ขณะที่ร่างเล็กๆของหญิงสาวผมดำยาวขยับกายออกจากมุมหนังสือวรรณกรรมเยาวชนพร้อมด้วยหนังสือที่เธอเลือกเอาไว้
หญิงสาวก็ชนเข้ากับใครบางคนเข้าอย่างแรง จนหนังสือที่อยู่ในมือนั้นหล่นกระจายลงพื้น
    “ แอม โซ ซอร์รี่” วริษากล่าวคำขอโทษใครคนนั้นด้วยสำนวนภาษาอังกฤษโดยไม่ได้มองหน้าคนที่หล่อนชนแม้แต่น้อย สิ่งที่หญิงสาวสนใจขณะนั้นคือหนังสือสี่เล่มที่กองอยู่กับพื้น
วริษาก้มลงเก็บหนังสือทีละเล่มอย่างทะนุถนอม
    “วริษา!
คุณจำผมไม่ได้เหรอ?” เสียงเข้มของชายหนุ่มที่ฟังดูนุ่มนวลดังขึ้น พร้อมๆกับมือของใครบางคนที่ยื่นเข้ามาช่วยหญิงสาวเก็บหนังสือ
หญิงสาวตกใจเล็กน้อยกับเสียงที่คุ้นหูหญิงสาวยิ่งนัก แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้ยินมันมานานหลายปีแล้วก็ตาม แต่เสียงของใครคนนั้นยังคงกึกก้องอยู่ในความทรงจำของวริษาตลอดเวลา  และเพียงแค่วินาทีที่หล่อนได้ยินเสียงทักทายจากเขา หัวใจของวริษาก็เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวรู้สึกว่ามันสูบฉีดโลดแล่นผิดปกติ
    “เอ่อ
ฉัน
ฉัน
จำได้สิคะ
จำได้เสมอ
คุณ
เอ่อ
นาวินนี่เอง
” วริษากล่าวด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก ก่อนลุกขึ้นยืนพร้อมกับเขาด้วยอาการของคนที่กำลังตกใจระคนดีใจจนทำอะไรไม่ถูก
    “คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ” นาวินขยับแว่นสายตาเล็กน้อยขณะที่จ้องมองมาที่หญิงสาวเพื่อรอฟังคำตอบ
    “ฉัน
เอ่อ
มา
เที่ยวค่ะ
” หญิงสาวตอบคำถามชายหนุ่มโดยไม่กล้ามองลึกเข้าไปที่ดวงตาภายใต้แว่นตาคู่นั้น
    “แล้วคุณล่ะคะ?” หญิงสาวเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
หล่อนพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้นิ่งและดูเรียบเฉยที่สุด
    “ผมก็มาเที่ยวครับ
แล้วก็มาหาเพื่อนที่ควีนส์ทาวน์ด้วย” เขาตอบยิ้มๆ
รอยยิ้มของเขานั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกหวั่นไหว
    “แล้วคุณได้วางแผนการเดินทางไว้รึยังคะ?
” วริษาถามชายหนุ่มผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยน้ำเสียงเรียบ
    “ยังเลยครับ
คุณคงจะตั้งโปรแกรมไว้แล้วสิท่า
”
    “เปล่าเลยค่ะ
มาเที่ยวแบบเรื่อยเปื่อย
ไม่ได้วางแผนอะไรมาก
กะว่าจะไปเรื่อยๆตามเมืองที่คิดเอาไว้ว่าจะไป
และคิดว่าอีกสองวันฉันจะลงไปควีนส์ทาวน์” หญิงสาวตอบโดยไม่มองหน้าชายหนุ่มสักนิด
    “ถ้าอย่างนั้นเราก็ลงไปควีนส์ทาวน์ด้วยกันนะครับ” นาวินกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย
เขาไม่ได้มีเจตนาจะบังคับวริษา
ทว่าในความรู้สึกของหญิงสาว
การที่หล่อนจะปฏิเสธเขา เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนัก
ก็เพราะหัวใจของหล่อนเรียกร้องให้ยอมเดินทางไปกับเขานั่นเอง
    “ตกลงค่ะ
”
    ออกจากร้านหนังสือ
วริษาและนาวินเดินฝ่าลมหนาว ผ่านผู้คนต่างชาติต่างภาษามากหน้าหลายตา
  มุ่งตรงไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘วิกตอเรียปาร์ค’
    “ฉันชอบสวนสาธารณะในเมืองไคร้ส์เชิร์ชนี้จังเลยค่ะ
สงบและบรรยากาศดี
” หญิงสาวช่างฝันกล่าวพลางสูดลมหายใจลึกเข้าเต็มปอด
สายตากวาดมองไปรอบๆ ราวกับจะเก็บเกี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งทัศนียภาพอันงดงามร่มรื่น กลิ่นอายของแดนกีวีและลมหนาว รวมทั้งความสุขสดชื่นที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด
    “ผมก็ชอบที่นี่เหมือนกันครับ
ไม่ผิดหวังเลยที่ผมมาที่นี่
เอ่อ
ว่าแต่ทำไมคุณถึงมาคนเดียวล่ะครับ
” เขาถามหล่อนด้วยความสงสัย
จ้องมองตรงมาที่หญิงสาวด้วยสายตาจริง-จัง
นี่เขาไม่รู้เลยหรือ ว่าเขากำลังทำให้หล่อนแทบจะหลอมละลายอยู่ตรงข้างๆเขาเดี๋ยวนั้น
  วริษารีบหลบตาชายหนุ่มในทันที
    “ฉันมาตามความฝันตัวเองค่ะ
ฝันอยากลองเที่ยวคนเดียว ผจญภัยไปในต่างแดนคนเดียว แต่คงเป็นแค่ที่นิวซีแลนด์นี้เท่านั้นแหละค่ะ
ที่อื่นมันกว้าง
แต่ที่นิวซีแลนด์นี่เป็นประเทศเล็กๆ ทั้งสงบและสวยมากๆ
ฉันประทับใจที่นี่ค่ะ
” หญิงสาวกล่าว พร้อมกับมองไปเบื้องหน้า
หล่อนไม่สามารถจะหยุดสายตาไว้ที่ดวงหน้าเข้มของชายหนุ่มสวมแว่นสายตาผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อนตอนนี้ได้
    “นานแล้วนะที่เราไม่ได้พบกัน
” วริษากล่าวขึ้นลอยๆ
   
