คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ 100%
...เส้นทางความรักที่มืดดำจนมองไม่เห็นทางออกใดๆ
ฉัน...ก็เหมือนคนหลงทาง ที่เดินวนอยู่ในหุบเขาวงกต ที่หาทางออกไม่เจอ
ถึงจะมีเขา...คนๆนั้นที่จะมาช่วยนำพาให้ออกไปจากดินแดนอันพิศวงแห่งนี้
ฉันจะมั่นใจได้อย่างไรกัน? ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะลงมือทำร้ายฉันเอง!
บทนำ
‘นี่แฟนใหม่พี่เอง’
เขาเอ่ยแนะนำให้ฉันได้รู้จักกับผู้หญิงคนนั้น คนที่กำลังยืนเคียงข้างเขาในงานวันเกิดของเขาเอง เพียงแค่คำพุดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาเท่านั้น ใจฉันกระตุกวาบทันที ก่อนที่หัวสมองจะมึนงงกับเรื่องราวที่ได้ฟังไปเมื่อกี้ เขาโกหกฉันใช่ไหม หรือว่าที่จริงแล้ว เมื่อครู่นี้ฉันหูฝาดไปเอง
‘พี่...’
‘จะไม่แสดงความยินดีกับพี่หน่อยหรือ...ยีนส์’
ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฉันมัวแต่ทำหน้าตาอ้ำอึ้งใส่เขา เขาย้ำให้ฉันฟังอีกครั้งด้วยการถามฉันว่าจะไม่แสดงความยินดีกับเขาอย่างนั้นหรือ?
แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ? มันเรื่องอะไรกันที่ฉันจะต้องไปแสดงความยินดีกับพวกเขาทั้งสองคน หนึ่งผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง และอีกหนึ่งคือผู้ชายที่ฉันคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าเขากับฉัน เราสองคนรักกัน ฉันไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขาสองคนคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรกันอยู่!
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน? ฉันงงไปหมดแล้วนะ พี่กับยัยน้ำใสไปคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่?’
ฉันเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ อยากรู้จริงๆว่าเขาทั้งสองคนแอบเอาเวลาไหนไปคบกัน ชักอยากรู้นัก อยากรู้จริงๆ...
ฉันหันไปมองหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่เคียงผู้ชายคนนั้นด้วยสายตามีคำถามมากมาย คำถามมากมายในสมองของฉัน มันมากจนตีกันวุ่นไปหมด อยากจะเอ่ยปากถามว่าเธอไม่รู้หรืออย่างไรว่าฉันคิดอะไรกับผู้ชายที่เธอกำลังใช้สิทธิ์คำว่าแฟน ฉันมั่นใจว่าน้ำใสรู้ แต่ที่ฉันไม่มั่นใจก็คือ ทำไมเอยังเลือกที่จะคบกับที่คนที่เพื่อนสนิทของตัวเองแอบรักด้วย!
‘ยีนส์ฉัน...ฉัน...’
