ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #44 : :: Chapter 31 : Forget...? , But... I couldn't ::

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.66K
      25
      26 มี.ค. 53

     

     

     

    31

     

     

    Forget…? , but I couldn't

     

    ลืมมันงั้นเหรอ ...   แต่ชั้นทำไม่ได้

     

     

     

     

    ถ้าชีวิตมนุษย์ทุกคนเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและวุ่นวาย   ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ความรู้สึกของตัวเองที่ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร   หากเป็นอย่างนี้ทำไมทุกคนยังคงอยากจะมีลมหายใจ  

     

     

    ถ้าไม่ใช่...   ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเขาก็ค้นพบความสุขสมในความทุกข์ตรมเหล่านั้น

     

     

    แพขนตาหนากระพริบปรับถี่ๆ   ความมึนงงคืออย่างแรกที่เข้ามาในหัว   และอย่างที่สอง   คือความสุขสมแห่งอารมณ์วาบหวามในความฝันที่เหมือนจริงเหลือเกิน  

     

     

    “อืม...”

     

     

    จุนกิส่ายหัวเบาๆ ไล่ความงัวเงีย    ความเหนื่อยล้าเข้ามาแทนที่เหมือนเพิ่งผ่านการออกกำลังมาอย่างหนัก   ฉับพลันที่คนสวยขยับกาย   ความเจ็บแสบก็แล่นปราดไปทั่วร่าง

     

     

    “อ๊ะ!

     

     

    ความปวดหน่วงที่บั้นท้ายเป็นสาเหตุของเสียงอุทาน   จุนกิกัดฟันแน่น   มือปราดไปที่ส่วนของร่างกายที่เจ็บปวดมากที่สุด   ความจริงเพิ่งประจักษ์ว่ากายขาวนั้นไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิด   มีแค่คราบเลือดเล็กน้อยที่แห้งกรังบนผ้าปูที่นอน    ของเหลวขุ่นสีขาวที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามตัว   และปริ่มอยู่บนช่องทางที่เคยบริสุทธิ์แต่บัดนี้กลับบวมช้ำเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนักจนน่ากลัว

     

     

    จุนกิเบิกตาโพลง   เสื้อผ้าส่วนต่างๆ ที่ถูกกองไว้รอบเตียงนั้นเป็นสิ่งพิสูจน์อย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้น    ยิ่งกว่านั้นรอยสัมผัสที่ถูกประทับตามตัวก็ยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ  

     

     

    แม้จะเมาและมีความต้องการมากขนาดไหน    แต่จิตใต้สำนึกก็ไม่มีวันลืมเลือนเรื่องราวอันแสนร้อนแรงของค่ำคืนที่ผ่านมาได้    ลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นผุดเข้ามาในหัวจุนกิทีละนิด   ยิ่งความทรงจำเผยถึงทุกอย่างมากขึ้นเท่าไหร่   ใบหน้าสวยหวานที่เคยดูสดใสนั้นก็ยิ่งซีดขาวราวกระดาษมากขึ้นไปเท่านั้น

     

     

    ได้โปรด...   ขอให้มันไม่ใช่ความจริง

     

     

    ขอให้ไม่ใช่เขาคนนั้น...

     

     

    ...ไม่ใช่เพื่อนของผม...

     

     

    คำวอนขอที่เขาพร่ำภาวนาในใจ   หวังให้สิ่งที่เขาจะเห็นต่อไปนี้เป็นแค่ความฝัน   หรือเพียงแค่เขามองไปยังใครอีกคนที่นอนอยู่ข้างๆ   เขาจะไม่เห็นใครคนนั้น   คนที่เป็นมโนภาพแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ

     

     

    แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างจุนกิในครั้งนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - My sweetheart… You’re everything -

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ลิ้มหน้าหวานบุกไปถึงบ้านลิ้มแก้มแตกตั้งแต่สาย   กระชากลากถูคุณชายคิมให้ลุกออกจากที่นอนอย่างเอาแต่ใจ   สาวรับใช้ในบ้านเสียวๆ อยู่ว่าหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้อาจจะถูกตะเพิดออกจากบ้านแทบไม่ทันเพราะถือดีบังอาจรบกวนคุณชายคิม

     

     

    แต่ผิดคาด...

     

     

    มีเพียงเสียงร้องหวานๆ เท่านั้นที่ดังออกมาจากห้องคล้ายเสียงประท้วงงอนๆ   เพียงครู่เดียวก่อนที่พ่อบ้านจะได้รับอนุญาตให้นำอาหารเช้าเข้าไป

     

     

    ไม่รู้ว่าเจ้าหนูคนนี้มีดีอะไรถึงได้ทำให้คุณคิบอมเอ็นดูได้ขนาดนี้   ถึงขนาดยอมให้เข้าออกในห้องได้สบายๆ   แถมยังได้รับอภิสิทธิ์พิเศษให้นอนเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียงได้แบบนี้อีกด้วย

     

     

    พ่อบ้านคิดในใจแล้วลอบมองหนุ่มหน้าหวานที่นอนอยู่บนเตียงคิบอม   ดูเหมือนดงเฮจะยังไม่รู้สึกตัวกระมังว่าเขาจ้องมองอยู่   แต่ก็เห็นจะเป็นเรื่องของเจ้านาย   ชายชราถึงได้เปิดประตูออกจากห้องไปเงียบๆ

     

     

    คิบอมเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเข้าไปในห้องแต่งตัวที่อยู่ถัดออกไป   สายตามองคนบนเตียงที่นอนกางแขนอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วยิ้มออกมาบางๆ   รีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกมาหาคนน่ารักโดยไว

     

     

    น้ำหนักข้างเตียงที่กดทับลงมาทำให้คนหน้าหวานรู้สึกตัว   ดงเฮขยี้ตาเบาๆ ด้วยมือขวา   ทว่าก็ต้องเปลี่ยนเป็นมือซ้ายเมื่อมือข้างนั้นถูกใครบางคนเอาไปกุมไว้อย่างหวงแหน

     

     

    “เสร็จแล้วเหรอ”   เสียงหวานถามแล้วยิ้มสวย   คิบอมวางมือบนศีรษะเล็กที่ตอนนี้ผมยุ่งไม่เป็นทรงอย่างเอ็นดู

     

     

    “อืม   แล้วนึกยังไงถึงมาแต่เช้า”    

     

     

    เพราะเมื่อวานงอนง้อผ่านโทรศัพท์กันซะค่อนคืน   กว่าจะวางก็เกือบๆ ตีสอง   แต่นี่แค่สิบโมงลิ้มหน้าหวานนี่ก็มีแรงมาปลุกเขาเสียแล้ว

     

     

    “ก็...”   ดงเฮฉีกยิ้มหวาน   “เมื่อเช้านะชั้นนั่งดูพรีวิวหนังอยู่อะ   คิบอม...” 

     

     

    ส่งสายตาหวานช้อนมองคนแก้มป่อง   กอดแขนร่างสูงแล้วถูไถใบหน้าลงบนนั้นอย่างออดอ้อน 

     

     

    ...เดี๋ยวคิบอมก็ใจอ่อน

     

     

    “หืม   อ้อนแบบนี้จะเอาอะไร”  

     

     

    “ไปดูกันนะ   นะๆๆ”

     

     

    เป็นคนสำคัญ(ของใจ) กันมาได้สักระยะถึงเพิ่งรู้ว่าคนตัวเล็กนี่มีหลายบุคลิกแค่ไหน   บทจะอ้อนก็อ้อนซะน่ารัก   บทจะหวานก็หวานซะจนน่าจับกดมาลิ้มลอง   แล้วตอนสวยโหดนี่ก็ดูจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

     

     

    ไม่เคยทำให้คิบอมเบื่อได้เลยจริงๆ    คนๆ นี้ที่ทำให้เขาแปลกใจได้ตลอดเวลา

     

     

    “ก็ไปสิ   แต่...”    คนเป็นต่อที่ถูกขอให้พาไปดูหนังลากเสียงอย่างเจ้าเล่ห์

     

     

    “แต่อะไร?”

