ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★ SF - Keep in touch | WONHYUK KIHAE ★

    ลำดับตอนที่ #8 : WONHYUK ft. KIHAE | พี่เนียนตัวร้าย กับนายปีหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ค. 58


     





     


     

     

     

     พี่เนียนตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง
    WONHYUK





     

     

    “ชื่ออีทงเฮ มาจากโรงเรียนมัธยมเซวอน จังหวัดมกโพ”

     

    “โหยมาโคตรไกลอ่ะ”

    “มกโพนี่ถือว่าบ้านนอกมะ”

    “ไม่นะท่าเรือหรูจะตาย”

     

     

     

    เด็กหนุ่มบ้านไกลจากมกโพจังหวัดที่มีท่าเรือประมง ห่างไกลจนเกือบจะเรียกว่าบ้านนอกได้ถ้าไม่ติดว่ากำลังเจริญวันเจริญคืนนั่งลงบนพื้นตามเดิม แอบขมุบขมิบปากเพราะหมั่นไส้เพื่อนร่วมคณะที่พาดพิงบ้านเกิดเขามั่วๆ ซะเสียงดัง

     

    “ทำไมเกิดโซลแล้วทำไม มีสี่ขาห้าปากเหรอนิสัยไม่ดีเลย”

     

    ทำเสียงจึ๊กจั๊กเหมือนนางเอกซีรีส์เกาหลีแล้วทงเฮก็หันหน้าหนีคนพวกนั้น จึงได้มาปะทะกับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่เพิ่งมาใหม่ และหย่อนตัวนั่งลงข้างเขา

     

    “น้องคิบอม”

     

    เผลออ่านชื่ออีกฝ่ายที่รุ่นพี่เขียนให้บนกระดาษที่ติดบนอกเสื้อ

     

    “ทำไม”

     

    หวายยย คนถูกเรียกว่าน้องคิบอมกลับทำเสียงเข้ม เหมือนไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าน้องยังไงยังงั้น คนกำลังเดือดได้ที่เพราะถูกล้อเป็นเด็กบ้านนอกก็ฮึดฮัด จะขอสู้ฟัดกับไอ้พวกกรุงโซลมันซะที คิดว่าหน้าตาดีแล้วจะใช้น้ำเสียงยังไงก็ได้กับเด็กบ้านไกลหรือไง

     

    “นายมาจากไหน” เด็กมกโพถามออกไปอย่างกล้าหาญ!

     

    “อเมริกา”

     

    สิ้นคำว่าอเมริกา หนุ่มบ้านนอกจากมกโพที่นั่งรถไฟด่วนพิเศษมาโซลก็แทบจะจับแขนเพื่อนใหม่มากอดแนบอก

     

    “หูยยยยยย ไกลจัง นั่งเครื่องบินมาใช่ป้ะ ตอนอยู่บนฟ้าเป็นยังไงอ่ะเล่าให้ฟังหน่อย”

     

    คิบอมผงะหนี แต่ถูกมือกาวของชาวมกโพยึดไว้แน่น เขาเหลือบมองป้ายชื่อของอีกฝ่ายที่เขียนว่า ‘น้องทงเฮ แล้วทำหน้าประหลาด

     

    “บ้านนอกจริง”

     

    พูดแค่นั้นแล้วผลักทงเฮให้ห่างตัว ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าเหรอหราแค่ไหนที่เขาไม่สนใจจะผูกมิตรด้วย สวมหูฟังแล้วยกเข่าขึ้นมากอดมองนกมองฟ้าไปเรื่อย

     

    ส่วนคนถูกสบประมาทว่าบ้านนอกควันแทบออกหู อ้าปากค้างเหมือนไม่อยากเชื่อว่าตะกี้โดนเพื่อนใหม่มันด่าว่าบ้านนอกแค่ถามว่าตอนบินบนฟ้ารู้สึกยังไง ก็แค่มาจากเมกาแล้วทำไมรอให้มาจากนอกโลกก่อนค่อยมาบอกเขาบ้านนอก!

     

    “นี่”

     

    กำลังจะเดือดอยู่แล้วเชียว แต่ก่อนที่ทงเฮจะได้พ่นภาษาเกาหลีสำเนียงบ้านเกิดด่าหนุ่มจากอเมริกา ผู้ชายอีกคนที่เพิ่งมานั่งต่อหลังเขาก็สะกิดไหล่เรียกให้หันไปหา

     

    “ไร!

     

    “ฉันชื่อซองมิน นายชื่ออะไร”

     

    เออ คนยังงี้ค่อยน่าคบหน่อย หน้าใสๆ มุ้งมิ้งปากจิ้มลิ้มกำลังทำความรู้จักกับเขา ทงเฮรีบยิ้มแฉ่งแล้วปัดความไม่สบอารมณ์ออกไป สนใจจะหาเพื่อนใหม่มากกว่าไอ้นิสัยไม่ดีข้างๆ

     

    “ทงเฮๆ ชื่อทงเฮ มาจากมกโพแน่ะ”

     

    “บ้านไกลจังเลยนะ ฉันอยู่โซลนี่ล่ะ มาอยู่หอคนเดียวเหรอ เหงามั้ย”

     

    พอได้ยินคำว่าโซลให้แสดงรูหูอีกครั้งทงเฮก็เตรียมจะตั้งการ์ด มาเข้ามาไอ้พวกคนโซล จะสู้ให้มันตายไปตรงนี้เลยมีอะไรนักหนาฮะแค่มาจากบ้านนอกน่ะ ทว่าพอฟังคำพูดห่วงใยของอีกฝ่ายจบ ทงเฮจากมกโพ ผู้มีอารมณ์อ่อนไหวเพราะงานอดิเรกคือกินกับดูหนังก็เริ่มเบะหน้า กล้ามเนื้อตูดกระแซะเข้าใกล้ซองมินอย่างเจอมิตร

     

    “เหงา เหงามากเลยยังหาเพื่อนไม่ได้เลย” น้ำเสียงแทบจะเปลี่ยนไป ยิ่งพอซองมินยิ้มกว้างแล้วถามว่าเขาอยู่หอไหน ซึ่งพอตอบว่าหอพักชายเจ็ดก็กลายเป็นว่าทั้งคู่อยู่หอเดียวกัน

     

    “มานอนห้องเราเหอะเรานะโคตรกลัวตู้เสื้อผ้าเลย หน้าต่างก็ปิดไม่สนิทมีลมพัดเข้าห้องตลอดเลยเราอย่างหลอนอ่ะ มานอนห้องเรานะ”

     

    ทงเฮดีใจยิ่งกว่าตอนสอบติดมหาลัยเมื่อซองมินตกลงใจจะมาพักด้วย ในขณะที่เด็กปีหนึ่งคนอื่นเริ่มทยอยเข้ามานั่งต่อกันในแถวหน้ากระดานเรียงสิบ ทั้งทงเฮและซองมินก็หาเพื่อนใหม่ได้หลายคนทั้งชายและหญิง พวกผู้หญิงใครๆ ก็ชอบทงเฮ คิบอมได้ยินแว่วๆ ว่าอะไรน่ารักๆ แล้วก็เห็นด้วยหางตาว่าเด็กเด๋อด๋าจากมกโพนั่นถูกสาวๆ รุมจับแก้มแล้วก็ถ่ายรูปกันใหญ่

     

    พอเด็กปีหนึ่งมากันครบเรียบร้อยตามเวลานัด รุ่นพี่ปีสองจึงให้แนะนำตัวกันอีกครั้ง โดยต่อจากทงเฮที่เมื่อกี้เป็นคนสุดท้าย

     

    “คิมคิบอม ซานต้าโมนิก้า เมกา”

     

    “อีซองมินครับ จบจากมัธยมคยองฮี โซลครับ”

     

    หลังจากเด็กปีหนึ่งจำนวน 78 คนต่างแนะนำตัวกันเรียบร้อย พี่เยซองประธานปีสอง ก็เปิดตัวพี่ซีวอน ประธานคณะปีสามที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องประชุม แต่ให้ตายเถอะ!

     

    “ทำไมหล่อได้ขนาดนั้นทำไม ทำไม ทำไม!

     

    คิบอมกลอกตามองเพดานอย่างรำคาญใจหลังได้ยินทงเฮคร่ำครวญ นี่เขามานั่งผิดที่จริงๆ

     

    “พี่ซีวอนเค้าเป็นใครอ่ะซองมินๆๆๆๆ ทำไมหล่อได้แบบนี้ ดีใจจริงๆ ที่มาเรียนโซลแบบนี้มกโพไม่มี!

