ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : พบคนของหัวใจ
    ร่างบางระหงของหญิงสาวใบหน้ารูปไข่หยุดยืนอยู่หน้าห้องแกเลอรี่ภาพที่ผนังห้องทำด้วยแผ่นกระจกใส ที่สามารถมองทะลุเห็นภายในร้าน ซึ่งผนังด้านในถูกทาด้วยสีขาวสะอาดตา  ตามผนังและพื้นห้องถูกแขวนและตั้งเรียงรายไปด้วยภาพสีน้ำมันขนาดต่างๆกันมากมาย
    หญิงสาวค่อยๆผลักบานประตูกระจก ก้าวเท้าเข้าไปภายในตัวร้านด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ราวกับกำลังก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งมนตรา ที่หล่อนจะต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่ง แต่แท้จริงแล้วหาใช่ไม่ เพียงแต่หญิงสาวกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนที่หล่อนรอคอยวันที่จะพบกันอีกครั้งต่างหาก
    ภายในตัวร้าน ให้บรรยากาศเหมือนกับว่าหญิงสาวกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันงดงาม  อยู่ในโลกแห่งจินตนาการล้ำเลิศ
    ภาพสีน้ำมันแต่ละภาพดูมีพลังในตัวเอง ถ่ายทอดอารมณ์จากภาพออกมาได้อย่างชัดเจนและหลากหลาย
    หญิงสาวรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพเขียนสีน้ำมันตรงหน้าอย่างมาก
    “ภาพพวกนี้ใครเขียนคะ?” เจนจิราเอ่ยถามอีกฝ่ายที่ยืนติดตามหญิงสาวไม่ห่าง ตั้งแต่หล่อนเดินเข้ามา
    “เอ่อ คุณทัชครับ” ชายหนุ่มชุดสูทกล่าวน้ำเสียงเรียบ
    “ทัช ทัชจริงๆด้วย” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ  เผลอปล่อยรอยยิ้มออกมา
    “อะไรนะครับ”
    “อ๋อ เปล่าค่ะ แล้วคุณทัชอยู่มั้ยคะ?”
    “เขียนภาพอยู่ข้างบนครับ”
    “จะ จริงๆเหรอคะ?” เจนจิรากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ตื่นเต้นดีใจจนเก็บอาการนั้นไว้ไม่อยู่
    “ครับผม ท่าทางคุณคงอยากพบคุณทัชมากนะครับ” พนักงานขายในชุดสูทจับสังเกตได้ แต่เขาเพียงแต่เข้าใจว่า หญิงสาวเป็นแฟนงานเขียนภาพสีน้ำมันของทัชธรเท่านั้น
    “คือ ฉันเป็นเพื่อนเก่าของทัชน่ะค่ะ”
    “จริงเหรอครับ จะให้ผมบอกคุณทัชก่อนมั้ยครับ?” ชายหนุ่มพนักงานขาย มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
    “เอ่อ ฉันขอ ไปพบเค้าเองได้มั้ยคะ?”
    “ได้ครับเชิญทางนี้เลยฮะ”
    ที่ชั้นสองของแกเลอรี่ภาพดูแตกต่างจากชั้นล่างที่หญิงสาวเยือนมาเมื่อครู่หลายประการ ที่ชั้นนี้มีทั้งภาพที่ยังเขียนไม่เสร็จและเขียนเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ใส่กรอบตั้งวางอยู่
    ณ มุมหนึ่งของห้อง มีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเขียนภาพมากมาย ทั้งพู่กัน กระดาษ สีน้ำมันหลากสี ฯลฯ
    หญิงสาวพยายามกวาดสายไปรอบๆห้อง พบแต่เพียงสิ่งที่ปราศจากชีวิต
    แล้วเจ้าของแกเลอรี่ภาพนี้ล่ะ หายไปไหนนะ
    เจนจิราก้าวเท้าเดินไปหยุดมองที่ภาพๆหนึ่ง เป็นภาพต้นไม้ต้นหนึ่งในยามฤดูใบไม้ร่วง ที่ภาพทั้งภาพถูกกลืนไปด้วยใบไม้สีแดง เหลือง และน้ำตาลแก่ สร้างความเหงาฉาบหัวใจผู้ที่กำลังมองดูภาพในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่หญิงสาวก็รู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก
    ที่ใต้ภาพปรากฏลายมือหวัดๆของใครบางคน