ยัยนั่นทำเสียงเลิกลั่กราวกับคนมีความผิดติดตัว ก่อนที่เธอจะมองหน้าคนข้างกายเพื่อต้องการขอความช่วยเหลือ ฉันมองทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่วงแขนของผู้ชายคนนั้นจะยกขึ้นโอบบ่าไหล่ของยัยน้ำใสไว้ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งสองคนคบหากันขั้นคนรักแล้วจริงๆ
ให้ตายเถอะ! เขาคบกันแล้วฉันมัวไปดำดินอยู่ที่ไหนมา บนโลกนี้จะมีผู้หญิงคนไหนที่น่าโง่ได้เท่าฉันอีกหรือเปล่านะ โดนเพื่อนสนิทแย่งคนที่ตนหลงรักไปแบบใสๆ โดยที่ฝ่ายชายเองก็ยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างดี เขาทั้งสองคนทำฉันได้เจ็บแสบไปถึงทรวงเลยจริงๆ มันเจ็บปวดยิ่งกว่ารู้ว่าตัวเองพลาดในสิ่งฝันไปเลยเชียวนะ
‘ไม่ต้องกลัวนะน้ำ พี่จะไม่มีทางให้ ‘ใคร’ ทำอะไรน้ำแน่นอน’
เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ายัยน้ำใสทำท่ากลัวว่าฉันจะทำร้ายเธอ แต่ยัยนั่นกลัวอะไรมากเกินไปหรือเปล่า? ฉันเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นนะ อาวุธในมือก็ยังไม่มีอีก แบบนี้น่าตลกสิ้นดี! จู่ๆก็มาทำเป็นกลัวฉันต่อหน้าแฟนตัวเอง ฉันอยากตะโกนถามเธอนักว่าเธอกลัวว่าฉันจะทำอะไร สองมือของฉันมีแค่กล่องของขวัญวันเกิดที่ฉันอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งห่อมันเพื่อมาเซอร์ไพรส์เขา แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ ฉันว่าเขาคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ ของขวัญวันเกิดจากคนนอกอย่างฉัน มันจะไปสู้อะไรกับของขวัญวันเกิดที่เขาได้รับจากแฟนเขากันเล่า
ฉันเหยียดยิ้มให้กับคนทั้งคู่ด้วยความขมขื่น ก่อนที่จะชูกล่องของขวัญวันเกิดสีแดงให้กับทั้งสองคนได้ดู สิ่งข้างในมันมีค่ามากสำหรับฉัน แต่สำหรับเขา ผู้ชายใจร้ายเลือดเย็นคนนั้น เขาคงคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องกิ๊กก๊อกเท่านั้น เรื่องงี่เง่าปัญญาอ่อนที่ผู้หญิงบ้าบอคนหนึ่งจะทำขึ้นมาได้
‘ยินดีกับความรักของทั้งคู่ด้วยนะ ครองรักกันไปนานๆ อย่าได้มีมารมีภัยมาขัดขวางความรักของทั้งคู่ได้!’
ฉันเอ่ยอวยพรในสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นต้องการ ตอนนี้ม่านตาฉันมันพร่ามัวจนมองไม่เห็นว่าทั้งสองคนกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่ แต่ที่ฉันเชื่อก็คือ ทั้งสองคนกำลังหัวเราะเยาะฉันอย่างแน่นอน ใช่สิ! จู่ๆก็มียัยบ้าคนหนึ่งมายืนร้องไห้ให้กับทั้งคู่ได้ดู เป็นใคร ใครก็คงจะหัวเราะทั้งนั้นแหละ
‘ส่วนของขวัญและหัวใจของฉันที่พี่ไม่ต้องการ ฉันขอคืน!’
ฉันพูดจบก่อนที่จะปากล่องของขวัญนั่นทิ้งลงไปในแม่น้ำอย่างไม่ไยดี ทิ้งมันไปพร้อมกับความรักของฉันที่มีให้กับเขาเพียงคนเดียวตลอดมา ก่อนที่ฉันจะหมุนตัวแล้วรีบวิ่งหนีออกจากงานเลี้ยงทันที ไม่รอให้เขาเอ่ยปากไล่หรอก อยู่ไป หัวใจของฉันก็มีแต่เจ็บกับเจ็บ ภาวนาว่าวันหนึ่งถึงแม้ไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน ฉันก็ขอให้ฉันได้ใจฉันคืนจากเขาจริงๆด้วยเถอะ
“กัญญ์วราท์ กัญญ์วราท์!”
“ขา O^o!”