ความเงียบได้สอดแทรกเข้ามาชั่วขณะหนึ่ง
    “
เอ่อ
ฉัน
  ฉันคิดว่าเราควรจะใช้สรรพนามแบบสมัยเด็กๆที่เราเคยเรียกกันดีกว่านะคะ
เอ่อ
เรียกตัวเองว่าเรา และ ฉันก็เรียกคุณว่าวิน
คุยกันแบบคุณกับฉันนี่ฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้นะ
”
    “จะเอาอย่างนั้นก็ได้ครับ
เอ่อ
แล้วแต่วริษาแล้วกันนะ
ทีแรกเราพูดแบบนั้นเพราะมันสุภาพดีน่ะ
เหมาะกับวริษา
เอ้อ
เหมาะกับดาว
” นาวินเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองและผู้ฟังตามที่อีกฝ่ายขอร้อง
    “อย่างนี้แหละค่อยสนิทกับขึ้นมาหน่อย
อืมม์ใช่สิ
ตอนนี้วินทำอะไรอยู่เหรอ?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ฟังดูเป็นกันเอง
    “เราเปิดร้านขายคอมพิวเตอร์น่ะ รับซ่อมด้วยนะ
แล้วก็มีมุมคอฟฟี่ช็อปกับมุมหนังสือการ์ตูนด้วย
ตอนนี้มีประมาณห้าสาขา
” นาวินถูฝ่ามือไปมา เพื่อเพิ่มความอบอุ่น
    “โห
ท่าทางจะหรูนะ
อยากไปอุดหนุนจังเลย
ดีจัง
ได้เปิดธุรกิจส่วนตัวด้วย
เราก็เคยฝันไว้เหมือนกัน
แต่พอถึงเวลา
เราคงไม่ได้อยู่กับที่
ต้องเดินหน้าไปไหนมาไหนอยู่-เรื่อย
”ลมพัดแรงจนเส้นผมระลงมาปรกหน้าหญิงสาว.. หล่อนเอามือลูบผมตัวเองให้กลับเข้าที่
    “ตอนนี้ดาวทำอะไรอยู่ล่ะ?
” ฝ่ายชายถามบ้าง
    “เราทำเรื่องรอเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษอยู่น่ะ
วิศวกรรมศาสตร์สาขาการจัดการ
” หญิงสาวตอบน้ำเสียงนิ่ม
ยิ้มเศร้าๆโดยที่ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตความผิดปกตินั้น
    “โอ้โห
หรูจังเลย
อย่างดาวนี่ก็
พอจบมาปุ๊บที่ไหนเค้าก็รับหมด
ทั้งเก่ง ทั้งเครดิตดี
” นาวินหันมายิ้มให้หญิงสาว
รอยยิ้มของเขานั้นเป็นรอยยิ้มที่งดงามเป็นเอกลักษณ์อยู่ในใจและภาพแห่งความทรงจำของวริษาเสมอ
ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงไป
    “แหม
วินก็ทำพูดดีไป
ทีตัวเองล่ะ
จบวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์จากแคนาดาเชียวนะ
แถมยังเป็นนักเรียนทุนอีกด้วย
ไม่ธรรมดานะเนี่ย
ที่ไหนเค้าก็อยากจะรับทั้งนั้นแหละ
”
   