    “ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูแห่งความเงียบเหงา ไม่นานนัก ฤดูหนาวก็จะย่างกรายเข้ามา ครานี้อาจต้องทนเหน็บหนาวอย่างแสนสาหัส แต่แล้วฤดูใบไม้ผลิก็จะเวียนมาใหม่ ฤดูกาลแห่งความเหงาจะมลายไป   แต่ดวงใจของฉันนี่สิ เหงาอย่างไรก็เหงาอยู่อย่างนั้น ไม่เคยมีใบไม้ผลิขึ้นในใจฉันเลย”
    อ่านข้อความใต้ภาพจบ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อออกมาอย่างชัดเจน ชัดเจนจนสะเทือนถึงก้นบึ้งของหัวใจหญิงสาว น้ำหยาดใสๆเอ่อท้นคลอเบ้าตาหญิงสาวอย่างอดกลั้นได้ยากยิ่ง
    “คุณสนใจภาพนี้เหรอครับ” เสียงทุ้มกังวาล ทว่าแฝงด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นสอดแทรกอารมณ์ของหญิงสาว
    เจนจิรากระพริบตาถี่ เพื่อไล่น้ำตาในเบ้าตาที่เอ่อล้นนั้นให้ดูเป็นปกติ
    หญิงสาวค่อยๆหันไปทางต้นเสียง หัวใจเต้นถี่และแรงขึ้น ในใจหวังลึกๆว่าเจ้าของเสียงจะเป็นคนที่หล่อนตาหามาตลอด
    ทันทีที่ดวงตาสองคู่ต้องประสานกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกราวกับกำลังต้องมนตร์สะกดให้ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จะขยับเขยื้อนอะไรก็ไม่ได้ รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เมื่อพบกับชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม ใบหน้าเรียวยาวได้สัดส่วน ดวงตาโปนโตดูโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ปากเรียวบางได้รูปเจือรอยยิ้มอบอุ่นน้อยๆ ร่างสูงใหญ่นั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดหลวมๆสีดำแขนสั้น เผยให้เห็นต้นแขนอันแข็งแรง สวมกางเกงขาสั้นแค่เข่าสีครีม เท้าใหญ่ๆนั้นเปลือยเปล่า
    ดวงตาอีกคู่ที่กำลังมองมายังหญิงสาวนั้นนิ่ง เรียบ จนเกินที่หล่อนจะรับรู้ได้ว่าเขามองมาด้วยความรู้สึกเช่นไร มันยากเกินที่หญิงสาวจะหยั่งลึกเข้าไปได้
    ทั้งสองอยู่ในอาการอย่างเดียวกันครู่ใหญ่
    “ทัชจำเราได้มั้ย?” เจนจิราเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน แววตาที่มองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความคิดถึง ความอาทร และ ความห่วงใยที่หญิงสาวต้องการสื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ตลอดมา
    “เจน ทำไมเราจะจำไม่ได้ล่ะ มาได้ไงเนี่ย” ทัชธรกล่าวน้ำเสียงเรียบ แต่ทว่ามีรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตรปรากฏบนใบหน้า เขาดูเปลี่ยนแปลงไปจากเด็กหนุ่มช่างฝันและขี้เล่นคนก่อนอย่างสิ้นเชิง บัดนี้เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีวิถีชีวิตแบบเจ้าของแกเลอรี่ภาพ และนักวาดภาพสีน้ำมันอย่างเต็มตัว
    “ก็กลับมาไง มาหาทัช” หญิงสาวตอบอีกฝ่ายตรงๆด้วยรอยยิ้มและแววตาแห่งความภักดี
    “มาหาเราเหรอ? เหอะๆ ดีใจจังเลยที่เจนมาหาเรา เป็นไงบ้างอยู่ที่โน่น”
    “เราสบายดี    ชีวิตอยู่กับการเรียนอย่างเดียว สบายมาก แต่ ” เจนจิราหุบรอยยิ้ม แล้วก้มหน้า หลุบตาต่ำลง
    “แต่คิดถึงเมืองไทยน่ะ คิดถึงคนบางคน”
    “เหอะๆ ก็อย่างนี้แหละน๊า เป็นธรรมดา ว่าแต่ว่าทำไมมาที่นี่ถูก” ชายหนุ่มถามหญิงสาว แววตาแสดงถึงความสงสัย
    “ก็ตามหาไง หาจนทั่ว นึกว่าจะไม่เจอซะแล้ว ในที่สุดก็เจอ เฮ้อ” หญิงสาวเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะที่อีกฝ่ายไม่อาจรับรู้ได้ถึงความลำบากยากเย็น ความอ่อนล้าที่หญิงสาวต้องเผชิญก่อนหน้าที่จะพบแกเลอรี่ภาพของเขา
    “เอ้อแล้วเจนกลับเมื่อไหร่เหรอ?”