ฉันตื่นจากภวังค์แทบจะทันทีเมื่อได้ยินเสียงอันแสบแก้วหูของอาจารย์วิชาเลกเชอร์ภาษาไทยดังขึ้น ก่อนที่จะหันไปมองรอบๆตัวก็พบว่าเพื่อนๆในคลาสกำลังแอบขำกับท่าทีของฉันอยู่ ให้ตายเถอะ! นี่ฉันแอบเหม่ออีกแล้วงั้นเหรอ แล้วแบบนี้คนที่ยืนส่งสายตาอำมหิตให้ฉันอยู่จะเล่นงานฉันหนักขนาดไหนกัน
ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งเรียนวิชาภาษาไทย ที่วันนี้เป็นคลาสการเลกเชอร์อย่างเดียวหมด อาจารย์ที่สอนก็ออกจะเป็นคนที่ดุและเข้มงวดเอาการอยู่เหมือนกัน คืออาจารย์ไม่ชอบให้ใครมาเล่น นอน หรือว่านั่งเหม่อใจลอยในวิชาของท่าน เพราะว่ามันเป็นการที่ไม่ให้เกียรติ เห็นแกบอกแบบนั้น แล้วทุกคาบที่มีคลาสเรียนของอาจารย์คนนี้ จะมีแต่คนตั้งใจเรียนกันทั้งนั้น ถึงจะขี้เกียจขนาดไหนก็ตาม แต่มาเรียนของอาจารย์คนนี้จะต้องขยันขึ้นมาทันทีเลย เรียกได้ว่าวิญญาณเด็กเรียนเข้าสิงไปตามๆกัน แล้ววันนี้ฉันก็พลาดจนได้ ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะเหม่อได้ใจขนาดนี้ เหม่อขนาดที่ว่าเสียงอันแสบแก้วหูของอาจารย์ยังทำอะไรฉันแค่ครั้งเดียวไม่ได้ จนแกต้องได้ตะโกนใส่ใบหูของฉันเป็นรอบที่สอง
“เป็นอะไรของเธอยะ นั่งใจลอยคิดถึงแฟนที่ไหนกัน คาบเรียนของฉันห้ามคิดถึงใครนอกจากใบหน้างามๆของฉัน เข้าใจมั๊ย!”
และเป็นอีกครั้งที่อาจารย์แกเล่นตะโกนใส่ฉันอีก ฉันจึงทำได้แค่เพียงทำหน้าหง็อยๆอย่างคนสำนึกผิด ก่อนที่ยกมือไหว้ขอโทษ
“ขอโทษค่ะอาจารย์ แต่หนูเปล่าคิดถึงใครค่ะ”
“อย่าให้มีคราวหน้าอีกแล้วกันนะ ถ้ามีอีกฉันจะทำโทษเธออย่างหนักเลยล่ะ เอ้า! ทุกคนตั้งใจจดเลกเชอร์กันต่อไป...”
แล้วอาจารย์แกก็กลับไปพูดๆเรื่องการสอนของแกอีกครั้ง ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่วันนี้ไม่โดนแกทำโทษ เมื่อวานได้ข่าวว่าเด็กเอกศิลปศาสตร์แอบกินขนมในคลาสของแก โดนแกจับออกไปยืนกระต่ายขาเดียวอยู่หน้าชั้น พร้อมกับตะโกนขอโทษดังๆให้ได้ยินไปถึงหน้ามหาวิทยาลัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าวะแก ดูแกเหม่อๆนะวันนี้”
‘เรย์’ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ฉันมีอยู่ตอนนี้เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“เปล่าๆ ฉันไม่ได้เป็นอะไรแก สงสัยเมื่อคืนพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ^^”
ฉันว่าก่อนที่จะฉีกยิ้มให้กับเรย์ดูว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ยัยนั่นทำท่าจะไม่เชื่อในตอนแรก และกำลังจะคาดคั้นฉันต่อ แต่ฉันสะกิดหลังมันให้รู้ว่าอาจารย์กำลังจ้องอยู่ ยัยนั่นถึงได้หันกลับไปสนใจสมุดเลกเชอร์ของตัวเอง
ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกเรย์ ที่เหม่อจนเกือบโดนทำโทษวันนี้ก็เพราะว่าดันคิดถึง ‘เรื่องนั้น’ ขึ้นมาอีกแล้ว เรื่องเมื่อเกือบสองปีก่อนที่เกิดขึ้น มันเกิดตรงกับงานวันเกิดของผู้ชายคนหนึ่ง แล้ววันนี้เอง มันก็เวียนมาครบรอบปีที่สองแล้ว วันที่ฉันจำไม่มีวันลืมว่าได้โดนทำร้ายจิตใจไว้มากแค่ไหน!
