คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พลเมืองชั้นรอง พลเมืองชั้นเอก
ระดับอุณหภูมิของร่างกายผสมกับเหงื่อชื้นที่ซึมอยู่ตามไรผม ทำให้เจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินขาลากลืมไปเลยว่าเธอกำลังเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าปรับอากาศ แหล่งเดินเล่นของคนในเมือง
ขายาวก้าวกระฉับไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ เป้าหมายเบื้องหน้าของเธอคือร้านไอศกรีมเฟรนชายด์ที่เนืองแน่นไปด้วยลูกค้า เป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่
ดวงตารีสอดส่องหาบุคคลเพื่อสนทนา พนักงานในร้านดูวุ่นวายกับการบริการลูกค้าในร้านตามหน้าที่ของตน คงวุ่นวายมากถึงขนาดที่มองไม่เห็นคนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าร้านสินะ
หญิงสาวยกมือขยี้ผมตัวเองเบาๆ แล้วพยายามจัดเครื่องแต่งกายของตนให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะจัดได้ เธอปัดผงฝุ่นออกจากเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม สีของมันเริ่มจะมอๆเพราะถูกนำมาสวมบ่อย กางเกงขายาวสีดำพอดีตัวก็เริ่มสีตก เพราะกางเกงราคาถูก คุณภาพการฟอกสีต่ำไปตามราคา
จะให้ทำอย่างไรได้เล่าเมื่อชุดที่ใส่อยู่ในตอนนี้เป็นชุดที่ดูดีที่สุดในตู้เสื้อผ้าแล้ว นอกจากเสื้อและกางเกงที่มากด้วยตำนาน รองเท้าผ้าใบคู่ที่เธอสวมใส่คู่นี้ก็มีอายุไม่ต่างกัน รองเท้าคู่เก่งที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงในการใช้งาน เพราะหากเธอใส่ผ้าใบคู่นี้ไปเดินบนกระเบื้องแผ่นเรียบที่เปียกน้ำ คงลื่นหัวแตกก่อนใครเพื่อน เพราะพื้นรองเท้าเกลี้ยงเกลาปราศจากดอกยาง และถ้าหากใส่ย่ำในพื้นที่ที่มีน้ำเจิ่งนองเพียงเล็กน้อยล่ะก็มีหวังน้ำคงซึมเข้ารองเท้าให้เท้าเหม็นแน่
ทำไมน่ะหรือ??? ก็เพราะนอกจากมันจะไร้ดอกยางแล้ว พื้นรองเท้ายังสึกจนน้ำเข้าไปได้ง่ายอีกเสียด้วย ดังนั้นหากมีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เธอใส่รองเท้าคู่นี้โดยไร้ทักษะในการเดิน มีหวังชีวิตของคนนั้นถึงคราวบรรลัยแน่
‘อิษฏ์อาณิก’สอดส่องสายตาไปยังเหล่าพนักงานในร้านที่เดินขวักไขว่ ลุ้นระทึกอยู่ว่าจะมีใครสนใจการมาของเธอรึเปล่าหนอ? ผ่านไปพักเล็กๆ...ก็ไม่มีใคร ร่างสูงยังคงยืนเก้ๆกังอยู่หน้าร้านไม่ไปไหน ความคิดก็ตีกันสับสนวุ่นวาย
จะเข้าไปรึก็เกรงว่าจะไปเป็นตัววุ่นวายให้พนักงานในร้านรำคาญ ยิ่งเป็นช่วงลูกค้าเยอะเสียด้วย
ไอ้จะจากไปรึก็อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่แล้ว
ในใจจึงภาวนาให้ใครสักคนในร้านสนใจเธอบ้าง
ราวกับความคิดถูกอ่านออก เมื่อสาวใหญ่วัยประมาณสามสิบกว่าในชุดสูทมั่น เดินตรงดิ่งมายังเธอ ดูจากการแต่งกายแล้ว คนตัวสูงเดาว่าน่าจะเป็นผู้จัดการ ที่ดูแลร้านไอศกรีมสาขานี้อยู่ ยังไม่ทันจะสบตาหรือยกมือไหว้
คนที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านก็ถามขึ้นก่อน
“รับอะไรดีคะ?” นี่คงเป็นคำพูดติดปากของพนักงานบริการกระมัง
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว เด็กสาวตัวสูงก็ยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
เป็นคำถามที่คนพูดพูดมากกว่าสิบรอบในวันนี้ และคงต้องเอ่ยถามต่อไปเรื่อยๆ หากว่าร้านแห่งนี้ไม่ต้องการเธอ
สาวใหญ่มองเด็กตรงหน้าด้วยแววตาพิจารณา ตั้งแต่หัวจรดเท้า...อิษฏ์อาณิกเหยียดยิ้มให้ตัวเองในใจอย่างปลงๆ หากว่าเธอมาร้านนี้เป็นร้านแรกคงจะรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนที่ถูกประเมินคุณค่าจากเพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มร่างกาย พวกเขาประเมิน...ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นผลงานของเธอด้วยซ้ำ...