    “พรุ่งนี้บ่ายๆ ต้อ งรีบกลับไปดำเนินการเรื่องเรียนต่อน่ะ”
    “เหรอ ทำไมเร็วจังล่ะ ไหนบอกว่ามาหาเรา ทำไมเจอกันแป๊บเดียวก็จะกลับ” ฝ่ายชายถามกลับน้ำเสียบเรียบๆ เชิงออดอ้อนน้อยๆ.. ขณะที่อีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจของชายหนุ่มเลย
    “อื้ม ก็ของมันด่วนนี่ ที่จริงตั้งใจจะหาทัชให้เจอตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว ไม่รู้นี่นาว่าทัชมาหลบอยู่แถวนี้เอง” หญิงสาวพยายามซ่อนแววตาแห่งความเจ็บปวดเอาไว้
    “งั้นเดี๋ยวไปเาอน้ำมาให้เจนนะ จะได้คุยกัน”
    “มาไว้ไปไวจังนะเจน” เสียงของทัชธรดังไล่หลังหญิงสาวมาติดๆ ขณะที่หล่อนเดินลงสู่ชั้นล่างของ แกเลอรี่ภาพอีกครั้ง
    “นี่มันก็เย็นแล้วน่ะ เราไม่อยากรบกวนทัชมากหรอกนะ” หญิงสาวกล่าวเสียงอ่อน
    “อ๋อ ไม่รบกวนหรอก” เขากล่าวน้ำเสียงเรียบ  แววตานิ่งเฉย เสียจนหญิงสาวเองไม่อาจล่วงรู้ว่าเค้าพูดจากใจจริงรึเปล่า .
    “ดีเนอะ.. ความฝันของทัชเป็นจริงแล้ว ได้มีแกเลอรี่ภาพส่วนตัว ” หญิงสาวหันไปกล่าวลอยๆ มองอีกฝ่ายยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับมีแสงสว่างอาบหัวใจอยู่
    “งั้นโชคดีนะเจน วันหลังมาอุดหนุนเราด้วยนะ” เขากล่าวคำลากับฝ่ายหญิงเรียบๆ น้ำเสียงสดใสเป็นปกติ
    “อื้ม ทัชก็เหมือนกันนะ บ๊ายบาย” เจนจิราโบกมือลา ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าภายในใจ ขณะที่อีกฝ่ายโบกมือลาตอบ
    ร่างบางระหงที่กำลังจะก้าวเท้าเล็กๆออกจากร้าน หญิงสาวก็พลันหมุนตัวกลับมามองทัชธร โดยที่เขาเองไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาใกล้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน จ้องมองดวงตาโปนโตบนใบหน้าคมเข้มคู่นั้น ด้วยแววตาเศร้าระคนคนึงหา
    “ทัช เรามีบางอย่างจะบอก” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนจนเกือบเบาบาง
    “อะไรเหรอ?” อีกฝ่ายโต้ตอบด้วยสีหน้าสงสัย แววตาบริสุทธิ์ใสซื่อ
    “ทัชคือ คือ คนที่อยู่ในหัวใจเรามาตลอด” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตา น้ำใสๆไหลรินบนใบหน้าบอบบางและดูขาวจนเกือบซีดนั้นไม่ขาดสาย
    “เหรอ?” ทัชธรหลุดคำพูดออกมาเพียงพยางค์เดียว สีหน้าประหลาดใจ แต่ไม่สะทกสะท้านใดๆมากกว่านั้น
    “เรา รัก ทัช แค่มาเพื่อจะบอกเท่านั้นแหละ” เจนจิรารวบรวมความกล้าพูดออกไปน้ำเสียงสั่น ยิ้มอย่างอ่อนโยนทั้งน้ำตา
    “เจน” ชายหนุ่มเอื้อมมือสองข้างแตะลงบนไหล่ของหญิงสาวเบาๆ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ภายในใจพยายามครุ่นคิดถ้อยคำที่จะไม่ทำให้กระทบกระเทือนใจอีกฝ่าย ผู้ซึ่งเป็นเป็นดั่งดอกไม้ที่บอบบาง
