ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #7 : :: Chapter 3 : Start ::

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 53


     

     

     

    3

    Start

     

     

     

     

    รายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกชิงตำแหน่งเคิร์สประจำรุ่นที่ 21

    ลำดับโดยคะแนนโหวต

     

    1.       คิมคิบอม  :  B

    2.       ลีดงเฮ  :  A

    3.       อีซังอา  :  A

    4.       นิชคุณ หรเวชกุล  :  C

    5.       ชินโซลกิ :  C

    6.       ชอยมินโฮ  :  D

    7.       ลีฮงกิ  :  B

    8.       ปาร์คเจบอม  :  C

    ผู้สมัครรายงานตัวเวลา 12.30 น. ห้องประธานนักเรียน

     

     

     

     

     

     

    “นี่ไงๆๆ ด๊องดูนี่สิ อันดับสองแน่ะ”

     

    น่ารักฉุดมือเพื่อนร่างบางให้ไปทางบอร์ดซึ่งมีกระดาษสีขาวแปะไว้หรา ดงเฮไล่สายตาไปตามรายอักษร รอยยิ้มหวานปรากฏอย่างนึกสนุกยามเห็นชื่อคิมคิบอม ผู้รั้งตำแหน่งว่าที่เคิร์สอันดับต้นๆ

     

    ...ขั้นแรกผ่าน เหลือแคมป์...

     

    ดงเฮชักสนุกมากขึ้นทุกที อยากจะเร่งวันเวลาให้ไปเข้าแคมป์โดยไว อยากจะปั่นหัวนายแก้มแตกนั่นให้เร็วที่สุด!

     

    โหยยย   ตางี้วิ้งเลยนะด๊อง   สนุกล่ะสิ   ซองมินแซว   นั่งลงตรงโต๊ะม้านั่งหน้าชั้นเรียน   ที่ประจำ

     

    อะไรล่ะมินนี่   ไม่ต้องแซวเราเลยนะ   ดงเฮยิ้มๆ   แผนการของพี่อิทึกนี่สุดยอดไปเลย   แค่เมื่อคืนได้ฟังก็ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะตื่นเต้นแล้ว   ยิ่งพอคิดเล่นๆ ว่าแผนสำเร็จเมื่อไหร่   ให้ตาย!   ปลาชักจะอยากบินนน

     

    Laaa~  Sa rang hae  Nae chem no bem…

     

    โทรศัพท์แน่ะมินนี่  หน้าหวานเรียก   ซองมินที่นั่งฟังเพลงจากไอพอดกระตุกหูฟังออกแล้วกดรับ

     

    จ๋าาา

     

    เสียงแหลมเล็กหยอดคำหวานเอาใจมารดา   ยิ้นแป้นดีใจ   ส่งเสียงถึงแม่ที่อยู่ไกลถึงญี่ปุ่นอย่างอารมณ์ดี   พลอยทำให้ดงเฮและฮยอกแจอมยิ้มไปด้วย   เวลาซองมินอยู่กับคนที่บ้านทีไร   น่ารักน่าหยอกขึ้นมากโข   ไม่เหลือภาพกระต่าย(ป่า) สุดเจ้าเล่ห์แม้แต่น้อย

     

    ลีซองมิน   หนุ่มน่ารักเริงร่าสดใสของเพื่อนๆ   กลายเป็นแมวน้อยแสนเชื่องทันที   เก็บเล็บเก็บเขี้ยวไว้ได้อย่างแนบเนียน

     

    น่ารักเดินหลบไปคุยโทรศัพท์กับมารดาอีกช่วงหนึ่งของม้านั่ง   เพราะอีกฝ่ายบ่นเหลือเกินว่ามีเสียงเอะอะรบกวนไปหมด

     

    “ฮยอก   รายงานส่งอาทิตย์หน้าใช่มั้ย   แต่เราคงต้องไปเข้าแคมป์เคิร์สน่ะ   เอาไงดีล่ะ”   ดงเฮปรึกษาฮยอกแจ   เตรียมการทุกอย่างให้พร้อม   เขาจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง

     

    “เห็นอาจารย์บอกว่าพวกเคิร์สให้รวมกลุ่มกับเพื่อนทำนี่   เอางี้ละกัน   ด๊องไปเข้าแคมป์เถอะ   เดี๋ยวเราทำรายงานแล้วใส่ชื่อด๊องให้  ยังไงก็สบายอยู่แล้ว”   ฮยอกแจแนะ   ชูนิ้วโป้งให้สัญลักษณ์สบายมาก

     

    “ขอบใจน้าฮยอก   เดี๋ยวถ้าได้ไปต่างจังหวัดเราจะซื้อของฝากมาให้เยอะๆ เลยน้า   เอ๊ะ   กี่โมงแล้วน่ะ”   ดงเฮตกอกตกใจ   คว้านาฬิกาข้อมือเพื่อนมาดู

     

    “ตายแล้ว!     รุ่นพี่นัดประชุมตอนเที่ยงครึ่งนี่นา   สายแน่ๆ เลย   เราไปก่อนนะฮยอก   บอกซองมินให้ทีว่าตอนเย็นเรากลับด้วย   ไปนะ”

     

    ดงเฮรีบรุดล่ำลา   กุลีกุจอวิ่งไปทางห้องประธานที่ห่างกันสองช่วงตึก    ซวยชะมัด    เสียภาพตั้งแต่วันแรกเรื่องไม่ตรงเวลา   อย่างนี้จะไปทำให้ใครเขาเครซี่ได้เล่า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปึง

     

    เสียงประตูที่ถูกผลักกระทบกับผนังห้องเบาๆ แต่ได้ยินกันถ้วนหน้า   เรียกความสนใจของคนทั้งหมดให้หันมาเป็นทางเดียว

     

    “แฮ่กๆ   ขะ ขอโทษครับ   พอดีผมมีธุระนิดหน่อยเลยมาช้า   ขอโทษด้วยครับ”

     

    เสียงเหนื่อยหอบเพราะฤทธิ์จากการวิ่งไม่ได้หยุดพักมายังห้องประธานนักเรียน   แต่ทว่า   สิ่งที่สะกดสายตาของทุกคนกลับเป็นการตำหนิโทษผู้มาเยือนไม่...