เมื่อคำตอบของคนตรงหน้าบ่งบอกชะตาชีวิตตนเอง...ร่างสูงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
อิษฏ์อาณิกก้าวจากไปช้าๆ...เป็นไปตามคาด เธอไม่ได้งานในร้านไอศกรีมเฟรนชายด์ชื่อก้องโลก...
แต่ก็...ช่างมันเถอะ
แขนยาวกระชับเป้บนบ่าแล้วก้าวเดินต่อไป แววตาที่ฉายออกมาไร้ซึ่งความผิดหวังใดๆ เพราะเธอเองไม่ได้หวังไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกปฏิเสธ...ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกประเมินด้วยสายตาแบบนั้น ในวันก่อน เธอเคยนึกน้อยใจในโชคชะตา ว่าทำไมขีดเส้นให้ชีวิตเธอกลายเป็นพลเมืองชั้นรองในสังคม บางครั้งก็ถูกคนด้วยกันเองมองข้ามอย่างไม่ใยดี
...แต่วันนี้เธอเข้าใจโชคชะตาแล้วล่ะ ถึงโชคชะตาจะมอบแต่ความผิดหวังให้เธอเป็นเสียส่วนใหญ่ แม้กระนั้นคนบนฟ้าก็ยังใจดีอยู่บ้าง ที่ขีดเส้นให้เธอกำเนิดและเติบโตท่ามกลางคำสอนและการปฏิบัติตัวที่ดีงามของแม่...
นึกถึงหน้าแม่ทีไร กำลังใจก็เปี่ยมล้นในความรู้สึกแล้ว แม่ของเธอเคยบอกเสมอว่า คุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าหรือเครื่องห่อหุ้มกาย แต่คือศีลธรรมอันดีงามที่ห่อหุ้มจิตใจต่างหาก แม่บอกให้เธอตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม อย่าละความพยายามที่จะสรรสร้างสิ่งดีงาม เพื่อจรรโลงความน่าอยู่ของโลกใบนี้ ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นไปอีก
“อะไรนะป๊า...ไม่เด็ดขาด ถ้าป๊าไม่อยากให้บริษัทเจ๊ง อย่ายอมตามใจลูกสาวสุดที่รักคนนั้นเด็ดขาด” ชายหนุ่มร่างบึกบึนในชุดสูทพูดอย่างเอาเรื่อง ดูเขาจะจริงจังกับเนื้อความในประโยคนั้นเหลือเกิน ส่วนคู่สนทาของเขาอีกคนก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลไม่ต่างกัน
ก็ลูกสาวคนเก่งที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆประกาศปาวๆกับที่บ้านว่าจะเข้ามาทำงานที่บริษัทอย่างเต็มตัวเสียที ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในบริษัท แต่หารู้ไม่ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่คนในครอบครัว ‘พนายางกูร’ ลมแทบจับ หากลูกสาวคนโตของครอบครัวคิดจะลงมาทำงานในบริษัท
จะไม่ให้กุมขมับได้อย่างไรเล่า ลูกสาวอายุมากกว่าลูกชายสองปี แต่เรียนจบหลังลูกชายถึงสามปี!!!