        “เราขอบคุณ ในความรู้สึกที่เจนมีนะ เจนเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเรานะ ” ทัชธรกล่าวเรียบๆ ส่งสายตาเห็นใจอีกฝ่าย
    “อื้ม เราเข้าใจ เราแค่จะบอกน่ะ แค่นี้แหละที่ต้องการ.. แค่มาดูว่าทัชทำความฝันตัวเองสำเร็จ และได้บอกความในใจกับทัชแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ” เจนจิรากล่าวออกมาอย่างสุดทน น้ำตายังคงไหลพรากอาบแก้มอยู่อย่างนั้น
    หญิงสาวเอื้อมมือแกะมือใหญ่ๆบนไหล่ของหล่อนออกก่อนวิ่งอออกจาแกเลอรี่ภาพไปทั้งน้ำตา
    “คุณทัชครับ  ผลการตรวจเป็นอย่างไรบ้างฮะ” เสียงพนักงานหนุ่มคนเดิม ดึงทัชธรออกจากภวังค์ความคิดและภาพหญิงสาวกับคำพูดของหล่อนเมื่อครู่
    “เอ่อ หมอบอกว่าก้อนเนื้อมันเจริญขึ้นมาอีกแล้วล่ะ” น้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความสดใสเมื่ออยู่ต่อหน้าเจนจิรา กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงฉายแววกังวล
    “แล้วคุณทัชต้องเข้ารับการผ่าตัดมั้ยครับ?” สีหน้าของพนักงานคนนั้นมีแววกังวลไปด้วย
    “ยังหรอก ตอนนี้ยังเป็นก้อนเนื้อเล็กมากๆ”
    “มีสิทธิ์หายได้ใช่มั้ยครับ?”
    “มันไม่ใช่เนื้องอกธรรมดา แต่ผมเป็นมะเร็งน่ะ คงหายยาก”
    หญิงสาวค่อยๆผลักบานประตูกระจก ก้าวเท้าเข้าไปภายในตัวร้านด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ราวกับกำลังก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งมนตรา ที่หล่อนจะต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่ง แต่แท้จริงแล้วหาใช่ไม่ เพียงแต่หญิงสาวกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนที่หล่อนรอคอยวันที่จะพบกันอีกครั้งต่างหาก
    ภายในตัวร้าน ให้บรรยากาศเหมือนกับว่าหญิงสาวกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันงดงาม  อยู่ในโลกแห่งจินตนาการล้ำเลิศ
    ภาพสีน้ำมันแต่ละภาพดูมีพลังในตัวเอง ถ่ายทอดอารมณ์จากภาพออกมาได้อย่างชัดเจนและหลากหลาย
    หญิงสาวรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพเขียนสีน้ำมันตรงหน้าอย่างมาก
    “ภาพพวกนี้ใครเขียนคะ?” เจนจิราเอ่ยถามอีกฝ่ายที่ยืนติดตามหญิงสาวไม่ห่าง ตั้งแต่หล่อนเดินเข้ามา
    “เอ่อ คุณทัชครับ” ชายหนุ่มชุดสูทกล่าวน้ำเสียงเรียบ
    “ทัช ทัชจริงๆด้วย” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ  เผลอปล่อยรอยยิ้มออกมา
    “อะไรนะครับ”
    “อ๋อ เปล่าค่ะ แล้วคุณทัชอยู่มั้ยคะ?”