“อะ...นี่เฉาก๊วยที่แกชอบดื่มเป็นประจำ กัญญ์วราท์”
เรย์ยื่นแก้วน้ำให้กับฉัน ก่อนที่มันจะทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ตอนนี้เราสองคนกำลังอยู่ในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย หลังจากเลิกเรียนวิชาภาษาไทยแล้ว ฉันกับเรย์ก็มุ่งหน้าตรงมายังโรงอาหารทันที แต่ที่มาก็ไม่ได้มาทานข้าวอะไรหรอกนะ มาหาที่นั่งคุยกันและกินอะไรพลางๆรอกลับบ้านน่ะ
“ขอบใจจ้ะ ^_^”
“สิบบาทจ้ะคุณเพื่อน ^^ จ่ายมาๆ”
“-_-;”
สิบบาทมันยังจะทวงจากฉันอีกเหรอเนี่ย งกจริงอะไรจริงเพื่อนสนิทฉันคนนี้ ฉันควักเงินในกระเป๋าให้มันไปตามที่มันต้องการ จะไม่ให้ก็กระไรอยู่ ดูคุณเธอทำตอนนี้ แบมือรอรับเลยว่างั้น
“นี่จ้ะไม่ต้องทอน”
“ตลกหน้าตายแล้วยีนส์ ให้มาสิบบาทแล้วจะเอาอะไรทอนยะ >_<”
เรย์ว่ากลับ ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะตักเฉาก๊วยขึ้นเคี้ยวเล่น ไม่รู้ว่ามีใครชอบแบบเดียวกับฉันหรือเปล่า แต่ฉันดันชอบเฉาก๊วยอ่ะ เคยมีคนถามนะว่าทำไมฉันถึงเลือกดื่มน้ำเฉาก๊วย แทนที่จะเป็นน้ำส้มหรือไม่ก็น้ำผลไม้แบบผู้หญิงทั่วไป ฉันก็เลยตอบไปว่า เฉาก๊วยมันได้เคี้ยว เหตุผลแค่นี้แหละ ไอ้คนที่ถามฉันก็เลยหน้าเหวอไปเลยกับคำตอบของฉัน
“นี่ยีนส์”
จู่ๆเรย์ก็เอ่ยเรียกชื่อฉันขึ้นมา ทำให้ฉันต้องละสายตาที่กำลังจดจ้องจะตักเนื้อเฉาก๊วยขึ้นมาเคี้ยวมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยสายตาตั้งคำถาม
“ฉันรู้นะว่าแกเหม่ออะไรตอนที่เรียนคลาสของอาจารย์สมรศรีอยู่”
คำพูดที่หลุดออกจากปากของเรย์ทำเอาฉันปรับสีหน้าแทบไม่ทัน มันมองฉันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าวันนี้มันทายถูก ฉันกับเรย์เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล จนถึงตอนนี้เรากำลังเรียนปีหนึ่งแล้ว แถมยังได้เรียนในคณะเดียวกันอีก ฉันกับเรย์เราเรียนคณะรัฐศาสตร์น่ะ วันแรกที่ตัดสินใจเข้าเรียนในคณะนี้ พ่อฉันตั้งคำถามทันทีเลยว่า จบไปแล้วจะไปปกครองใครได้ นิสัยไม่ทันคนแบบนี้ เฮ้อ! นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันคิดมาตลอดตั้งแต่ที่พ่อถาม จริงของพ่อ ฉันเรียนจบไปแล้วฉันจะไปปกครองใคร แต่ช่างเถอะ เรียนจบก่อนแล้วกันค่อยว่ากันอีกที อีกตั้งสามีกว่าที่จะจบ ช่วงนี้ฉันก็จะคิดว่าวันๆจะทำอย่างไรให้ชีวิตผ่านพ้นไปได้โดยที่ไม่เกิดปัญหาตามมา อย่างเช่นวันนี้ แปลกที่ยังไม่มีเรื่องให้ต้องปวดหัว แต่เชื่อว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ปัญหาก็คงตามมาหาฉันเจอแน่นอน
“ทำเป็นรู้ดี เป็นหมอดูหรือไงยะ”
ฉันว่าให้เรย์ แน่นอนว่าฉันแค่ประชดเท่านั้น ความจริงเรย์คงจะรู้ล่ะนะว่าฉันเป็นอะไรในวันนี้ จะไมรู้ได้อย่างไรก็ในเมื่อมันเป็นเพื่อนที่ฉันไว้ใจที่สุดในตอนนี้ จะมีปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับฉันแต่เรย์จะไม่รู้บ้าง หรือขนาดที่ว่าฉันแอบซุกเงินค่าขนมเวลาที่พ่อจ่ายให้ไว้ที่ไหน
“ฉันเป็นเพื่อนแกนะยีนส์ ทำไมเพื่อนเป็นอะไรแล้วฉันจะไม่รู้ล่ะ แกยังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่เหรอ”
“...”
