประโยคหลังเขาจงใจพูดหยอกเอินดงเฮด้วยรอยยิ้ม  

    “ประสาทแล้ว   ชีวิตจริงยังไงจีเซลก็เลือกฟรานซิสหรอก   ไม่รู้เหรอ”   คนสวยยิ้มหวานแล้วเบือนร่างกลับมาประจันหน้า

    “แล้วก็อีกอย่าง    เค้าจะไปเป็นเจ้าสาวของคิบอมได้ยังไง   บ้าแล้ว   เค้าเป็นผู้ชายนะ”

    “ปลาโง่อีกแล้ว”   คิบอมส่ายหน้าพลางทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างล้อเลียน

    “ตัวเองฉลาดตายแหละ   ลิ้มปัญญาอ่อน”  

    “แต่ลิ้มปัญญาอ่อนไม่เคยเล่นเป็นต้นไม้นะ”

    “พูดเรื่องนี้อีกละ”   เจ้าต้นไม้ตัวน้อยยู่ปากงอนเมื่อเจ้าชายสะกิดปมด้อยวัยเด็ก   ตั้งใจจะเบือนหน้าหนีแล้วแกล้งงอนให้ง้อซะให้เข็ด   แต่ไม่ทันไรก็ถูกคว้าตัวกลับมาแล้วตกอยู่ใต้อำนาจเจ้าคนตัวโตกว่า   ดวงหน้าหวานถูกตรึงให้หยุดนิ่งและจ้องสบกับดวงตาคมคาย   หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำเมื่อถูกทำร้ายด้วยแววตาหวามไหวแต่เต็มไปด้วยใจรักของอีกฝ่าย

     

    “ก็ถ้าต้นไม้เป็นเจ้าหญิงให้เจ้าชายได้   คนดีก็เป็นเจ้าสาวให้ผมได้”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×