    “เขียนภาพอยู่ข้างบนครับ”
    “จะ จริงๆเหรอคะ?” เจนจิรากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ตื่นเต้นดีใจจนเก็บอาการนั้นไว้ไม่อยู่
    “ครับผม ท่าทางคุณคงอยากพบคุณทัชมากนะครับ” พนักงานขายในชุดสูทจับสังเกตได้ แต่เขาเพียงแต่เข้าใจว่า หญิงสาวเป็นแฟนงานเขียนภาพสีน้ำมันของทัชธรเท่านั้น
    “คือ ฉันเป็นเพื่อนเก่าของทัชน่ะค่ะ”
    “จริงเหรอครับ จะให้ผมบอกคุณทัชก่อนมั้ยครับ?” ชายหนุ่มพนักงานขาย มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
    “เอ่อ ฉันขอ ไปพบเค้าเองได้มั้ยคะ?”
    “ได้ครับเชิญทางนี้เลยฮะ”
    ที่ชั้นสองของแกเลอรี่ภาพดูแตกต่างจากชั้นล่างที่หญิงสาวเยือนมาเมื่อครู่หลายประการ ที่ชั้นนี้มีทั้งภาพที่ยังเขียนไม่เสร็จและเขียนเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ใส่กรอบตั้งวางอยู่
    ณ มุมหนึ่งของห้อง มีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเขียนภาพมากมาย ทั้งพู่กัน กระดาษ สีน้ำมันหลากสี ฯลฯ
    หญิงสาวพยายามกวาดสายไปรอบๆห้อง พบแต่เพียงสิ่งที่ปราศจากชีวิต
    แล้วเจ้าของแกเลอรี่ภาพนี้ล่ะ หายไปไหนนะ
    เจนจิราก้าวเท้าเดินไปหยุดมองที่ภาพๆหนึ่ง เป็นภาพต้นไม้ต้นหนึ่งในยามฤดูใบไม้ร่วง ที่ภาพทั้งภาพถูกกลืนไปด้วยใบไม้สีแดง เหลือง และน้ำตาลแก่ สร้างความเหงาฉาบหัวใจผู้ที่กำลังมองดูภาพในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่หญิงสาวก็รู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก
    ที่ใต้ภาพปรากฏลายมือหวัดๆของใครบางคน
    “ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูแห่งความเงียบเหงา ไม่นานนัก ฤดูหนาวก็จะย่างกรายเข้ามา ครานี้อาจต้องทนเหน็บหนาวอย่างแสนสาหัส แต่แล้วฤดูใบไม้ผลิก็จะเวียนมาใหม่ ฤดูกาลแห่งความเหงาจะมลายไป   แต่ดวงใจของฉันนี่สิ เหงาอย่างไรก็เหงาอยู่อย่างนั้น ไม่เคยมีใบไม้ผลิขึ้นในใจฉันเลย”
    อ่านข้อความใต้ภาพจบ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อออกมาอย่างชัดเจน ชัดเจนจนสะเทือนถึงก้นบึ้งของหัวใจหญิงสาว น้ำหยาดใสๆเอ่อท้นคลอเบ้าตาหญิงสาวอย่างอดกลั้นได้ยากยิ่ง
    “คุณสนใจภาพนี้เหรอครับ” เสียงทุ้มกังวาล ทว่าแฝงด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นสอดแทรกอารมณ์ของหญิงสาว
    เจนจิรากระพริบตาถี่ เพื่อไล่น้ำตาในเบ้าตาที่เอ่อล้นนั้นให้ดูเป็นปกติ
    หญิงสาวค่อยๆหันไปทางต้นเสียง หัวใจเต้นถี่และแรงขึ้น ในใจหวังลึกๆว่าเจ้าของเสียงจะเป็นคนที่หล่อนตาหามาตลอด
    ทันทีที่ดวงตาสองคู่ต้องประสานกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกราวกับกำลังต้องมนตร์สะกดให้ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จะขยับเขยื้อนอะไรก็ไม่ได้ รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เมื่อพบกับชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม ใบหน้าเรียวยาวได้สัดส่วน ดวงตาโปนโตดูโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ปากเรียวบางได้รูปเจือรอยยิ้มอบอุ่นน้อยๆ ร่างสูงใหญ่นั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดหลวมๆสีดำแขนสั้น เผยให้เห็นต้นแขนอันแข็งแรง สวมกางเกงขาสั้นแค่เข่าสีครีม เท้าใหญ่ๆนั้นเปลือยเปล่า