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ฉันสะอึก และลมหายใจของตัวเองสะดุดเมื่อเรย์พูดตรงเข้าประเด็นทันที มันเหมือนกับเดจาวูที่เหตุการณ์ต่างๆระหว่างฉันกับเขาไหลเวียนเข้ามาในสมองของฉันอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ วันนี้...ก็ดูเหมือนว่าภาพทุกอย่างมันจะชัดเจนมากในความทรงจำของฉัน หรือเพราะว่าวันนี้มันเป็นวันครบรอบสองปีที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น มันก็เลยทำให้ฉันจดจำภาพทุกฉากทุกตอนได้ดี
“เงียบแบบนี้แสดงว่าใช่จริงๆด้วย แกนี่มันเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำเหลือเกินนะยีนส์ เรื่องมันนานขนาดผ่านมาสองปีแล้ว แกยังจะจำฝังใจอยู่กับมันอีกเหรอ”
เรย์ต่อว่าฉันเมื่อความเงียบของฉันคือคำตอบสำหรับมัน
ใช่...ฉันเป็นอย่างที่เรย์ว่าไว้นั่นแหละ ฉันมันพวกย้ำคิดย้ำทำ อะไรที่เคยทำให้ตัวเองต้องเจ็บจนแทบเสียผู้เสียคน พิษรักที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว ทำเอาฉันเปลี่ยนเป็นคนละคนในวันนี้ เมื่อก่อนฉันเป็นคนยิ้มง่ายหัวเราะเก่ง เป็นมิตรกับทุกคนได้ไม่อยาก แต่เมื่อพอโดนเพื่อนสนิทและคนที่ตัวเองหลงรักร่วมกันหักหลัง มันก็ทำเอาฉันต้องเปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลยทีเดียว จากที่ยิ้มง่ายตอนนี้แม้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ้มไม่ออก เมื่อก่อนเป็นคนหัวเราะง่าย ตอนนี้ไปนั่งดูหนังตลกกับเรย์ฉันกลับง่วงนอน เมื่อก่อนเป็นมิตรกับทุกคนได้ง่าย ถึงตอนนี้เพื่อนฉันแทบไม่มีเพราะฉันไม่อยากเอาความเชื่อใจและไว้ใจไปโยนให้พวกเขาเหยียบย่ำเล่น
“แกไม่ใช่ฉัน แกไม่มีวันเข้าใจหรอก”
ฉันบอกเรย์ได้เท่านั้นก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร แม้ว่าจะดูตัวเล็กในสายตาของผู้ชาย แต่ฉันก็สูงกว่าผู้หญิงหลายคนอยู่นะ ฉันไม่ใช่คนตัวเล็กหรือสูงใหญ่ปิดปกติเกินไป เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงกลางๆ หน้าตาก็ใช่ว่าจะขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้สวยงามเลิศเลอเพอเฟ็กต์เหมือนกับดาวมหาวิทยาลัย สรุปแล้ว ทั่วทั้งร่างกายของฉัน เรียกได้ว่าหุ่นโอเคหน้าตาพอดูได้น่ะนะ
“ใช่ฉันไม่มีวันเข้าใจ แล้วก็จะไม่มีวันเข้าใจด้วยว่าทำไมแกยังคิดถึงแต่คนที่เคยทำร้ายแกทั้งสองคน!”