     

    เส้นผมที่ลู่ลงกับใบหน้าเปียกชื้นเพราะเหงื่ออ่อนๆ   กระดุมสองเม็ดบนที่ปลดอกเพราะอากาศในวันนี้อบอ้าวเป็นพิเศษเผยให้เห็นลำคอขาวผ่องชัดเจน   ใบหน้าหวานเหนื่อยหอบนั้นน่ายลชม   ริมฝีปากชมพูระเรื่อไร้สิ่งแต่งแต้มขยับขึ้นลงไปตามจังหวะการหายใจหอบเหนื่อย   ยิ่งดงเฮพาดแขนเล็กๆ นั่นไว้กับขอบประตูด้วยแล้ว   ให้ตาย   เหมือนแมวสาวกำลังยั่วยวนอย่างไรอย่างนั้น!

     

    “เอ่อ   ดะ ดงเฮ    เชิญนั่งก่อนครับ   ข้างๆ นิชคุณ...”

     

    ประธานนักเรียนจงฮุนเชื้อเชิญ   กลืนน้ำลายดังเอื๊อกลดความอยากดูแลเหล่าเพื่อนต่างห้อง    

     

    ดงเฮยิ้มหวานให้ทีหนึ่งแล้วเดินไปนั่งข้างๆ กับนิชคุณที่เมื่อเทอมที่แล้วป๊อบปูลาร์มากในหมู่สาวๆ เพราะด้วยความเป็นลูกครึ่งไทย – จีน    จนทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างทั่วถึง

     

    “ดงเฮครับ   ซับเหงื่อหน่อยมั้ย”   นิชคุณถามตามวิสัยของคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี   หยิบกระดาษชำระในกล่องบนโต๊ะสองสามแผ่นแล้วยื่นให้

     

    “อ๊ะ  ครับ   ขอบคุณนะ” 

     

    แฟ้มเอกสารบางๆ ถูกยื่นให้โดยจงฮุน   ดงเฮกล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วพลิกดูรายละเอียดผ่านๆ ปล่อยให้เสียงจงฮุนที่สาธยายอยู่หัวโต๊ะเข้าหูซ้ายออกหูขวาไป   สังเกตสังกาผู้ร่วมเคิร์สอีกเจ็ดคน

     

    ซังอา   เพื่อนร่วมห้องของเขาที่น่ารักใช่หยอกนั่งอยู่หัวมุมโต๊ะเป็นคนแรก  ถัดมาคือชินโซลกินักเรียนห้องอื่น   ชอยมินโฮ   ลีฮงกิ   ปาร์คเจบอม   นิชคุณ   และสุดท้าย   คิมคิบอม   คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา   ทำมองเมินไม่สนใจนั่งฟังจงฮุนพูดทั้งๆ ที่ถ้อนคำเหล่านั้นไม่ได้เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย   เหตุด้วยมีสิ่งอื่นมาเบนความสนใจไปเสียมากกว่า

     

    สรุปว่าคนที่ดงเฮรู้จักและพอจะคุยได้มีแค่สองคน   ซังอากับนิชคุณ   ที่เหลือก็เคยพูดคุยผ่านๆ   และอีกคน   ที่ดงเฮรู้จักแล้วดันเหม็นขี้หน้าเป็นการส่วนตัว    แต่ต้องเข้าใกล้เพื่อส่วนรวม...  (?)

     

    ดงเฮเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสาร   พลันสายตาไปสะดุดเข้ากับสายตาคู่คมอีกคู่ที่เบือนมาทางเขาอย่างประจวบเหมาะ

     

    หน้าหวานเบ้ปาก   แลบลิ้นใส่คนตรงหน้าอย่างยียวนกวนอารมณ์    ฝ่ายคนถูกกวนประสาทหน้าตึงขึ้นทันที   

     

    เป็นคนอื่นละยิ้มหวาน    ทีเขาละทำไม่พอใจ   ฮึ

     

    คิบอมหงุดหงิดใจ

     

    นี่น่ะเหรอคนที่จะมาปั่นหัวเขาให้ตกหลุมรักหัวปักหัวปำ   นี่จะเลิกล้มความตั้งใจแล้วหรือไง

     

    คิบอมส่งสายตาดุๆ แบบประจำที่ทำ    แต่เหมือนดงเฮจะไม่ยี่หระ   ทำตาทวนลม  

     

    ...พี่อิทึกบอกว่า   ถ้าจะทำให้เขาเห็นค่าและสนใจ   เราต้องไม่ตาม   ไม่แสดงออก   เชิด!

     

    ดงเฮยังจำคำแนะนำของรุ่นพี่นางฟ้าหน้าสวยได้ดีไม่ลืม  

     

    และที่สำคัญ    ต้องมีค่า   ไม่ใช่ของตายเด็ดขาด

     

    ข้อนี้อิทึกย้ำนักย้ำหนา   ดงเฮท่องได้ขึ้นใจ  

     

    ขอโทษนะนิชคุณที่ต้องเอานายมาร่วมแผนการของชั้น   แต่ชั้นไม่ได้คิดร้ายกับนายเลยน้า

     

    หน้าหวานเอ่ยขอโทษขอโพยเพื่อนลูกครึ่งในใจ   ...แล้วเริ่ม...