ตอนแรกผู้เป็นบิดาส่งให้ไปเรียนที่ต่างประเทศ เจ้าหล่อนอยากจะเรียนอะไรก็ให้เรียนๆไป ปรากฏว่า ลูกสาวคนเดียวของตระกูลเปลี่ยนสาขาเรียนเป็นว่าเล่น เรียนอะไรได้นิดหน่อยก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ดรอปไปทำงานบ้างอะไรบ้าง กว่าจะจบ ทางมหาวิทยาลัยแทบจะเชิญให้ออก ความติสท์สุดฤทธิ์ผสมกันอย่างลงตัวกับความเอาแต่ใจสุดขั้ว ทำให้ลูกสาวคนโตของบ้านมีนิสัยที่ไม่ยอมโตเสียที
การถูกตามใจอย่างเป็นประจำจากครอบครัวทำให้เจ้าหล่อนมีความอดทนต่อสถานการณ์เลวร้านและความกดดันจากคนอื่นได้น้อย ดูจากที่เปลี่ยนคณะเรียนไปมาจนจบหลังน้องชายถึงสามปี นอกจากนั้นแล้วความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจนี่แหละเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำให้คนๆนี้ไม่ยอมโตเสียที ผู้เป็นบิดาฝากฝังความหวังของบริษัทไว้กับลูกชายคนเล็ก ท่านเชื่อว่า ‘นนท์’ จะเป็นผู้บริหารไฟแรงไม่แพ้ท่านและจะนำพาบริษัทก้าวไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน
“แล้วคุณเธอจะกลับมาเมื่อไหร่ฮะป๊า?” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เอ่ยถามผู้เป็นบิดา พลางทรุดตัวนั่งบนโซฟาสีดำหุ้มหนังสำดำมันวับที่ถูกขัดอย่งประณีต แม้ว่าบรรยากาศในห้องทำงานของประธานบริษัทโออ่าเพียงใด แต่ในหัวของนนท์กลัดกลุ้มอยู่กับเรื่องอารมณติสของพี่สาว
ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ‘Inspiration of Teatime’ นวดขมับแล้วถอนหายใจ “อาทิตย์หน้าแล้วแล้วล่ะนนท์”
ชายหนุ่มส่ายหัว “ผมไม่อยากให้บริษัทของคุณปู่ทวดที่สร้างกันมารุ่นต่อรุ่นต้องมาชะตาขาดในรุ่นนี้นะ”
แม้จะเป็นคำพูดติดตลก แต่คนพูดไม่ได้รู้สึกตลกด้วยเลย แค่นึกภาพพี่สาวสุดเหวี่ยงในตำแหน่งผู้บริหาร พ่นไฟวีนลูกน้อง เขาก็แทบอยากจะเก็บหล่อนยัดลงลิ้นชักสลักกุญแจไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด นิสัยเอาแต่ใจและเจ้าอารมณ์อย่างร้ายกาจของนทคงจะเผาบริษัทให้แหลกเป็นจุลแน่ๆ
เขาจำได้...เมื่อสมัยเด็ก พี่สาวถูกเลี้ยงมาอย่างเอาใจ และผลพวงของการเลี้ยงดูแบบนั้นทำให้เจ้าหล่อนไม่สนใจอะไรนอกจาก ‘ตัวเอง’ อยากทำอะไรก็ทำ อยากหยุดก็หยุด เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางนี่เป็นที่หนึ่ง ไม่ยอมคนนี่ก็ใช่ย่อย...
นทไม่มีประสบการณ์ในการทำงานที่บริษัทมาก่อน อย่าถามถึงประสบการณ์เลย ตั้งแต่เกิดมาหล่อนไม่เคยสักครั้งที่จะย่างกรายเฉียดมาใกล้บริษัท นทชอบออกไปเผชิญโลกภายนอกทั่วสารทิศ การติดแหง่กอยู่ในตึกเป็นสิ่งที่นทไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ทำไมครั้งนี้นทถึงได้ฉีกแนวความเป็นตัวของตัวเองก็ไม่รู้ หรือว่าหล่อนคิดอยากจะเปลี่ยนบริษัทให้เป็นอาณาจักรของหล่อน...โอ ไม่นะ แค่คิดขนหัวก็ลุกแล้ว...ถึงแม้ว่านนท์จะไม่เคยยี่ระต่อความสุดขั้วของพี่สาว แต่คราวนี้เขาต้องหาทางหยุดหล่อนให้ได้ ไม่เช่นนั้นบริษัทเฟรนชายด์ร้านกาแฟที่ถูกสร้างมารุ่นต่อรุ่น คงจะต้องถูกพี่สาวตัวดีเอาไปเล่นขายของแน่ๆ
วีรกรรมแสนซ่าของนทในวัยเด็กทำให้พี่เลี้ยงคนแล้วคนเล่าเก็บกระเป๋าลาออก นี่คงเป็นเพราะไม่เคยมีใครสยบเธอได้อย่างราบคาบกระมัง...
‘สยบนทได้อย่างราบคาบ...อย่างนั้นหรือ’ นนท์กระตุกหัวคิ้วกับความคิดที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มใจชื้นขึ้น หมื่นทางตันยังมีหนึ่งทางออก แล้วเขาก็เริ่มมองเห็นแสงสว่างริบหรี่รำไรอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแสงส่องทางไปหาทางออกหรือไม่?เขาไม่อาจคาดเดาได้ แต่มันก็ยังดีกว่ามืดมนหนทางในความคิดล่ะนะ
“ป๊าครับ ชีวิตป๊าเคยสยบยอมใครอย่างราบคาบหรือเปล่าครับ” เขาเก็บข้อมูลจากคนเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน เพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาวาระใหญ่หลวงในครั้งนี้ แต่มันก็ทำให้ผู้ที่นั่งประจำเก้าอี้ท่านประธานสงสัยในคำถามนั้นอยู่ไม่น้อย “ทำไมนนท์ถามแบบนี้ล่ะ”
“ก็เพราะว่ามันเป็นหนทางเดียวที่ผมมองเห็นตอนนี้ ในการกอบกู้บริษัทเอาไว้” เขาเอ่ยอย่างมีเลศนัยตามฉบับนักธุรกิจผู้เขร่งขรึม นนท์ฉลาดพอที่จะไม่โพล่งทุกอย่างในความคิดออกมา เขารู้ดีว่าอะไรควรพูดตอนไหนอย่างไร
“นนท์จะหาคนมาปราบเจ้านทรึ?” นี่ถ้าเป็นล็อตเตอร์รี่ นักธุรกิจหนุ่มหน้าโหดคงถูกรางวัลที่หนึ่งไปแล้ว บิดามองเขาออกทุลุปรุโปร่ง นั่นสินะ นักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจ แถมเป็นคนสอนงานให้เขา จะรู้ทันความคิดของเขานี่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
“มันเป็นหนทางเดียวที่นนท์คิดออกตอนนี้...หรือว่าป๊ามีวิธีที่ดีกว่านี้” เขาพูดพลางหยิบปากกาปลอกทองราคาแพงมาควงเล่นอย่างชำนาญ
คนอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมคลำทางถูก ท่านประธานพอจะเดาออกว่า หากนนท์หาคนมาปราบความร้ายกาจของพี่สาวได้จริงๆ โชคชะตาของชีวิตนทจะถึงจุดเปลี่ยนทันที
“นนท์ ...คนที่จะสยบเราได้อย่างราบคาบแบบนั้นน่ะ...” คนพูดปล่อยคำพูดทีละประโยคอย่างช้าๆ จนเหมือนกับเป็นบุคลิกที่น่าเกรงขามของนักธุรกิจ...
“ไม่ว่าใครก็ตามนะนนท์ ที่สยบเราได้อย่างราบคาบโดยที่เราเองก็เต็มใจ...”
จังหวะการควงปากกาปลอกทองช้าลง กลายเป็นท่าแบบเบสิคที่ทุกคนควงกัน เนื่องจากชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิมากในการควงปากกาท่านี้...
สายตาปราศจากความรู้สึกทอดมองไปยังพรมผืนบางราคาแพง แล้วเอ่ยออกมา
“คนๆนั้น คือคนที่เรา...รัก!” คำสุดท้ายถูกเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
..........
‘เกร๊ง!’ เสียงปากกาปลอกทองกระทบโต๊ะกระจก
คำว่ารักน่ะหรือ? คนบางคนใช้ชีวิตไปเกือบค่อนชีวิตยังไม่มีโอกาสได้รู้จักคำนี้เลย คนบางคำตามหาคนรักมาตลอดชีวิตก็ยังไม่เคยเลยที่จะพบรักแท้...แล้วคนเอาแต่ใจ ไร้ความสนใจกับสิ่งรอบข้างอย่างนทน่ะหรือ? จะพบกับความรัก...
ประธานบริษัทยังคงแสดงทีท่าเรียบเฉย ยากนักที่ลูกชายคนเล็กจะเดาออกว่าคนเป็นพ่อรู้สึกอย่างไร จากน้ำเสียงที่ท่านเอ่ย... “หาคนมาสยบเจ้านท เท่ากับหาคนรักมาให้เจ้านทนะนนท์”
ชายหนุ่มอึ้งไปชั่วขณะ...
“ป๊าคิดมากไปรึเปล่า” เขาหยุดพูดเพื่อหายใจ
“ถึงวันนั้นเราค่อยว่ากันอีกทีก็ได้ มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ป๊าคิดไว้เสมอไปนะครับ” แม้ปากจะพูดออกมาแต่ในหัวความคิดยังวนเวียนล่องลอย
เขาไม่รู้หรอกว่าเวลาคนเรามีความรักแล้วมันจะเป็นอย่างไร แต่หากมันทำให้นทหยุดคลุ้มคลั่งเรื่องที่จะมาป่วนบริษัท มันก็พอฟังได้
ประเดิมตอนแรกนะคะ
ฟิคเรื่องนี้ ยังเป็นฟิคที่ทักถอมาจากความรักไม่ต่างจาก my love on the beach
ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านทุกคนนะคะ
แอบมาอัพตอนตีสามกว่า หวังจะเซอร์ไพรสเด็กๆบางคนพรุ่งนี้
ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะคะ อย่าจ้องคอมมาก สายตาจะเสียเอา
รักคนอ่านเสมอไม่เคยเปลี่ยน
ความคิดเห็น