     

     

    คิบอมไม่ตอบ    จ้องเรียวปากสีหวานนั่นแทนสื่อความหมาย   ดงเฮกัดริมฝีปากล่างอย่างอายๆ   มือเล็กที่จับแขนหนาเลื่อนขึ้นโอบกอดรอบลำคอ   ก่อนรั้งใบหน้าคมคายให้โน้มต่ำลงมา    แล้วเป็นฝ่ายเลื่อนใบหน้าขึ้นมอบรสจูบแสนหวานแก่ร่างสูง

     

     

    ดูหนังกับเสียตัว...  เอ๊ย   เสียจูบ   มันคุ้มมั้ยเนี่ย!?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - My sweetheart… You’re everything -

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เพราะกลิ่นหอมของบางอย่างที่คุ้นเคยทำให้เปลือกตาบางค่อยๆ ขยับปรือขึ้น   อาการมึนหัวเริ่มครอบงำเพราะพิษไข้ที่ยังไม่หมดไป   ซองมินกุมขมับแล้วทำหน้าเหยเก

     

     

    “ปวดหัวจัง”

     

     

    ความรู้สึกที่ผิดแปลกไปยามตื่นนอนรวมถึงกลิ่นของผ้าปูที่นอนที่ไม่คุ้นจมูกทำเอาซองมินสำนึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา   แต่เป็นของคยูฮยอน   ไอ้หมาป่าใจร้ายคนนั้น

     

     

    ไอ้บ้า   ไอ้คนใจร้าย   เพราะนายชั้นเลยไม่สบาย!!!

     

     

    กระต่ายอวบทำได้เพียงเข่นเขี้ยวคยูฮยอนอย่างเจ็บใจ   ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้นเมื่อสังขารมันไม่เอื้ออำนวย   ทั้งที่จริงแล้วอยากจะลุกจากเตียงแล้วตรงไปกระชากหัวที่ประดับหน้าหล่อๆ นั้นให้เละไม่มีชิ้นดี

     

     

    แต่ซองมินก็อยากจะรู้นัก   ว่ากลิ่นหอมๆ ที่ได้กลิ่นนี่มันคืออะไร   คล้ายของโปรดเขาจัง

     

     

    ฟุดฟิดๆ   กลิ่นเหมือนซุปฟักทองของป้ายูนาเลยแฮะ...

     

     

    และแล้วข้อสงสัยก็ได้รับคำเฉลย   เมื่อคยูฮยอนผลักประตูห้องเข้ามาพร้อมชามในมือ

     

     

    “นั่นอะไรน่ะ”   ทั้งที่รู้เพราะจำกลิ่นอันหอมหวนของฟักทองหวานได้ดีอยู่แล้วก็ยังถาม

     

     

    “อย่าถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วจะได้มั้ย    ตะกละชะมัดเลยนายเนี่ย   ลุกมากินสิ”    คยูฮยอนจิกกัดพอเป็นพิธี    วางชามซุปไว้บนโต๊ะ

     

     

    “นายก็รู้ว่าชั้นไม่มีแรง”   ซองมินบ่นอุบ   จะว่าไปแล้ว   แรงจะขยับตัวไปไหนเขาก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

     

     

    “สำออยหรือเปล่า”   คยูฮยอนหรี่ตา  

     

     

    “ใจนายมันทำด้วยอะไรฮะ   ก็แล้วมันเพราะใครกันล่ะที่ทำให้ชั้นต้องนอนซมอยู่แบบนี้”

     

     

    “ปากเก่งนักนะ”   คยูฮยอนจ้องกระต่ายตัวอวบที่ถือไพ่เหนือกว่า   ท้ายที่สุดหมาป่าหน้าหื่นก็ต้องยอมจำนนต่อความผิด   คว้าชามซุปมาแล้วทรุดตัวลงข้างเตียง  

     

     

    “จะให้ป้อนด้วยเลยมั้ยล่ะ”

     

     

    “อื้ม   ก็ดี”

     

     

    “ชั้นประชดเว่ย”

     

     

    “แต่มินมินไม่มีแรงจริงๆ นะ”

     

     

    สองคนจ้องหน้ากันนิ่ง   คยูฮยอนหัวเสียนิดๆ ที่คนน่ารักทำท่าเหมือนอยู่เหนือเขา   ชายหนุ่มมีนิสัยไม่ชอบให้ใครกดขี่เสียด้วยสิ   ...เพราะเขานี่แหละต้อง กดและ ขี่คนๆ นี้

     

     

    “ได้   งั้นนายต้องมีค่าแรงให้ชั้น”

     

     

    คยูฮยอนกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์   วางสิ่งที่ถือในมือลงบนโต๊ะอีกครั้ง   ไม่รอช้าให้ซองมินถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร   คว้าใบหน้าจิ้มลิ้มที่เริ่มมีสีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยขึ้นมาประกบจูบทันที

     

     

    “อื้อ !!   ซองมินขัดขืนต่อสัมผัสที่ไม่ทันตั้งตัว   คยูฮยอนกดจูบหนักๆ ลงหวังกอบโกยค่าแรงให้เต็มที่   ส่งลิ้นร้อนเข้าล่วงล้ำโพรงปากหวานอย่างจาบจ้วง   ยิ่งคนตัวอวบไม่มีแรงแม้แต่จะขยับกายหนีก็ยิ่งเข้าทาง   ฉวยโอกาสกับร่างกายนี้ได้มากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว

     

     

    ซองมินกำแขนคยูฮยอนแน่น   ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้   ออกแรงมากๆ ก็ชักจะเหนื่อย   ได้แต่หอบหายใจหนักๆ  อากาศที่ถูกคยูฮยอนช่วงชิงไปนั้นก็ทำท่าจะหมดไป   ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายดุนดันลิ้นหนาให้ออกไปแล้วถอนริมฝีปากออกมาเพื่อคว้าออกซิเจนเข้าปอด

     

     

    “พ..พอแล้ว   แฮ่ก...   ห..หายใจไม่ทันนะ”

     

     

    มืออวบกันท่าอยู่บนแผงอกกว้างไม่ให้เข้ามากล้ำกรายร่างกายตนได้อีก   คยูฮยอนแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองพลางมองใบหน้าที่ขึ้นสีจัดของซองมินอย่างชอบใจ   ไม่ได้รังแกอะไรคนป่วยอีก   เอื้อมมือไปคว้าชามซุปแล้วตักขึ้นเป่า   จากนั้นเอาไปจ่อไว้ที่ริมฝีปากบาง

     

     

    “กินสิ”

     

     

    มีหรือซองมินจะไม่ทำตาม    คนตัวอวบเคี้ยวฟักทองบดที่นิ่มสำหรับคนป่วยอย่างมีความสุข   แล้วก็ต้องทำหน้าประหลาดใจสุดซึ้ง

     

     

    “นี่มัน...   ซุปฟักทองสูตรป้ายูนานี่”   กระต่ายอวบตาโต   รสชาติอร่อยของฟักทองแบบนี้เขาละจำได้ดีนัก

     

     

    คยูฮยอนเงียบไม่ตอบอะไร

     

     

    “นาย...  ทำเองเหรอ”

     

     

    “กินๆ ไปเหอะน่า   ไม่ต้องถามมาก”   คยูฮยอนเสเปลี่ยนเรื่อง  ยื่นช้อนไปให้กระต่ายช่างสงสัยอีกครั้ง   หวังเอาอาหารปิดปากที่ช่างเจรจานั่น

     

     

    ซองมินอมยิ้มในขณะที่มีของโปรดอยู่ในปาก   คยูฮยอนมองคนน่ารักอย่างขัดใจปนหงุดหงิด  

     

     

    ...อย่ามาทำเป็นรู้ดีนะมินมิน    ชั้นไม่ได้ให้แม่สอนทำไอ้ซุปฟักทองนี่เพื่อนายสักหน่อย   เฮอะ   อย่าหลงตัวเองนักเลย...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - My sweetheart… You’re everything -

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    จุนกิตัวชา   หน้าซีดเผือด   ตื่นตระหนกไปด้วยความกลัวเมื่อหันมองคนข้างๆ ที่นอนลืมตาจ้องมองมาที่เขา   เจย์ คิมไม่ได้หลับไปเพราะการออกแรงที่มากมายตลอดทั้งคืนเพื่อสนองความต้องการมหาศาลของจุนกิ   ตรงกันข้ามเขากลับนอนไม่หลับเมื่อทั้งหัวมีแต่เสียงครวญครางที่สลับไปมากับเรื่องราวอนาคตของจุนกิที่เคยเล่าให้เขาฟัง

     

     

    เจย์  คิมทำใจตัดมันออกไปไม่ได้

     

     

    สายตาของร่างสูงยังคงเรียบเฉยแม้จะถูกร่างบางจ้องมองด้วยความสับสน   ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วมองไปยังคนที่ถูกพันรอบกายไว้ด้วยผ้าห่มหนาในระดับสายตาเดียวกัน

     

     

    ทว่าถ้อยคำแรกที่ออกมาจากปากอิ่มที่บวมเจ่อ   ก็ทำให้เจย์ชะงักไป

     

     

    “ไม่จริงใช่มั้ย...”