     

    “คุณ   นี่ตกลงจงฮุนจะพาเราไปแคมป์ที่ไหนเหรอ?”   แกล้งถามเสียงหวาน   ยื่นใบหน้าเข้าไปเพิ่มความใกล้ชิด   คนที่ได้ชื่อว่าถูกดึงมาร่วมแผนการโดยไม่รู้ตัวหน้าขึ้นสีอย่างเขินๆ   ก่อนตอบอึกอักระคนตื่นเต้น

     

    “เอ่อ   เห็นว่าเป็นที่รีสอร์ทกัมมุน*น่ะครับ   จงฮุนบอกว่าผอ. เสนอที่นี่มา   ละ.. เลยไม่อยากขัด   แล้วคุณดงเฮชอบมั้ยครับ   ผมว่าที่นั่นก็สวย...  ดะ ดีนะครับ”

     

    นิชคุณกลัวว่าตนต้องเลือดกำเดาพุ่งกระฉูดตอนนี้แน่ๆ   ก็ไอ้กลิ่นหอมๆ หวานๆ จากร่างบางและความใกล้ชิดนี่มันทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวไปตามธรรมชาติ   เดิมทีไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนคนนี้ก็จริง   แต่ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ...  ก็ยากห้ามใจ

     

    คิบอมชักสีหน้าบึ้งตึง   หงุดหงิดใจแต่หาเหตุไม่ได้   ทั้งๆ ที่สายตาก็ไม่ได้จับจ้องที่ภาพเบื้องหน้า   แต่ไม่รู้ทำไม   ทุกๆ การกระทำของหน้าหวาน    เขากลับรับรู้ได้ทั้งหมด

     

    อย่าบ้าน่าไอ้คิบอม   ไอ้หน้าหวานนี่คงกำลังลองใจเขา   หรือไม่ก็ยั่วคนอื่นไปทั่วเป็นนิสัยไปแล้ว   แกจะไปสนใจทำไม

     

    คิดเองเออเองก่อนแกล้งไม่สนใจ   ทำทีว่าดงเฮนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ

     

    …..

     

    ได้ผลแฮะ!

     

    ดงเฮป่าวร้องก้องในใจดังลั่น   คนนิสัยนิ่งๆ แบบคิบอมถึงอาการไม่สนใจเรื่องชาวบ้านจะเป็นปกติก็เถอะ   แต่ไอ้ขนาดที่ว่าไม่มองไม่แลเลยนี่มัน...   ชัดเจนเกินไป    แกล้งไม่สนชัดเจนเกินไป   จนทำให้คนอย่างลีดงเฮมองออกในพริบตา

     

    ฮิๆ   นายหลงกลชั้นแล้วคิมคิบอม   อย่าดูถูกกันมากนักสิ   ไม่งั้นมันจะไม่สนุก...

     

     

     

     

     

     

     

    “อย่าดูถูกชั้นนักสิ   ลีดงเฮซะอย่าง   นายหนีใจตัวเองไม่พ้นแน่  นายแก้มแตก”

     

     

     

     

     

     

     

    ----   My  sweetheart…   You’re  Everything   ----

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เฮ้!   อ่อนแอ  จะไปไหนน่ะ”

     

    เสียงเข้มดังไล่หลัง   ฮยอกแจหน้าบึ้งทันทีที่จำได้ว่าเป็นเสียงกวนๆ ของใคร  

     

    จองล้างจองผลาญไม่เลิกนะไอ้โหด!

     

    “ชั้นไม่ได้ชื่ออ่อนแอเว้ย!    ฮยอกแจตะคอกกลับเสียงดังแต่ไม่หยุดฝีเท้า   รีบรุดเดินต่อไป    แต่ด้วยการที่อีกฝ่ายสูงยาวร่างใหญ่กว่าตนมากนัก   การที่จะเดินตามคนร่างบางให้ทันนั้น   ไม่ใช่เรื่องยากเลย

     

    “ฮยอกแจ  อ่อนแอ  ฮยอกแจ  อ่อนแอ...   ชั้นว่ามันก็เข้ากันดี”

     

    ไอ้โหด ที่ว่าย้อนกลับอย่างไม่ยี่หระ   แต่เรียกสายตาเชือดเฉือนจากฮยอกแจให้ตวัดได้ฉับใหญ่

     

    “ไอ้บ้า!

     

    ฮันกยองยักไหล่   ไม่สะท้านกับคำด่านั้นเสียเท่าไหร่   ก็นับจากที่เขากวนประสาทฮยอกแจมา   ก็ถูกด่าวันละสิบๆ รอบจนชินชาไปแล้วกระมัง

     

    “นายจะตามชั้นมาทำไม   กลับบ้านนายไปไป๊!    ฮยอกแจตวาดไล่   ผู้คนรอบข้างที่ต่างเป็นรุ่นน้องหันมามองอย่างตกใจกับคำกล่าว   ก่อนจะหันกลับไปแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาเชือดเฉือนสะเทือนทุกรูขุมขน

     

    “บ้านชั้นมันยังรออยู่ที่เดิมนั่นแหละ   จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้”

     

    “งั้นก็ไปให้พ้นๆ ลูกตาชั้น”

     

    “อันที่จริงแล้วชั้นก็ไม่อยากอยู่นักหรอก   นายน่ะหลงตัวเองชะมัด”   ฮันกยองยังคงยียวน

     

    “ไอ้...   ไอ้....   โอ๊ย!   ไปให้พ้นเลยนะ!!

     

    ฮยอกแจตวาดอย่างเหลืออด   เขาไม่ใช่คนมีน้ำอดน้ำทนมากมาย    โดยเฉพาะกับคนที่กวนไม่เลือกที่ไม่เลือกเวลาแบบนี้   ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาต่อว่าต่อขาน   เพราะไม่ว่าคำนั้นจะรุนแรงขนาดไหน   ไอ้ด้านนี่ก็ไม่รู้สึก!