     

    รุ่นพี่ซีวอนตัวสูงชะลูด ใส่ชุดนิสิตถูกระเบียบได้เนี้ยบแต่เท่สุดๆ ผมที่ไม่ได้เซ็ททรงของเขาชี้ไปคนละทางแต่กลายเป็นเสน่ห์ของผู้ชายได้อีกแบบ แถมเสียงก็นุ่มชวนลุ่มหลงจนทงเฮนึกอยากสะดุดมดแล้วเซไปตกอยู่ในอ้อมแขนของพี่เค้า คิดแล้วก็ได้แต่มองกล้ามแขนเป็นมัดใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวนั่น ไล่มองลงมาจนเห็นนาฬิกาข้อมือเบ็นเท็น มุ้งมิ้งเชียว!

     

    หล่อแล้วยังน่ารักอีก!

     

    “เค้าเป็นประธานนักศึกษาปีสาม หล่อล่ะสิ แต่เสียใจด้วยนะ พี่เค้ามีแฟนแล้ว”

     

    “จริงอ่ะทำไมต้องมีแฟนด้วย แล้วแฟนพี่เค้าน่ารักมั้ย เรากับแฟนพี่เค้าใครหน้าตาดีกว่ากัน”

     

    “นายนี่” ซองมินหัวเราะ จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา “พี่เค้าอยู่ปีสอง น่ารักสุดๆ เลย เป็นประธาน AC ด้วย หุ่นดีมากๆ แถมตัวขาวยังกับหลอดไฟแน่ะ แต่ฉันไม่เห็นพี่เขาอยู่ในห้องนี้นะ สงสัยไปซ้อม AC ล่ะมั้ง”

     

    AC คือไรอ่ะ แล้วซองมินรู้ได้ไงอ่ะ”

     

    AC ย่อมาจาก American Cheer เป็นพวกที่เต้นเพื่อประกวดในงานมหาลัยน่ะ แข่งกับทุกคณะเลยนะ แล้วที่ฉันรู้ก็เพราะพี่ชายฉันเค้าเล่าให้ฟัง เค้าเรียนอยู่ปีสี่แล้วน่ะ คณะนี้แหละ”

     

    “ดีจัง แต่หูย เราอยากเห็นหน้าแฟนพี่ซีวอนเค้าจัง”

     

    “นั่นไงๆ คนที่อยู่ตรงประตูนั่นน่ะ คนนั้นแหละแฟนพี่ซีวอน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะชื่อ...พี่ฮยอกแจ!

     

    ทงเฮละสายตาจากซีวอนที่กำลังกล่าวต้อนรับรุ่นน้องไปที่ประตูทันที ประตูบานใหญ่ถูกแง้มออกนิดหน่อย ทงเฮเห็นแต่หน้าขาวๆ กับตารีๆ ที่ดูเหมือนจะกำลังตกใจนิดๆ กับสายตาที่กำลังมองมาที่ตนเองเป็นตาเดียว เหมือนรายนั้นจะเพิ่งแน่ใจว่ามาถูกห้อง จึงผลักประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส ริมฝีปากของรุ่นพี่ปีสองที่ชื่อฮยอกแจนั้นเป็นสีชมพูจัดเกือบๆ จะเป็นสีแดง อย่างที่ทงเฮเคยเฝ้าสครับปากด้วยน้ำตาลในครัวของแม่ทุกวันกว่าปากจะเป็นสีชมพู

     

    “ฉันต้องตอบมั้ยว่าใครน่ารักกว่า”

     

    ซองมินยังมีกะใจจะล้อเล่น

     

    ทงเฮบุ้ยหน้า และเมื่อรุ่นพี่ฮยอกแจมายืนข้างรุ่นพี่ซีวอน ปัดไม้ปัดมือเหมือนให้ซีวอนพูดต่อได้เลย อีกฝ่ายจึงแนะนำอะไรต่อมิอะไรให้รุ่นน้องอีกครั้ง แต่ทงเฮไม่ได้สนใจ ตากลมใสแจ๋วกำลังจับตามองคนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะยิ่งตัวเล็กลงไปถนัดเลยในตอนนี้ และถ้าเทียบกันแล้ว เสื้อนิสิตของฮยอกแจเต็มไปด้วยรอยยับ แถมกระดุมเม็ดบนก็ไม่ได้ติด ยิ่งทำให้เกิดความแตกต่างของทั้งสองคนชัดเจน

     

    พี่ซีวอนเหมือนคนที่ต้องอยู่ในกฏระเบียบตลอดเวลา ส่วนพี่ฮยอกแจก็เหมือนคนที่ไม่สนว่าจะทำผิดกฏข้อไหน

     

    โอ๊ย ยังกับอ่านฟิคแน่ะ!

     

    “ซองมินๆ เล่าเรื่องพี่ซีวอนกับพี่ฮยอกแจให้ฟังหน่อย เราอยากรู้ๆๆๆๆๆๆ”

     

    “พี่ฉันเล่าให้ฟังว่า...”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปีที่แล้ว

     

    “พี่ประธานปีสองนี่โคตรแย่เลย เสนออะไรให้นะบอกผ่านตลอด รับน้องมาก็ไม่เคยจะโผล่หน้ามา โคตรเห็นแก่ตัวอ่ะ”

     

    ชเวซีวอนสะดุ้ง เมื่อฮยอกแจเดินเข้ามาในหอเขาแล้วบ่นกระปอดกระปอด ก่อนจะทิ้งกระดาษจดกับกระเป๋าเป้ลงบนพื้นอย่างหงุดหงิดใจ เขามองฮยอกแจนั่งลงบนพื้นข้างกระเป๋าตรงนั้น แล้วยีหัวตัวเองอย่างขัดใจ ซีวอนวางหนังสือการ์ตูนในมือลงแล้วถาม

     

    “เอ่อ... พี่เค้าทำอะไรให้นายอีกล่ะ”

     

    “จะอะไรอีกล่ะก็ท่าใหม่ที่ฉันเสนอไปไง มันผ่านประธานซีเอแล้วนะเมื่อวานนี้อ่ะ แต่พอมาวันนี้พี่เค้าก็มาบอกฉันว่ามันไม่ได้ๆ ประธานปีสองบอกท่าไม่ผ่าน อัน-ตะ-ราย-เกิน-ไป! จะรู้ได้ไงว่าอันตรายหรือเปล่าก็ยังไม่เคยเห็นซะหน่อย!

     

    แล้วฮยอกแจก็ยีหัวตัวเองจนยุ่งกว่าเดิม ซีวอนได้แต่ยิ้มแห้ง แล้วนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

     

    ซีวอนนั่งอยู่ด้วยตอนฮยอกแจคิดท่าเชียร์อยู่กับพวกเด็กปีหนึ่งที่ลานหน้าคณะ เขาซึ่งสวมรอยเป็นเฟรชชี่มาตั้งแต่วันสอบสัมภาษณ์และยังปกปิดสถานะตัวเองอยู่จนถึงตอนนี้มองฮยอกแจปีนไปเหยียบบนไหล่เพื่อนสองคน แล้วถีบตัวเองขึ้นไปตีลังกาลงมาบนพื้น

     

    ซีวอนแทบหัวใจวายตอนเห็นฮยอกแจตกแอ้กลงมาก้นกระแทกพื้น ยังดีที่เป็นพื้นหญ้าตอนที่เจ้าเด็กพวกนั้นคิดท่ากัน แต่ถ้าเป็นลู่วิ่งในสนามกีฬาที่จะใช้แข่ง American Cheer ของฮยอกแจแล้วล่ะก็ เขาแทบไม่อยากจะนึกถึง ยิ่งพอได้รู้ว่าไอ้ชินดง เพื่อนเขาที่เป็นประธานซีเอปีนั้นดันเห็นดีเห็นงามกับท่าก้นกระแทกของฮยอกแจนั่นด้วย ซีวอนก็แทบจะตรงดิ่งไปห้องเชียร์ของคณะแล้วออกคำสั่งยกเลิกกับมันทันที

     

    ถึงเป็นสาเหตุให้ฮยอกแจมานั่งเกาหัวตัวเองจนยุ่งอยู่ในหอพักเดี่ยวของเขาแบบนี้

     

    “ซีวอนมาช่วยฉันคิดท่าหน่อย”

     

    “ไม่เอา” รีบปฏิเสธแล้วพลิกตัวหนี ซีวอนหยิบการ์ตูนมาอ่านต่อและทำเป็นไม่สนใจ

     

    “นายต้องช่วยฉันสิหาท่าดีๆ ไปหักหน้าไอ้ประธานหมูหมานั่น”

     

    “อย่าไปว่าเค้าประธานหมูหมาสิ”

     

    “ทำไมจะว่าไม่ได้”

     

    “เค้าเป็นพี่นายนะ”

     

    “ประธานหมูหมาขี้ตืด!