กิ่งใบของต้นหลิวที่ห้อยระย้าต่างพากันพลิ้วไหวไปตามแรงลม
เรือลำเล็กๆที่มีชาวกีวีพายเรือนำทางนักท่องเที่ยวสองหนุ่มสาวชาวไทยดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันแสนโรแมนติกกำลังแล่นไปบนผืนน้ำของแม่น้ำเอว่อนอย่างช้าๆ
  หญิงสาวกำลังเพลิดเพลินไปกับความงดงามของธรรมชาติสองฟากฝั่งแม่น้ำเอว่อนซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักสายเล็กๆที่ไหลผ่านไปรอบๆตัวเมืองไคร้ส์เชิร์ช
    “เมื่อวานดาวไปจตุรัสคาร์ทีดัลมารึยัง?” เสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มแทรกซึมเข้ามาดึง หญิงสาวกลับออกจากภวังค์
วริษาหันไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
แล้วหล่อนก็แทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่จ้องมองมาอย่างนิ่งเงียบไร้ปฏิกิริยาใดๆ
  หญิงสาวพยายามตั้งสติตอบคำถามชายหนุ่ม
    “ไปมาแล้ว
วินล่ะ?
” หญิงสาวถามกลับ ทอดสายตามองลงไปยังพื้นน้ำซึ่งอยู่แค่เอื้อม
    “ไปมาแล้วเหมือนกัน
เราถามดูเผื่อดาวยังไม่ได้ไป
เดี๋ยวพอลงจากเรือแล้วจะได้ไปด้วยกันไง
”
    “นี่ก็จะสุดทางแล้ว
เดี๋ยวจะไปไหนกันต่อดีล่ะ?
” นาวินถามหญิงสาว ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากเช่นเคย
    “เดี๋ยว
เอ่อ
ไป
ไปสวนโบตานิกกับพิพิธภัณฑ์แคนเทอร์เบอรี่มั้ย?
” หญิงสาวทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนตอบ
    “แล้วแต่ดาวเถอะ
ดาวเคยมาเที่ยวแล้วนี่
ชำนาญทางกว่าเราเป็นไหนๆ
ดาวไปไหนเราไปด้วยแล้วกันนะ
” คำพูดของชายหนุ่ม
น้ำเสียงอันอ่อนโยน
แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
และรอยยิ้มที่อบอุ่นของนาวินทำให้วริษาเผลอใจไปอีกแล้ว
แต่สิ่งเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะทำให้หญิงสาวรู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อย เมื่อหล่อนพยายามที่จะหักห้ามใจตัวเองให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของคำว่า ‘เพื่อน’ เท่านั้น
   
ในที่สุด วันนัดหมายที่ทั้งวริษาและนาวินตั้งใจจะลงไปควีนส์ทาวน์ด้วยกันทั้งคู่ก็มาถึง
ทั้งสองตัดสินใจเช่ารถยนต์คันเล็กคันหนึ่ง โดยมีนาวินเป็นสารถีจำเป็นให้กับวริษา
   