     

    หนุ่มเชื้อสายจีนยิ้มๆ ในใจภายใต้สีหน้าวอนส้นเริงอารมณ์   วันนี้เขากะว่าจะตามคนอ่อนแอคนนี้ไปให้ถึงบ้านอย่างลับๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้   แต่พอเห็นร่างเล็กๆ บางๆ และหน้าตาจิ้มลิ้มนั่นนานเข้าหน่อย   ก็ทำใจให้ไม่เข้ามาหยอกล้อฮยอกแจเสียไม่ได้

     

    ฮันกยองทำเนียนตบไหล่เล็กดังป้าบๆ แต่แอบสัมผัสเนื้อนุ่มจนฮยอกแจผงะหน้าเกือบทิ่มเพราะตั้งตัวไม่ทัน   โชคดีที่ฮันกยองคว้าเอวเล็กได้ทันท่วงที    เป็นเหตุให้ร่างสองร่างแนบชิด   ใบหน้าห่างกันเพียงฝ่ามือกัน   กลิ่นหอมๆ ลอยเตะจมูกจากคนร่างเล็กในอ้อมกอด

     

    โชคดีจริงๆ น้าาา

     

    “เฮ้ย!

     

    พลั่ก!

     

    “ไอ้ทะลึ่ง!   ฉวยโอกาส”

     

    ปวารณาซะสูงส่ง   ฮันกยองยิ้มรับคำปรามาสนั้นด้วยท่วงท่าสบายๆ   ก็แหงล่ะสิ   เขาได้กำไรนี่นา

     

    “อะไร   นายต่างหากที่ทำปวกเปียก   อ่อนแอก็งี้   ทำอะไรงกๆ เงิ่นๆ”

     

    “อย่ามาดูถูกชั้น!   ฮยอกแจหน้าขึ้นสี   ไม่ใช่เพราะเขินอายหรือเหนื่อยหอบ   แต่เป็นเพราะความโกรธที่คุกรุ่นต่างหาก   ทำไมเขาต้องยอมให้ไอ้ผีบ้านี่มาด่าเอาๆ อยู่ได้!

     

    ฮันกยองได้สติ   รู้ตัวว่าพูดแรงเกินไป   ฉุกอารมณ์โมโหของฮยอกแจขึ้นสูงปรี๊ด

     

    “ชั้นเกลียดนาย!!!

     

    .....

     

    “เฮอะ   ฉันก็ไม่ได้พิศวาสนายซะหน่อย   อ่อนแอแล้วยังหลงตัวเองอีก   คนอะไร”

     

    โกหกคำโตแถมยังปากพล่อยพูดทำร้ายจิตใจ   รู้สึกเจ็บแปลบในใจเกินทน   ทั้งๆ ที่กะจะขอโทษกับคำกล่าวไม่ดีของตน   แต่คำพูดตัดรอนนั่นทำให้วาจาของเขาเปลี่ยนไปจนสิ้น  

     

    “งั้นก็ออกไปไกลๆ    ออกไปจากชีวิตชั้น   ไปให้พ้น!

     

    ความรู้สึกทรมานใจแล่นปราดเข้ามาให้รับรู้ในทันที   ยิ่งได้ฟังคำพูดไร้เยื่อใยกระทั่งดูแคลนไม่มีค่าจากฮันกยอง   มันก็ยิ่งทำให้ฮยอกแจรู้ว่าเขาคงจะอ่อนแอ   อย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ

     

    ทำไมเขาต้องอ่อนแอ...

     

    คนร่างเล็กหันหลังแล้ววิ่งหนีไปอีกทาง   ไม่มีเสียงไล่หลัง   ไม่มีถ้อยคำรั้งหรือวาจาใดๆ   แต่ถึงจะมี   ฮยอกแจก็ไม่คิดว่าเขาอยากจะรับฟังมัน   ตลอดทางที่วิ่งมา   เขาไม่ได้ใช้สายตามองดูทางเลยแม้แต่น้อย   จะเดินชนใครหรือจะวิ่งไปเหยียบอะไรเขาไม่ได้ใส่ใจ   ใช้สัญชาตญาณและความเคยชินพาตัวเองมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ภูมิฐาน

     

    “คุณหนูเล็ก   คุณหนูกลับมาแล้วเหรอคะ   ทำไมวันนี้ไม่กลับมาพร้อมลุงล่ะคะ...   อ้าว   คุณหนูเล็กเป็นอะไรคะ!   คุณหนู!   คุณหนู!

     

    มือเล็กๆ ผลักประตูห้องนอนเข้าไป   ไม่สนใจเสียงทักของคุณนมที่ดังมาตลอดทางเสียด้วยซ้ำ   เขารู้สึกหมดแรงอย่างบอกไม่ถูก   มันอึ้ง   ตกใจกับคำพูดของฮันกยอง   ประหลาดใจ...   กับความรู้สึกของตัวเอง

     

    ก๊อกๆๆ

     

    “คุณหนู   คุณหนูเล็ก   คุณหนูเป็นอะไรคะ”

     

    คุณนมถามด้วยความเป็นห่วง   รัวเคาะประตูถี่ยิบ

     

    “คุณนม...  ผมไม่เป็นอะไรครับ   มะ..   ไม่เป็นไร...”

     

    ฮยอกแจเสียงสั่น   บังคับเสียงให้มั่นคง

     

    “คุณหนูเล็กอย่าโกหกนมสิคะ   คุณหนูเป็นอะไร   บอกนมสิคะ   หรืออยากให้นมโทรตามคุณท่านมาหาดีคะ”   คุณนมเป็นห่วง   หาที่พึ่งทางใจให้คุณหนูเล็กของบ้าน

     

    “มะ...  ไม่เอานะ”   เผลอทำตัวอ่อนแออย่างที่ตนหนีมันมาตลอดให้เห็นอีกครา   อยากจะทำตัวเข้มแข็งให้คุณพ่อกับคุณแม่เห็นว่าลูกคนเล็กอย่างเขาสามารถดูแลตัวเองได้   แล้วทำไม  ทำไมเขาต้องเกิดมาอ่อนแอแบบนี้  ทำไม...  ทำไม!