คราวนี้ยัยเรย์ขึ้นอารมณ์กับฉันอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเรย์ทำให้ฉันรู้ทันทีเลยว่ามันกำลังโกรธอย่างเข้าขั้นแล้ว ฉันรู้ว่ามันเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉัน เพราะเรื่องนี้นั้นยัยนั่นเป็นคนที่ช่วยปลอบใจฉันมาตลอด ช่วงที่ฉันเฮิร์ตและ
ดราม่ามากจนขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็ได้เรย์นั่นแหละที่มาอยู่เป็นเพื่อน ภายนอกฉันอาจจะเหมือนคนปกติที่ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจ แต่ถ้ารู้จักฉันอย่างเรย์แล้วล่ะก็ ทุกคนจะรู้ทันทีเลยว่าชีวิตฉันมันมีแต่ปัญหา ปัญหาแล้วก็ปัญหา
ฉันยอมรับว่าฉันยังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่ แต่ฉันแค่คิดถึงไม่ได้ต้องการให้เขากลับมาหาฉัน ส่วนน้ำใสแฟนของเขานั้น ฉันตัดความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนไปแล้วล่ะ จะให้ทนคบกับคนที่หักหลังและทรยศตัวเองอยู่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะสามารถใจแข็งทำได้ และฉันก็ได้ข่าวว่าทั้งสองคนบินไปเรียนต่อด้วยกันที่ประเทศอังกฤษ มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันที่พวกเขาไปให้พ้นๆจากหน้าฉัน แต่ยิ่งฉันไม่ได้เจอหน้าเขามากเท่าไหร่ ความคิดถึงยิ่งมีมากขึ้นทุกวันเท่านั้น!
“ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่านะเรย์ ถ้ามันจะยิ่งทำให้แกโกรธและอารมณ์เสียใส่ฉัน”
“โอเค...ฉันจะเลิกพูดก็ต่อเมื่อแกเลิกคิดถึงไอ้บ้านั่น อย่าลืมนะยีนส์ว่าตอนนี้แกมีฟาซายน์แล้ว”
เรย์พูดขึ้นอีกเรื่อง และเป็นอีกเรื่องที่ทำให้ฉันต้องปวดหัวเหมือนกัน ทำไมทุกคนรวมทั้งเรย์เองจะต้องเข้าใจว่าฉันกับฟาซายน์เป็นแฟนกัน ทั้งๆที่ฉันกับหมอนั่นเป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น แม้จะไม่สนิทเท่ากับเรย์ แต่ก็เรียกได้ว่ารู้จักและคุ้นเคยกันพอสมควร
“ฉันกับหมอนั่นไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างที่แกคิดนะเรย์ -^-“ ฉันทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่มัน
“-_-***” <<< แล้วดูมันทำหน้า เป็นฉันไม่ใช่หรือไงที่ควรจะทำหน้าแบบนั้นกัน
“มันคือเรื่องจริง แกไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้นใส่ฉันเลย”
“ก็ช่าง! ฉันจะเข้าใจว่าแกกับหมอนั่นเป็นแฟนกัน มันคือสิทธิ์ของฉันย่ะ >_<”
ยัยนั่นพูดพร้อมกับกอดอกด้วยท่าทางที่ชวนให้ฉันหมั่นไส้มันยิ่งนัก นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนนะ ฉันตบมันหัวทิ่มโต๊ะไปแล้ว โทษฐานที่มันพูดจาไม่น่าฟัง
“แต่แกกำลังจะทำให้คนอื่นในมหา’ลัยเข้าใจผิดฉันกับฟาซายน์นะ เกิดแฟนคลับของหมอนั่นรู้เรื่อง ฉันไม่ต้องกินยำเท้านางแฟนคลับหรือไง -_-:”
ฟาซายน์ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างฉันกับเรย์ แต่หมอนั่นเป็นถึงเดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่เพิ่งคว้ารางวัลไปหมาดๆ แล้วเกิดข่าวลือว่าฉันกับหมอนั่นเป็นแฟนกัน ฉันต้องโดนดักเล่นงานแน่ๆ แค่เพียงทำหน้าตายด้านใส่คนพวกนั้น ทั้งที่ในใจฉันไม่ได้คิดอะไร แต่ยัยพวกนั้นยังหาว่าฉันทำหน้ายั่วโมโหเลยล่ะ ให้ตายเถอะคนเรา คิดจะหาเรื่องกันก็คิดวิธีหาเรื่องเอาง่ายๆแบบนี้เลย
“แกจะกลัวอะไร ถ้ายัยพวกนั้นมันทำอะไรแก แกก็บอกที่รักฟาซายน์แกจัดการให้เลยสิ”
“ยัยเรย์ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกับ...”
