ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MiracleLegend ตำนานแห่งมนตรา

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 00 [Intro] : จุดเริ่มต้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 191
      2
      27 ธ.ค. 55

     

     

     

    บทนำ จุดเริ่มต้น

     

                “เคยมีคนเคยกล่าวไว้ว่า แม้โลกจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสงคราม หรือสีแดงฉานของเลือดแต่ไม่ว่าจะอย่างไรโลกก็ยังมีมุมมองที่สวยงามให้มองอยู่เสมอ…’

                “ข้าไม่เคยเบื่อเลยแม้ว่าต้องจ้องมองโลกอยู่บนนี้เพราะว่าข้ารู้ว่า แม้ทั้งโลกจะเต็มไปด้วยศึกสงครามแต่ยังมีดวงดาวที่เปร่งประกายอยู่ท่ามกลางความมัวหมองให้เห็นอยู่เสมอดวงดาวที่ชื่อว่าความหวัง

     

    บลูเมอร์เนียจำไว้นะลูกลูกห้ามไปญาติดีกันเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์เด็ดขาดนี่เป็นคำสั่งของพ่อ!’

                เสียงฮัมเพลงอันไพเราะดังขึ้นท่ามกลางความมืดก่อนจะค่อยๆ ปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลในทะเลอันมืดมิด ณ ทะเลสาบแห่งหนึ่งในคืนที่ดวงจันทร์มีเพียงครึ่งเสี้ยวแต่กลับมีดวงดารามากมายที่ทอดยาวในทางช้างเผือกที่โดนบดบังด้วยม่านเมฆสีดำในค่ำคืนนั้นผมได้พบกับเธอ

                “เอ๊ะ…!”

                เฮ้! เธอน่ะเป็นเงือกงั้นเหรอ?ผมที่ซึ่งตอนนั้นยังคงเป็นแค่เด็กอายุเพียงเจ็ดขวบกว่าๆ นึกสนุกพูดขึ้นก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าไปยังเงาที่อยู่ตรงหน้าอันที่จริงผมก็ไม่ได้เห็นหน้ามันหรอก เพราะวันนั้นมันมืดมากผมเห็นเพียงหางปลาที่กระเพื้อมอยู่ใต้น้ำ และเสียงแหวกน้ำเป็นระยะๆ เท่านั้นแต่ด้วยความเป็นเด็กผมจึงพูดออกไปอย่างไม่ทันคิดและเรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มต้นขึ้นจากประโยคน์นี้นี่เอง

                เงียบไปหลายอึดใจ ไม่มีเสียงตอบรับจากสิ่งสิ่งนั้นนั้นแต่แล้วถ้าผมดูไม่ผิดเงานั่นพยักหน้าเล็กน้อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่กลับทำให้ผมตกใจมากผมอยากวิ่งหนีไปให้ไกล ในใจนึกถึงตำนานเกี่ยวกับนางเงือกที่พวกผู้ใหญ่ชอบเล่าให้ฟังว่านางเงือกนั้นเป็นสัตว์ที่ชั่วร้ายมีเขี้ยวแหลมคมตัวสีเขียวน่ากลัว และมีผมสีเขียวหยาบกระด้างเหมือนสาหร่าย! อาหารของพวกมันคือเนื้อสดๆ ของมนุษย์! และตรงหน้าผมคือนางเงือก!

                “คะคุณนางเงือกคุณคงจะไม่กินผมใช่ไหม?” ผมพยายามพูดทีละคำอย่างยากลำบาก ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น เพราะถ้าผมเห็นไม่ผิดเหมือนเงาของนางเงือกนั้นค่อยๆ เข้ามาไกล้จนตอนนี้แทบจะติดกับริมทะเลสาบแล้ว

    “ผมผมไม่อร่อยหรอกนะ! ไม่น่ากินด้วยเอ่อผมไม่ได้อาบน้ำใช่แล้ว! ผมไม่ได้อาบน้ำแล้วก็ไม่ได้อึมาหลายวันแล้วด้วย! เพราะฉะนั้นอย่ากินผมเลยนะ!

                นี่ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย ผมนึกด่าตัวเองในใจทั้งๆ ที่ขาทั้งสองยังสั่นไม่หายผมหลับตาปี๋กำมือไว้แน่นแล้วสิ่งที่ผมได้ยินคือ

                เสียงหัวเราะ?

                มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมามันเป็นเสียงที่รู้สึกได้ถึงความสุขใสราวกับเสียงของกระดิ่งเงิน

                “เอ่อเอ่อคือ” ผมค่อยๆ พูดอย่างอ้ำอึ้งๆ น่าแปลกเสียงหัวเราะนั้นทำให้ผมลืมความกลัวไปหมดสิ้นค่อยผมจะค่อยๆ ลืมตาดูเธอเป็นเวลาเดียวกันกับที่หมู่เมฆสีดำค่อยๆ ลอยลับไปจนเหลือแต่แสงอันสุกสกาวของหมู่ดวงดาราและตอนนั้นผมได้เห็นเธอเป็นครั้งแรก

                …ไม่เหมือนเลยไม่เหมือนที่พวกผู้ใหญ่พูดกันสักนิดสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอันน่าสยดสยองมีผิวกายสีเขียวหน้าขยะแขยง เขี้ยวแหลมคม หรือแม้กระทั่งผมสีเขียวเข้มเหมือนสาหร่าย! สิ่งที่ผมเห็นนั้นคือสตรีที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาเธอน่าจะอายุราวๆ สิบห้าหรือแก่กว่าผมซักแปดถึงสิบปีถ้าเธอเป็นมนุษย์ ผมก็บอกได้เลยว่าเธอต้องเป็นหญิงสาวที่งดงามและแก่นแก้วมากๆ แน่ๆ เธอมีผมสีดำขลับที่ประดับด้วยไข่มุกสีขาวนวลดูตัดกัน แต่กลับทำให้ใบหน้าเธอดูมีเสน่ห์ และนัยน์ตากลมโตสีฟ้าราวกับท้องนภา แต่ฉายแววดื้อรั้นออกมาตลอดเวลาผิวพรรณสดสวยสีขาวอมชมพู ท่อนล่างของเธอนั้นอยู่ใต้น้ำแต่มีเพียงหางปลาที่มีเกร็ดที่แวววาวดั่งอัญมณีโผล่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เธอคือนางเงือก?

                “นางเงือกเหรอ?”

                “เจ้านี่ตลกชะมัดนางเงือกพูดกับผมก่อนจะยิ้มอย่างซุกซน

                “ท่าน..สวยจัง”ผมพูดพลางจะเอื้อมมือไปแตะ แต่ก่อนที่มือจะไปถึงร่างของเธอนั้น

                “คิกๆ”เธอหัวเราะเล็กน้อยเสียงหัวเราะที่ไพเราะราวกับกระดิ่งเงินก่อนที่ผมจะได้แตะตัวเธอเธอก็สะบัดหางและ หายไปท่ามกลางความมืดของทะเลสาบทันที

                ผมได้แต่ปล่อยผมให้ยืนอึ้งเหม่อมองทะเลสาบ

                แต่เรื่องยังไม่จบ!

                แสงดาวยังคงสาดส่องลงมาเช่นเคย แต่คราวนี้กลับมีดวงดาวที่ส่องแสงตอบกลับอยู่บนพื้นได้อย่างน่าฉงนผมค่อยๆ เดินเข้าไปเก็บดวงดาวที่ตกอยู่บนพื้นนั้นมาด้วยความแผ่วเบามันคือ

                ไข่มุกงั้นหรอ?

                …

     

                เก้าปีต่อมา

                “เราต้องขอแสดงความเสียใจกับคุณเรนเซียเป็นอย่างยิ่งนะคะ เพราะคุณ สอบไม่ผ่านด้านเวทโจมตีดังนั้นทางเราคงต้องให้คุณเซ็นต์ใบลาออกทันทีที่เรียนจบปีสาม

                “ห่ะ?”

                เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลถึงกับเบิกตากว้างทันที เมื่อได้เห็นข้อความจากไปรษณีย์เวทมนตร์ที่เพิ่งจะมีคนส่งให้เธอเมื่อตะกี้ ก่อนที่ริมฝีปากสีชมพูระรื่อจะเปิดปากร้องออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้เด็กสาวกระพริบตาสีแดงเพลิงถี่ๆ อีกครั้งพลางขยี้ตา ก่อนจะมองไปยังกระดาษแผ่นเล็กที่อาจจะทำให้ชีวิตเธอวอดวายได้อย่างช้าๆ อย่างไม่เชื่อสายตา

                แต่น่าเสียดายการที่เธอขยี้ตาไม่ได้ทำให้ภาพที่เห็นเมื่อครู่บิดเบือนจากเดิมได้เลยความจริงที่ว่าเธอต้องออกจากโรงเรียนตอนจบปีสามซึ่งนั้นมันก็คือพรุ่งนี้?

                “ม่ะไม่จริงล้อเล่นกันใช่ไหม?”เด็กสาวค่อยๆ ขยับปากพึมพำราวกับคนบ้าอีกครั้ง ในหัวมีแต่คิดเรื่องต่างๆ นาๆ มากมาย จนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

    ตอนนี้เด็กสาวอยู่ที่เมือง ฟรานนาโซ่เมืองหลวงในทวีป เคเนร่าทวีปซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทวีปที่มีนักเวท สายโจมตีที่เก่งที่สุดในโลกมารวมตัวกัน แน่นอน ทวีปนี้ขึ้นชื่อว่า สามารถผลิตนักเวทสายโจมตีที่ดีที่สุดในโลกแต่มันติดอยู่ที่ว่าเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลนั้นเป็นเด็กที่เกิดที่ทวีปนี้โตในทวีปนี้แต่กลับไม่สามารถใช้เวทโจมตีได้เหมือนเด็กทั่วๆ ไป! เป็นเรื่องที่ถือว่าโชคร้ายมากๆ สำหรับเด็กที่เกิดในทวีปเคเนร่าและยังเป็นเด็กกำพร้าด้วยอย่างเธอแต่ไม่ใช่ว่าเธอใช้เวทอะไรไม่เป็นสักหน่อย

    แต่เวทที่เธอสามารถใช้ได้นั้นมันก็แค่เวทรักษาขั้นสองเท่านั้น

    เวทรักษาช่างมีประโยชน์เสียจริงๆ !

    ไม่แปลกเลยที่โรงเรียนที่มีประวัติมายาวนานกว่าร้อยปีในทวีปเคเนร่าจะไล่เธอออก! นับว่าเป็นเรื่องโชคร้ายมากๆ สำหรับ เรนเซีย ในตอนนี้ เพราะที่อยู่ของเธอก็อาศัยหอพักในโรงเรียน ส่วนข้าวก็ต้องพึ่งโรงอาหารของโรงเรียนถ้าเธอโดนไล่ออก สำหรับเด็กอายุเพียงสิบห้าและมีวุฒจบแค่ปีสามอย่างเธอคงอยู่ไม่รอดแหงๆ

    “เฮ้อแล้วจะไปทำอะไรกินล่ะทีนี้อยากเรียนต่ออยู่หรอกนะแต่ถ้าให้ไปเรียนโรงเรียนสำหรับเด็กใช้เวทไม่เป็นคงไม่ไหว เฮ้อ” เธอถอดถอนพลางเอามือก่ายหน้าผากอย่างอดไม่ได้ เพราะหนึ่งคือค่าใช้จ่ายของโรงเรียนสำหรับเด็กใช้เวทไม่เป็นหรือเรียกว่า โรงเรียน ฟูลนอนเซนท์หลีด นั้นถือว่าค่าเทอมแพงมาก ส่วนสองคือเด็กในโรงเรียนฟูนอนเซนท์นั้นค่อนข้างจะไม่ชอบเด็กพวกที่ใช้เวทเป็นเท่าไหร่ถึงเธอคนนั้นจะใช้เป็นแค่เวทรักษาขั้นสองก็ตาม

    “คิดไปก็คงหนักสมองพรุ่งนี้ค่อยไปหาที่สอบปีสี่ดีกว่าคงมีโรงเรียนที่ไม่สอบภาคปฎิบัติบ้างล่ะน่า” เรนเซียพูดปลอบใจตัวเอง พลางสะบัดหัวไล่ความคิดหนักหัวออกก่อนจะพึมพำ

    “ก่อนอื่นคือต้องเก็บข้าวของก่อนสินะ

    ณ ตลาดใจกลางเมืองฟรานนาโซ่ ตลาดซึ่งมีคนเดินขวักไขว่อยู่ตลอดเวลา แม้ในยามเช้าหรือยามค่ำคืนจนได้ขนานนามว่า แอเรียที่ไม่เคยหลับแห่งฟรานนาโซ่ในตลาดนั้นมีทั้งคนพื้นเมืองหรือนักเวทและผู้กล้าจากแดนไกลมากมาย ทยอยเข้าออกทั้งวันเพื่อจับจ่ายซื้อไอเทมเวทหรืออาวุธแม้กระทั่งอาหารมายมายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    เรนเซียมองซ้ายที ขวาทีเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเดินตรงไปอย่างไร้จุดหมายด้วยอาการเบลอๆ

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเด็กสาวก็มาโผล่อยู่ใจกลางตลาดซึ่งมีผู้คนหลากหลายเชื่อชาติเดินผ่านไปมา เรนเซียหยุดคิดอย่างงุนงงเล็กน้อยพลางมองรอบๆ ด้วยอาการแปลกใจ

    นี่เราเหม่อขนานเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดเข้ามาใจกลางตลาดโดยไม่รู้ตัวเลยหรือนี่? ร่างสูงสง่าคิดพลางก้มหน้าก้มตาขยี้ตาน้อยๆก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

    แต่ภาพที่เห็นนั้นกลับไม่ใช่ตลาดของฟรานนาโซ่แล้วไม่มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา เด็กสาวได้แต่มองรอบตัวอย่างอึ้งๆ เหงื่อสองสามเม็ดเริ่มผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เช่นเดียวกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุและความร้อนที่ร้อนจนสามารถมองเห็นไอน้ำผุดขึ้นมาจากผืนดินได้

    ตอนนี้สิ่งที่เด็กสาวเห็นคือทะเลทรายอันแห้งแล้งไม่มีแอ่งน้ำไม่มีสิ่งมีชีวิตมีเพียงต้นกระบองเพชรใหญ่ๆ หนึ่งต้นตั้งตะหง่านอยู่ไกลจากเธอไปราวสิบเมตรเท่านั้นฉับพลันอยู่ๆก็มีรถม้าสีน้ำตาลอึมทึมที่ติดตราสัญลักษณ์รูปนกอะไรสักอย่างอย่างผ่านมาพอดีเด็กสาวมองรถม้าคันนั้นก่อนจะรีบตะโกนเรียกให้สารถีที่ซึ่งใช้แส้ฝาดหวือไปที่ม้าได้ยินแต่แล้วรถม้าก็วิ่งผ่านเธอไปราวกับธาตุอากาศ

    เรนเซียมองร่างตัวเองด้วยท่าทีงุนงงก่อนที่จะมีลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมๆ กับเศษดินทรายทำให้เรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลปริวพริ้วสไหวไปตามแรงลม และร่างบางต้องเอามือเรียวบังนัยน์ตาสีแดงเปรวเพลิงไว้อย่างห้ามไม่ได้ เมื่อเห็นว่าลมไม่มีท่าทีจะหยุดเธอจึงหันหลังกลับไปยังทิศตรงกันข้ามกับสายลม

    แต่เมื่อเด็กสาวหันหลังกลับไปนั้นเธอกลับต้องอึ้งอีกครั้ง เมื่อสิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ทะเลทรายแบบเมื่อครู่แต่กลับเป็นตลาดย่านการค้าของฟรานนาโซ่ ที่ซึ่งมีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ซื้อของ และอุณหภูมิเริ่มกลับมาเป็นปรกติดั่งเช่นปลายฤดูใบไม้ผลิที่ธรรมดาๆ ของทุกปี

    เด็กสาวมองภาพตรงหน้าพลางกระพริบตาสีเพลิงถี่ๆ อีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้ายังคงเป็นเหมือนเดินไม่เปลี่ยนแปลง ยังมีเสียงพ่อค้า แม่ค้า ที่กำลังตะโกนเรียกลูกค้าแข่งกันอย่างไม่หยุดหย่อน

    “สงสัยเราจะเสียใจมากจนเพี้ยนไปแล้วไปแหงๆ” เด็กสาวพึมพำอย่างอดไม่ได้พลางกวาดสายตามองร้านค้าแต่ละร้านด้วยท่าทีสนใจแต่แล้วเด็กสาวก็ไปสะดุดกับร้านขายไอเทมเวทเก่าซอมซ่อที่ทำจากไม้ทั้งหลัง และมีชายชราหน้าตายิ้มแย้มที่ดูยังไงชายชราคนนั้นอายุน่าจะราวๆ แปดสิบแล้วแน่ๆ แต่ชายชรากำลังตะโกนเรียกลูกค้าเข้าร้านจนเสียงดังโหวกเหวกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!

    ไม่รู้อะไรดลใจให้เด็กสาวมองชายชราคนนั้นอย่างตาไม่กระพริบ นัยน์ตาสีทับทิมจ้องเขมงไปยังนัยน์ตาสีเทาเข้มควันของชายชราคนนั้นด้วยท่าทีแปลกประหลาด เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะว่าตรงเสื้อผ้าซอมซ่อสีกระด่างกระดำของชายรานั้นมีสัญลักษณ์รูปนกอินทรี สัญลักษณ์ที่เธอเห็นในมโนภาพเมื่อตะกี้น่ะสิ?

    และแล้วเหมือนชายชราจะรู้ว่ามีคนมองอยู่เขาค่อยๆ หันมาสบตาเรนเซียทันทีทำเอาเด็กสาวถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะรีบหลบตาพลางทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที

    “แม่หนูตรงนั้นน่ะ” เงียบไปสักพักก่อนที่ชายชราจะค่อยๆ พูดขึ้นช้าๆ พลางกวักมือเรียกเรนเซียพลางยิ้มให้ด้วยท่าทีเป็นมิตร

    “ค่ะคะ? หนูเหรอคะ?” เรนเซียสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะมองชายแก่ด้วยท่าทีงุนงง พลางชี้มาที่ตัวเอง

    “ใช่แล้วแม่หนูนั้นแหละไม่ลองมาดูไอเทมเวทร้านคนแก่คนนี้หน่อยล่ะ พลังที่เข้มข้น ขนานหนูน่ะคู่ควรกับไอเทมร้านของข้าที่สุดแล้ว”

    “เอ่อแฮะๆ” ริมฝีปากสีชมพูระรื่อพยายามเค้นเสียงหัวเราะเล็กน้อยกับมุขการเรียกลูกค้าของร้านเธอน่ะเพิ่งโดนเชิญออกเพราะใช้เวทโจมตีไม่ได้เมื่อเช้าเองนะ!

    ตลกร้ายไปหน่อยแล้วมั้ง!

    ชายชราคนนี้กลัวขายของไม่ได้แหงๆ !

    แล้วถ้าเธอซื้อไปจริงๆ เธอจะใช้ไอเทมเวทยังไงกัน?

    แม้จะรู้สึกหน้าชาเล็กน้อย แต่เด็กสาวเพียงเหลือบมองไปยังร้านไอเทมเวทเก่าซอมซ่อที่มีป้ายชื่อที่เป็นไม้แกะสลักดูกลมกลืนไปกับบ้านไม้ และแผ่นป้ายนั้นแกะสลักเป็นข้อความที่แทบจะอ่านไม่ออกแต่ได้ใจความว่า ร้านมนตราแห่งฟรานนาโซ่สักพัก ก่อนจะยิ้มอย่างสมเพชตัวเองอย่างอดไม่ได้

    นานๆ ทีเข้าร้านไอเทมเวทหน่อยจะเป็นไรไป? เด็กสาวคิดก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าร้านทันที

    โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากออกมาจากร้านแล้วชีวิตของเธออาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

     

    -Miracle Legend-

     

    และแล้วก็จบไปกับการรีไรท์ที่แสนจะยาวนาน ก่อนอื่นไรท์ต้องของของคุณทุกคนจริงๆนะคะที่ยังรอไรท์และไม่ลบFav. ไปกันซะก่อน บทนำฉบับรีไรท์ใหม่นี้ ไรท์หวังว่าทุกคนจะชอบมันนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ อ้อแล้วสำหรับคนที่ถามชื่อไรท์ในMy.ID ขอโทษจริงๆนะคะที่ไรท์ไม่ได้ตอบไปเพราะช่วงนั้นไรท์ยุ่งกับการสอบอยู่ ไรท์ชื่อ แซนดี้ ค่ะยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

    สุดท้ายช่วยเมนท์เป็นกำลังใจให้ด้วยจะดีมากค่ะ โชคดีและสนุกกับการอ่านนะคะ

     

    P.S. ไรท์มา แก้คำผิดเล็กน้อย เปลี่ยนขนานตัวอักษร และแก้คำเว้นวรรค นิดหน่อย เมื่อ 27 – 12 - 55

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×