มองผ่านกระจกรถออกไป
ดวงอาทิตย์ยามสายทอแสงเจิดจ้ากระทบกับยอดหญ้าสี-เหลืองทองบนภูเขาสูง เบื้องล่างถูกปกคลุมด้วยผืนหญ้าสีเขียวขจี แซมด้วยต้นสนสีเขียวอมเหลือง เรียงรายเป็นทิวแถว เบื้องบนท้องฟ้าสีครามเข้มถูกปกคลุมแผ่กระจายด้วยปุยเมฆขาวที่ก่อตัวเป็นรูปร่างต่างๆกัน และ แปรสภาพไปตามกระแสลม มีบางระยะที่ท้องทุ่งหญ้าสีเขียว และยอดหญ้าเหลืองอร่ามบนภูเขาจะมีฝูงแกะมากมายลิ้มรสยอดหญ้าอ่อนนั้นอยู่
มองไกลๆเหมือนมีปุยนุ่นกองกระจัดกระจายบนผืนนา
ความงดงามของเขตที่ราบแคนเทอร์เบอรี่เหล่านี้ชวนให้วริษารู้สึกหลงใหลยิ่งนัก
หญิงสาวหลับตาลง ยิ้มเศร้าๆคนเดียวราวกับจะเก็บภาพประทับใจทั้งหมดนี้เอาไว้ให้ประทับลงในหัวใจไม่มีวันลืมเลือน
นาวินยังคงขับรถด้วยความตั้งใจ มองมาที่หญิงสาวเป็นบางระยะ
แต่ไม่ทันได้สังเกตเห็นอากัปกิริยาของหญิงสาวเท่าใดนัก
   
ผ่านทุ่งราบแคนเทอร์เบอรี่
ผ่านเมืองแอชเบอร์ตัน
เมื่อมาถึงเมืองเตคาโป
ทั้งสองได้แวะที่ทะเลสาบเตคาโปเพื่อชื่นชมความงดงามของทะเลสาบตามคำกล่าวขานของใครหลายคน
จากนั้นสองหนุ่มสาวก็ได้แวะที่ทะเลสาบพูคากิที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบสีน้ำนม
ลักษณะคล้ายๆกันกับทะเลสาบเตคาโป และรับประทานอาหารกลางวันที่นั่น ก่อนจะเดินทางมุ่งตรงสู่เป้าหมายสำคัญ
ซึ่งก็คือเมืองควีนส์ทาวน์
.
   
ทันทีที่เข้าเขตเมืองควีนส์ทาวน์
หญิงสาวตัดสินใจบอกให้ชายหนุ่มหยุดรถ
    “วิน
จอดแถวนี้แหละ
ถึงตัวเมืองแล้ว
เราจะลงแล้วล่ะ
” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ หากสีหน้าเรียบเฉย
    “อะไรกันดาว
ดาวจะไปไหน
” ชายหนุ่มหันมาถามหญิงสาวด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความห่วงใย
    “เอ่อ
ดาวจะลงแล้วไง
จะไปหาโรงแรมแถวๆนี้พัก
” วริษากล่าวหน้าตาเฉย
ทั้งๆที่หัวใจของหญิงสาวเต้นระส่ำ
    “ไม่ได้นะดาว
นี่ก็เย็นมากแล้ว
เรามาด้วยกัน
พักด้วยกันเถอะนะดาว
” นาวินกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งขอร้อง
เขายังไม่ยอมหยุดรถ
แววตาคู่นั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกใจอ่อนขึ้นอีก
    “ไม่ดีหรอกวิน
เราไม่อยากรบกวนเพื่อนของวิน
อีกอย่างนะ
เพื่อนวินก็เป็นผู้ชาย
ผู้หญิงไปพักบ้านผู้ชายไม่ดีหรอก
ถึงจะเป็นเมืองนอกก็เหอะ
เราแยกกันตรงนี้จะดีกว่านะวิน
ขอบใจจริงๆที่ให้เราอาศัยรถมาด้วย” หญิงสาวยังคงยืนยันคำเดิม แม้ว่าใจ จะอ่อนข้อไปกว่าครึ่งแล้ว
   