     

     

    “...”

     

     

    “มันไม่จริงใช่มั้ยเจย์   บอกเราสิ   บอกเรา   ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดใช่มั้ย...   เราไม่ได้มีอะไรกันใช่มั้ย

     

    เสียงแผ่วเบาถามราวกระซิบ   ดูเศร้าสร้อยบีบรัดใจคนฟัง   ไม่ใช่เจ็บปวดเพราะรักในเชิงรักใคร่   แต่ในฐานะเพื่อนสนิทที่กลับกลายมาเป็นผัวเมียชั่วข้ามคืนมันก็อดให้เจย์นึกเวทนาไม่ได้

     

     

    “ใช่หรือเปล่า...  ฮึก”

     

     

    แต่ก็ดูเปล่าประโยชน์   เมื่อสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้นจากโลกใบนี้มาประจักษ์อยู่เบื้องหน้า

     

     

    “มันเป็นความจริง”

     

     

    กายขาวนวลที่มีร่องรอยอันเปรียบเสมือนตราบาปสั่นระริก   จุนกิส่ายหัวช้าๆ ด้วยแววตาเหม่อลอยเหมือนคนวิตกจริต

     

     

    ...ความจริงล้วนโหดร้ายเสมอ...

     

     

    “ไม่จริง...”

     

     

    “ไม่จริง!   ไม่จริง!   ฮึก!   ฮือ  ไม่จริง” 

     

     

    คนที่งดงามราวนางฟ้าส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง   ทึ้งผมตัวเองด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจ   ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้   คนที่พยายามสร้างตนเป็นกำแพงล้อมรอบครอบครัว    หมายมั่นที่จะเป็นผู้นำอย่างสมศักดิ์ศรีเพื่อดูแลทุกคนที่เขารัก   พยายามมาตลอดที่จะเป็นผู้ชายให้ได้อย่างที่ใครๆ เขาเป็น

     

     

    แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว...

     

     

    ความรู้สึกในตอนนั้นลีจุนกิจำได้ดี   มโนภาพที่เขาไม่พลาดที่จะจดจำ   ทุกๆ ความปรารถนาที่ถูกหยิบยื่นและสนองตอบ   ความเร่าร้อนที่เขาเป็นคนปลุกปั่นมันขึ้นมาเพื่อสนองอารมณ์กระสันกับ...   ผู้ชายด้วยกัน

     

     

    ลูกผู้ชายไม่เอาไหนที่ทรยศต่อปณิธานจนกลายเป็นเมียของผู้ชายด้วยกัน   จุนกิไม่ต้องการ

     

     

    จะมีหน้าไปสู้คุณพ่อคุณแม่ได้ยังไง...

     

     

    ในเมื่อสิ่งที่เสียไป   มันเรียกกลับคืนมาไม่ได้อีก   รู้ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ   ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา

     

     

    ไม่ใช่เพราะเจย์ คิม

     

     

    ปัญหาไม่ใช่ที่ตรงนั้น   และไม่ใช่เพราะสัมพันธ์สวาทชั่วข้ามคืน

     

     

    หากแต่เป็นเพราะจุนกิเสียเองที่บัดนี้แน่ใจว่าเขาคงไม่มีทางรักชอบผู้หญิงได้อีกแล้ว   คงไม่มีทางที่จะมีทายาทสืบสกุล   คงจะกลายเป็นลูกอกตัญญูที่สร้างความร้าวรานให้บุพการี   คงจะเป็นกาลกิณีแก่ตระกูล

     

     

    หนูเล็กเค้าจะมีความสุขได้เพราะฮันกยองนะครับ   คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ   ผมจะมีหลานให้คุณแม่เอง

     

     

    บัดซบที่สุด...

     

     

    คำพูดที่เคยให้ไว้กับมารดาทำร้ายใจจุนกิเสียจนเจ็บแสบ   ร่ำไห้โฮอย่างคนเสียสติ    หรือถ้าเป็นไปได้จุนกิก็อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด   ในเมื่อความฝันของเขามีเพียงสิ่งเดียวคือเป็นลูกชายที่ดีพร้อมให้ได้อย่างที่บิดามารดาจะพอใจ

     

     

    ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่ามันเลวร้ายขนาดไหน   ไม่มีจริงๆ

     

     

    เมื่อวันนี้ฝันนั้นสลายลงไปต่อหน้าต่อตา

     

     

    “จุนกิ!   พอได้แล้วน่า!

     

     

    เจย์ถลาเข้ามาคว้าจุนกิที่กำลังดิ้นพล่านให้สงบลง   แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อจุนกิไม่ยอมหยุดง่ายๆ   ใจลึกๆ สั่งการไม่ให้เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้   ออกแรงขยับตัวมากส่วนล่างที่บอบช้ำก็เริ่มปริ่มไปด้วยเลือด   แต่ร่างบางไม่แคร์   ยังคงดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการ

     

     

    “ลีจุนกิ   ชั้นบอกให้หยุด !!!

     

     

    เสียงกัมปนาทที่น่ากลัวพอจะทำให้ร่างบางชะงักไปได้   สายตาของเจย์เต็มไปด้วยความคุกรุ่น   แต่ก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองที่จุนกิจะปฏิเสธเขา   มันช่วยไม่ได้ที่ร่างกายและความรู้สึกเลือกที่จะหลีกหนีต่อสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด

     

     

    นึกต่อว่าตัวเองด้วยซ้ำ   ทั้งที่เขามีสติดีครบทุกอย่าง   แต่กลับให้อารมณ์แห่งกามาอยู่เหนือทุกสิ่ง

     

     

    “อยู่นิ่งๆ”  

     

     

    เจย์บังคับให้จุนกินอนคว่ำลงกับเตียง   ใช้หมอนรองท้องน้อยไว้ส่งผลให้บั้นท้ายงอนนูนขึ้นมา   สายตาของจุนกิเหม่อลอยไปไกลแสนไกล   เจย์ส่ายหัวเบาๆ แล้วก้มดูปากทางรักที่เปรอะไปด้วยคราบเลือดสีชมพูขุ่นที่ปะปนกับน้ำรักของเขาเอง

     

     

    นิ้วยาวสอดเข้าสู่ร่างกายของจุนกิ   เมื่อร่างบางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็ส่งนิ้วที่สองและสามเข้าไป   ก่อนใช้มันวกวนเพื่อคว้านเอาส่วนหนึ่งที่เคยอยู่ในร่างกายเขาออกมาจากกายบาง    พยายามอย่างที่สุดเพื่อจะอ่อนโยนเพื่อไม่ให้ร่างบางที่แสนจะบริสุทธิ์แปดเปื้อนไปมากกว่านี้

     

     

    ว่ากันตามจริงแล้วตอนนี้เจย์ก็กำลังคิดไม่ตก   สถานการณ์มันเลวร้ายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้นัก   ตัวเขาก็ลืมไปเอง   ว่าตัวตนของจุนกินั้นทุ่มเทอยู่กับอะไร   ลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับจุนกิคือครอบครัว   คือการมีทายาทสืบสกุล

     

     

    แต่สิ่งที่จะทำต่อไปนั้นเขานั้นหรือจะมีสิทธิ์ไปสั่งให้จุนกิทำอะไรไม่ทำอะไร   เพราะไม่ว่าจะยังไง   การที่เขาทำในสิ่งที่จุนกิต้องการก็คงจะเป็นการดีที่สุด

     

     

    อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ร่างบางตรงนี้รู้สึกทรมานใจมากไปกว่าที่เป็นอยู่

     

     

    จุนกิยอมอยู่เฉยให้เจย์สวมเสื้อผ้าให้   เริ่มจากอันเดอร์แวร์   บ๊อกเซอร์ตัวจิ๋ว   จนกระทั่งตามมาด้วยเสื้อกับกางเกง    มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลรินเป็นสายสนองตอบต่อทุกสิ่ง   ไม่รับรู้แล้วว่าเจย์จะทำอะไรกับร่างกายของเขา   ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น   เว้นแต่เมื่อได้ยินคำนี้

     

     

    “ไปโรงพยาบาล”

     

     

    ร่างบางผุดลุกอย่างตื่นตระหนก   “ไม่นะ  ไม่ไป”

     

     

    “ทำไม”   เสียงที่ปกติจะหยาบกร้านดูจะอ่อนลงเล็กน้อย    พอจะเข้าใจอยู่ว่าทำไมจุนกิถึงไม่อยากไปโรงพยาบาล    มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรือเรื่องปกติสามัญเลยที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการผิดปกติของบั้นท้ายเนื่องจากการร่วมรัก

     

     

    “เรา ...  เราอาย”  

     

     

    จุนกิเริ่มจะสงบอาการพลุ้งพล่านของจิตใจได้เล็กน้อย   อย่างที่เขารู้สึกได้แต่แรกว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเจย์   สิ่งที่ร่างกายปฏิเสธไปก็เหมือนอาการชั่วคราว   ทำใจได้มันก็ไม่เกิดปัญหาอะไร

     

     

    แต่มันก็แค่เรื่องนี้...

     

     

    เจย์ไม่ฟัง   รีบสวมเสื้อผ้าแล้วจับคนที่ร่างกายอ่อนนุ่มและเบาบางราวขนนกขึ้นพาดบ่า   ลงไปยังชั้นล่างของผับที่เมื่อคืนเป็นเหมือนสวรรค์ชั่วคราวของเขา   วางร่างบางไว้ในรถของเจ้าตัวก่อนจะเป็นฝ่ายอ้อมไปเปิดประตูแล้วนำตัวคนเจ็บไปโรงพยาบาล   ไม่ฟังเสียงทัดทานปฏิเสธใดๆ  

     

     

    ไม่ใช่ไม่แคร์ความรู้สึก   แต่สิ่งไหนจะสำคัญเท่าความปลอดภัยของร่างกาย   และอีกอย่าง...  ทุกๆ คำถามที่จุนกิจะต้องตอบ   เขาจะเป็นตอบมันเอง   เพราะเขารู้ดี    รู้ทุกอย่างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับช่องรักสีสดนั่น   มันมีอะไรบ้าง...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โรงพยาบาลซังนัม   คือสถานที่อันดับหนึ่งที่ชาตินี้จุนกิขอสาบานว่าจะไม่เข้าไปเหยียบอีกเป็นครั้งที่สอง   อับอายเกินกว่าจะสู้หน้าใครไหว   แม้แพทย์ผู้รับผิดชอบเขาจะเล่าว่าพบเคสท์แบบนี้บ่อยจนชิน   ทว่ามันก็ขายขี้หน้ามากเกินกว่าจะรับได้อยู่ดี

     

     

    ความเงียบเข้าปกคลุม   มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังจนได้ยินชัดเจน   ภายใต้ใบหน้าเรียบๆ และแววตาของเจย์นั้นไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ได้เลย   ตรงข้ามกับจุนกิ   นัยน์ตาหวานที่บัดนี้เศร้าสร้อยเจือปนไปด้วยความทุกข์ตรม

     

     

    คิดไม่ออก...

     

     

    ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปดีแล้ว...

     

     

    สมองที่เคยชาญฉลาดไม่รู้ว่าสูญหายไปไหน   คงจะจริงที่ว่าเมื่อเกิดปัญหาคนเรามักมองเห็นแต่ทางตัน   ไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเผชิญได้   ซึ่งจุนกิกำลังเป็น

     

     

    ความคิดในหัวตีกันวุ่นไปหมด   อันดับแรกที่จุนกินึกถึงไม่ใช่ตัวเอง   หากแต่เป็นครอบครัว   และเพื่อนสนิท...

     

     

    พวกเขากำลังอยู่ในสถานะอะไร   จากวันนี้ไปจุนกิจะสามารถมองคนข้างๆ ด้วยสายตาแบบไหน   ในเวลาที่มีเรื่องทุกข์ร้อนหรือสุขสมยังจะสามารถแบ่งปันความรู้สึกเหล่านั้นได้อีกหรือไม่

     

     

    เขาไม่รู้อะไรเลย  

     

     

    ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเสี้ยวของใบหน้าคมคายที่กำลังบนไปบนพื้นถนน   มันมองหน้ากันไม่ติด

     

     

    นับจากนี้ก็คงจะเป็นแบบนี้สินะ   

     

     

    หรือการถอยห่างออกไป   จะทำให้ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในอนาคต   ไม่ก็...  เวลานี้จุนกิอาจจะมีเวลาให้กับการคิดไตร่ตรองในทุกๆ เรื่อง

     

     

    “นายจะทำยังไงต่อไป”

     

     

    คำถามนี้ถูกถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย   จังหวะเดียวกันกับที่เจย์เลี้ยวรถเข้าหมู่บ้านใจกลางเมือง

     

     

    คนต้องตอบคำถามยังคงเงียบ   เหมือนจะเป็นการแสดงออกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน    ตอนนี้ทุกอย่างมันวุ่นวายและพัวพันกันยุ่งไปหมด   ทั้งเรื่องความสัมพันธ์นับจากนี้กับเพื่อนสนิท   ...และสิ่งเดียวที่เขาทุ่มเทกับมันมาตลอดว่าสักวันจะต้องมีทายาทเพื่อรับกิจกาจที่สืบต่อจากเขา   ไม่ให้ฮยอกแจเสียใจว่าเขาผิดที่ไม่สามารถมีลูกได้   เพื่อไม่ให้บุพการีต้องผิดหวัง

     

     

    มันยุ่งเหยิงจนบัดนี้ก็ยังหาทางออกไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว

     

     

    หรือ...   อาจจะไม่ใช่ทางออก   เพียงแต่เป็นแค่ความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาในชั่วระยะเวลานั้น

     

     

    “เจย์”    น้ำเสียงแผ่วเรียกชายหนุ่มเบาๆ   เวลาเดียวกับที่รถของจุนกิหยุดลงอยู่หน้าเคหาสน์หลังงาม   เจย์ยังคงไม่ขยับตัวไปไหน

     

     

    “อะไร”   เอ่ยรับเสียงห้วนตามนิสัย   เบือนหน้าไปมองคนที่นิ่งเงียบมาตลอดการเดินทาง   ทว่าคำพูดที่ได้ยินตามมานั้นกลับทำให้เขาชะงัก   เพียงแค่ประโยคง่ายๆ ไม่กี่คำ

     

     

    “ลืมมันเถอะ   คิดซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

     

     

    “...”

     

     

    เสียงที่เคยเต็มไปด้วยความอาทรบัดนี้ดูเย็นชาและห่างเหิน   ชายหนุ่มจับความสั่นไหวในน้ำเสียงนั้นได้   แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้คนๆ นี้ดูอ่อนแอในเวลาเช่นนี้   อาจเป็นเขา  ...หรือสิ่งอื่น

     

     

    เจย์ยังคงเงียบ   จะให้เขาพูดอะไรล่ะ   ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาเพิ่งพูดกับตัวเองไปว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าทำตามในสิ่งที่จุนกิต้องการให้เขาทำ   เพื่อแก้ไขในสิ่งที่พลาดลงไป   ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตามที  

     

     

    ไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง    เพียงสิ่งเดียวที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหนาก็คงมีแต่คำถามเท่านั้น

     

     

    “นายลืมมันได้จริงๆ เหรอ   ลืมได้จริงๆ น่ะเหรอ”

     

     

    “...ได้สิ   ก็แค่ลืม”

     

     

    คำพูดนั้น...  ช่างง่ายดายนัก  

     

     

    ฤาจิตใจและความต้องการของคนเรา    จะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากที่สุด   แต่แท้จริงแล้วแก่นแท้นั้นกลับว่างเปล่า   เมื่อจุนกิรู้ดีว่า   ลึกลงไปในใจของเขานั้น   ไม่ได้ต้องการจะพูดคำนี้   มันไม่ใช่สิ่งที่เขาพบเจอในความต้องการของตัวเอง    ข้างในนั้นมันว่างเปล่า   ขาวโพลนจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

     

     

    แต่เจย์คิมคงไม่มีวันเข้าใจ   ไม่มีวัน

     

     

    ไม่กล้าหวังหรือบอกหนทางให้คนๆ นี้ทำสิ่งใดกับเขา   ในเมื่อตัวตนของเจย์    เป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้   และในมุมมองของจุนกิ    เขาคงรักษามิตรภาพครั้งนี้ไว้ได้เท่านี้เอง   ไม่อยากให้มันเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นใดเลยจริงๆ

     

     

    “ลืมมันซะเถอะ”

     

     

    เพียงประโยคสุดท้ายที่เอ่ย    ก่อนจะพาร่างกายที่บอบช้ำแทบทุกส่วนผันกายลงจากรถไป    ไม่เหลียวหลังหันกลับมามองคนที่นิ่งงันอยู่ที่เดิม  

     

     

    เจ้าของคำถามที่ได้รับคำตอบนั่งนิ่งไม่ไหวติง   อันที่จริงสมควรจะรู้สึกแบบไหนเขาก็ไม่รู้    รู้แต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่ตะโกนสวนกลับไปอย่างบ้าคลั่งทันทีที่ได้ยินคำตอบนั่น

     

     

    ทั้งที่ไม่ได้รัก   แล้วนี่มันคืออะไร...

     

     

    ตึง !!!

     

     

    เจย์ตวัดมือไปที่คอนโทรลรถอย่างแรง    เสียงตึงดังก้องรถเพียงชั่วครู่แล้วเงียบไป   ร่างสูงหายใจหอบอย่างฉุนเฉียว   โมโหตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

     

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน !!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “หนังเมื่อกี้สนุกดีเนอะ”  

     

     

    เสียงหวานโพล่งขึ้นทันทีที่นึกขึ้นได้   ระหว่างรออาหารอิตาลีมาเสิร์ฟ    ก็ได้เวลาวิจารณ์ภาพยนตร์ตามประสาคนชอบดูหนัง

     

     

    “เพ้อเจ้อมากไปหน่อย”   คิบอมบอกตามที่รู้สึก   ออกจะเกินความเป็นจริงไปเยอะเมื่อกล่าวถึงการดำเนินเรื่อง   มีนายเอกที่เป็นแองเจิ้ลอยู่ในความฝัน   ทั้งยังพบกับพระเอกที่มีตัวตนจริงๆ อยู่บนโลก   

     

     

    “ไร้สาระด้วย”  

     

     

    “คิบอมนี่   สนุกดีออก   ผู้ชายคนนั้นหน้าหวานจังเลยเนอะ    ในเรื่องชื่ออะไรน๊า   ลีทงเฮใช่หรือเปล่านะ   พูดแทนตัวเองว่าเค้าด้วย    นายว่าไม่น่ารักเหรอ   แล้วพระเอกก็หล๊อหล่อ   ดูดีจะตาย”

     

     

    ได้อรรถรสมากเสียกว่าตอนชมซะอีกเวลาฟังดงเฮพูด    คิบอมอยากจะขัดเสียจริงๆ ว่านักแสดงคนนั้นก็น่ารักได้ไม่เท่าคนตรงหน้านี้   แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจแทบไม่ทันเมื่อคนน่ารักเมื่อครู่เริ่มทำตัวไม่น่ารักซะแล้ว

     

     

    มีอย่างที่ไหนไปชมคนอื่นว่าหล่อทั้งดูดี   ทั้งๆ ที่เวลานี้คนสำคัญของตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน

     

     

    ...ไม่สิ   ไม่ว่าจะเวลาไหนดงเฮก็ไม่มีสิทธิ์ไปออกปากชมใครทั้งนั้นละ   

     

     

    หึงน่ะหึง   ได้ยินมั้ย

     

     

    คิบอมเงียบ   ไม่พูดอะไรอีก   ปล่อยให้คนหน้าหวานช่างเจรจาพูดต่อไปเรื่อยๆ   กระทั่งอาหารถูกนำมาเสิร์ฟและทั้งสองเริ่มทานดงเฮก็ยังไม่หยุดพร่ำเจื้อยแจ้ว   อย่างว่า   บทจะพูดมากก็พูดได้ไม่หยุดจริงๆ   

     

     

    แต่เมื่อเริ่มจะรู้ได้ถึงความผิดปกติ   แก้มขาวที่เคี้ยวอาหารในปากตุ้ยๆ ก็หยุดชะงัก   หันมาถามเจ้าคนหน้าตายที่เงียบไปนานทันที

     

     

    “นี่   เป็นอะไอ?”   พูดไม่ชัดบ้างเพราะอาหารมันคับปาก   ถามแล้วจ้องคนแก้มป่องตาแป๋ว   อีกฝ่ายที่ทำหน้าตึงพอเห็นกริยาท่าทางนั้นพร้อมกับไวท์ซอสที่ติดอยู่ข้างแก้มของคนกินเลอะเทอะนั่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปป้ายออกพร้อมดุนิดๆ ด้วยนิสัยเดิมๆ  

     

     

     

    “ที่คาอยู่ในปากน่ะกินเข้าไปซะ”  

     

     

    คิบอมกลับไปเป็นนายลิ้มแก้มแตกจอมวางท่าอีกครั้ง

     

     

    แม้จะเอาใจใส่แต่ก็ยังบึ้งตึง   น้ำเสียงห้วนๆ อย่างเคย    คนหน้าหวานก็ไม่รู้ตัวว่าเผลอไปทำอะไรให้เจ้าชายไร้หัวใจคนนี้โกรธ   เมื่อกี้ก็ยังคุยกันดีๆ อยู่เลยนี่นา   เอ๊ะ...  หรือว่า?

     

     

    “อ๋อ   ฮิๆ   หึงเหรอ”   จู่ๆ คนตัวดีก็หัวเราะคิกคัก    ทำท่าล้อเขาเสียอีกแน่ะ   เดือดร้อนถึงคิบอมให้ตีหน้าเข้าโหมดโหดอีกระลอก

     

     

    “หึงที่ชั้นชมพระเอกคนนั้นน่ะเหรอ   อิๆ   รู้ป่ะ   คนนั้นน่ะนะ   แก้มป๊องป่องงง    เวลายิ้มทีก็หน้าบานอย่างกับซิลิโคนย้อยเลย   เหมือนคนแถวนี้จังน้า    ไม่รู้อะไรซะแล้ว   ที่ชมน่ะชมคนนั้น   ... แต่ที่ชอบน่ะคนแถวนี้”   

     

     

    ลอยหน้าลอยตาตอบ   หรรษาอารมณ์จริงจริ๊งเวลาเย้าหยอกกันไปมาเนี่ย   ถึงครั้งนี้จะมีเค้าที่สนุกคนเดียวก็เถอะ   แต่ลีดงเฮก็บ่ยั่น   สู้ไม่ถอย   อ้อนจะให้คนหน้าตึงนี้ยิ้มแก้มแตกให้ได้เสียทีสิน่า

     

     

    คิบอมเริ่มตกหลุมพราง   ลังเลใจอยู่ที่ปากหลุมว่าจะกระโดดตุ๊บลงไปอย่างนิ่มนวลหรือตกโครมลงไปดี   สุดท้ายแล้วก็คงเป็นอย่างหลัง   รอยยิ้มเต็มหน้ากักเก็บไว้ไม่ไหวอีกต่อไปจนต้องระบายออกมาเสียกว้างอย่างไม่รั้งรอ   หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะมันห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ

     

     

    ไม่เคยมีใครเนรมิตรอยยิ้มของคิมคิบอมได้มาก่อน    ยกเว้นคนๆ นี้    ผู้มีรอยยิ้มหวานเป็นดั่งมนต์วิเศษเสกให้คนยิ้มยากกลับกลายเป็นคนที่มีรอยยิ้มเกลื่อนกลาดที่สุดในโลก

     

     

    คิบอมเคยบอกแต่ว่าดงเฮน่ารัก   แต่เขาจะรู้บ้างไหมว่าตัวเองก็เป็นใครบางคนที่น่ารักสำหรับดงเฮเช่นกัน    จะเป็นเพราะอะไรก็ตามแต่    ทว่าลีดงเฮคนนี้กลับอยากทำให้คิบอมรักเค้าเข้าไปอีก   รักให้มากๆ   รักจนหัวปักหัวปำไปเลยยิ่งดี

     

     

    มันต้องมีวิธีอ้อน...

     

     

    “แล้ว...   หายโกรธเค้าหรือยังอ่ะ”   

     

     

    “ยัง  ...หืม   ว่าอะไรนะ”   เหมือนได้ยินอะไรแว่วๆ ที่ไม่ชินหู  

     

     

    “ป..เปล่านะ”

     

     

    “ก็เมื่อกี้   คุณแทนตัวเองว่า ...เค้า”

     

     

    “ก็...   หนังเมื่อกี้น่ารักดีนี่นา   ชั้นก็เลยอยากทำแบบนั้นบ้าง   แต่ถ้านายไม่ชอบชั้นไม่ทำก็ได้”

     

     

    “หึๆ   น่ารักดี”

     

     

    คิบอมยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความพอใจอย่างปิดไม่มิด  

     

     

    “ทำไมคิบอมชอบพา...  เค้า..  มากินร้านแพงๆ   เปลืองตังค์”   ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้หยุดกิน   มิหนำซ้ำยังใช้ส้อมจิ้มไปยังจานของคิบอมเพื่อแย่งแฮมชีสอีกแน่ะ   แต่ดูเหมือนจะลำบากเกินไปสำหรับคนแขนสั้น   ร่างสูงส่ายหน้าน้อยๆ พลางยิ้มขำ   ก่อนจะเป็นฝ่ายตักอาหารในจานของตัวเองแล้วยื่นไปจ่อที่ริมฝีปากบางพร้อมคำพูดสั้นๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

     

     

    “แค่ชอบก็พอแล้ว”

     

     

    “ง่ำ”

     

     

     

     

     

     

     

    นิ้วเรียวขาวจรดลงบนปุ่มของโทรศัพท์เครื่องสีแดงเพื่อส่งข้อความไปหาใครบางคน   ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว   ก่อนสะดุ้งโหยง !

    “คิมฮีซอล !!!

    เสียงอะไรหนอที่แผดไปทั่วบ้านทั้งหลัง   ดังกร้าวจนเจ้าของชื่อต้องรีบถลาลงจากเตียงหลังนอนเอกเขนกได้พักหนึ่ง  แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่ยืนทำหน้าโมโหอยู่กลางบ้านเท่านั้นแหละ   พลันสีหน้าตกใจใคร่รู้ของฮีซอลก็เปลี่ยนไปในบัดดล

    “อ๊ะอ่า    ท่านเจย์ผู้หล่อเหลานี่เอง”   ฮีซอลนวยนาดด้วยท่าทางกวนประสาทลงมาจากบันได   เจย์ยืนกำหมัดแน่นอย่างโกรธเคือง  

    “เป็นไง   เมื่อคืน   หรรษามั๊ย~!   

    สีหน้ายิ้มร่าไม่รู้เรื่องราวที่แสดงออกมาอย่างมีความสุขนั้นทำเอาเจย์คิมตัดสินใจตะบันหน้าฮีซอลไม่ลง   ทั้งที่ตอนแรกกะจะซัดมันให้หมอบไปแล้วแท้ๆ

    ผัวะ !

    มือหนาโบกไปแรงๆ ที่ศีรษะบาง  ดังจนคนถูกประทุษร้ายรู้สึกว่าโลกนี้มันแบนไปชั่วขณะ

    “ไอ้เหี้ยฮีซอล   เมื่อวานมึงทำอะไร”

    ไม่มีอารมณ์จะมาพูดว่าจาสุภาพใส่กันหรือดิบๆ อย่างปกติในหมู่เพื่อน    แค่ยั้งอารมณ์ไม่ลงไม้ลงมือกับคนตรงหน้านี่ก็ถือว่าเจย์อดทนมากเกินพอแล้ว   หากเป็นคนอื่นคงซัดไม่มีเหลือ   แต่ไอ้ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรนี่เลยมันก็ช่างกวนบาทานัก

    “เอ๊า   ยังจะถาม   ก็เป็นกามเทพสุดหล่อให้แกได้แฮปปี้ทั้งคืนไง   เป็นไงวะ  มันส์มั้ย”

    ดูท่าว่าไอ้เจ้าคนตรงหน้านี่จะไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง   ฮีซอลตบไหล่เจย์แล้วพาไปนั่งที่โซฟา   ทำหน้าสงสันระคนอยากรู้เสียเต็มประดา   จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นั่นแหละ   เพราะตั้งแต่ที่ซีวอนพากลับมาที่บ้านฮีซอลเองก็ยังไม่ได้ติดต่อใครสักคนนอกจากไอ้เด็กหล่อ

    “ตกลงเป็นไงวะ   อยากรู้นะเนี่ย   นั่งจ้องหน้าชั้นอยู่ได้    อ่ะๆ  อย่ามาด่าชั้นทีหลังนะเว่ย   เมื่อคืนแกกวนตีนก่อนเอง”   ฮีซอลดักคอคนที่จ้องเขาด้วยสายตากดดัน   ช่วยไม่ได้ที่เขาจะแก้เผ็ดไอ้เพื่อนบ้านี่   มันอยากกวน Teen ไม่รู้เวล่ำเวลาเอง   คนกำลังหงุดหงิดเรื่องซีวอนอยู่   มาทำให้เสียอารมณ์ซะได้   ชิส์

    “ไอ้สันดาน   ทำกูแสบเลยนะมึง”

    “อ้าวๆ  ขึ้นศัพท์บรรพบุรุษรุ่นโคตรตระกูลเลยเหรอมึง”

    เกือบแปดปีที่เป็นเพื่อนกันมาพอจะทำให้พวกเขารู้ไส้รู้พุงกันหมด   ในหมู่เพื่อนกันเองใครบ้างล่ะที่ไม่เคยจะแทนตัวและเรียกอีกฝ่ายด้วยคำประเภทนี้   มันเป็นธรรมชาติ

    สำหรับฮีซอล   ใครห่ามมา  ก็ห่ามไป   ไม่มานั่งห่วงภาพพจน์

    เจย์คลายอารมณ์โมโหลง   ก็ไม่ใช่ความผิดของฮีซอลเองทั้งหมดในเมื่อคนๆ นี้ก็ไม่ได้เป็นคนยื่นเหล้าแก้วที่ผสมยาปลุกเซ็กส์ไปจ่อที่ปากจุนกิแล้วบังคับให้นางฟ้าคนสวยดื่มเสียเมื่อไหร่   หากแต่เป็นเขาเองต่างหาก

    “ตอบกูสักทีสิ   ลีลาอยู่ได้   ยานั่นได้ผลป่ะวะ”

    เจย์พยักหน้าแบบขอไปทีเป็นคำตอบ

    “นั่นไง!  กูว่าแล้ว   เห็นบอกมันดีนักหนา   ทั้งคืนก็ยังคึก   แต่มึงดูไม่โทรมเลยนะ   เจ๋งๆ”   ฮีซอลพล่ามต่อตามที่บาร์เทนเดอร์เคยโฆษณาสรรพคุณไว้พร้อมชมเปาะไม่ขาดปาก   เจย์ที่เป็นผู้สนองความต้องการของหนูทดลองอย่างจุนกิถึงกับสะอึก 

    จริงอย่างที่ฮีซอลพูด...   เพราะจุนกินั้นร่านรักตั้งแต่นภายามราตรีเป็นสีรัตติกาล  จนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนสี    มันเหลือง...

    “แต่กูไม่ได้เป็นคนกินออนเดอะร็อคแก้วนั้น” 

    ประโยคนี้ทำให้ฮีซอลเอียงคองงๆ อย่างสงสัย  แต่คงไม่เท่าประโยคถัดมาที่ทำเอาเขาสะดุ้งสุดตัวแล้วร้องอุทานลั่นบ้าน

    “จุนกิเป็นคนกิน”

    “ชิบหาย!!!

    “เออ   ชิบหาย   มึงรู้มั้ย   กูกับเค้าจะมองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้ว   ไอ้เพื่อนเหี้ย”  

    ฮีซอลทำสีหน้าปั้นยาก   กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก   ชิบหายตามที่ปากว่าแล้วจริงๆ

    “ล..แล้วตอนนี้จุนกิเป็นยังไงบ้าง”  

    ครั้งแรกทั้งคืนแบบนั้นถ้าหนีไม่พ้นเดี้ยงคาเตียงก็ไม่รู้จะพูดยังไง   ขนาดเค้ากับซีวอนเมื่อคืนเช้านี้ยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้วเลย   นับประสาอะไรกับจุนกิ

    “ก็อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ   แต่กูพาเค้าไปหาหมอ    พาไปส่งบ้านแล้ว”

    เจย์ตอบแล้วตบหัวตัวเองสองสามทีอย่างคิดไม่ตก

    “อ..เอาไงดีวะ”

    “กูก็ไม่รู้   เค้าบอก...  ให้กูลืม”

    “แล้วมึงก็จะลืมแบบที่จุนกิบอกน่ะเหรอ”

    ห่วงจุนกิก็ห่วง   ห่วงเจย์ก็ห่วง   แต่เรื่องมันก็เลยเถิดมาแล้ว   แค่คำว่าลืม   ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้   ทั้งฮีซอล  จุนกิและเจย์ต่างรู้ดี

    “แล้วมึงจะให้กูทำยังไง   เค้าไม่อยากให้กูนึกถึงเรื่องเมื่อคืนอีก   จุนกิเสียใจมาก   กูรู้”   ประโยคหลังแผ่วเบาคล้ายรำพันกับตัวเองด้วยความรู้สึกผิด  

    “รักมันมั่งป่ะวะ”   ไม่รู้สิ่งใดหรือผีสางตนไหนดลใจให้คิมฮีซอลถามคำถามนี้กับเจย์  คิม

    “มึงก็รู้ว่าคำตอบคืออะไรไอ้ฮีซอล   กูไม่เคยรักเพื่อนตัวเอง”

    หากคำตอบนั้นเป็นสิ่งที่จีรังยั่งยืนชัดเจนในตัวมันตลอดไป   บางทีความแน่นอนนี้อาจไม่ใช่จุดจบที่ดีของเรื่องราวที่ผ่าน   สิ่งที่แน่ใจมาโดยตลอดอาจเปลี่ยนไป   ...เพียงชั่วข้ามคืน

    ฮีซอลย้ายก้นมานั่งข้างๆ เจย์   ตบไหล่กว้างเบาๆ แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด

    “กูขอโทษ”

    “กูไม่ได้โกรธ”   เจย์ตอบทันควัน   ไม่เสียเวลาคิด   “กูจะให้มึงช่วยคิดว่ากูจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี”   เจย์บอกถึงจุดประสงค์ให้ฮีซอลสบายใจ   แต่คนที่เล่นสนุกแบบไม่คิดหน้าคิดหลังนั้นยังคงรู้สึกไม่ดี

    “มันคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก   ตอนนี้ขึ้นอยู่แค่ว่า   มึงกับจุนกิ   จะลืมได้อย่างที่พูดจริงหรือเปล่า”

    นั่นสิ   เขาจะลืมเรื่องราวทั้งหมดนั่นได้จริงเหรอ?

    หากถามเจย์ตอนนี้   เขามีเพียงคำตอบเดียว

    ...เขาไม่รู้...

     

     

     

     

     

     

     

     

    กระทั่งกลับมาที่บ้านได้สักพักก็ได้แต่นั่งนิ่ง   เจย์ตัดขาดจากทุกสิ่งแล้วขังตัวเองไว้ในห้อง   ผู้ชายที่ไม่ถนัดแสดงความเห็นใจใครอย่างเขาไม่เหมาะที่จะไปหาจุนกิเพื่อปลอบใจหรือขอโทษ   หรือแม้แต่แค่บอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ  เจย์ก็ยังทำไม่ได้เลย

    แม้ภายนอกจะเรียบเฉยแต่ภายในกลับร้อนรุ่ม   ความคิดตีกันวุ่นไม่หยุดเมื่อมโนภาพที่ยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำวกกลับเข้ามาฉายซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง  

    “ลืมมันงั้นเหรอ...”

     

     

     

     

    เจย์ถอนหายใจแล้วพูดกับตัวเอง   ก่อนที่ร่างสูงจะบึ่งมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยความเร็ว   ประโยคสุดท้ายที่เขาเพิ่งพูดก่อนจากไปยังคงซ่อนตัวอยู่ในห้องนั้นอย่างเงียบเชียบ

    “ให้ตายเถอะจุนกิ   ...แต่ชั้นลืมนายไม่ได้ว่ะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากเจย์กลับบ้านไปได้สักพัก   ฮีซอลก็หงุดหงิดและอารมณ์เสียกับตัวเองอยู่พักใหญ่ที่ทำเรื่องยุ่ง   แต่เมื่อทำอะไรไม่ถูกคล้ายกับไม่ได้ดั่งใจก็เลิกงุ่นง่าน   เพราะมันมีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไป  

    คนสวยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดหาน้องชายหน้าหวาน   เรียกให้กลับบ้านไวๆ   แต่ระหว่างที่รอดงเฮมาถึง   รถเจ้าซิมบ้าก็เป็นฝ่ายเลี้ยวเข้ามาซะก่อน

    ประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้วเมื่อซีวอนได้รับข้อความจากเจ้าของมินิฮี   ร่างสูงที่กำลังสาวเท้ามาหาร่างบางถึงกับใจลอยไปไหนต่อไหนเมื่อได้รับข้อความหวานๆ จากคนรักเป็นครั้งแรกที่แสดงว่า...  คิดถึงเขา  

    ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นดงเฮที่แกล้งพูดให้ฮีซอลส่งข้อความถึงเขาอย่างเคย   แต่วันนี้เพราะข้อความกำกวมที่ไม่แสดงออกชัดเจน   มันก็ทำให้ซีวอนรู้ได้ในทันทีว่าข้อความนี้...  มาจากใครแน่

    แค่นั้นก็ทำให้ซีวอนสุขล้นเต็มหัวใจจนต้องบึ่งรถมาหาอย่างทนไม่ไหว

    พุทธก็ไม่ถึง    อิสลามก็ไม่ถึง     พราหมณ์ฮินดูก็ไม่ถึง   แต่ คริสต์ถึง  

    ...กวนได้แบบนี้   จะมีใครอีกล่ะ

    “มาทำไมเนี่ย   บอกให้กลับบ้านไปไง    เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าเห็นหน้านายแล้วเจ็บก้น!

    ซีวอนไม่ตอบอะไร   นอกจากยิ้มร่าแล้วคว้าเอาตัวฮีซอลไปกอดแน่นๆ   คนสวยได้แต่ยืนงงเบิกตาโต   ตามมาด้วยจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากสองสามที   จุมพิตบนหน้าผากอย่างรักใคร่    ปิดท้ายด้วยแก้มขาวที่ถูกหอมไปฟอดใหญ่ก็เป็นอันจบคอร์ส

    “ไอ้บ้านี่   จู่ๆ ก็โผล่มาแล้วมาทำแบบนี้กับชั้นเนี่ยนะ”   ฮีซอลโวยวาย

    “แค่นี้ล่ะครับ   ผมไปนะ    จุ๊บๆ ฟอดดดด”  

    เท่านี้จริงๆ เหตุผลที่ซีวอนขับรถวกกลับมาที่นี่อีกครั้ง    ฮีซอลได้แต่ยืนอ้าปาก   อึ้งกับการกระทำของไอ้เด็กบ้า   กระทั่งรถยนต์สีดำเงาแล่นออกไป   คนสวยจึงได้หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    “ไอ้บ้า   ทำซะเว่อร์เลย”

    ไม่ถึงสองนาที   เฟอร์รารี่สีแดงแสบซ่าก็เคลื่อนมาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน   ตุ๊กตาหน้ารถเป็นคนที่เดินลงมาก่อนพร้อมมือที่ว่างเปล่า   ผิดกับมือของคิบอมที่เต็มไปด้วยถุงมากมาย

    “ซื้ออะไรมาเยอะแยะ   ที่นี่ไม่ใช่โกดังเก็บของนะเว้ย”

    สองหนุ่มหล่อที่เข้าออกบ้านนี้บ่อยๆ ไม่เคยโผล่มามือเปล่า   ซื้อขนมกักตุนไว้ในห้องครัวของสองลูกพี่ลูกน้องหน้าหวานสวยไม่เคยขาด   กระทั่งมันเต็มเลยต้องเอาไปยัดไว้ตามมุมต่างๆ ของบ้าน   จนตอนนี้เหลือแค่ห้องส้วมเท่านั้นที่ยังไม่มีขนมไปสิงสถิต  แต่นับจากวันนี้คงจะมีแน่  -*-

    ดงเฮยิ้มเผล่   หัวเราะคิกคักให้คิบอมเพราะเดากันมาระหว่างทางแล้วว่าฮีซอลจะต้องหาเรื่องบ่นได้ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ตามที  

    ทั้งสามคนเดินเข้าไปในบ้าน   ฮีซอลคว้าเอาขนมสองสามอย่างที่เพิ่งซื้อมาใหม่ไปกิน   ก่อนเรียกดงเฮที่อยู่ในครัวให้มาหา

    “มีจดหมายถึงแกแน่ะ   อยู่ในตู้”

    ดงเฮยิ้มกว้างดีใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น   วิ่งออกไปที่กล่องรับจดหมายหน้าบ้าน   เป็นเหมือนความชอบส่วนตัวอย่างหนึ่งที่ชอบอ่านจดหมายจ่าหน้าถึงเขา   ขนาดแม่ที่อยู่ประเทศจีนยังโดนลูกชายหน้าหวานคะยั้นคะยออยู่บ่อยๆ ว่าให้เขียนจดหมายแทนการสื่อสารอย่างอื่น  

    แต่แล้วดงเฮก็เดินหน้ามุ่ยเข้ามา   พร้อมกับจดหมายในมือ   แล้วเปิดปากโวยวาย

    “พี่ฮีซอล~!    นี่มันบิลแจ้งค่าไฟนี่นา!