     

    “ใจเย็นๆ นะคะคุณหนูเล็ก   เอางี้มั้ยคะ   ตอนนี้เย็นแล้ว   พี่ชายน่าจะเลิกงานแล้วนะคะ   โทรให้พี่เค้ากลับบ้านเร็วๆ ดีมั้ยคะ?”

     

    เสนออีกทางเลือกที่ดีกว่า   พี่น้องสองคนนี้รักกันขนาดไหนทำไมนมจะไม่รู้   เวลานี้คงจะมีแค่คนนี้เท่านั้นละ

     

    “ก็ได้ครับนม...”

     

    ลูกคนเล็กตอบรับเบาๆ   นึกถึงพี่ชายที่แสนใจดีของเขา   ลีจุนกิ...

     

     

     

     

     

     

     

    ----   My  sweetheart…   You’re  Everything   ----

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ด๊อง~   เก็บของเสร็จยัง   วันนี้พี่ขี้เกียจๆ อ่า   หาไรให้กินหน่อยสิ”    ฮีซอลส่งเสียงเนือยๆ พร้อมโผล่หัวเข้ามาในห้อง   ร่างที่เหลือเกาะประตูอย่างขี้เกียจตามที่ปากว่า

     

    “รามยอนละกันนะพี่ฮีซอล    พรุ่งนี้ผมต้องไปเข้าแคมป์เคิร์สแล้วละ   สี่วันสามคืน   คงจะกลับวันพฤหัสตอนเย็นๆ”

     

    ดงเฮบอกแล้วเดินเข้าครัว   มีฮีซอลเดินอ่อยๆ  ตามมาด้วย   เห็นอาการลูกพี่ลูกน้องแปลกๆ ดงเฮจึงถาม

     

    “พี่เป็นอะไรน่ะ   ทำไมเหนื่อยๆ”  

     

    “เฮ่อออ   ที่มหาลัยมีนิทรรศการน่ะสิ   นั่งเตรียมงานอยู่ทั้งวัน   เมื่อยชิบหาย”   ฮีซอลว่า   ดงเฮขมวดคิ้วงงๆ   แค่ให้ฮีซอลเตรียมงานอย่างเดียวคงแค่เพลียๆ   แต่นี่เหนื่อยขนาดนี้   คงต้องมีอะไรให้จัดการมากกว่านั้นแน่ๆ

     

    “แค่เตรียมงานเหรอถึงทำให้พี่สุดเก่งของผมเหนื่อยได้ขนาดเนี้ยยย   ไม่ใช่ว่าเพราะมัวแต่ทะเลาะกับใครอยู่เร้อออ”   ลากเสียงสูงอย่างกล้าลองดี   ฮีซอลหมดแรงขนาดนี้คงไม่มีกำลังที่ไหนมาล็อคคอเขาหรือวิ่งไล่เตะแน่ๆ

     

    “เดี๊ยะๆ   เป็นเด็กเป็นเล็กมาล้อพี่ล้อเชื้อนะดงเฮ”

     

    สังขารมันไม่เอื้ออำนวยจริงๆ   ฮีซอลทำได้เพียงด่าจิกตามนิสัยแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างเพลียๆ   รออาหารเย็นเสร็จ

     

    แม่ของฮีซอลซึ่งเป็นพี่สาวของแม่ดงเฮมอบกรรมสิทธิ์บ้านหลังนี้ไว้ให้กับฮีซอลและดงเฮร่วมกัน   ก่อนที่คนทั้งสองจะตามสามีตนไปทำงานที่ญี่ปุ่นด้วยกันทั้งคู่   ฮีซอลและดงเฮสนิทกันมากเพราะเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ   นิสัยห่ามๆ  ของฮีซอลนั้นดงเฮไม่ได้ติดใจอะไรเท่าใดนักเพราะความเคยชิน   และฮีซอลเองก็รักและเอ็นดูน้องชายคนนี้เป็นพิเศษ   จนทำให้คนทั้งคู่สามารถเป็นที่ปรึกษาของอีกฝ่ายได้ทันทียามที่ไม่สบายใจ  

     

    นานๆ ทีคุณนายลีและคุณนายคิมจะกลับมาเยี่ยมลูก   แต่ทั้งสองก็ย้ำเสมอว่าให้รักกันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา   ซึ่งฮีซอลและดงเฮก็พร้อมใจปฏิบัติเช่นนั้น   จนเกิดเป็นสัมพันธ์น้องพี่ที่แน่นแฟ้นจนทุกวันนี้

     

    “อ้าว   ใครว่าผมล้อ   ผมแค่ถามนะ   พี่นั่นแหละ   พอคุยถึงคนนี้ทีไรต้องร้อนรนทุกทีสิน่า”   ดงเฮยังไม่เลิก   จะจับพิรุธพี่สาว(?)  ให้ได้

     

    “พอๆๆ   หยุดพูดถึงไอ้ฉ่อยนั้นซะที   พี่ละปวดหัวกับหมอนั่นจริงๆ   กวนได้ทั้งวัน”

     

    “ไอ้ฉ่อยไหนครับ?”   แกล้งถามไปงั้น   คนอย่างพี่ฮีซอลลื่นเก่งจะตาย   ต้องจับให้ได้คาหนังคาชื่อ!

     

    “ก็ไอ้ซีวอนไง”   ตอบแบบไม่คิดอะไรมาก   เรียกเสียงล้อเลียนของดงเฮที่กำลังต้มรามยอนมาอีกครั้ง

     

    “นั่นแน่!   พี่ซีวอนจริงๆ ด้วย   ผมกะแล้ว”

     

    “เฮ้ยยย   ดงเฮ   เดี๋ยวนี้เล่นแง่เก่งนักนะ   ไปฝึกมาจากไหน”   ฮีซอลถามเสียงห้วนแบบงอนๆ

     

    “เปล่าซะหน่อย~    พี่อ่า   คิดมาก   ผมไม่ได้เล่นงงเล่นแง่อะไรนั่นซะหน่อย”  

     

    จริงเร้อ....