นาวินหัวเราะออกมาเบาๆ
    “รบกวนอะไรกัน
แค่ดาวคนเดียวเอง
ดาวเป็นเพื่อนเราด้วย
เอมิเค้าไม่ว่าอะไรหรอก
. อีกอย่างนะดาว
เอมิ เพื่อนของเราที่เรามาหาเนี่ย ผู้หญิงนะไม่ใช่ผู้ชาย
ดาว
ดาวนึกว่าเห็นแก่เราเถอะนะ
เป็นค่าตอบแทนที่เราขับรถให้ดาวก็ได้
” สองประโยคหลัง
นาวินพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง
    “ก็ได้
เราจะไปพักบ้านเพื่อนวิน” วริษาตอบตกลงกับนาวินอย่างยอมจำนน
หากแต่หญิงสาวรู้สึกเคลือบแคลงใจกับการที่นาวินมาหาเพื่อนสาว ซึ่งวริษาอดที่จะคิดมากไปไม่ได้ว่าบางทีนาวินกับเพื่อนสาวอาจจะผูกพันกันเกินความเป็นเพื่อนก็ได้
ก็เพราะคำกล่าวที่ว่า ‘รักแท้แพ้ใกล้ชิด’ อย่างไรเล่า
   
สักพักหนึ่ง นาวินก็ขับรถพาวริษามาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านขนาดกลางสไตล์อังกฤษโดยแท้หลังหนึ่งในควีนส์ทาวน์  นาวินก้าวลงมาจากรถก่อนที่วริษาจะตามลงไป
วริษาสังเกตได้ถึงความตื่นเต้นและความดีใจที่จะได้พบเจอเอมิจังจากสีหน้าและแววตาของนาวิน โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ย
    “ฮัลโหล
สวัสดีครับ
เอมิจัง
” นาวินกล่าวทักทายสาวญี่ปุ่น ผมสีดำซอยสั้นประบ่าท่าทางและหน้าตาน่ารัก ผู้ที่รีบเดินตรงมาเปิดประตูต้อนรับวริษาและนาวินทันทีที่เขาทั้งสองลงจากรถ
    “ซาหวัดดีก้ะ นาวิน” สาวญี่ปุ่นคนนั้นกล่าวทักทายนาวินด้วยสำเนียงไทยที่ไม่ชัดเจนนัก หากแต่เธอผู้นั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ทั้งหน้าตา และผิวพรรณ
    “ฮาว อาร์ ยู?” นาวินถามเธอ
    “แอม ไฟน์ แท้งกิ้ว
แอน
ยู้?” เอมิโกะถามนาวินบ้าง
    “แอม ไฟน์
เอ่อ
เอมิจัง
นี่ วริษา
เพื่อนชาวไทยของผม”  นาวินแนะนำให้เอมิโกะ รู้จักกับวริษา
    “ดาว
นี่ เอมิโกะนะ เรียกเอมิจังก็ได้ เอมิจัง เรียกวริษาว่าดาวก็แล้วกัน”
    “ฮัลโหล
ยินดีทีไดรู้จักคุณก้ะ” เอมิโกะกล่าวทักทายวริษาที่ยืนเงียบ
เธอดูเป็นมิตรกับวริษามาก
    “ยินดีที่ได้รู้จักคุณเช่นกันค่ะ
เอมิจัง
คุณพูดไทยเก่งมากเลยนะคะ” วริษากล่าวเรียบๆอย่างเป็นมิตร และหล่อนก็รู้สึกชื่นชมในความน่ารักไร้เดียงสาของเอมิโกะเป็นอย่างมาก
    “ฮะ ฮะ
ก็ได้ครูคนไทยคนนี้ช่วยสอนน่ะสิก๊ะ” เอมิโกะหัวเราะคิกๆ พลางเอื้อมมือแตะไหล่นาวินเบาๆอย่างสนิทสนม ขณะที่วริษาได้แต่ฝืนยิ้มแห้งๆออกไป เพื่อกลบเกลื่อนความปวด-ร้าวภายในใจ
    “เอมิ เค้าเป็นนักเรียนทุนเหมือนกันน่ะดาว
แต่เขาเรียนคณะศึกษาศาสตร์
แต่เราทั้งสองก็คอยสอนภาษาให้กันและกัน ตอนอยู่แคนาดาน่ะ
เค้าหัวไวด้วยแหละดาว
เรียนรู้ภาษาไทยได้เร็ว
” ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ โดยไม่รู้ว่าหญิงสาวผมยาวชาวไทยที่ยืนอยู่แทบจะวิ่งหนีหายไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด หากแต่หล่อนได้แค่คิดในใจเท่านั้น
    “อ๋อ
อย่างนี้นี่เอง
เก่งทั้งคู่เลยนะคะ
” วริษากล่าวอย่างชื่นชมจากใจจริงของหล่อน แต่ทว่าแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
    “เดี๋ยว ชั้นจาพาคุณสองคนเที่ยวให้สนุกนะก๊ะ
” เอมิโกะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงใจยิ่งนัก จนวริษารู้สึกได้ว่าเพราะความน่ารักและความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของเอมิโกะนี้นี่เองที่จะสามารถทำให้นาวินชอบเธอได้ และไม่แปลกเลยหากว่านาวินจะรักเธอ
    “ดาว
เอมิเค้าจะเป็นไกด์ให้เราสองคน รับรองว่าสนุกแน่ๆ
”
    “วันนี้เอมิจังทำหน้าที่ไกด์สาวได้ดีมากเลยแหละวิน
เราต้องขอบใจทั้งเอมิและวินมากๆ” หญิงสาวกล่าวขณะที่หล่อนเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน และชายหนุ่มสวมแว่นสายตาร่างสูงก็เดินเข้ามา
    “อ๋อ
ขอบคุณแค่เอมิเค้าก็พอแล้ว
สำหรับเราไม่ได้ช่วยอะไรดาวมากมาย
ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?
” นาวินกล่าวพร้อมกับส่งยิ้มให้วริษาอย่างอ่อนโยน
    “ใช่สินะ
เราเป็นเพื่อนกัน และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
” วริษาพึมพำเบาๆอย่างเศร้าสร้อย ทว่าชายหนุ่มไม่อาจสังเกตเห็นได้ในความมืด
    “เอ่อ
ใช่สิ
เอมิจังอยู่ไหนล่ะ?
วิน” หญิงสาววกกลับมาถามหาเอมิโกะ
    “อ๋อ
เค้าไม่อยู่หรอก
กว่าจะกลับก็พรุ่งนี้
คือว่า
เค้าบินไปโอ๊คแลนด์ มีเรื่องด่วนเกี่ยวกับธุรกิจที่เค้าต้องไปทำน่ะ
” ชายหนุ่มกล่าวอย่างรู้ดี
    “หา
จริงเหรอ?” หญิงสาวแปลกใจยิ่งนัก หล่อนรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องอยู่กับชายหนุ่มสองต่อสองในบ้านหลังเดียวกัน
    “เรา
เราขอตัวไปนอนก่อนนะ
วิน
ง่วงแล้วล่ะ
” ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร  หญิงสาวก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
   