     

    ซีวอนแทบแยกเขี้ยวใส่ แต่ฮยอกแจตอนนี้ก็โมโหจนพร้อมจะสู้กับเขาขาดใจ คนที่รู้ตัวดีว่าผิดเต็มๆ อย่างเขาก็ทำได้แค่เงียบให้ฮยอกแจ(คิดว่า)ด่าลับหลังต่อไปเท่านั้นแหละ

     

    “นายไปว่าเค้าอย่างนั้น เค้าอาจจะเป็นห่วงนายก็ได้ที่จะใช้ท่านั้นประกวดน่ะ”

     

    “ฉันตีลังกาสวยออก!

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้น” มือไม้ของเขาขยับไปด้วยตอนกำลังอธิบาย “ยังไงดีล่ะ มันอันตรายใช่มั้ยล่ะ ตอนซ้อมนายก็ตกมาแล้วนี่”

     

    “ซ้อมให้เยอะๆ ตอนแข่งฉันก็ไม่ตกหรอกน่า”

     

    “แล้วตอนซ้อมให้เยอะๆ น่ะนายจะต้องตกลงมาอีกกี่ครั้ง กระดูกหักหลังเดาะแข่งไม่ได้ขึ้นมาเลยจะว่ายังไง”

     

    พอเหตุผลของเขาฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่าฮยอกแจเลยทำท่าจะเงียบไป แล้วก็อ้าปากจะเถียงอีก แต่ก็หุบปากฉับเพราะคงนึกได้ว่าไอ้ที่จะเถียงน่ะซีวอนพูดดักเอาไว้หมดแล้ว

     

    “ไม่รู้ล่ะ!

     

    ฮยอกแจถีบเอากระเป๋ากับพวกกระดาษกระจายไปบนพื้น ซีวอนมองแล้วได้แต่เอ็นดู เจ้าเด็กนี่จะรู้มั้ยนะว่าเข้ามาพาลเอากับเขาแถมยังทำห้องรกเนี่ย จะเป็นคนเดียวกับคนที่กำลังทำให้โมโหอยู่ตอนนี้

     

    “ถอยไปๆๆๆ”

     

    แถมยังมีหน้ากระโดดขึ้นมาบนเตียงเขา แล้วดันให้เขาเขยิบออกจากเตียงแถมเอื้อมมือมายึดการ์ตูนเขาไปอีกต่างหาก

     

    “เมื่อคืนฉันอ่านถึงตอนไหนนะ จำไม่ได้”

     

    “ตอนลูฟี่ถูกจับไง”

     

    “หาไม่เจออ่ะ หน้าไหนอ่ะ”

     

    “ฉันคั่นไว้ให้ไม่เจอเหรอ ไหนเอามา...”

     

    “เจอแล้วๆๆ ไม่ต้องน่า”

     

    “แล้วทำไมใส่เสื้อยับอีกแล้วเนี่ย”

     

    “ลืมรีด ไม่ใช่พวกผู้หญิงนี่ถึงใส่เสื้อยับไม่ได้”

     

    “ถอดมาสิ ฉันจะรีดให้”

     

    “ไม่เอา”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ซีวอนได้แต่ส่ายหัว ฮยอกแจก็เป็นแบบนี้ทุกที เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ล่ะลืมตลอด จำไม่เคยได้ต่อให้เป็นเรื่องของตัวเองก็เถอะ แต่พอเขาจะช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นว่านึกอยากทำเก่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

    หนึ่งใน พี่เนียน จากปีสองที่เนียนมาอยู่ในกลุ่มของพวกเด็กปีหนึ่งได้แต่คิด ขณะมองรุ่นน้องตัวเองด้วยสายตาอ่อนโยน...

     

    ...ที่คนถูกมองก็รู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างในสายตานั้น จึงได้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเพื่อนร่วมชั้นปีกับตัวเองอยู่นาน

     

     


     

     

    อีกหนึ่งเดือนถึงจะเสร็จสิ้นการรับน้อง ทงเฮติดซองมินแจ ผลัดกันไปค้างคืนที่ห้องของอีกฝ่ายแทบทุกคืน นอกจากนี้ก็เป็นคิบอม ซึ่งชายหนุ่มถือเป็นโชคร้ายที่พักอยู่หอฝั่งตรงข้ามกับทงเฮ และพอรายนั้นเห็นเขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหน เวลามีนัดกับพวกรุ่นพี่ตอนเช้าแล้วทงเฮตื่นสายเหมือนๆ กับเขา รายนั้นก็จะมาดักยืนรอและขอซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ของเขาไปด้วย

     

    “ทำไมไม่ไปกับซองมิน"

     

    “ซองมินตื่นเช้าไปอ่ะ เราอยากนอนอีกหน่อย" ทงเฮชะโงกหน้ามาตอบจากข้างหลัง ลมแรงพัดเอาผมหน้าทงเฮขึ้นจนเห็นหัวเถิก คิบอมมองผ่านกระจกข้างแล้วยิ้มใต้หมวกกันน็อคสีดำ

     

    “ครั้งหน้าไม่ต้องมารอแล้ว นั่งรถไปเอง"

     

    “ใจดำ! อย่ามาทำตัวอะเมกันแถวนี้”

     

    คิบอมไม่สนใจคำบ่น พอๆ กับที่ทงเฮไม่สนใจคำสั่ง วันถัดมาก็ยังคงมาดักรอเขาหน้ารถ คิบอมจะโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วหนีไปเลยก็ไม่ได้ เพราะไอ้เด็กมกโพนั่นมันเอาหมวกกันน็อคเขาไป!

     

    “เอาคืนมา"

     

    “ขอไปด้วย"

     

    “ไม่"

     

    “ค่ารถมันแพง!”

     

    “ไปนั่งรถบัสฟรีสิ"

     

    “เราไม่อยากรอ" ทงเฮกอดหมวกไว้แน่น ความอดทนคิบอมถึงจุดสิ้นสุด พอกันที! ร่างสูงตรงเข้าไปกระชากหมวกมาสวม ไม่สนใจทงเฮที่เริ่มหน้าเสียเพราะแผนการครั้งนี้ไม่ได้ผล

     

    “ใจร้าย! ก็เราไม่มีเงิน ค่ารถน่ะเรากินข้าวได้มื้อนึงเลยนะ คิบอมรวยคิบอมก็ทำได้สิ อยู่หอคิงแพงๆ แบบนั้น มีรถแพงๆ ขับคิบอมก็พูดง่ายไปหมด เรานะต้องประหยัดน้ำประหยัดไฟประหยัดค่าข้าวค่ารถเอาไปจ่ายค่าเทอมกับพวกวิชาเสรี เราน่าจะเชื่อแม่แล้วเรียนที่บ้านนอกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่น่าคิดว่าคนโซลจะใจดีเหมือนในละคร เรามันโง่จริงๆเลยอีทงเฮไอ้บ้านนอกไอ้โง่! ฮึก.....”