     

    “นี่อะ   เสร็จละ   กินกันๆ”   ดงเฮเปลี่ยนเรื่อง

     

    “ไม่ต้องมาเนียนเลยน้องบ้า   เดี๋ยวนี้เก่งขึ้นนะเรา   คงไม่ต้องให้อิทึกช่วยวางแผนอะไรนั่นแล้วม้างงง”

     

    เป็นตาของฮีซอลบ้างที่จะเอาคืน   เสร็จแน่ไอ้ปลา   หึๆ

     

    “พี่ฮีซอลอ้ะ   ไม่จริงซะหน่อย   พี่คิดเองเออเองอีกแล้ว”

     

    “ชั้นไม่ได้บ้านะ   เชื่อพี่ดิ๊~   ด๊องยั่วไอ้คิบอมนั่นได้แน่ๆ”   ไล่ต้อนจนดงเฮหน้าขึ้นสีเรื่อ   นึกไปถึงแผนการณ์ที่เขาจะต้องทำมันจริงๆ   หยึย~~~   แค่คิดก็เขินแล้วววว

     

    “ฮ่าๆๆๆ   แค่นี้หน้าแดงเลยเหรอไอ้น้อง   อย่าริจะมาเล่นกับพี่   ให้มันรู้มั่ง   มันคนละชั้นกัน!

     

    ประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจ   พี่ชายสุดหลงตัวเอง   บ้าอำนาจ   เผด็จการ   ดีดหัวน้องเบาๆ  แล้วคีบรามยอนเข้าปาก

     

    ดงเฮเสียท่าเลยงอนใส่   อมลมเข้าแก้มใสจนป่อง   ปากบ่นงึมงำๆ   กินรามยอนตามเข้าไป

     

    “เชอะ   ทีตัวเองเสียท่าพี่ซีวอนไม่เห็นมาพูดมั่งล่ะ”

     

    “ห๊ะ!   ว่าไงนะ!   เหมือนหูเฝื่อนๆ พิกล   เขาไปเสียท่าให้ไอ้ซิมบ้านั่นตอนไหน

     

    “เปล๊าาา   ผมแค่จะบอกว่า   ถ้าตอนที่ผมไปเข้าแคมป์แล้วพี่หิวๆ   ก็โทรตามพี่ซีวอนมาหาสิครับ   ได้กินจนอิ่มแน่! ~    ไปจัดของต่อน้าคร้าบบบ”

     

    สั่งเสียเสร็จพร้อมรีบแจ้นหนีเข้าห้องไปทันที   ถึงฮีซอลจะเหนื่อยๆ ก็เถอะ   แต่ถ้าคนมันฮึดขึ้นมาไล่เตะเขาก็ไม่แน่หรอก    ของแบบนี้ปลอดภัยไว้ก่อน   ดีที่สุด!

     

    “อะ...  อะ...  ไอ้ด๊องงง   ไอ้น้องบ้า   ใครจะไปกินไอ้นั่นกัน!  ห๊าาา”

     

    พูดไม่ค่อยเป็นภาษาเท่าไหร่นัก   รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงบ่ายที่มหาวิทยาลัย   กระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะแล้วทิ้งรามยอนทั้งชามไว้ตรงนั้นก่อนเดินเข้าห้องไปด้วยอารมณ์บูดๆ  

     

    หมดอารมณ์กิน(รามยอน)!!!

     

     

     

     

     

     

    ----   My  sweetheart…   You’re  Everything   ----

     

     

     

     

     

     

     

     

    โหยยย   พี่ฮีซอล   ติดซะเบี้ยวแบบนั้นติดเอาใจคนสายตาเอียงเหรอคร้าบ   เฉียงขวาหน่อยเซ่

     

    เสียงเท่ๆ กล่าวติดประชด   ฮีซอลส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอประสาคนถูกขัดใจก่อนจะทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย 

     

    เห็นว่าเป็นงานหรอกนะ   ไม่งั้นอย่าหวังว่าคนอย่างชั้นจะยอมฟังเด็กบ้าอย่างนาย

     

    งั้นผมทำให้เราเป็นงานกันดีมั้ย   ฮ่าๆๆ   คำพูดส่อเชิญชวนให้กล่องใส่คลิปหนีบกระดาษลอยเข้าสู่กบาล

     

    ป๊อก!

     

    เป็นงานบ้าบออะไร!   รีบๆ เอาสีไปเทใส่ถังมา   ไม่งั้นก็ไสหัวไปไกลๆ เลย   ไม่ต้องเข้ามาใกล้

     

    คร้าบบบ

     

    ซีวอนรับคำสั่งอย่างทะเล้นตามนิสัย   วิ่งไปอีกทางเพื่อไปหาถังแยกสี   ท่าทางบ้าๆ นั่นทำให้ฮีซอลเผลอหลุดยิ้มไปทีหนึ่ง

     

    หน้าสวยติดผลงานประจำคณะของตนลงในบอร์ดกลางต่อไปเรื่อยๆ   ตอนนี้ก็เหลือแค่ใช้สีมาทาบนบอร์ด   เป็นอันเสร็จ

     

    พี่ซีวอนคะ   แล้วอย่างนี้มันจะได้ทาเหรอคะนั้น   เสียงน่ารักๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง   ฮีซอลไม่คิดจะสนใจเสียด้วยซ้ำ   ถ้าไม่ติดว่ามีชื่อของคนที่เขาใช้ให้ไปเทสีรวมอยู่ด้วย

     

    ก็นั่นไง   พี่ถึงได้บอกไอ้หมอนั่นไป   ไม่งั้นชาตินี้ก็ไม่เสร็จหรอก   ฮ่าๆ

     

    ซีวอนเดินมากับรุ่นน้องคณะอื่นพลางหัวร่อต่อกระซิกกันสนุกสนาน   สีหน้ายิ้มๆ ของฮีซอลเปลี่ยนเป็นเรียบตึงเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาถึงจุดหมาย   แสร้งยิ้มๆ ให้รุ่นน้องที่อาสามาช่วยงานคณะทำนองว่าขอบคุณ

     

    นี่ครับพี่ฮีซอล   ให้ผมช่วยทาให้มั้ย?’   ถามด้วยความหวังดี   แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นสีหน้าบึ้งตึงและน้ำเสียงเมินเฉย

     

    ไม่ต้อง   จะทำอะไรก็ไปทำ

     

    พี่ฮีซอลเป็นอะไรน่ะ?   ถามแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือบาง   แต่ก็ถูกสะบัดออกในทันที

     

    อย่ามาแตะตัวชั้น   หมดธุระของนายแล้ว   ไปไหนก็ไปซะ   ฮีซอลพูดต่อในใจประมาณว่า   อยากไปไหนกับแม่นี่ก็เชิญไปตามสบาย 

     

    เฮ้   นี่พี่เป็นอะไรเนี่ย   โกรธผมเรื่องอะไร   ซีวอนท้วงถาม   ท่าทางเมินจากฮีซอลแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกไม่มีค่าเลยจริงๆ

     

    ชั้นไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น!   จะไปไหนก็ไป!’   หน้าสวยขึ้นเสียงห้วน   รุ่นน้องที่ยืนอยู่ด้วยเผลอเข้าไปเกาะแขนซีวอนอย่างเกรงๆ เพราะลืมตัว   แต่ภาพที่ฮีซอลเห็น   มันก็มีแต่จะยิ่งชวนให้หงุดหงิด!

     

    ผมไม่ไป!   ถ้าพี่ไม่บอกว่าโกรธผมเรื่องอะไร   ผมก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น!’   เป็นซีวอนที่ขึ้นเสียงบ้าง   ไม่ได้สนใจรุ่นน้องที่ผวาฮีซอลอยู่ข้างหลัง   ลืมที่จะรักษาระยะห่างเอาไว้   อะไรกันล่ะ   วันนี้ทั้งวันฮีซอลก็ปกติดีทุกอย่าง   ดูเหมือนจะอารมณ์ดีกว่าทุกวันอีกด้วย   แล้วทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลย

     

    ได้!   ถ้านายไม่ไป   ชั้นไปเอง!!’

     

    พูดจบก็เดินออกมาเสียดื้อๆ   ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น   ทั้งโกรธทั้งโมโห   แม้เสียงที่ไล่หลังจะดังมากเท่าไหร่ก็ไม่คิดจะสนใจ 

     

    ซีวอนจะวิ่งตาม   ทว่าติดมือเล็กๆ ที่คว้าแขนเขาเอาไว้แน่น

     

    ปล่อยพี่ก่อนนะซอนยี

     

    อย่าไปเลยค่ะพี่ซีวอน   ดูพี่ฮีซอลเขาอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เลย   ถ้าไปจะทะเลาะกันยิ่งกว่าเดิมนะคะ   หญิงสาวเอ่ยปรามอย่างเข้าใจสถานการณ์

     

    แต่พี่...

     

    เชื่อซอนยีเถอะค่ะ   ซอนยีพอจะเข้าใจพี่ฮีซอลแล้ว

     

    เข้าใจ?   เข้าใจอะไรน่ะ??

     

    ก็เข้าใจ...  อาการหึงไงคะ

     

     

     

     

     

     

    ----   My  sweetheart…   You’re  Everything   ----

     

     

     

     

     

               

                บ้านสกุลลี  เวลา  18.32  น. 

     

    ก๊อกๆๆ

     

    “หนูเล็ก   พี่ใหญ่มาแล้วนะ   เปิดประตูให้พี่หน่อยสิ”

     

    เสียงหวานรับกับใบหน้าสวยในท่าทีดูเป็นผู้ใหญ่ของจุนกิอยู่หลังประตูห้องฮยอกแจ   คุณหนูเล็กเดินมาเปิดประตูห้องให้พี่ชายแล้วเดินนำเข้าไป   ฮยอกแจนั่งลงที่โซฟาตัวยาวที่นอนพักเมื่อครู่   จุนกินั่งลงข้างๆ แล้วมองหน้าน้อง

     

    “เข้มแข็งดีนี่นา”

     

    คำชมทำเอาฮยอกแจหันขวับ   ท่าทีสงสัยทำให้จุนกิรีบขยายความ

     

    “ก็ปกติ   เวลาคุณนมโทรให้พี่กลับบ้านเร็วทีไร   พอกลับมา   หนูเล็กก็ต้องร้องไห้อยู่ทุกที   ไม่ใช่เหรอ”

     

    ฮยอกแจพยักหน้ารับ

     

    “แต่ตอนนี้ไม่ใช่   น้องพี่เข้มแข็งแล้ว   เห็นมั้ย”

     

    คราวนี้   ฮยอกแจทั้งพยักหน้า  และส่ายหน้า

     

    “อ้าว   ยังไงล่ะนี่”   จุนกิเอ่ยงงๆ  แล้วเกาหัวแกรกๆ  ท่าทีนุ่มนวลที่จะแสดงออกกับน้องชายเพียงคนเดียวนั้นอ่อนโยนเป็นที่สุด

     

    “หนูเล็กไม่ร้องไห้ก็จริง   แต่หนูเล็กทรมานจังเลย   มันรู้สึกอึดอัด   มัน...  บอกไม่ถูก   รู้สึกโหวงๆ ยังไงไม่รู้”   ฮยอกแจมีท่าทีสับสน  จุนกิให้ความสนใจกับหนูเล็กของบ้านทันที    หนูเล็กของเขาที่อ่อนแอในวันวาน   วันนี้กำลังจะเติบโตขึ้นไปอีกก้าว

     

    “อืม   ไหนหนูเล็กลองบอกพี่มาซิว่า   หนูเล็กรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”  จุนกิคลำหาทางจากน้องชาย

     

    “ตอนเย็นครับ...  กลับจากโรงเรียน”

     

    โรงเรียน...  เพื่อนงั้นเหรอ

     

    “แล้วตอนก่อนที่จะรู้สึก   หนูเล็กอยู่กับใครครับ?”   จุนกิเก่งเสมอภายใต้ท่าทีเรียบนิ่งและอ่อนโยน   เขาจับทางฮยอกแจได้ถูกต้องที่สุด

     

    “เอ่อ...  อยู่กับ...”