ตกดึก
วริษานอนไม่หลับ
หญิงสาวตัดสินใจออกมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้านของเอมิ-โกะ
มันเป็นค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์
มีเพียงแสงสลัวจากดวงไฟหน้าบ้าน แต่กลับสว่างไปด้วยแสงจากดวงดาวนับล้านดวงที่พร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้า
วริษากอดอกแน่นด้วยความรู้สึกหนาวสะท้านจากอากาศที่เย็นลงมาก
น้ำตาแห่งความอัดอั้นถูกปลดปล่อยให้ไหลพรากลงบนใบหน้าเรียวขาวนวลของวริษา
  ครู่ใหญ่
หญิงสาวรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆที่ไหล่จากมือของใครบางคน
หล่อนหันไปก็พบว่าสัมผัสนั้นเป็นสัมผัสจากเจ้าของรอยยิ้มและแววตาที่แสนอบอุ่นนั้นเอง
    “วริษา!
เป็นอะไรไป” นาวินกล่าวอย่างตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังร้องไห้
    “ปละ
เปล่า
เรา
เอ่อ
เราคิดถึงเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ
”  วริษารีบเอามือปาดน้ำตาบนใบหน้า และพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองให้นิ่งเฉย
    “บอกเรามาเถอะดาว
เราไม่สบายใจที่เห็นดาวร้องไห้” แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่ชายหนุ่มมีต่อหญิงสาว แม้ว่าจะอยู่ในความมืด หญิงสาวก็สามารถสังเกตเห็นได้ดี
    “ไม่มีอะไรหรอก
” หญิงสาวกลบเกลื่อน
    “ไม่บอกก็ไม่เป็นไร
แต่ดาวลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสิ
คืนนี้เป็นคืนที่งดงามมากเลยนะดาว
” นาวินค่อยๆนั่งลงข้างๆกันกับวริษา
หล่อนทำตามที่เขาบอก
วริษาพบว่ามันเป็นค่ำคืนแห่งดาวที่มีดาวดวงโตส่องแสงระยิบระยับวาววับอยู่เต็มท้องฟ้าไปหมด ไม่มีคืนใดจะสวยและงดงามเท่ากับคืนที่ควีนส์ทาวน์นี้มาก่อน
    “สวยจังเลย
วิน
”
    “เรามาช่วยกันนับดาวดีมั้ย
ลองดูซิว่าจะนับได้กี่ดวง” นาวินกล่าวเพื่อให้หญิงสาวผ่อนคลายมากขึ้น
    “อย่าเลยดีกว่า
นับไปนับมาเดี๋ยวหลับซะก่อน” วริษาปฏิเสธ
    “เอาอย่างนี้ก็ได้
เรานั่งรอดูกันว่าคืนนี้จะมีดาวตกสักกี่ดวง แล้วเรามาอธิษฐานตอนดาวตกกันดีกว่านะดาว
”
    “ตกลง” วริษากล่าวสั้นๆ แหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างใจจดใจจ่อ
   
ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศชั่วอึดใจ
    “ดาว
เรา
เอ่อ
” นาวินเรียกชื่อวริษาเหมือนกับจะบอกอะไรบางอย่าง
แต่แล้วเขาก็เงียบไป
ชายหนุ่มก้มหน้าลงด้วยสีหน้าเศร้า
    “วิน
เป็นอะไรไป
” หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่ม กล่าวถามเขาด้วยน้ำเสียงห่วงใย
    “เรา
เรารักผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
รักมานานแล้ว
แต่เธอไม่เคยรู้
เราคงไม่กล้าบอกเธอ
ดูเธอคงจะไม่อยากรับรู้เลยด้วยซ้ำ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงวิตก
    “วิน
วินน่ะเป็นผู้ชาย
บอกให้เค้ารับรู้ซะคงจะไม่เสียหายอะไรหรอก
” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
    “แต่เรากลัวจะต้องสูญเสียมิตรภาพของเรากับเค้าไป
” เสียงของชายหนุ่มทำให้วริษากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทั้งเศร้าในรักของตัวเอง และรักของชายคนที่เธอรัก
    “วิน
นั่นไงดาวตก
อธิษฐานๆ เร็วเข้า”
   
นาวินประสานมือ พร้อมกับหลับตาลงอธิษฐานในใจแล้วลืมตาขึ้น
    “อ้าว
ดาวไม่อธิษฐานอะไรเหรอ?
”
    “ไม่ล่ะ
เราไม่รู้จะอธิษฐานอะไรดี
ว่าแต่วินเถอะอธิษฐานว่าอะไร?
”
    “อธิษฐานว่า
เอ่อ
ขอให้มิตรภาพของเราสองคนมั่นคงตลอดไป
”
   
หญิงสาวได้ยินเพียงเท่านี้ หล่อนก็รู้สึกว่าระหว่างเธอกับนาวินคงเป็นได้แค่เพื่อนจริงๆ
วริษาไม่ต้องการให้ตัวเองเผลอใจถลำลึกมากไปกว่านั้น หล่อนจึงตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
    “วิน
เราขอตัวไปนอนแล้วนะ
ง่วงจริงๆแล้ว
นอนหลับฝันดีนะ
” หญิงสาวลุกขึ้นยืน โบกมือลาชายหนุ่ม
    “นอนหลับฝันดีเช่นกันนะ
พรุ่งนี้เจอกัน
”
   
กริ๊งๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น
ชายหนุ่มเอื้อมมือกดปุ่มนาฬิกาปลุกอย่างงัวเงียๆ
ทั้งที่ไม่อยากตื่น
แต่วันนี้เขาวางโปรแกรมเที่ยวเอาไว้แล้ว  นาวินจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียงไม่ยากเย็นนัก
   