     

    “พอแล้ว" คิบอมแทบชกกระจกข้างแตก เขาบอกเสียงห้วน "จะขึ้นก็ขึ้นมา"

     

    “พูดกับเราดีๆก่อนสิ!” ทงเฮยังไม่หยุดสะอื้น "เราก็เป็นคนเหมือนกันนะ"

     

    “เออๆๆ ไปด้วยกันสิ มาเร็ว"

     

    ทงเฮยังคงมองคิบอมอย่างเคืองๆ แต่ดวงตากลมคู่นั้นวาววามไปด้วยน้ำตา ร่างเล็กแต่งกายเรียบร้อยในชุดนิสิตยอมเดินแปๆ มาขึ้นรถ ไม่พูดอะไรสักคำนอกจากสะอื้น คิบอมพอใจที่เงียบได้สักที เขาไม่ได้เกลียดทงเฮ แต่เขาเกลียดเวลาถูกเด็กที่ไม่รู้อะไรสักอย่างถามเซ้าซี้ นั่นคืออะไรนี่คืออะไรไปตลอดเส้นทาง หัดเงียบได้แบบนี้ก็ดี

     

    “ฮึก... ใส่เสื้อในกางเกงสิคิบอม"

     

    -__________-

     

    วันจันทร์ วันแห่งการนัดซ้อมเชียร์ของคณะวนมาอีกครั้ง เช้านี้คิบอมตื่นเร็วกว่าปกติ ร่างสูงวาดขายาวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันเก่ง สวมหมวกลงบนผมยุ่งๆ แล้วเตรียมออกรถ แต่ก็หยุดชะงัก เขาหันมองหอพักฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า ถอดหมวกออกแล้วนั่งคร่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ในท่าเดิม มองนั่นมองนี่ฆ่าเวลา

     

    วันพุธ วันนี้พวกปีสองนัดซ้อมพิเศษ เฟรชชี่ต้องไปร่วมด้วยทุกคน คิบอมเดินออกจากหอพักสุดหรูมาขึ้นมอเตอร์ไซค์อีกครั้งและสวมหมวกอย่างรวดเร็ว เขากดปุ่มสตาร์ท คราวนี้ไม่รีรอและพร้อมจะไป

     

    “รอก่อนนนนนนนนนนนนนน"

     

    เสียงน่ารำคาญอย่างที่จำได้ขึ้นใจเพราะได้ยินประโยคนี้วนลูปอยู่เกือบครบสัปดาห์ ทงเฮในชุดนิสิตเรียบแปล้ประสาถูกแม่สอนการเรือนมาดีวิ่งข้ามถนนมา สีหน้าดีใจที่เห็นคิบอมยังอยู่

     

    “รอเราเปล่าเนี่ย" แซวออกมาทันทีที่วิ่งมาประชิดตัว ร่างเล็กโดดขึ้นซ้อนเขาอย่างไม่รีรอ และชะโงกหน้ามาอย่างรอฟังคำตอบ

     

    “อยากนั่งรถไปเองใช่มั้ย"

     

    “ก็ได้ๆ รู้แล้วว่าไม่ได้รอเรา เราแค่โชคดีมาทันคิบอมพอดีเท่านั้นแหละ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้โดดรับน้องบ่อยจัง วันจันทร์ก็ไม่ได้ไปใช่ป่ะ เราก็มองหาตั้งนาน"

     

    “มองหาอะไร นายไม่เห็นฉันเหรอ"

     

    “ก็คิบอมไม่มานี่ เราก็เลยไม่เจอ ซองมินก็บอกไม่เห็นคิบอมเหมือนกัน"

     

    อ้อ ที่ว่าไม่เห็นเขาคือไม่เห็นที่ห้องกระจก ไม่ใช่หน้าหอพัก คิดแล้วเจ็บใจนัก เขาไม่น่าเอาคำพูดของทงเฮมาคิดเลย ทุกครั้งที่จะออกรถถึงได้มองหาร่างเตี้ยๆ นั่นให้วิ่งมาซ้อนท้าย

     

    “ช่างเถอะ" คิบอมบอกปัด

     

    เพราะเป็นวันพุธที่รุ่นปีสองบอกว่ามีความพิเศษ ดังนั้นจู่ๆ รุ่นพี่คยูฮยอน ฝ่ายสโมสรนิสิตที่หน้าตาดีมากๆ และเป็นที่กรี๊ดกร๊าดในหมู่รุ่นน้องจึงปรากฏตัวขึ้นเพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

     

    ทงเฮที่เคยอึ้งกับความหน้าตาดีของซีวอนไปแล้ว ก็อึ้งไปอีกกับความหล่อเหลาและรอยยิ้มน่ารักๆ ของรุ่นพี่คยูฮยอนที่บอกตอนแนะนำตัวเองว่า เขาชอบเหลือเกินเวลามีน้องมาเรียกเขาว่ารุ่นพี่

     

    “พี่คยูฮยอนมีแฟนยังคะ" สาวที่สวยที่สุดในคณะยกมือถามอย่างร่าเริง ทงเฮจำได้ว่าเธอชื่อมินเฮ

     

    “มีแล้วครับ"

     

    “ว้าาาา แฟนพี่คยูฮยอนคือใครเหรอคะ พี่ปีสองเหมือนกันหรือเปล่า" คยูฮยอนพยักหน้า คำถามว่าแฟนเขาคือใครดังมาจากทุกทิศทาง

     

    คยูฮยอนอมยิ้ม บอกให้น้องๆ เงียบเสียง และหลังจากที่ทุกคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ คยูฮยอนก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง เกิดเสียงฮือฮาขึ้นนิดหน่อยเพราะกฎเหล็กของการเข้าห้องกระจกแห่งนี้ คือการห้ามใช้โทรศัพท์ แต่รุ่นพี่จากสโมสรนิสิตกลับยกมันขึ้นมากดโทรออก!

     

    คยูฮยอนเอามือจุ๊ปาก เด็กปีหนึ่งทุกคนได้แต่เงียบตาม คนที่นั่งหน้าแถวแทบได้ยินเสียงรอสายจากโทรศัพท์ของคยูฮยอน

     

    และห้องที่เงียบสนิท ก็มีเสียงเพลงดังขึ้น

     

    ทงเฮสะดุ้ง เพราะเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์นั้นมันดังจากคนข้างๆ เขานี่เอง

     

    “ซองมินปิดโทรศัพท์เร็วๆ"

     

    แต่ซองมินกลับทำตรงกันข้าม ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้อง ซองมินกดรับโทรศัพท์และยกขึ้นแนบหู คยูฮยอนเป็นคนพูดว่า...

     

    “ที่รักอ่า น้องๆ อยากเจอนายแน่ะ"

     

     

    วันพุธที่เจ็ดของการรับน้อง พี่เนียนคนแรกมักถูกเผยตัวในวันนี้เสมอ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปีที่แล้ว

     

    “ฮยอกแจ"

     

    “ไร"

     

    เจ้าของชื่อตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ พลางยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างสบายตัวบนเตียงของซีวอน พลิกหน้าหนังสือการ์ตูนของซีวอน ขณะที่เจ้าของห้องยืนพิงประตูห้องนอน เขาเพิ่งกลับมาถึงและพบว่าฮยอกแจกำลังนอนอยู่บนเตียงของเขา ชั้นหนังสือการ์ตูนถูกรื้อและจัดวางให้เข้าที่อย่างลวกๆ

     

    ซีวอนพูดต่อ

     

    “อยากย้ายมาอยู่กับฉันไหม"

     

    เสียงพลิกกระดาษหยุดลงแค่นั้น ฮยอกแจกะพริบตาปริบ โยกหนังสือไปทางขวานิดเดียวก็เห็นซีวอนยืนมองเขาอยู่แล้ว แก้มร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งเขินที่ถูกชวน และละอายที่โผล่มาทำห้องคนอื่นเลอะเทอะ

     

    “นายอยากให้ฉันมาแชร์ค่าห้องเหรอ"

     

    ซีวอนหัวเราะ "เปล่า แค่อยากให้นายย้ายมา"

     

    แก้มร้อนจัดกว่าเดิม ฮยอกแจทิ้งขาสองข้างร่วงปุลงบนเตียง มองซีวอนตาไม่กะพริบ หนังสือการ์ตูนฟุบไปอยู่บนอก ถามสั้นๆ

     

    “ทำไม"

     

    “ก็...” ซีวอนลากเสียงระหว่างก้าวยาวๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้า เขาเลื่อนมันเปิดออก "นายมายึดตู้ฉันเสียครึ่งตู้ เข็มขัดนายอยู่ที่หอฉัน ฉันต้องเอามันไปให้นายตอนนายไปติดต่อสภานิสิต แล้วก็นี่"

     

    เขาชูข้อมือที่สวมนาฬิกาเบ็นเท็น

     

    “นายเอานาฬิกาฉันไปใส่ ฉันต้องใส่เบ็นเท็นของนายมาสามวันแล้ว"

     

    “ฉันหยิบผิด" ฮยอกแจอุบอิบตอบ แทบจะฝังหน้าลงไปในหนังสือการ์ตูนที่ยกขึ้นมาบังตัวเองให้พ้นจากสายตากึ่งล้อเลียนกึ่ง... รักใคร่คู่นั้น

     

    “นายก็รู้ แอร์ห้องฉันมันติดๆ ดับๆ น้ำก็ไหลเบา แถมนกชอบมาขี้ใส่ระเบียงอีก ฉันถึงต้องเอาผ้ามาซักที่นี่แล้วฝากไว้ในตู้นายไง แอร์ห้องนายก็เย้นเย็นแถมกรองอากาศได้อีก ฉันเป็นภูมิแพ้นายจำได้มั้ย แล้ว... นาฬิกา มาเอาไปสิ" ฮยอกแจถอดนาฬิกาบนข้อมือตัวเองออก นาฬิกากันน้ำราคาปานกลาง ที่ต่อให้มันเป็นโรเล็กซ์ฮยอกแจก็คิดว่าถ้าเขาหยิบไปผิดซีวอนก็คงไม่โกรธหรือคิดว่าเขาขี้ขโมยหรอก

     

    ความจริงคือฮยอกแจไม่ได้ลืม ฮยอกแจแค่เบื่อนาฬิกาปัญญาอ่อนที่น้องชายซื้อให้เลยหยิบของซีวอนมาใส่ในเช้าวันหนึ่ง แต่เมื่อเห็นนาฬิกาเบ็นเท็นของตัวเองบนข้อมือซีวอนแล้ว อะไรบางอย่างก็ทำให้เขาทิ้งของตัวเองไว้อีกบนโต๊ะ และรอจะเห็นมันอีกครั้งเมื่อเจอซีวอน

     

    เขาชอบซีวอน ซีวอนต้องรู้แน่ และถ้าฮยอกแจไม่โง่หรือซีวอนชอบหว่านเสน่ห์ใส่เขาจนเกินไปนัก ฮยอกแจคิดว่าซีวอนก็ชอบเขาเหมือนกัน

     

    แต่การชวนให้ย้ายมาอยู่ด้วย ฮยอกแจว่ามันเป็นเรื่องด่วนตัดสินใจไปหน่อย

     

    “ฉัน... ขอเวลาคิด"

     

    ซีวอนยิ้มบางๆ ให้เมื่อได้ยินคำตอบ ฮยอกแจอาจคิดไปเองที่เห็นความผิดหวังในสายตาคู่นั้น แต่แล้วเขาก็ต้องใจเต้นหนักเมื่อซีวอนก้าวขึ้นมาอยู่บนเตียงเดียวกัน ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามา หัวฮยอกแจหมุนติ้วคิดอะไรไม่ออก ต้องถูกจูบแน่...

     

    “ฉันจะบอกว่า...”

     

    หรือสารภาพรัก...

     

    “ตอนจบเมลโล่ตายนะ"

     

    แล้วฮยอกแจก็ปาหนังสือการ์ตูนใส่หัวซีวอน

     

     

     

    วันพุธที่เจ็ด หลังจากวันสอบสัมภาษณ์

     

    วันนี้เด็กปีหนึ่งถูกพี่ว้ากลงชุดใหญ่ ที่ว่าชุดใหญ่คือพี่ว้ากปีสามก็มาร่วมด้วย พี่ฮีชอลเป็นมนุษย์ที่ด่าเก่งที่สุดที่ฮยอกแจเคยรู้จัก พี่ว้ากด่าตั้งแต่กิ๊บติดผมของอึนจีที่สีแจ๋นเกินไป จนถึงรัศมีเข่าของคยูฮยอนที่กางออกเกินเพื่อนแล้วด่าว่าอยากจะอวดหรือไงว่าจู๋ใหญ่กว่าใครเขา

     

    ฮยอกแจสะดุ้งกับคำว่าจู๋ใหญ่ และนึกไม่ชอบรุ่นพี่คนนี้ในใจ

     

    “หุบขาเข้าไป!” พี่ฮีชอลตะโกน ส่วนคยูฮยอนมันก็พยายามหนีบขามันให้ลีบเพื่อจะได้ตรงกับคนข้างหน้า แต่ด้วยความยาวของขาจึงทำเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ

     

    แล้วมันเสือกมานั่งอยู่ข้างหลังเขาทำไม ไม่รู้หรือว่าเขาขาสั้น! ไม่สิ ไอ้พี่ว้ากนี่มันจงใจจะหาเรื่องกันชัดๆ

     

    “ปีสองหน้ากระดานเรียงสิบ!” พี่ฮีชอลสั่งเสียงเฉียบ ฮยอกแจเริ่มกลัวขึ้นมานิดๆ ว่าพวกรุ่นพี่ปีสองที่ดูแลพวกเขาจะถูกลงโทษ

     

    รุ่นพี่ปีสองทั้งหมดที่ล้อมน้องปีหนึ่งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปตามคำสั่ง พี่ชินดงนำหน้าพวกผู้ชายแล้วยกมือขึ้นคนแรก เขาตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า

     

    “ปีสองนับตลอดนับ! หนึ่ง!” พวกรุ่นพี่นับจำนวนไปเรื่อยๆ เรื่อยจนถึงผู้หญิงคนสุดท้าย พี่โบราตะโกนเสียงดังว่า

     

    “เจ็ดสิบแปดคน ทั้งหมดมีเจ็ดสิบแปดคนค่ะ!”

     

    “ปีสองมีเท่าไหร่" พี่ฮีชอลถามเสียงเย็น พี่ชินดงเป็นคนตอบว่า

     

    “เจ็ดสิบเก้าคนครับ"

     

    “แล้วหายไปไหนหนึ่งคน! ฉันเรียกรวมปีสองไม่ได้ยินหรือไง! ไอ้พวกไม่มีความรับผิดชอบ เพราะแบบนี้ไงน้องแกมันถึงได้เละเทะโหลยโท่ยแบบนี้"

     

    ฮยอกแจแน่ใจว่าคนที่หายไปคือประธานปีสอง คนที่ไม่เคยโผล่หน้ามาเลยตั้งแต่วันสัมภาษณ์และวันรับน้อง

    "ปีสองอีกคนอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้!"

     

    พี่ว้ากสั่งอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่...

     

    มันเกิดขึ้นเร็วมาก แต่กับฮยอกแจดูเหมือนทุกอย่างดำเนินไปอย่างภาพที่ถูกสโลว์ให้ช้าลง ท่ามกลางความตึงเครียดของเหตุการณ์ครั้งนี้ มือของเขาถูกบีบเบาๆ ก่อนเจ้าของมือนั้นจะปล่อยไป ซีวอนวิ่งออกไปข้างหน้า ไปยืนแทนที่ชินดงที่ตำแหน่งแรกสุด ตำแหน่งของประธานปีสอง

     

    เขาพูดว่า

     

    “ศิลปกรรมปีสอง ทั้งหมดมีเจ็ดสิบเก้าคนครับ!”

     

     

     


    หลังเฉลยพี่เนียนก็มีกิจกรรมให้ทำต่อในวันนี้เลย นั่นก็คือการซ้อมเชียร์โต้ที่ต้องไปแข่งกับพวกนิเทศศาสตร์ ถือเป็นประเพณีของมหาวิทยาลัย อดีตพี่เนียนอย่างซีวอนที่เพิ่งเปิดเผยตัวว่าแท้จริงแล้วคือประธานปีสอง ยืนดูความเรียบร้อยอยู่ห่างๆ และปล่อยให้ชินดงดำเนินการซ้อมเชียร์ต่อไป

     

     

    เวลาซีวอนเดินผ่านรุ่นน้องที่นั่งซ้อมกันอยู่ หลายคนก็ทักทายเขาในฐานะเพื่อนที่กลายมาเป็นรุ่นพี่ด้วยท่าทีอึดอัด ซึ่งซีวอนไม่ถือเพราะปฏิกิริยาของคนโดนหลอกโดยพี่เนียนมันก็เป็นมาแบบนี้ทุกรุ่น เมื่อถึงเวลาที่ปีหนึ่งกลายมาเป็นปีสอง และต้องทำหน้าที่พี่เนียนอย่างเขาก็จะเข้าใจ

     

     

    กระนั้น ก็ยังมีอยู่คนหนึ่งที่ซีวอนพยายามเดินผ่านก็แล้ว เอาน้ำไปเสิร์ฟแถวๆ ที่คนๆ นั้นนั่งอยู่ด้วยตัวเองก็แล้ว แต่สิ่งที่ได้รับก็คือการมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่เห็นการมีอยู่ของเขา

     

     

    “ฮยอกแจ กินน้ำมั้ย”

     

     

    เงียบ...

     

     

    “ฮยอกแจ เอากระเป๋ามาฝากสิ”

     

     

    เจ้าปีหนึ่งรีบเอากระเป๋าตัวเองยื่นให้รุ่นพี่คนอื่นทันที

     

     

    เฮ่อ ซีวอนจนปัญญาจะตามง้อ คงต้องรอให้เลิกซ้อมเชียร์ก่อนถึงจะมีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกันจริงๆ เพราะขืนยังเข้าไปเกาะแกะเกินหน้าเกินตาจะถูกครหาว่าแอ๊วน้องได้

     

     

    ก็ยอมรับอยู่หรอกนะว่าแอ๊วเด็ก แต่ตำแหน่งประธานเอกมันค้ำคอจะแหกกฎเสียเองมันก็ยังไงอยู่

     

     

    สามทุ่มเป็นเวลาที่ทางมหาวิทยาลัยบังคับให้สิ้นสุดการรับน้องในแต่ละวัน ซีวอนแจ้งกำหนดการซ้อมเชียร์ของวันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงเรียกฝ่ายกระเป๋าที่ทำหน้าที่เก็บกระเป๋าให้น้องระหว่างการรับน้องในแต่ละวันมาแจกกระเป๋าคืน

     

     

    รยออุคกับทีมกระเป๋าลากกระสอบใบใหญ่ที่ใช้เก็บของมาด้านหน้า จากนั้นทีมกระเป๋าทั้งหกคนจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วให้ปีหนึ่งที่นั่งอยู่มองหากระเป๋าของตัวเอง เมื่อเจอแล้วก็ให้ตะโกนเรียกชื่อพี่ที่ถือกระเป๋าของตนอยู่

     

     

    เสียงจอแจดังขึ้นทันทีที่ฝ่ายกระเป๋าเริ่มทำงาน ฮยอกแจชะเง้อชะแง้มองหากระเป๋าเป้ใบเก่งของตัวเอง กระเป๋าเริ่มแจกสู่เจ้าของไปทีละใบสองใบ จนเกือบห้านาทีกระเป๋าจึงคืนสู่เจ้าของครบทั้งหมด

     

     

    กระเป๋าเขาล่ะ?

     

     

    ฮยอกแจหันซ้ายหันขวามองหาประธานเอกปีสองในทันที คิดไม่ผิดจริงๆ ซีวอนกำลังยืนคุยงานอยู่กับพี่ชินดง ท่าทางจริงจังทั้งที่บนหลังยังสะพายเป้ของเขาอยู่!

     

     

    และเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัวว่ามีคนกำลังโกรธตัวเองอยู่ ซีวอนจึงได้หันมามองฮยอกแจแล้วทำหน้ารู้สึกผิดส่งมา เจ้าปีหนึ่งเม้มริมฝีปากแน่น หันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

     

     

    ชินดงเดินมาข้างหน้า ประกาศข้อสรุปที่เพิ่งคุยกับประธานเอกได้เรื่องมาสดๆ ร้อนๆ

     

     

    “พรุ่งนี้พี่นัดซ้อม AC แปดโมงนะ แล้วพรุ่งนี้เป็นต้นไปคนที่เป็น AC เชียร์ลีดเดอร์แล้วก็สันทนาการคณะไม่ต้องมาซ้อมเชียร์โต้ ให้ไปซ้อมตามกำหนดการของตัวเองได้เลย ส่วนคนที่ไม่ได้ทำอะไรก็มาซ้อมตามปกติ เอกอะไร!

     

     

    “ซิกัม!

     

     

    รุ่นน้องแสดงโค้ดเชียร์ด้วยการตะโกนลั่น ยกไหล่เป็นท่าประกอบด้วยอารมณ์รีบๆ ทำให้รุ่นพี่พอใจจะได้กลับหอนอนซะที

     

     

    “แยกย้ายกลับได้ครับ รุ่นพี่ไปส่งน้องแต่ละจุดด้วยครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้น้าา” รุ่นพี่ชินดงพูดอย่างอารมณ์ดี

     

     

    ฮยอกแจฟังรุ่นพี่ที่เอ่ยชื่อสถานที่ที่จะไปส่งน้องแต่ละที่อย่างร้อนรน ซีวอนยังแบกกระเป๋าเขาเดินไปคุยกับคนโน้นคนนี้อยู่เลย ฮยอกแจจะเอากระเป๋าคืน ไม่งั้นจะเข้าหอได้ยังไง

     

     

    ฮยอกแจต้องรอจนเพื่อนกลุ่มสุดท้ายลุกกันหมด ถึงจะได้โอกาสลุกขึ้นแล้วเดินไปทางประธานเอกปีสอง ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็แยกตัวออกมาจากเพื่อนๆ แล้วเดินไปยังลานจอดรถ โดยทิ้งระยะห่างไว้ให้ฮยอกแจพอมองเห็นตัวเองด้วย



    “รุ่นพี่!

     

     

    เสียงเรียกทำให้ซีวอนชะงักปลายเท้า ก็รู้อยู่ว่าจะต้องถูกโกรธ เบาสุดก็คงจะถูกงอน แต่ไอ้การจงใจเรียกเขาอย่างห่างเหินว่ารุ่นพี่เนี่ย ซีวอนไม่ได้เตรียมรับมือมาก่อน

     

     

    ครู่เดียวฮยอกแจก็วิ่งมาถึงตัว มือเล็กแบออกตรงหน้าแต่ท่าทางของอีกฝ่ายยังเรียบเฉย

     

     

    “ขอกระเป๋าคืนด้วยครับ”

     

     

    “ไม่คืน” ซีวอนพูดเหมือนเดิมไม่มีผิด “ฉัน... พี่ขอโทษ พี่เองก็ไม่ได้อยากหลอกน้องคนไหนหรอกนะ นาย... ฮยอกแจไม่โกรธพี่ได้มั้ย”

     

     

    “ผมไม่ได้โกรธ”

     

     

    “โกรธอยู่ชัดๆ มาผงมาผมอะไร”

     

     

    ซีวอนเอานิ้วเขี่ยคางฮยอกแจเล่นๆ อย่างง้องอน แต่รายนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจแล้วถอยห่างออกจากเขาอย่างรวดเร็ว

     

     

    “เลิกเล่นเถอะครับ ผมเหนื่อย ขอกระเป๋าคืนด้วย”

     

     

    “จะเสียงแข็งใส่พี่อีกนานมั้ยเนี่ย พี่ก็ขอโทษแล้วไง ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ”

     

     

    “ผมไม่ได้โกรธ”

     

     

    “แน่ใจ?”

     

     

    “ครับ”

     

     

    ซีวอนมองท่าทีอีกฝ่าย พอเห็นว่าฮยอกแจยังสบตาเขาอยู่จึงได้ยอมคืนกระเป๋าที่ยึดไว้เพราะกันฮยอกแจหนีกลับหอไปก่อนในตอนแรกคืนเจ้าตัวไปในที่สุด

     

     

    พอได้ของที่ต้องการคืนฮยอกแจก็โค้งหัวให้เร็วๆ แล้วหันหลังกลับทันที

     

     

    “เดี๋ยวก่อน จะรีบไปไหนล่ะ” คว้าแขนเล็กเอาไว้ได้ทันท่วงที

     

     

    “กลับหอครับ”

     

     

    “กลับด้วยกันสิ เดี๋ยวไปส่ง” ซีวอนกอดคอฮยอกแจไว้ด้วยความเคยชิน แต่เจ้าเด็กปีหนึ่งก็ขืนตัวเองแล้วส่ายหน้าท่าเดียว

     

     

    “ผมจะกลับเอง”

     

     

    “กลับยังไง ดึกขนาดนี้ไม่มีรถแล้ว”

     

     

    “เดินกลับ”

     

     

    “หออยู่ตั้งไกลเนี่ยนะ”

     

     

    “คนอื่นก็อยู่ไกลเหมือนกัน ถ้ารุ่นพี่อยากไปส่งก็ไปส่งคนอื่นเถอะครับผมจะกลับเอง” พูดจบแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ร้อนถึงคนถูกทิ้งต้องก้าวขายาวๆ มาเดินข้างๆ ตามคนตัวเล็กที่จ้องจะไปจากเขาอย่างเดียวให้ทัน

     

     

    “ทำไมเราเป็นแบบนี้ล่ะ พี่ไปส่งเราเพราะอะไรก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ”

     

     

    ฮยอกแจไม่ตอบ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจนคนวิ่งตามชักรำคาญ ซีวอนคว้าไหล่บางทั้งสองข้างบังคับให้ฮยอกแจหยุดเดินแล้วหันมามองหน้ากัน

     

     

    “ไหนบอกว่าไม่โกรธกันไง”

     

     

    “แล้วถ้าผมบอกว่าโกรธรุ่นพี่จะเลิกยุ่งกับผมมั้ยล่ะ!

     

     

    ฮยอกแจตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ก่อนความอดทนทั้งหมดจะพังลงไป ฮยอกแจเริ่มร้องไห้เงียบๆ ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ไหล่บางพยายามสลัดฝ่ามือของรุ่นพี่ออกไปแต่ก็ไร้ความหมายเพราะซีวอนจับเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าปล่อยไปเพียงนิด ฮยอกแจก็จะหายไปต่อหน้าต่อตา

     

     

    “พี่ขอโทษนะ” ซีวอนเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย แม้ปฏิกิริยาตอบรับจะเป็นการพยายามถอยหนีของฮยอกแจ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดความตั้งใจ

     

     

    “ถึงการเป็นพี่เนียนของพี่จะทำให้เราเสียใจ ฮยอกแจอาจจะคิดว่าพวกพี่สนุกที่หลอกรุ่นน้องได้ แล้วก็คงคิดด้วยว่าไอ้เหตุผลที่พี่บอกว่ามีพี่เนียนเพื่อคอยดูแลรุ่นน้องมันคงฟังไม่เข้าท่า แต่พอฮยอกแจมาเป็นรุ่นพี่ ฮยอกแจก็จะเข้าใจ ถึงตอนนี้ฮยอกแจจะยังโกรธพี่อยู่ แต่พี่ก็อยากบอกนะว่าพี่ดีใจที่ได้เป็นพี่เนียนปีนี้ ไม่ใช่เพราะว่าพี่อยากหลอกเรา หรือว่าเห็นเราเป็นตัวตลก”

     

     

    “..............”

     

     

    “แต่เพราะมันทำให้เราได้เจอกัน”

     

     

    “..............”

     

     

    “มีอีกเรื่องนึงที่พี่ยังไม่ได้บอก”

     

     

    “อะไรอีก” ฮยอกแจมองเขาอย่างเคืองๆ เตรียมจะร้องไห้อีกระลอกแล้วหากได้ยินว่ายังมีเรื่องที่ซีวอนจงใจปิดบังเขาไว้จนถึงตอนนี้อีก แค่เรื่องนี้ก็มากเกินกว่าฮยอกแจจะรับไหวแล้ว

     

     

    “ตอนแรกพี่ก็กะจะบอกนานแล้ว แต่คิดไปคิดมาเลยว่าจะให้เฉลยพี่เนียนก่อน เรื่องนี้... พี่คิดว่าเราน่าจะรู้อยู่แล้วนะ”

     

     

    “แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ” แทบจะดิ้นปัดๆ อย่างขัดเคือง เลิกล้อเล่นกับความรู้สึกเขาเสียทีได้ไหม เด็กโง่ๆ อย่างเขามันจะไปรู้อะไรกับคนอื่นเค้าล่ะ

     

     

    “พี่ชอบฮยอกแจ”

     

     

    คนถูกบอกชอบพูดไม่ออก ตากลมจ้องรุ่นพี่ที่เพิ่งสารภาพรักกับเขาไปอย่างอึ้งๆ ฮยอกแจเรียงลำดับความคิดไม่ทัน รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า และไม่กล้าสบตาซีวอนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

     

    “ผม...”

     

     

    “หืม ว่าไงครับ”

     

     

    “ผมอยากกลับหอแล้ว! พูดเสียงดังแล้วงัดกระเป๋าขึ้นมากอดกับอกแน่น ฮยอกแจก้มหน้าซุกกระเป๋า ได้ยินเสียงอดีตพี่เนียนหัวเราะเบาๆ สองขาก้าวตามที่ถูกซีวอนโอบเอวแล้วพาเขาไปที่รถอย่างว่าง่าย

     

     

    ง่ายๆ แบบนี้สิน่ารัก

     

     

     

     

     

     

    “ชินดงนัดกี่โมง”

     

     

    “แปด”

     

     

    “พี่จะมารับนะ”

     

     

    “ไม่เอา”

     

     

    “แน่ะ” เอ็ดนิดเดียวฮยอกแจก็บึ้งหน้า ซีวอนจึงดุไปอีกยกหนึ่ง “อย่าดื้อสิ คุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ”

     

     

    “ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

     

     

    “อ้าว ไหงงั้นล่ะ อ๋อ อยากให้พี่อยู่กับเรานานๆ สินะ” ซีวอนพูดยิ้มๆ แกล้งทำสีหน้าเจ้าเล่ห์เร่งเร้าปฏิกิริยาตอบกลับของฮยอกแจ แน่นอนว่าเจ้าเด็กปีหนึ่งหันมาแยกเขี้ยวใส่เขาทันที

     

     

    “ผมไปล่ะ”

     

     

    “เดี๋ยว พี่หิวน้ำ ขอขึ้นไปกินน้ำหน่อยสิ”

     

     

    “เซเว่นมีขาย”

     

     

    “ลืมเอากระเป๋าตังค์มา”

     

     

    “กลับไปกินหอตัวเองสิ”

     

     

    “หอพี่ไม่มีฮยอกแจนี่”

     

     

    “..................”

     

     

    “พี่บอกชอบฮยอกแจ แล้วถ้าพี่คิดไม่ผิด ฮยอกแจก็ชอบพี่ใช่มั้ย”

     

     

    “ผมเคยชอบซีวอน แต่พี่ซีวอน... ผมไม่แน่ใจ”

     

     

    “มันต่างกันตรงไหน”

     

     

    “ผมไม่รู้ แต่มันไม่เหมือนกัน”

     

     

    ซีวอนเงียบไปกับคำตอบนั้น ก่อนเขาจะเอื้อมมือมากุมมือเล็กไว้ ฮยอกแจมองซีวอนสวมนาฬิกาของตัวเองให้บนข้อมือเขา แล้วถอดเบ็นเท็นโง่ๆ ของฮยอกแจไปใส่บนข้อมือตัวเอง

     

     

    “แลกกันนะ ถ้าฮยอกแจไม่ชอบมันเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หนึ่งปีต่อมา

     

     

     

    “แล้วเป็นยังไงต่อ”

     

     

    ทงเฮถามพลางยัดป๊อปคอร์นเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆ ทั้งที่ตายังบวมฉึ่ง พอซองมินถูกเฉลยว่าเป็นพี่เนียนอีทงเฮก็ถึงกับช็อค เพื่อนเพียงคนเดียวของตัวเองกลายเป็นพี่เนียน ไม่สิ เพิ่งมาคิดได้ทีหลังว่ามีคิบอมอีกคน พอซองมินมาหาที่ห้องพร้อมขนมขอโทษมากมายก็ถึงกับร้องไห้ เข้าใจความรู้สึกรุ่นพี่ฮยอกแจทันทีตอนที่ซองมินเล่าให้ฟังว่าปีที่แล้วฮยอกแจก็แย่เหมือนกันตอนที่รู้ว่าซีวอนเป็นพี่เนียน

     

     

    แถมฮยอกแจมีซีวอนเป็นเพื่อนคนเดียวอีกเพราะตอนนั้นยังไม่สนิทกับพวกคยูฮยอนและซองมิน ทงเฮเข้าใจดีเลย คนที่อุตส่าห์คิดว่าจากบ้านมาไกลไม่มีใครเคียงข้างเลย พอมีใครสักคนหนึ่งแล้วคิดว่าคนนี้แหละที่จะเรียนไปด้วยกันจนจบ แล้วจู่ๆ คนนั้นก็มากลายเป็นพี่เนียน ทิ้งเราไว้คนเดียวกับคนแปลกหน้าที่ต้องเริ่มทำความรู้จักกันใหม่ ทงเฮเข้าใจดีสุดๆ เลย

     

     

    “อะไรยังไง”

     

     

    “พี่ซีวอนกับพี่ฮยอกแจไง เค้าได้คบกันเปล่า”

     

     

    ทงเฮยังเรียกซองมินเหมือนเดิมเพราะชินปาก ซองมินเองก็ไม่ได้ว่าอะไร รายนั้นทำท่านิ่งคิดอยู่สักพักแล้วจึง

     

     

    “รู้จักตำนานทิ้งธงมั้ย”

     

     

    “เคยได้ยิน มันคือไรอ่ะ”

     

     

    “พอเรารับน้องกันเสร็จอ่ะจะต้องเข้าปฏิญาณตน แล้ววันนั้นมันจะมีการแสดง AC ด้วย ประธานปีสองจะเป็นคนพารุ่นน้องเข้าไปปฏิญาณตนเป็นนิสิตซิกัมปีหนึ่งที่กลางสนามเชาว์ แต่มีกฏอยู่ว่าระหว่างที่ปฏิญาณจนจบงาน คนถือธงคณะห้ามปล่อยมือออกจากธงเลย ห้ามเด็ดขาด เพราะถือเป็นลางว่าจะทำให้นิสิตปีนั้นๆ ที่เข้ารับการปฏิญาณเรียนไม่จบหรือมีอันเป็นไปได้...