    ดวงตาอีกคู่ที่กำลังมองมายังหญิงสาวนั้นนิ่ง เรียบ จนเกินที่หล่อนจะรับรู้ได้ว่าเขามองมาด้วยความรู้สึกเช่นไร มันยากเกินที่หญิงสาวจะหยั่งลึกเข้าไปได้
    ทั้งสองอยู่ในอาการอย่างเดียวกันครู่ใหญ่
    “ทัชจำเราได้มั้ย?” เจนจิราเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน แววตาที่มองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความคิดถึง ความอาทร และ ความห่วงใยที่หญิงสาวต้องการสื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ตลอดมา
    “เจน ทำไมเราจะจำไม่ได้ล่ะ มาได้ไงเนี่ย” ทัชธรกล่าวน้ำเสียงเรียบ แต่ทว่ามีรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตรปรากฏบนใบหน้า เขาดูเปลี่ยนแปลงไปจากเด็กหนุ่มช่างฝันและขี้เล่นคนก่อนอย่างสิ้นเชิง บัดนี้เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีวิถีชีวิตแบบเจ้าของแกเลอรี่ภาพ และนักวาดภาพสีน้ำมันอย่างเต็มตัว
    “ก็กลับมาไง มาหาทัช” หญิงสาวตอบอีกฝ่ายตรงๆด้วยรอยยิ้มและแววตาแห่งความภักดี
    “มาหาเราเหรอ? เหอะๆ ดีใจจังเลยที่เจนมาหาเรา เป็นไงบ้างอยู่ที่โน่น”
    “เราสบายดี    ชีวิตอยู่กับการเรียนอย่างเดียว สบายมาก แต่ ” เจนจิราหุบรอยยิ้ม แล้วก้มหน้า หลุบตาต่ำลง
    “แต่คิดถึงเมืองไทยน่ะ คิดถึงคนบางคน”
    “เหอะๆ ก็อย่างนี้แหละน๊า เป็นธรรมดา ว่าแต่ว่าทำไมมาที่นี่ถูก” ชายหนุ่มถามหญิงสาว แววตาแสดงถึงความสงสัย
    “ก็ตามหาไง หาจนทั่ว นึกว่าจะไม่เจอซะแล้ว ในที่สุดก็เจอ เฮ้อ” หญิงสาวเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะที่อีกฝ่ายไม่อาจรับรู้ได้ถึงความลำบากยากเย็น ความอ่อนล้าที่หญิงสาวต้องเผชิญก่อนหน้าที่จะพบแกเลอรี่ภาพของเขา
    “เอ้อแล้วเจนกลับเมื่อไหร่เหรอ?”
    “พรุ่งนี้บ่ายๆ ต้อ งรีบกลับไปดำเนินการเรื่องเรียนต่อน่ะ”
    “เหรอ ทำไมเร็วจังล่ะ ไหนบอกว่ามาหาเรา ทำไมเจอกันแป๊บเดียวก็จะกลับ” ฝ่ายชายถามกลับน้ำเสียบเรียบๆ เชิงออดอ้อนน้อยๆ.. ขณะที่อีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจของชายหนุ่มเลย
    “อื้ม ก็ของมันด่วนนี่ ที่จริงตั้งใจจะหาทัชให้เจอตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว ไม่รู้นี่นาว่าทัชมาหลบอยู่แถวนี้เอง” หญิงสาวพยายามซ่อนแววตาแห่งความเจ็บปวดเอาไว้
    “งั้นเดี๋ยวไปเาอน้ำมาให้เจนนะ จะได้คุยกัน”
    “มาไว้ไปไวจังนะเจน” เสียงของทัชธรดังไล่หลังหญิงสาวมาติดๆ ขณะที่หล่อนเดินลงสู่ชั้นล่างของ แกเลอรี่ภาพอีกครั้ง
    “นี่มันก็เย็นแล้วน่ะ เราไม่อยากรบกวนทัชมากหรอกนะ” หญิงสาวกล่าวเสียงอ่อน
    “อ๋อ ไม่รบกวนหรอก” เขากล่าวน้ำเสียงเรียบ  แววตานิ่งเฉย เสียจนหญิงสาวเองไม่อาจล่วงรู้ว่าเค้าพูดจากใจจริงรึเปล่า .
    “ดีเนอะ.. ความฝันของทัชเป็นจริงแล้ว ได้มีแกเลอรี่ภาพส่วนตัว ” หญิงสาวหันไปกล่าวลอยๆ มองอีกฝ่ายยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับมีแสงสว่างอาบหัวใจอยู่
    “งั้นโชคดีนะเจน วันหลังมาอุดหนุนเราด้วยนะ” เขากล่าวคำลากับฝ่ายหญิงเรียบๆ น้ำเสียงสดใสเป็นปกติ
    “อื้ม ทัชก็เหมือนกันนะ บ๊ายบาย” เจนจิราโบกมือลา ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าภายในใจ ขณะที่อีกฝ่ายโบกมือลาตอบ
    ร่างบางระหงที่กำลังจะก้าวเท้าเล็กๆออกจากร้าน หญิงสาวก็พลันหมุนตัวกลับมามองทัชธร โดยที่เขาเองไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาใกล้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน จ้องมองดวงตาโปนโตบนใบหน้าคมเข้มคู่นั้น ด้วยแววตาเศร้าระคนคนึงหา
    “ทัช เรามีบางอย่างจะบอก” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนจนเกือบเบาบาง
    “อะไรเหรอ?” อีกฝ่ายโต้ตอบด้วยสีหน้าสงสัย แววตาบริสุทธิ์ใสซื่อ
    “ทัชคือ คือ คนที่อยู่ในหัวใจเรามาตลอด” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตา น้ำใสๆไหลรินบนใบหน้าบอบบางและดูขาวจนเกือบซีดนั้นไม่ขาดสาย
    “เหรอ?” ทัชธรหลุดคำพูดออกมาเพียงพยางค์เดียว สีหน้าประหลาดใจ แต่ไม่สะทกสะท้านใดๆมากกว่านั้น
    “เรา รัก ทัช แค่มาเพื่อจะบอกเท่านั้นแหละ” เจนจิรารวบรวมความกล้าพูดออกไปน้ำเสียงสั่น ยิ้มอย่างอ่อนโยนทั้งน้ำตา
    “เจน” ชายหนุ่มเอื้อมมือสองข้างแตะลงบนไหล่ของหญิงสาวเบาๆ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ภายในใจพยายามครุ่นคิดถ้อยคำที่จะไม่ทำให้กระทบกระเทือนใจอีกฝ่าย ผู้ซึ่งเป็นเป็นดั่งดอกไม้ที่บอบบาง
        “เราขอบคุณ ในความรู้สึกที่เจนมีนะ เจนเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเรานะ ” ทัชธรกล่าวเรียบๆ ส่งสายตาเห็นใจอีกฝ่าย
    “อื้ม เราเข้าใจ เราแค่จะบอกน่ะ แค่นี้แหละที่ต้องการ.. แค่มาดูว่าทัชทำความฝันตัวเองสำเร็จ และได้บอกความในใจกับทัชแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ” เจนจิรากล่าวออกมาอย่างสุดทน น้ำตายังคงไหลพรากอาบแก้มอยู่อย่างนั้น
    หญิงสาวเอื้อมมือแกะมือใหญ่ๆบนไหล่ของหล่อนออกก่อนวิ่งอออกจาแกเลอรี่ภาพไปทั้งน้ำตา
    “คุณทัชครับ  ผลการตรวจเป็นอย่างไรบ้างฮะ” เสียงพนักงานหนุ่มคนเดิม ดึงทัชธรออกจากภวังค์ความคิดและภาพหญิงสาวกับคำพูดของหล่อนเมื่อครู่
    “เอ่อ หมอบอกว่าก้อนเนื้อมันเจริญขึ้นมาอีกแล้วล่ะ” น้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความสดใสเมื่ออยู่ต่อหน้าเจนจิรา กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงฉายแววกังวล
    “แล้วคุณทัชต้องเข้ารับการผ่าตัดมั้ยครับ?” สีหน้าของพนักงานคนนั้นมีแววกังวลไปด้วย
    “ยังหรอก ตอนนี้ยังเป็นก้อนเนื้อเล็กมากๆ”
    “มีสิทธิ์หายได้ใช่มั้ยครับ?”
    “มันไม่ใช่เนื้องอกธรรมดา แต่ผมเป็นมะเร็งน่ะ คงหายยาก”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น