ขณะที่นาวินกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ
เขาเหลือบเห็นซองจดหมายสีฟ้าฉบับหนึ่งวางอยู่ข้างๆกองหนังสือบนโต๊ะ
เขาหยิบมันขึ้นดูพบว่าเป็นจดหมายจากวริษา
ชายหนุ่มตกใจอย่างมาก
        อรุณสวัสดิ์
วิน
            เราขอโทษจริงๆนะวินที่ไปไม่บอกวินก่อน
เราคงต้องกลับก่อน
        เพราะมีธุระด่วนจริงๆ
เลยไม่ทันเจอวินตอนเช้านี้
ขอโทษอีกทีที่เราต้อง
        เข้ามาในห้องวินโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน
เราอยากจะบอกว่า
ที่เราร้องไห้
        เมื่อคืนก็เพราะเราก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับวิน
คือ แอบรักใคร-
        คนหนึ่งอยู่ แต่เขาคือคนที่เป็นเพื่อนเรา
เราก็ไม่อยากเสียมิตรภาพไป
และ
        เขาก็คือ
นาวิน
  ช่างเถอะนะ
อย่าสนใจเราเลย
วินเองน่ะ
รักใครก็
        บอกเขาไปเถอะ
เกิดเป็นผู้ชายแล้ว
มีโอกาสที่จะบอกรักใครเขามากกว่าที่
        ผู้หญิงจะทำได้นะรู้มั้ย
หาทางบอกเขาให้ได้นะ
เราเอาใจช่วยเสมอ
ลาก่อน
                                จากเพื่อนคนหนึ่ง
                               
วริษา (ดาว)
   
อ่านจดหมายจบ
นาวินแทบจะคลั่งที่เขาหลงโง่อยู่ได้ตั้งนาน เขาไม่รู้เลยว่าวริษาเองก็มีหัวใจ
นาวินตัดสินใจออกตามวริษาที่สนามบินให้ทันเวลาเท่าที่เขาจะทำได้ ทั้งที่เขาไม่รู้เลยว่าเที่ยวบินที่วริษาออกนั้นคือเที่ยวไหน
   
ที่สนามบินเมืองควีนส์ทาวน์
นาวินกึ่งวิ่งกึ่งเดิน สอดส่ายสายตาจนทั่วสนามบิน เดินวนไปวนมารอบๆสนามบินอยู่หลายเที่ยว แต่ก็ไม่พบวริษา
เขาเดินออกมาจากสนามบินอย่างท้อแท้ใจและสิ้นหวัง
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนน
รถแท็กซี่คันสีฟ้าคันหนึ่งก็จอดลงตรงหน้าสนามบิน เบื้องหน้าชายหนุ่มพอดี
หญิงสาวผมยาวสีดำ ใบหน้าเรียวขาวใส ในชุดเสื้อยีนส์แขนยาว กระโปรงหนังสีน้ำตาลยาวแค่เข่า สวมรองเท้าบู๊ต สะพายเป้สีดำ พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางอีกสองใบ ก้าวเท้าลงจากรถคันนั้น
“วริษา
!!” นาวินเรียกชื่อของหญิงสาวผู้นั้นสุดเสียงด้วยอาการดีใจ
“นาวิน
เรา
เราต้องรีบไปแล้วล่ะ
เดี๋ยวไม่ทันไฟลท์นี้”
“คุณฟังผมก่อนได้มั้ย
ผมมีเรื่องจะบอกกับคุณ
ถ้าผมไม่ได้บอกคุณในวันนี้ผมคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต
” นาวินยิ้มให้กับวริษาอย่างอ่อนโยน แววตาจริงจัง
เดินใกล้เข้ามาที่ร่างอันบอบบางของหญิงสาวจนชิด
ขณะที่วริษาเองรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า หัวใจสูบฉีดเต้นแรงเกินควบคุมและต้านทานได้ไหว
หล่อนคิดไปว่ามันคือความจริงหรือความฝัน
“ผม
ผม
รักคุณนะ
วริษา
รักมากและรักมานานแล้ว
แต่คิดว่าคงได้แค่คิดในใจรู้สึกในใจคนเดียว
”
สิ้นเสียง
หญิงสาวรู้สึกได้ถึงไออุ่นรอบกาย
นาวินกอดวริษาเอาไว้แนบแน่น
หัวใจของหญิงสาวบอกให้หล่อนยอมอยู่ในอ้อมกอดนั้นอย่างแน่นิ่ง
  น้ำตาไหลรินลงบนใบหน้าของหญิงสาวอีกแล้ว
แต่น้ำตานี้เป็นน้ำตาแห่งความสุขความซาบซึ้งใจที่หญิงสาวไม่อาจกลั้นความรู้สึกเอาไว้ได้
“ มิตรภาพของเราจะยืนยง เคียงคู่กับความรักของเราที่จะมั่นคงตลอดไป”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย