NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไอ้เอ๋อ my stupid's boy

    ลำดับตอนที่ #48 : 47

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.32K
      81
      15 พ.ย. 62

    47


     

    การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ ไอ้เอ๋อ เด็กหนุ่มออทิสติกวัยยี่สิบปี เริ่มจากตื่นมาในเช้าของวันใหม่พร้อมกับเพื่อนๆ บนโรงแรมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาในจังหวัดเชียงใหม่ ข้างกายมีชายร่างสูงเจ้าของโรงแรมคอยประคบประหงมไม่ห่าง หวงราวกับไข่ในหิน

    ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง พวกเขาออกมานั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้น อากาศบนยอดไม้มันหนาวเสียจนมีควันออกจากปากเวลาพูด

    “ฟวันๆ ฟวันๆ ฟุ่วๆ ๆ ดูสิครับ” เสียงแหบๆ พูดไปเรียกให้คนตัวสูงดูควันสีขาวที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศเวลาที่ตนเองเอ่ยอะไรออกมา

    “หึหึ หนาวมากไหม ตัวสั่นเชียว”

    “ไม่ ไม่หนาวครับ ก็พี่จ๋ากอดไว้แบบนี้จะหนาวได้ไง” ใช่มันจะหนาวได้ยังไงเมื่อเขาใช้ทั้งผ้าห่มทั้งตัวเองกอดร่างเล็กเอาไว้จนมิด แทบจะไม่มีช่องว่างให้อากาศเย็นลอดผ่าน

    พวกเขานั่งอยู่ตรงระเบียงกว้างที่ยื่นออกไปตรงผาเตี้ยๆ สายตาทุกคนจับจ้องไปยังด้านหน้า ผืนฟ้ากว้างค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา ดวงอาทิตย์กลมโตค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า ซีตัสรีบกดชัตเตอร์ระรัวเพื่อเก็บภาพเอาไว้ ส่วนปิงก็ทำการไลฟ์สดผ่านกลุ่มท่องเที่ยว มีหลายคนเข้ามาดูและให้ความสนใจมากพอสมควร ทุกคนดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัวจนไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้แต่นั่งดูเงียบๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนช่างจ้อประจำกลุ่มอย่างนะโม ที่ตอนนี้ใช้แผงอกของสิงห์เป็นที่พิงตัวไปแล้ว

    ใบหน้าหวานหยดเงยขึ้นมองคนที่ตัวเองใช้เป็นกำแพงมนุษย์แล้วส่งยิ้มหวานให้เป็นการขอบคุณที่พามาดูสิ่งสวยงามแบบนี้ หลังจากนั้นก็พากันไปกินมื้อเช้า

    สักพักเนมก็มาถึงรายนั้นพอเท้าเหยียบโรงแรมก็ตรงมาหาพี่ชายตัวเองที่นั่งกินลำไยจนแก้มป่อง มากอดมาวอแวจนทำให้สิงห์ต้องเดินมาแยกด้วยความหมันไส้ ของของใครก็หวงโดยเฉพาะไอ้แก้มยุ้ยนี่ด้วยแล้ว บอกตรงๆ กับพี่น้องเขาก็หวง!!!

    “คุณสิงห์คะกิจกรรมที่คุณให้ดิชั้นเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ” คุณแก้มผู้จัดการโรงแรม เดินมาบอกขณะที่ทุกคนกำลังนั่งเล่นอยู่ที่จุดชมวิว สิงห์พยักหน้ารับ

    “กิจกรรมอะไรเหรอพี่” ซีตัสเริกคิ้วถาม พอเห็นรอยยิ้มของคนอายุเยอะเท่านั้นแหละ

    กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกก

    “หึหึ เดี๋ยวก็รู้” ร่างสูงจ้องไปทางเนมแล้วแสยะยิ้มใส่

    “หูยย หน้าตาพี่จ๋าไม่น่าไว้ใจเลย” นะโมทำหน้าหวาดๆ

    “หึหึ คิดมาก” เพราะไอ้สายตาไม่น่าไว้ใจกับคำว่า คิดมากนี่แหละทำให้คนอื่นๆ เริ่มเห็นลางร้ายเข้ามาใกล้


     

    10.30น.

    “เอาจริงดิพี่ นี่พี่หลอกพวกผมมาทำอะไรเนี้ยยยยยย” ปิงลากเสียงยาวพร้อมกับมองไปยังเครื่องเล่นตรงหน้า จังเกิลโคสเตอร์

    “เอาน่า ถือว่าช่วยๆ กัน”

    “เห้ยพี่ แต่นี่แบบ มันลงเขาไงพี่”

    “งืออออ หนูกลัว ส้มส้ม งือกลัว” นะโมเดินไปหลบหลังส้มที่หน้าซีดไม่แพ้กัน

    “อิลูกกูก็กลัวไม่ต่างจากมึง” ส้มกอดตอบคนตัวเล็กแล้วส่ายหน้าไปมา บอกให้รู้ว่ากูจะไม่ขึ้นแน่ๆ

    “เนม! ลงไปนั่งสิ” สิงห์หันไปบอกด้วยเสียงนิ่งๆ

    “เห้ย ทำไมต้องผม! ” เนมเริ่มโวยวาย

    “มึงนั่นแหละ แต่เอ รึว่าไม่กล้า? ปอดอ่อ” สิงห์ยกยิ้มนิดเมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวล

    “ถ้ามึงไม่กล้า ก็ได้นะ นะโมครับ ลองเล่นไหม”

    “งะ T^T” นะโมส่ายหน้าวืด

    “หนุกนะ พี่ลองแล้วมานั่งกับพี่ก็ได้”

    “ฮรือออ เนมเนม พี่กลัว” พอนะโมร้องบอกแบบนั้นคนน้องจำใจก้าวขาลงกับที่นั่งที่เตรียมไว้ให้แค่ที่เดียว ร่างสูงของเนมหันมามองพี่ชายตัวเองที่ยืนน้ำตาซึมอย่างน่าสงสาร ผิดกับอีกคนที่แสยะยิ้มให้เขาเหมือนปีศาจร้าย

    “หึหึหึ”

    “พี่โกรธผม ที่ผมไปหอมแก้มนะโมใช่ไหม?” เนมกระซิบถามเสียงเครียด

    “แล้วแต่มึงจะคิด เกาะดีๆ ละ เพราะกูยังไม่ได้ทดสอบ มึงเป็นคนแรกที่ได้เจิม โชคดีนะน้องเมีย หึหึหึ”

    กึก

    คะ ครืดดดดดด

    “ว๊ากกกกกกกก ไอ้พี่เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงแหลมกรีดร้องดังโหยหวนลั่นป่าจนหายลับไป

    “งือออ เนมเนม” นะโมเอาแต่ชะเง้อมองหาน้องชายหมาดๆ ของตัวเองด้วยความเป็นห่วง

    “ปะ เราไปเล่นอย่างอื่นดีกว่า ที่นี่มีอะไรให้เล่นสนุกๆ เยอะเลยครับ” สิงห์ยิ้มหวานส่งให้ทุกคน แต่ทว่ามีแต่คนถอยห่างจากเขา

    “เล่นที่พี่ว่านี้คือ?” ซีตัส

    “กิจกรรมแอดเวนเจอร์ เอ็กตรีม ^^”

    “*0* ไอติมไหนๆ”

    “ฟังผิดแล้วมึง เอ็กตรีม อิสัสกูว่าแล้ววววว”

    “งะ T^Tพี่จ๋าทำไมทำร้ายหนู”

    “หึหึ ไปครับ เราไปโดดผากัน”

    “ม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”


     

    ใช่พวกเขาได้โดดผากันจริงๆ แต่เป็นแบบโหนสลิงข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งเท่านั้นและด่านก็มีบ่อน้ำไว้รองรับ สิงห์โหนไปกับนะโม และที่เหลือก็โหนกันไปเป็นคู่ๆ

    “แว๊กกกกกกกกกก งืออ พี่จ๋า อ๊ากกกก เร็วไปเร็วไป งื้ออจะฟ้องงงเนมเนม ฮรืออ หนูจะฟ้องยาย!!! ” เสียงร้องแหกปากของนะโมดังลั่นสิงห์ที่กอดเอวเล็กเอาไว้แน่นกลั้นขำจนจมูกบานสุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปิดบัง ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ นั่นคือตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง พอขาถึงพื้นก็พากันไปนอนกอง สั่นเป็นเจ้าเข้า นะโมหันไปแยกขึ้นวใส่คนพี่ที่นั่งกอดเอวเขาไม่ปล่อย จากนั้นก็ต่อด้วย กิจกรรม Ziplining ที่ทุกคนจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบๆ ตัวผ่านการโหนสลิง ไปตามทางเรื่อยๆ จากตอนแรกที่กลัวตอนนี้เริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว สิงห์คอยประกบนะโมเอาไว้ตลอดเพื่อความปลอดภัย จนถึงตอนนี้เนมเนมก็มาเล่นด้วยแล้ว สนุกจนลืมความกลัว จากนั้นก็เดินบันไดลิง ก่อนจะจบด้วยการขี่รถATVเป็นอย่างสุดท้าย

    “สุดทางนี้เราจะเจอน้ำตก มื้อเที่ยงเราจะกินกันที่นั่นแล้วก็เล่นน้ำด้วย” สิงห์บอกขณะที่ตรวจเช็คความปลอดภัยของทุกคน รถเอทีวี หกคันกำลังขี่ไปตามถนนแคบๆ ผ่านฟามโคนมที่ปล่อยเลี้ยงแบบธรรมชาติ

    “วู้ว วัว น้องวัว วัว วัว” นะโมชี้ไปที่ฝูงวัวที่แทะหญ้าอ่อนอยู่ริมรั้วสีขาว สิงห์เลยจอดแวะให้เด็กทักทาย

    “วัวของที่นี่เหรอพี่สิงห์”

    “ป่าวหรอก พอดีเจ้าของไร่มันเป็นเพื่อนพี่”

    “ใคร หรอพี่”

    “ไอ้พลัสนะ ไร่หัสดินทร์ เพราะมันนี่แหละพี่ถึงได้ที่ดินผืนนี้มา” สิงห์ตอบยิ้มๆ

    “หนูจับได้ไหม?”

    “เอาสิวัวไอ้พลัสมันเชื่องจะตาย” สิงห์บอกเขาเดินไปที่ข้างๆ รั้วแล้วเรียกวัวมาใกล้ๆ

    มอออออออ มออออ

    “เฮือกกกก!! “คนอยากรู้อยากเห็นสะดุ้งเฮือก ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ปากบางเริ่มเบะเพราะตกใจ

    “หงึ..T^T กลัวแล้วนะ เจ้าวัว เดี๋ยวตีเพี๊ยะๆ เลย” เจ้าตัวทำปากงุยๆ ว่าวัวที่พยายามจะยื่นหัวเข้ามาใกล้ แถมยกมือจะตีอีก

    น่ารักฉิบหาย

    “หึหึ มาครับ มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย” สิงห์เรียกคนรักเสียงนุ่มแค่สายตาที่มองไปที่นะโม ก็ทำเอาคนที่เห็นละลายได้ สายตาอบอุ่นที่มอบให้แค่คนตัวเล็กเพียงแค่คนเดียว

    “ ((สัส ไอ้เอ๋อมันทนสายตาแบบนั้นได้ยังไงวะ) )” ปิงหันไปกระซิบกับซีตัส

    “ ((กูก็มองมึงแบบนั้นออกบ่อย) )”

    “ ((เหรอมึง เหรอ กูเห็นแต่สายตาหื่นกาม) )”

    “ ((มึ้งงงง มึงดู กูไม่ไหว จับกูที) )” ส้มหันไปคว้าแขนของยิมที่ยืนอยู่ข้างๆ

    “ ((เชี้ยย กูนี่เป็นอากาศไปแล้ว!! จะหวานอะไรขนาดนั้น อิสัสแค่พี่กูอยากจับวัวจำเป็นต้องประคองกอดขนาดนั้นไหม! ) )” เนมทำท่าจะเข้าไปขวาง ส้มเลยกระชากหัวเอาไว้

    “ ((มึงอย่าขัดความสุขลูกกู มึงหยุด! ) )”


     

    หลังจากเล่นกับวัวเรียบร้อยก็ขี่รถกันต่อ จนถึงธารน้ำตก ตรงนั้นมีร้านคาเฟ่เล็กๆ ไว้บริการนักท่องเที่ยว ตกแต่งสไตล์มินิมอลเน้นโทนเขียวขาวเข้ากับบรรยากาศ เราต้องเดินขึ้นบันไดหินที่ขนาบข้างกับน้ำตกเพื่อไปยังคาเฟ่ พอเปิดประตูเข้าไปกลิ่นกาแฟก็หอมโชยมาตีจมูกความจริงคาเฟ่นี้ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ รอเปิดพร้อมกับโรงแรมเลยแต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษเพื่อทดสอบระบบต่างๆ ของร้านด้วย มื้อเที่ยงเลยลงเอยที่นี่ ได้สปาเกตตีกันคนละจานกับของหวานเป็นบิงซูมะม่วง หวานหอมชื่นใจ นะโมติดใจมาก บอกอยากกินอีก ต่สิงห์ไม่ให้กินแล้วเพราะกำลังจะพาไปเล่นน้ำแล้ว

    ทุกคนสนุกสนานกับการเล่นน้ำ ถือว่าทริปวันแรกประสบความสำเร็จ กว่าจะเล่นน้ำเสร็จก็เกือบเย็นเลยพากันกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกินมื้อเย็นกันที่ลานกว้างด้านล่าง

    “บาบีคิว!! เยสๆ ๆ ๆ !! ” ยิมที่ใช้พลังงานไปจนหมดเมื่อตอนบ่ายพอเห็นว่ามื้อเย็นเป็นบาบีคิว ก็กระโดดตัวลอย

    “เนื้อๆ เนื้อจ๋าพี่มาแว้วววว*0*” ซีตัสเป็นคนแรกที่เดินไปจองเตาย่าง ร่างสูงของเด็กมอปลายกำลังลงมือย่างเนื้อ เพื่อมาบริการทุกคน กินไปคุยกันไปท่ามกลางขุนเขาที่รายล้อม รอบบริเวณถูกตกแต่งด้วยไฟสีหลากสีสวยงาม เนมที่นั่งมองพี่ชายตัวเองยิ้มอย่างมีความสุขเขาเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย เสียงหัวเราะเสียงพูดคุยยังคงดังต่อเนื่องไปพร้อมกับมื้ออาหาร เนมมองไปรอบๆ ก่อนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาขึ้นไปแมคบุค ออกมาแล้วเข้าโปรแกรมสไกด์ติดต่อหาใครบางคนที่อยู่แดนไกล

    “นะโม พี่มานี่หน่อย” เนมกวักมือเรียก สิงห์หันมามองเขา สบตาเพียงครู่ก็พานะโมเดินมาหา

    “อะไรหรอเนมเนม” มือหนึ่งยังถือไม้เสียบบาบีคิวเอาไว้ ดวงตากลมสบมองน้องชายตัวเองด้วยความสงสัย

    “มีคนอยากคุยด้วย” เนมยิ้มพร้อมกับเรียกให้ไปนั่งใบหน้าหวานมองไปยังจอ เห็นใครบางคนที่นั่งในรถเข็น ใบหน้านั้นดูอ่อนแรงและซูบผอม เนื่องจากโรคร้ายที่รุมเร้า

    “ใครหรออ”

    “นะโม..ฮึก ลูก” แค่คำที่เอ่ยมาก็พาเอาคนที่ฟังหยุดชะงัก ดวงตากลมจ้องไปยังคนอีกฝาก

    “พะ พ่อ พ่อ พ่อ” ริมฝีปากบางเรียกคนตรงหน้าซ้ำๆ ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำใส ก่อนจะไหลออกมาเป็นทาง ตอนนี้ทุกอย่างเงียบลราวกับรู้ถึงสถานการณ์และยืนมองดูอยู่ห่างๆ มือบางยื่นไปจับภาพหน้าจอเหมือนกับจะส่งผ่านไปยังอีกคนได้ นิ้วเรียวลูบลงไปยังโครงหน้า

    “ฮึก นะโม พ่อ พ่อขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ฮึก” คำขอโทษจากหัวใจของคนเป็นพ่อตอนนี้กำลังส่งต่อไปยังบุตรชายคนโตทายาทที่หายสาบสูญมานานยี่สิบปี ตอนนี้เขาได้เจอแล้ว

    “ฮึก พ่อ พ่อจ๋า พ่อเป็นอะไร ฮึกทำไมต้องนั่งรถเข็น ทำไมไม่หล่อเหมือนเนมเนมเลย” คำบางคำร่างบางก็ไม่อาจจะเรียบเรียงได้ไม่ดีนักแต่น้ำเสียงและแววตาสามารถสื่อออกไปได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้ดีใจมากแค่ไหน และก็เสียใจมากแค่ไหน กับสิ่งที่เห้นอยู่ตรงหน้า นะโมไม่ได้เป็นคนโง่ ดูจากที่เห็นน้องรู้ว่าพ่อตัวเองกำลังป่วยหนัก

    “หึหึ พ่อไม่สบายนิดหน่อย หนูอย่าเป็นกังวลไปเลยนะ”

    “ฮึก ครับ พ่อจ๋า กินยารึยัง พ่อต้องกินนะจะได้หายไวๆ” ใบหน้าอ่อนแรงยิ้มออกมาอย่างดีใจ เขารู้สึกตื้นตันจนน้ำที่ไหลออกมา เขาคุยกับลูกชายทั้งสองอยู่นานถามถึงเรื่องราวต่างๆ มีบ้างที่อคิณรู้สึกเศร้าเพราะเจ้าตัวเล่าถึงวันเกิดที่ผ่านมาแต่ก็ยังอยากจะฟังเสียงเจี้ยแจ้วที่จ้อไม่หยุด

    ขอเพียงคนตรงหน้ามีชีวิตที่ดีเขาก็ตายตาหลับ ตอนนี้ตราบาปในใจเขาได้หายไปจนเกือบสิ้น เหลือเพียงความหวังที่จะยังมีชีวิตต่อ ต่ออีกสักนิดเพื่อให้ได้อยู่ดูลูกชายทั้งสอง อคินฝืนร่างกายตัวเองต่อไปไม่ไหว

    “พ่ออย่าลืมกินยานะ อย่าลืมนะ ไปหาหมอด้วยนะ เหมือนหนูหนูก็ไปหาพี่หมอบ่อยๆ พี่หมอบอกว่าหนูจะดีขึ้น เพราะงั้นพ่อจะต้องหายนะ”

    “ครับพ่อจะกินยาจะได้หายไวๆ”

    “สัญญานะ”


     

    “ครับพ่อสัญญา”

    “ฮึกจะมาหาหนูไหม พ่อจะมาหาหนูใช่ไหม?”

    “แคกๆ ครับพ่อจะไปหา” เขาได้แต่เพียงสัญญาทั้งที่ตัวเองก็ไม่อาจจะแน่ใจว่าจะไปหาได้หรือไม่

    “อื้อ พ่อพักผ่อนนะครับ”

    “ครับ เนม พ่อฝากพี่ด้วยนะ”

    “หนูรักพ่อนะ”

    “ฮึก พ่อก็รักหนูครับ แคกๆ” สายตัดไปแล้วเนมมองหน้าทุกคนที่ตอนนี้น้ำตาซึมกันไปหมด

    “เนมเนม ฮึก” คนพี่หันไปกอดคนน้องเอาไว้แน่น พร้อมกับร้องไห้ออกมา

    “พี่ไม่โกรธพ่อแล้วใช่ไหม ไม่เกลียดเขาแล้วใช่ไหม”

    “ไม่เคยโกรธ เราไม่เคยโกรธ ฮึกเรา แค่ น้อยใจ เนมเนม พ่อเป็นอะไร ทำไมต้องนั่งรถเข็น”

    คนน้องอึกอัก ไม่ยอมตอบ

    “พ่อไม่สบายไง กินยาไง เดี๋ยวก็หาย” เนมโกหก อาการของอคิณแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

    “เหรอ ไม่โกหกเรานะ”

    “ไม่โกหกหรอก บ้าใครจะโกหกกันเรื่องแบบนี้” เนมยกมือเกาท้ายทอยแล้วหันหน้าหนี ถ้าขืนมองตาอีกนิดเขาคงหลุดพูดออกไป สิงห์เลยเบนความสนใจโดยการพาเดินออกไปที่ลานกว้าง แล้วสั่งให้พนักงานปิดไฟโดยรอบ

    พรึบ!!

    “เห้ยยย ไรวะ ปิงมึงอยู่ไหน!! ”

    “อยู่ข้างหลังมึงนี่ไง”

    “สัส เหยียบตีนกู”

    “อิเนมกูขอโทษ”

    พอปรับสายตาได้ก็พากันเงียบ ไม่นาน เสียงไฟดวงเล็กค่อยๆ โผล่ขึ้นมาทีละดวงๆ รอบๆ ต้นลำพูต้นใหญ่และกระจายอยู่ทั่วบริเวณ

    “อะไร อะไร หรอพี่จ๋า ผีกระสือหรอ แต่ทำไมตัวเล็กจัง”

    “หึหึ ไม่ใช่ครับมันคือหิ่งห้อย สวยไหม”

    “สวยจังเลยครับ” สิงห์คว้าหิ่งห้อยตัวหนึ่งเอาไว้แล้วแบมือให้คนตัวเล็กดู ดวงไฟดวงน้อยค่อยลอยขึ้นตรงหน้า นะโมยิ้มกว้างให้กับสิ่งที่เห็น และพยายามจะจับบ้าง

    “จับเขาเบาๆ นะครับ”

    “ครับ วู้ววว ดูสิพี่จ๋า น้องหิ่งห้อยน่าย๊ากกกก” พูดด้วยเสียงหวานๆ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยให้หิ่งห้อยเป็นอิสระ ไม่รู้ว่าทุกคนเดินมารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือทุกคนมีโทรศัพท์และยกขึ้นถ่ายรูปเอาไว้ ปิงไลฟ์สดผ่านเฟสบุคอีกครั้งแน่นอนยอดแชร์วีดีโอของเขาตอนนี้ขึ้นเป็นหลักร้อยแล้วและมีแนวโนมจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่บรรยากาศ ประเด็นมันอยู่ที่ภาพด้านหลัง

    พี่มึงจะมายืนจูบกันแบบนี้ไม่ได้!!!!

    เอาเป็นว่าภาพที่ไลฟ์สดเมื่อคืนกลายเป็นไวรัลเพียงแค่ข้ามคืน เพราะอะไรนะเหรอ เพราะคนตัวสูงที่มีหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นยังไงละ หลายคนสืบค้นประวัติของสิงห์ พอได้ข้อมูลก็ยิ่งกรี๊ดเข้าไปใหญ่ และที่สำคัญทุกคนสงสัยว่าสิงห์จูบกับใคร!!

    “เป็นไงละ ดังข้ามคืนเลยพี่ชายกู มีแต่คนมาถามว่าใครกันคือผู้โชคดีได้จูบกับเจ้าของโรงแรม ตระกูลดัง อิจฉา!! ” โดนแซวแต่เช้าต่อให้แซวก็ไม่เข้าใจ ร่างบางในอ้อมกอดอุ่นก็ได้แต่หัวเราะชอบใจกับสายตามารร้ายของคนอื่นๆ

    “กูเหม็นความรัก!! ” ยิมย่นจมูกใส่อย่างเหม็นเบื่อ

    “คึคึคึ ยิมยิมทำหน้าตาตลก”

    “จุ๊บ ครับ หน้าตาตลกดี ถ้าอิจฉามากก็รีบบอกเค้าซะสิ ชักช้าก็เสียเวลาหมาคาบไปแดกกุไม่รู้ด้วยนะ” สิงห์จุ๊บแก้มนวลของคนในอ้อมกอดแล้วบอกกับยิมด้วยสีหน้าเหมือนรู้อะไรบางอย่าง

    “ก็หาโอกาสบอกอยู่” ยิมตอบเสียงอ้อมแอ้ม พร้อมกับมองคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา

    “โรงแรมกู ออกจะโรแมนติกหาที่ไหนไม่ได้แล้วนะเว้ย”

    “รู้แล้วน่าพี่ เชิญสวีทกับเมียไปเถอะ! ”


     

    +++++++++++++++++

    ช่วงสาย สิงห์พาเด็กๆ ลงไปที่ไร่สตอเบอร์รี่และไร่ชาของชาวบ้าน ที่กำลังจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งทางโรงแรมของสิงห์กำลังติดต่อรับเอาสินค้าจากชาวบ้านไปใช้ในโรงแรมด้วย นะโมกินสตอเบอร์รี่จนปากเลอะพุงกาง เรียกได้ว่าถล่มไร่เขาซะเกือบเจ้ง หลังจากนั้นก็พาเดินตลาด ได้ของกินแล้วก็ของฝากมาหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดสิงห์เป็นคนจ่ายให้

    ไม่เรียกว่าป๋าแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

    ตกบ่าย

    “พี้....เอาจริงนี่แกล้งพวกผมรึเปล่าเนี้ยะ” เนมยืนมองลูกบอลยักษ์ที่บรรจุน้ำเอาไว้ข้างใน สิงห์พาเด็กๆ ขึ้นมาบนเนินเขาลูกเตี้ยๆ พอมาถึงทุกคนก็ต้องร้องออกมา

    “อยากให้ลอง สนุกเชื่อกูดิ”

    “พี่ก็พูดแบบนี้ทุกรอบอะ” เนม

    “กูก็เห็นมึงเต็มที่ทุกรอบเหมือนกัน ไปไหนใครจะลองก่อน” สิงห์หันไปถาม ทุกคนเอาแต่ก้าวถอยหลังยกเว้น

    “หนู หนู หนูอยาก” นะโมชูมือขึ้นสุดแล้วโบกไปมา

    “อะ พี่มึง คนแรกเลยงั้น” เนมผลักหลังของสิงห์แล้วก็หัวเราะ

    “เห้ออ ก็ได้ครับ หนูปีนเข้าไปเลย” จากนั้นสิ้งห์ก็ตามเข้าไป ร่างบางดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในลูกบอล สิงห์ขยับตัวแล้วโอบกอดนะโมเอาไว้

    “จับพี่ไว้ดีๆ นะครับ ไม่กลัวใช่ไหม” นะโมส่ายหน้า

    “ไม่กลัว ไม่กลัว” พอพวกเขาพร้อมเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยลูกบอลให้ลงจากเขา

    “กรี๊ดดด คิกคิก ฮ่า กรี๊ดๆ ๆ ๆ” ทั้งหัวเราะทั้งร้องกรี๊ด แม้ว่าตัวเองจะกลิ้งไปตามทาง นะโมกำลังสนุก กำลังได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากกิจกรรมที่สิงห์พาไปทำ ทั้งฝึกความกล้าหาญและความอดทน ให้น้องได้ก้าวข้ามความรู้สึกหวาดกลัว พอเห็นว่านะโมเริ่มเล่นได้ทุกคนก็เอาด้วย

    ทุกคนหมดแรงกับกิจกรรมที่ดรงแรมจัดไว้ไห้ ทั้งเพ้นท์บอล ดรายเสลจ นั่งไปกับเรือยาง ไหลลงจากที่สูง อันนี้นะโมเล่นไม่หยุด เล่นจนหมดแรง จนต้องอุ้มกันกลับที่พักกันเลยทีเดียว

    ตกเย็นนะโมขอร้องให้เนมติดต่อหาอคิณอีก เนมไม่ขัดอยู่แล้ว เพราะเขาได้โทรไปบอกผู้เป็นพ่อเรียบร้อย พ่อลูกคุยกันเพลิน อคิณมีสีหน้าที่สดใสขึ้น เพราะคำขอของนะโม

    “พ่อต้องอยู่กับหนูนะ ต้องมาหาหนูนะ”

    สองอาทิตย์ต่อมา


     

    “นะโมครับ ไปอาบน้ำก่อนเร็ว” สิงห์เรียกให้คนรักไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เพราะวันนี้จะมีแขกมาที่บ้าน

    “อาบทำมายยย ไม่อาบบ” เด็กดื้อส่ายหน้าไปมาพร้อมกับพลิกตัวหนี

    “เดี๋ยวจะมีคนมาหาเราที่บ้าน ไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

    “งื้ออ ใครจะมา หนูง่วงงง เมื่อคืนพี่จ๋าทำเยอะ” ใช่เขาทำเยอะทำแรงด้วย เพราะใครละที่ยั่วเขาจนตะบะแตก ไอ้แมวขี้ยั่วเอ้ย

    “ลุงทนายครับ ลุงทนายจะมาหา”

    “ลุงทนายคือใคร หนูไม่รู้จัก -3- “พูดแล้วก็มุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม

    “อย่าดื้อสิครับ ลุกขึ้นมาเร็ว”

    “เอ๊ะพี่จ๋านี่” ลุกขึ้นมาแล้วทำหน้าแง้วๆ ใส่ หัวก็ยุ่งหน้าก็บี้

    “หึหึ ไปเร็วครับเดี๋ยวลุงเค้าจะมาแล้ว” นะโมปรือตามอง

    “ถ้าน้องลุกน้องจะได้อะไรครับ” แหนะมีต่อรอง มันน่าตีจริงๆ

    “เจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวันแล้วนะครับ” สิงห์ว่ายิ้มๆ พร้อมกับบีบจมูกรั้นนั้นเอาไว้ด้วยความมันเขี้ยว

    “งือออ อ่อย อ่อย อ้อง”

    “ถ้าปล่อยแล้วหนูต้องไปอาบน้ำแต่งตัวนะครับ”

    “ม่ายยยยยเอา คิคิคิ” พอสิงห์ปล่อยเด็กแสบก็พลิกตัวลงจากที่นอนแล้ววิ่งหนีเขา

    “แสบจริงๆ”

    กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ไปอาบน้ำเขาก็เสียเงินไปหลายบาท กับสติกเก้อไลน์ที่เจ้าตัวเอามาต่อรอง หลังจากนั้นก็กินมื้อเช้าวันนี้สิงห์เรียกเพื่อนๆ ของเขากับต้าร์ และเนมให้เขามาหาด้วย ไม่นานคนที่นัดไว้ก็มาถึง

    “สวัสดีครับคุณทนาย” สิงห์ยกมือไหว้ทนายสงกานต์ ทนายของหลวงตาบัว

    “สวัสดีครับคุณสิงห์ คุณนะโมอยู่ด้วยแล้วใช่ไหมครับ”

    “ครับ น้องนั่งดูสารคดีอยู่ด้านใน”

    พอทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว ทนายก็เริ่มเปิดพินัยกรรมที่หลวงตาบัวได้เขียนเอาไว้ก่อนตาย ว่าทรัพย์สินทั้งหมดของหลวงตาจะตกเป็นของนะโมแต่เพียงผู้เดียว ทั้งเงินในบัญชีที่หลวงตาเก็บหอมรอมริบเอาไว้เป็นจำนวนเลขหกหลัก สิงห์หยิบสมุดบัญชีที่หลวงตาฝากเอาไว้ออกมาแล้วยื่นให้น้อง โฉนดที่ดินจำนวนสี่ไร่ และสุดท้ายเป็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่ง รูปของนดา

    “และนี่เป็นจดหมายของหลวงตาที่ฝากให้ถึงคุณนะโมครับ” นะโมรับจดหมายมาอ่าน

    “นะโม ถ้าเอ็งได้อ่านจดหมายฉบับนี้ นั้นหมายความว่าข้าคงไม่ได้อยู่กับเอ็งแล้ว ข้ารู้ว่าเอ็งอยากรู้ว่าพ่อแม่ของเอ็งเป็นใคร เอ็งไม่ได้เกิดมาจากอีเปรี้ยวนะ เอ็งมีพ่อมีแม่ แต่เพื่อความปลอดภัยของเอ็ง ทำให้นดาต้องทิ้งเอ็งไว้กับข้า เอ็งอย่าไปโกรธไปเกลียดแม่เอ็งเลยนะ ตั้งแต่แม่เอ็งรู้ว่ามีเอ็งมันก็รักมันถนุถนอมเอ็ง แต่โชคชะตามันคงจะเล่นตลกกับชีวิตเอ็ง พ่อเอ็งทิ้งแม่เอ็งแต่งงานใหม่ โดยที่ไม่รู้ว่ามีเอ็งอยู่ในท้อง ตอนนั้น ทางคุณหญิงราตรีเค้าไม่ชอบแม่เอ็ง เขาหาว่าเอ็งเป็นชู้ เขาเลยตามจองล้างจองผลาญแม่เอ็งจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน แม่เอ็งร่างกายไม่แข็งแรงแต่ฝืนที่จะเก็บเองไว้ จนกระทั่งเอ็งคลอดออกมา ไม่นานแม่เอ็งก็สิ้นใจ ก่อนตายแม่เอ็งให้ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องว่าใครเป็นพ่อของเอ็ง ให้เอ็งตายไปพร้อมกับแม่เอ็ง จะได้ไม่มีใครมาตามหา ตามฆ่าอีก เอ็งถึงได้อยู่รอด ข้าไม่มีอะไรจะให้เอ็งนอกจากคำสอนที่ข้าพร่ำสอนอยู่ทุกวัน “คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” เอ็งจำคำข้าไว้นะ ว่าข้ารักเอ็งที่สุด เอ็งอย่าดื้อกับคุณสิงห์ อย่าเอาแต่ใจ ตั้งใจเรียนให้สูงๆ เอ็งจะได้มีอนาคตที่ดีจะได้ไม่มีใครมาดูถูก จะได้เลี้ยงตัวเองได้ ข้าม่รู้จะบอกอะไรเอ็งแล้ว ถึงข้าจะไม่อยู่แต่ก็ขอให้รู้ไว้ว่าข้าจะปกป้องเอ็งเสมอ จะดูแลเอ็งอยู่ข้างบนนั้น

    ปล.หลานรัก

    หลวงตาบัว


     


     

    “ฮึก...” น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงบนแผ่นกระดาษจนหมึกแตกซึม มือเล็กสั่นไปหมดไม่มีแรงแม้กระทั่งจะถือกระดาษแผ่นนั้น สิงห์หยิบมันขึ้นมาอ่านแล้วโอบกอดนะโมเอาไว้ เขาเองก็พึ่งจะรู้เรื่องราวทั้งหมด เนมที่เงียบอยู่นานก็พูดขึ้นมา

    “พ่อไม่ไดตั้งใจจะทิ้งแม่เล็กนะครับ พ่อไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงหนีไป พ่อเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากแต่งานกับแม่ของผม พ่อขอร้องให้พาแม่เล็กเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยฐานะเมียอีกคน ตอนนั้นแม่ผมยอม แต่ไม่รู้ทำไมพ่อถึงหาแม่เล็กไม่เจอ ผมไม่คิดว่าแม่ของผมจะทำกับแม่น้อยแบบนี้ ถ้าตอนนั้นผมไม่บังไปได้ยิน ผมก็ไม่รู้ว่าผมมีพี่ชายอีกคน พอผมเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ พ่อกับแม่ก็ทะเลาะกันตลอดจนกระทั่งแม่ป่วย แม่ได้ยอมพูดความจริงว่าแม่เป็นคนทำให้แม่น้อยหนีไป เป็นคนสั่งให้ตามฆ่า” น้ำตาของเนมไหลอาบแก้ม เขารู้สึกผิดแทนแม่ของตัวเอง รู้สึกผิดที่ทำให้พี่ชายต้องมาเจออะไรที่เลวร้ายแบบนี้

    “พี่ครับ ได้โปรดยกโทษให้แม่ของผมได้ไหม ฮึก ยกโทษให้พวกผมด้วย” เนมนั่งคุคกเข่าลงตรงหน้านะโม

    “เนมเนม ฮึก เนมเนม ไม่โกรธ ไม่โกรธเลย” นะโมพุ่งตัวเข้าไปกอดน้องชายตัวเองเอาไว้ รับเอาความรู้สึกผิดเอาไว้กับตัวเอง

    “เนมเนมไม่ผิด เรารักเนมเนมนะ อย่าร้องไห้นะเดี๊ยวแม่เราเพี้ยะๆ นะ” ทั้งสองกอดกันแน่นไม่ยอมปล่อย สุดท้ายสิงห์ก็ต้องแยกทั้งคู่ให้ออกจากกัน เพราะยังไม่จบพินัยกรรม

    “ให้คุณนะโมเซ็นรับพินัยกรรมพร้อมกับพยานก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ” ทนายสงกานต์บอก พอทุกคนเซ็นครบทนายสงกานต์ก็ขอตัวกลับคนอื่นๆ ก็ด้วย เหลือแค่เพียงเนมที่ยังไม่กลับ

    เขาต้องการคุยอะไรบางอย่างกับสิงห์


     

    “พี่ครับผมมีเรื่องจะขอร้อง พี่ช่วยผมหน่อยได้ไหม”

    “เรื่องพ่อของน้องใช่ไหม”

    “ครับ ท่านเหลือเวลาไม่มากแล้ว ผมอยากให้น้องไปดูใจท่าน”

    “อืม พี่เข้าใจ จะไปวันไหนก็บอกพี่จะได้เคลียงานที่นี่”

    “ขอบคุณพี่มากๆ เลยนะครับ” เนมบอกจากใจจริง

    “พี่อยากให้มีปาฎิหารนะ ถ้านะโมทำได้”

    “แค่นี้ก็ปาฎิหารมากพอแล้วครับ พี่ยืดเวลาให้พ่อมามากพอแล้ว พอที่พ่อจะจัดการทุกอย่าง”

    “....”

    “พ่อได้คุยกับพี่ทุกวัน ได้ยิ้มทุกวันมันยืดเวลาของพ่อออกไปอีกนิด แต่พี่ก็รู้ว่าโรคนี้มันรักต่อไปไม่ได้แล้ว มะเร็งมันเริ่มแพร่กระจายไปทั่วแล้ว พ่อหมดแรงยื้อแล้วครับ” เนมพูดไปเช็ดน้ำตาไป พยายามที่จะไม่ร้องไห้ ต่อไปเขาจะต้องเป็นเสาหลักให้นะโม เป็นเสาหลักให้บริษัท ซึ่งตอนนี้พ่อเขาเทขายไปแล้วหลายที่ โดยที่ยังถือหุ้นอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ เอาไว้ให้ลูกหลายได้กินเงินปันผล ทรัพย์สินทั้งหมดถูกแบ่งออกให้ลูกชายทั้งคู่เท่าๆ กัน

    “มึงเป็นคนเข้มแข็ง กูรู้ว่ามึงต้องผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้ บอกกูมาละกันว่าจะไปหาพ่อวันไหน กูจะพาน้องไป”


     

    อาทิตย์ถัดมา

    สิงห์ เนม และนะโม นั่งเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าสัวอคิณไปที่อเมริกา นะโมตื่นเต้นจนเป็นลม เพราะมองลงจากพื้นที่สูง พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องแง้วๆ เอาแต่จ้องออกนอกหน้าต่าง ใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมงก็ถึงที่หมาย เนมพาสิงห์กับนะโมไปพักที่คฤหาสน์หลังใหญ่ บ้านของพวกเขาที่ตอนนี้เงียบเหงา เหลือเพียงสาวใช้กับลูกน้องอีกไม่กี่สิบคน เพราะนายใหญ่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล

    “พวกพี่ขึ้นไปพักเถอะ พรุ่งนี้เช้าผมจะพาไปหาพ่อ”

    “อืม ไปครับนะโม ขึ้นไปนอนเนอะ ลืมตาหน่อยครับจะพาขึ้นบันได”

    ตกเย็นเนมเรียกให้ทุกคนมาพบที่ห้องโถงใหญ่เพราะจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะโม เจ้าของบ้านอีกคน ทุกเอ็นดูนะโมเพราะความน่ารักกันหมด

    เช้าวันถัดมา พวกเขาไปหาอคิณที่โรงพยาบาล วินาทีแรกที่อคิณเห็นใบหน้าของลูกชายเขาก็ปล่อยโฮออกมา นะโมโผเข้ากอดอีกคนแน่น

    “มาแล้วเหรอลูก ฮึก พ่อคิดถึงหนูมากเลยรู้ไหม”

    “ฮึก พ่อจ๋า กลับบบ้านกันนะๆ” นะโมไม่อาจจะยอมรับได้ว่าพ่อของตัวเองไม่มีแรงแล้ว

    “หึหึ พ่อก้อยากกลับครับ แต่พ่อต้องให้หมอดูแล ยังกลับตอนนี้ไม่ได้”

    “หนูรักพ่อนะ หนูไม่โกรธพ่อ ไม่โกรธ”

    “ครับพ่อรู้แล้ว พ่อหมดห่วงแล้ว”

    “ฮึก อย่า พูดแบบนั้น หลวงตาก็พูดแบบพ่อ แล้วหลวงตาก็ทิ้งหนู ฮึกไม่เอา”

    “หึหึหึ นะโมฟังพ่อนะ พ่อไม่ได้ไปไหน พ่อยังอยู่ในนี้ไง” อคิณจับที่หน้าอกของนะโม

    “..ฮึก..”

    “พ่อเหนื่อยครับ พ่ออดทนเพื่อที่จะได้เจอหนู ตอนนี้พ่อได้เจอแล้ว” อคิณยิ้ม

    “...ฮึก...”

    แกรกกกก

    “พี่คิน!! ”

    “อ่า..นนท์มาแล้ว นี่ลูกชายชั้นที่เคยเล่าให้ฟัง”

    “....”

    “นะโม นี่ลุงอนนท์น้องชายของพ่อ” นนท์มองนะโมอย่างอึ้งๆ

    “เหมือนนดามากเลย” นนท์พึมพำ นะโมยกมือไหว้

    “ใช่ไหมล่ะเขานะตาเหมือนแม่ อึก” อคิณร่างกระตุก แต่ก็ยังฝืนตัวเองไว้ ร่างกายเขาเริ่มรับไม่ไหว มอฟินที่ให้หมอฉีดไว้กำลังหมดฤทธิ์

    “พี่ทำไมต้องมาบอกเอาตอนสุดท้ายตลอด ตอนป่วยผมก็รู้เป็นคนสุดท้าย เวลาจะตายผมยังได้รู้เป็นคนสุดท้ายอีก พี่แมร่งใจร้ายวะ” นนท์ตัดพ้อ ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะพยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้

    “ก็มึงขี้กลัว ขี้กังวล”

    “แต่ผมเป็นน้องพี่นะเว้ย”

    “หึหึ มากอดกูสิ อยากกอดกูไหม” อคิณกวักมือเรียกให้น้องชายเข้าไปกอดมันเป็นอ้อมกอดสุดท้ายที่เขาจะมอบให้

    “หนูอยากกอด ฮึก”

    “ผมด้วย” ครอบครัวกำลังกอดลากันเป็นครั้งสุดท้าย

    “กูหมดห่วงแล้ว เนมดูแลพี่ให้ดีๆ นนท์กูฝากดูหลานด้วย สำหรับคุณ ชื่อสิงห์ใช่ไหม” อคิณหันไปหาสิงห์ที่ยืนอยู่เงียบๆ เฝ้ามองคนรักด้วยความห่วงใย

    “นะโม ผมฝากคุณด้วย อย่าทำให้ลูกผมเสีย อึก ใจ ดูแลเขาแทนผม อึก..ด้วย” ดวงตาคู่คมประสานกันต่างคนต่างมอง

    “ครับผมสัญญา”

    “พ่อง่วงแล้วครับ พ่อขอนอนก่อนได้ไหม” อคิณส่งยิ้มให้กับทุกคน เนมยิ้มทั้งน้ำตา นะโมกอดอคิณไม่ยอมปล่อย ซบอยู่ตรงหน้าอกฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแผ่วลง แผ่วลง

    “ฮรืออออ ไม่เอาไม่เอา”

    “พี่ครับ ฮึก ให้พ่อนอนนะ” เนมพยายามดึงนะโมออกมา

    “ฮึก ปล่อยน้องเถอะเนมให้น้องได้กอดมันไว้”

    “^^” อคิณส่งยิ้ม แล้วค่อยๆ หลับตาลง เขาจากไปแล้วจากไปกับความสุขสุดท้าย เขาปลดความทุกข์ใจเอาไว้แล้วจากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของลูกชายที่รัก....


     

    “พ่ออออออ ฮรืออออ ม้ายยยยย”

    เหลือไว้เพียงน้ำตาที่เวลาจะเยียวยารักษามันเอง


     

    ++++++++++++++++++++++++++++++.

    ตอนนหน้าจบ ปมหมดแล้ว เย้ หรือใครเจอปมสงสัยทักมาเลยเด้ออ

    เราจะร้องไห้ไปด้วยกัน ถ้าไม่อินก็ต้องขออภัยด้วยนะคะT^T


     


     


     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×