     

    “เพื่อน?”

     

    “ก็...   ทำนองนั้น”   ฮยอกแจเองก็รับฮันกยองเป็นเพื่อนไม่ได้เต็มปากเต็มคำ   หากเป็นแต่ก่อนที่ไม่เกิดเรื่องอย่างวันนี้ฮยอกแจก็ยังเห็นไอ้โหดนั่นเป็นเพื่อนคนหนึ่ง   แต่สำหรับวันนี้แล้ว...   เขาไม่รู้

     

    “หมายความว่าไงครับหนูเล็ก   ทำนองนั้น”

     

    “ก็เค้าเป็นคนในชมรม   เป็นรองประธานชมรมเทควันโดของหนูเล็ก  เวลาเข้าชมรมหนูเล็กต้องเป็นคู่ซ้อมให้เค้า   เค้าชอบแกล้งหนูเล็ก   เค้าชอบว่าหนูเล็ก   แต่หนูเล็กไม่เคยโกรธเค้าขนาดนั้นนะพี่ใหญ่   มันก็แค่เคืองๆ  แต่ว่าวันนี้...”  ฮยอกแจเงียบไป   หลุบหน้าลงต่ำ   จุนกิเลยต่อความให้

     

    “มันไม่เหมือนเดิม   ใช่ไหม?”

     

    “ก็...  ใช่    หนูเล็กทะเลาะกับเค้าตอนเย็นแล้วก็วิ่งหนีออกมา   กลับมาบ้าน”

     

    ท่าทีห่ามๆ และไม่เกรงใครของฮยอกแจยามอยู่ที่โรงเรียนหายไปจนหมดสิ้น   ทั้งภาพที่ตนเข้มแข็ง  ไม่กลัวอะไร   กล้าได้กล้าเสียนั้นถูกกลบด้วยความอ่อนแอ   เป็นจริงอย่างที่ฮันกยองว่า   ความอ่อนแอข้างในลึกๆ ที่ฮยอกแจหนีมันมาตลอด   วันนี้มันกลับมาอีกครั้ง

     

    “เล่าให้พี่ใหญ่ฟังนะ   ว่าเค้าพูดว่าอะไร   ตั้งแต่เริ่มเลยก็ได้”   จุนกิเอ่ยเสียงนุ่ม   ดึงหัวทุยๆ ของฮยอกแจเข้าสู่อกอุ่นๆ  ของพี่ชาย

     

    “เค้า...  เดินเข้ามาทักตอนหนูเล็กจะไปขึ้นรถที่หน้าโรงเรียน   เค้าชอบเรียกหนูเล็กว่านายอ่อนแอ   วันนี้เค้าก็เรียก   หนูเล็กไม่ชอบเลยหันไปตะคอกใส่เค้าว่าหนูเล็กไม่ได้อ่อนแอแล้วก็ไล่ให้เค้าไปไกลๆ   แต่เค้าเดินเข้ามาตบไหล่หนูเล็ก   หนูเล็กเลยล้ม   แต่เค้าเข้ามาประคองไว้ได้...”

     

    ฮยอกแจหยุดแค่นั้น   จุนกิเลยกล่าวเสริม

     

    “แล้วหนูเล็กก็ต่อว่าเค้าไปใช่ไหม   ประมาณว่าแอบแต๊ะอั๋งหนูเล็ก”

     

    ฮยอกแจพยักหน้ารับ  

     

    “แล้วเค้าก็บอกว่าหนูเล็กอ่อนแอ   หนูเล็กก็ตะโกนไปว่าไม่ได้อ่อนแอ   แล้วก็บอกว่าเกลียดเค้า      เค้าก็เลยบอกว่าเค้าก็ไม่ได้รักหนูเล็กสักหน่อย   หนูเล็กเลยสั่งให้เค้าออกไปจากชีวิตหนูเล็ก...   แล้วหนูเล็กก็วิ่งหนีออกมา”

     

    จุนกิรับฟังแล้วยิ้มรับให้กำลังใจน้องชาย   เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีแล้ว

     

    “หนูเล็ก   เคยได้ยินคำว่า  สับสน   ผิดหวัง   หรือสุขสมในรักบ้างมั้ย?”   ถามพลางลูบหัวทุยๆ  ในอ้อมกอด

     

    ฮยอกแจส่ายหัว    ไม่เข้าใจในคำถาม

     

    “งั้นพี่จะบอกอะไรให้ฟัง   พอหนูเล็กพบกับความรัก   หนูเล็กจะเข้าใจคำว่าสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง   ผิดหวังกับความรักที่ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง   และสุขสมในรักอย่างที่ทุกคนรอบข้างตัวหนูเล็กรู้จักมัน”

     

    “พี่ใหญ่หมายความว่ายังไง?”

     

    ฮยอกแจกลับเป็นคุณหนูเล็กในวัยเยาว์อีกครั้ง   ช่างสงสัยแบบเด็กไม่รู้จักโต   อ่อนแอเมื่อถูกรังแก   จนมีแรงฮึดอยากจะเข้มแข็งอย่างพี่ชายคนเก่งของเขา   จึงได้เปลี่ยนตัวเองมากมาย   ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมา   จุนกิเองก็รู้สึกได้   ว่าน้องเขาเข้มแข็งขึ้นมาก

     

    “พี่ว่า   หนูเล็ก   คงกำลังตกหลุมรัก”

     

    !!!

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×