     

     

    “พี่จำได้แม่นเลยนะ วันนั้นมันร้อนมาก งานก็ช้าเพราะอธิการบดีมาสาย แล้วฮยอกแจก็ไม่สบายด้วย แถมชุดที่ AC ต้องใส่วันนั้นก็โคตรจะรัดเลย พี่ซีวอนเป็นห่วงมากเลยแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะต้องถือธงตลอด พอปฏิญาณตนเสร็จพวกพี่ก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว เหลือแค่ AC ของคณะต้องขึ้นแสดงงานก็จบ  เรื่องมันอยู่ตรงนี้ ตอนที่ฮยอกแจแสดง มันเป็นช่วงใกล้จบแล้วแหละ ฮยอกแจต้องต่อตัวขึ้นไปอยู่บนยอดสุด ตอนแรกก็ไม่มีอะไร แต่ตอนฮยอกแจจะลงมา คนข้างล่างที่เป็นฐานมันดันลื่น ฮยอกแจที่อยู่บนสุดก็เลยพลาดตกลงมา...

     

     

    “ตอนนั้นพวกพี่ใจเสียแล้วอ่ะ คิดว่าฮยอกแจต้องเจ็บแน่ๆ เพราะฮยอกแจอยู่สูงมาก พวกที่อยู่ข้างล่างก็ล้มไปหมดแล้ว แต่รู้อะไรมะ...

     

     

    “พี่ซีวอนเว้ย วิ่งเข้าไปรับฮยอกแจไว้เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าฮยอกแจจะตกลงมาแน่ๆ ธงเทิงที่ถือมาทั้งวันนี่พี่ซีวอนทิ้งไว้ไหนไม่รู้ ที่รู้คือฮยอกแจไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลย”

     

     

    “โหวววววว พระเอกมาก!!

     

     

    “ใช่มั้ยล่ะ ตอนพวกพี่ไปถามว่ารับฮยอกแจทันได้ยังไงพี่ซีวอนเขาก็ตอบว่า ‘ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องรับให้ได้’ ประโยคนี้ยังเท่มาถึงทุกวันนี้เลยนะรู้เปล่า”

     

     

    “แล้วพี่ซีวอนทิ้งธงแบบนั้นแล้วไม่เป็นไรเหรอ”

     

     

    “ตอนแรกก็เป็น คณบดีแก่ๆ ที่เชื่อเรื่องโชคเรื่องลางนี่โมโหใหญ่เลย บอกต้องลงโทษๆ พี่ซีวอนเค้าก็ไม่พูดอะไรนะ เหมือนจะยอมรับโทษ แต่พวกพี่ไม่ยอม อาจารย์คนอื่นก็ยื่นเรื่องปกป้องพี่ซีวอนด้วย”

     

     

    “โอ้โห เท่จนไม่รู้จะเท่ยังไงแล้ว พี่ซีวอนแสนดีขนาดนี้เค้าก็ได้คบกันแน่ๆ น่ะสิ”

     

     

    “ตอนนายเจอฮยอกแจกับซีวอน เห็นนาฬิกาที่สองคนนั้นใส่รึเปล่าล่ะ”

     

     

    “ไม่ได้มองของพี่ฮยอกแจอ่ะ แต่พี่ซีวอน.... ใส่เบ็นเท็นเราจำได้!

     

     

    “นั่นแหละคำตอบ”

     

     

     

    แลกกันนะ ถ้าฮยอกแจไม่ชอบมันเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน’

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    SPECIAL

     

     

     

    “ทิ้งธงคณะไม่แยแสแบบนั้น พักการเรียนสักปีดีมั้ย”

     

     

    ซีวอนเงยหน้ามอง ฮยอกแจหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ บนเก้าอี้หน้าห้องแต่งตัว ทุกคนกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่อ้อยอิ่งคิดอะไรอยู่คนเดียวตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกมาไม่คิดว่าจะมีคนมานั่งรออยู่ แม้จะเห็นเป็นปกติที่ซีวอนมักมารอเขาก็เถอะ

     

     

    “ช่วยไว้แท้ๆ ยังจะมาลงโทษกันอีกเหรอ”

     

     

    “อือ”

     

     

    “ไม่น่ารักเลยนะ”

     

     

    “โดนลงโทษก็สมควรแล้วนี่”

     

     

    “พี่ไปทำอะไรให้เราอีกล่ะ”

     

     

    “ทำให้รักมั้ง”

     

     

    พูดแบบไม่ใส่ใจแล้วมองผนังกำแพงไปเรื่อย ท่าทางที่ทำให้คนฟังนิ่งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

     

     

    “โอเค ยอมรับโทษก็ได้”

     

     

    แล้วซีวอนก็ติ๊ต่างเข้าข้างตัวเองว่า การลงโทษที่ฮยอกแจต้องการคือการกุมมือเล็กไว้เบาๆ อย่างที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้

     

     

    ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆ ฮยอกแจก็พึมพำเสียงเบา

     

     

    “ตอนนั้นคิดว่าต้องตายแน่ๆ เลย ตาพร่าไปหมด ไม่ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง คิดถึงพ่อแม่เลย แล้วก็... คิดถึงพี่ซีวอนด้วย อยากให้พี่มาช่วย ไม่คิดว่าจะมาช่วยจริงๆ แล้วตอนนั้นล่ะ พี่ซีวอนคิดอะไรอยู่ถึงทิ้งธงคณะแบบนั้น”

     

     

    “ไม่ได้คิดอะไรเลย คิดถึงแต่เรานั่นแหละ ถ้าฮยอกแจเป็นอะไรไปพี่คงแย่”

     

     

    “ชอบผมขนาดนั้นเลยเหรอ”

     

     

    “ยังจะถามอีก จะโดนไล่ออกหรือเปล่ายังไม่รู้เลย คณบดียิ่งหัวโบราณอยู่ น่ารำคาญชะมัด”

     

     

    “โดนไล่ออกก็เข้าปีหนึ่งใหม่ก็ได้ เดี๋ยวปีหน้าฮยอกแจเป็นพี่เนียนเอง”

     

     

    “แน่ะ จะแกล้งพี่อีกล่ะสิ”

     

     

    “ไม่ได้แกล้ง แค่เอาคืน”

     

     

    “ก็ได้ๆ จะทำอะไรก็ยอมหมดแหละคร้าบบบ”

     

     

    ฮยอกแจอมยิ้ม เขย่ามือที่ถูกกุมไว้ไปมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทำหน้านึกขึ้นได้ แล้วดึงมือออกจากการเกาะกุม มาแกะนาฬิกาโรเล็กซ์บนข้อมือออกแล้วส่งคืนให้เจ้าของ ซีวอนหน้าเสีย มองฮยอกแจอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าขัดใจ

     

     

    “ราคาก็ตั้งแพงแต่ถ่านหมดเร็วชะมัด สู้เบ็นเท็นของฮยอกแจก็ไม่ได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ น่ารักด้วยถูกด้วย นี่ของพี่ซีวอนเอาไปเปลี่ยนถ่านให้เลย เอาถ่านแพงๆ เลยนะจะได้ใส่นานๆ ฮยอกแจไม่อยากถอดแล้ว” 

     

     

     

     

     

     




    END*

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×