    “ก็แล้วมันเป็นจดหมายมั้ยล่ะ   ฮ่าๆๆ”

    คิมฮีซอลผู้ตั้งมั่นความสุขอยู่บนรากฐานความทุกข์ของคนอื่นยิ้มร่าอย่างชอบใจ   คิบอมได้แต่นั่งมองความพิลึกพิลั่นในลูกพี่ลูกน้องคู่นี้แล้วยิ้มบางๆ ประสาลูกคนเดียวที่ไม่มีพี่หรือน้องมาคอยเล่นด้วยอย่างเขา

    “ชิ   ไม่รู้ละ   ไปจ่ายตังค์ด้วย   ผมจะไปอาบน้ำแล้ว    ชั้น.. เอ๊ย  เค้าไปอาบน้ำก่อนนะ”

    ดงเฮสะบัดหน้างอนๆ ใส่ฮีซอล   หันไปบอกกับคิบอมแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน   ทิ้งให้คนช่างกวนกับนายลิ้มพูดน้อยนั่งกันอยู่สองคน

    “ชั้นละเบื่อหน้าแกจริงๆ ไอ้ก้อนน้ำแข็ง”   ฮีซอลพูดแล้วยัดขนม(ของคิบอม) เข้าปาก

    “ทนหน่อยแล้วกัน   ผมยังทนขี้หน้าพี่มาได้ตั้งหลายปี”   คิบอมพูดหน้าตาย   ฮีซอลสบถคำพูดหยาบคายออกมาเล็กน้อย   ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่เวลาคิบอมกับฮีซอลคุยกันก็มักจะมีคำพูดทำนองนี้ออกมาเสมอ   จึงไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนัก

    “ทำไมดงเฮถึงต้องดีใจซะขนาดนั้น”  

    หรือว่ากำลังรอจดหมายจากใครอยู่กันแน่...

    พิษหึงในตัวคิบอมเริ่มทำงานนิดๆ

    “ไม่รู้ดิ   มันชอบมั้ง   อยากรู้ก็ไปถามเองสิ”

    “ครับ”

    อันที่จริงคิบอมก็สุภาพกับรุ่นพี่คนนี้อยู่พอตัวเหมือนกัน   ยกเว้นถ้าเวลาไหนฮีซอลกวนบาทามากๆ เข้านั่นแหละถึงจะกลายเป็นอย่างอื่นไป  

    “รู้ป่ะไอ้ก้อนน้ำแข็ง   อาทิตย์หน้าวันอะไร”   ฮีซอลเปรยถามลอยๆ   คิบอมที่ไม่รู้ก็นิ่งให้เป็นคำตอบ

    “อาทิตย์หน้าของเมื่อสิบแปด ..   ไม่ดิ    สิบเก้าปีที่แล้วนู๊นนนน”    

    ฮีซอลแกล้งพูดถ่วงเวลาเพิ่มความน่าหมั่นไส้ใส่ตัวเองไปเรื่อยๆ

    “...”

    “สิบเก้าปีที่แล้วนู๊นนน   ตอนเด็กๆ ที่ชั้นหล๊อหล่อ   คุณนายคิมก็มาปลุกให้ไปโรงพยาบาล   สิบเก้าปีก่อนนู๊นเลย...”

    “พี่ฮีซอล”   คิบอมเอ่ยเสียงเย็น

    “หืม”

    “อย่ากวนตีน”

    “ชิส์   ก็ได้ฟะ”

    ฮีซอลเสียเซลฟ์นิดหน่อยที่กวนประสาทคิบอมไม่สำเร็จ   ในที่สุดก็คายความในปากออกไป

    “อาทิตย์หน้าของเมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว   เป็นวันที่ไอ้ปลาปัญญาอ่อนลงมาอวตารกลายเป็นปลาติงต๊องน่ะสิ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ความเงียบที่ปกคลุมคงเป็นสิ่งเดียวที่จุนกิสัมผัสได้ในขณะนี้   หมอนสีขาวเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา   เมื่อถึงเวลาอยู่คนเดียว  คนที่มีความเศร้าหรือปัญหาจนถึงขีดสุดคงหนีไม่พ้นการร้องไห้

    แสดงออกได้เพียงแค่นี้   ในเมื่อข้างกายของเขานั้นไม่มีใคร

    ก๊อกๆๆ

    “คุณหนูใหญ่คะ   คุณเจย์มาหาค่ะ”

    จุนกิปาดน้ำตาออกจากใบหน้า   ลูบเนื้อลูบตัวตัวเองเหมือนคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    เจย์...  มาหาเขางั้นเหรอ

    พบ   หรือไม่พบดี?

    จุนกิลังเลอยู่นานสองนาน    ชั่งใจแล้วก็รู้ดีว่าถ้าเขาไม่ลงไปก็คงไม่พ้นเจย์ขึ้นมาอาละวาดถึงบนห้องอย่างแน่นอน

    “ห..ให้เขารอผมที่.. ที่...”

    “คุณเจย์รอคุณหนูอยู่หน้าบ้านค่ะ   เค้าไม่ได้เข้ามา”

    “ง..งั้นเหรอครับ   เดี๋ยวผมออกไป”

    “ค่ะ”

    จุนกิล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่    หอบพาสังขารที่อ่อนแรงลงไปพบเจย์ด้วยท่าทางที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด

    “มีอะไรเหรอ”

    จุนกิถามแล้วปั้นรอยยิ้มบางๆ ส่งให้คนที่ยืนพิงรั้วบ้านรอเขา

    เจย์ที่ตั้งใจจะเปิดประเด็นแต่แรกนั้น   พอฟังคำถามของจุนกิแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ

    “ชั้นมาหานายต้องมีเรื่องอะไรด้วยหรือไง”

    “...”

    “ในเมื่อนายบอกให้ชั้นลืม   แล้วมาทำตัวแบบนี้ทำไม”   สีหน้าเรียบเฉยของเจย์คิมทำให้จุนกิต้องหลบสายตานั้น   ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวจนแผ่นหลังบางกระทบกับรั้วโลหะที่แสนเย็นเฉียบ

    “เรา...”

    “...”

    “เราเปล่า”

    “ไหนล่ะที่ว่าเปล่า”

    จุนกิก้าวมาใกล้เจย์นิดหนึ่ง   ร่างบางเงยหน้าสบตาแล้วส่งยิ้มให้   รอยยิ้มที่เสมือนจะเป็นเพื่อนเขาคนเดิมกลับมาฉายบนใบหน้างามอีกครั้ง

    “เข้าไปในบ้านเถอะนะ”

    “ไม่ล่ะ   ชั้นมาที่นี่เพราะหนึ่งคำถาม   กับคำพูดอีกหนึ่งประโยค”

    “อ..อะไรล่ะ”

    “นายโอเคแล้วรึยัง   ชั้นหมายถึง...  ร่างกายนาย”

    ตั้งสติไว้จุนกิ...  เจย์คือเพื่อนของนาย   เพื่อนของนาย...

    “อ..อืม”

    จุนกิไม่ตอบมากไปกว่านั้น   แค่คำตอบสั้นๆ ก็น่าจะเกินพอแล้วสำหรับเรื่องแบบนี้

    “งั้นก็ดี”   เจย์ยักไหล่   ขยับตัวไปใกล้ฮาร์เลย์แล้ววาดขาขึ้นนั่งพร้อมกับจุนกิที่ขยับตัวคล้ายจะเดินมาส่ง    หรือไม่ก็ตามมาเพื่อรอฟังคำพูดอีกประโยคตามที่เพื่อนเขาบอก

    “ที่ชั้นจะพูดอีกอย่างก็คือ    ชั้นจะรับผิดชอบนาย”

    บรืนนน~

    “...ไม่   ไม่นะ..  เจย์!   อย่าทำแบบนี้นะ   เจย์!   โอ๊ย!!~

    ร่างบางที่กำลังจะวิ่งตามไปกลับต้องอุทานแล้วทรุดฮวบลงกับพื้นเพราะความเจ็บแสบที่แผลงฤทธิ์   เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นแม้แต่ควันของฮาร์เลย์คันเดิม  

    “ฮึก..  บ้า  บ้าที่สุด...”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×