“หยุดพูดมากได้แล้วย่ะ นู่นสุดที่รักของแกวิ่งหอบเหมือนหมาเมาแดดมานู่นแล้ว”
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ต่อว่ายัยนั่นไปจนจบประโยค เพราะเรย์ดันพูดจาน่าหมั่นไส้ ยัยนั่นก็ขัดขึ้นก่อนที่จะบอกว่าฟาซายน์กำลังวิ่งมาทางเรา ฉันจึงหันกลับไปมองก่อนที่จะเจอหมอนั่นจริงๆด้วย
“ยีนส์ ฉันมารับกลับบ้านแล้ว ไปกันเถอะ”
พอวิ่งมาหยุดที่ตรงหน้าฉันปุ๊บ เขาก็ชวนฉันกลับบ้านทันที นี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อเลิกคลาสวิชาภาษาไทยแล้ว ฉันถึงยังกลับบ้านไม่ได้ เพราะว่าฉันรอฟาซายน์อยู่ไง ฟาซายน์กับฉันบ้านไปทางเดียวกัน เขาจึงอาสาไปรับไปส่งเป็นประจำ คนก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าฉันกับเขาเป็นแฟนกัน
“ไม่มีงานที่คณะฯเหรอซายน์”
ฉันเอ่ยถามขึ้น เพราะช่วงนี้ได้ยินข่าวว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ของหมอนั่นกำลังจะจัดการออกค่อยเพื่อไปช่วยพัฒนาชุมชน ถึงฟาซายน์จะเป็นเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าใหม่ เขาก็น่าจะต้องมีงานที่รุ่นพี่มอบหมายให้อยู่แล้ว
“มี แต่ว่าฉันว่าจะกลับไปส่งเธอที่บ้านก่อนแล้วค่อยจะย้อนกลับเข้ามาในมหา’ลัยอีกน่ะ กลัวเธอจะคอยนาน”
“โทรมาก็ได้นี่นา หรือว่ามือถือแบตฯหมด”
ถ้าเขาจะวิ่งหอบแฮ่กๆมาเพื่อการนี้ ฉันอยากจะเติมเงินมือถือให้เขาจัง >_< เดี๋ยวเพื่อนของหมอนั้นจะว่าได้ว่าฉันใช้แรงงานเขาเยอะเกินไป ทั้งใช้ไปรับไปส่ง โดยที่ค่าน้ำมันไม่ต้องเสียสักบาท
“ไม่เป็นไร ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไปส่งเธอที่บ้านก่อน ยังไงก็ต้องมาเจอเธออยู่แล้ว จะเสียเวลาโทรหาทำไม”
“ถ้านายมีงานฉันกลับกับเรย์ก็ได้นะ นายจะได้ไม่ลำบาก”
ฉันเอ่ยขึ้นด้วยความหวังดี เพราะกลัวว่าเขาจะเสียเวลาไปมากกับฉัน หมอนั่นส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร คนอื่นไปส่งฉันไม่สบายใจเท่าฉันไปส่ง”
“เชอะ! เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ฉันกลายเป็นคนอื่นไปเรียบร้อยแล้ว -_-;”
เสียงของเรย์พูดขึ้นอย่างงอนๆ ฟาซายน์ให้ไปมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่เขาจะกลับมาให้ความสนใจกับฉันต่อ
“ไปกันเถอะยีนส์”
ฉันพยักหน้ารับคำเขา ก่อนที่จะหันไปบอกลายัยเรย์ที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆ ยัยนั่นพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะทำปากขมุบขมิบใส่ฟาซายน์โดยที่หมอนั่นไม่รู้ จากนั้นฉันก็ถูกฟาซายน์ลากไปขึ้นรถของเขาที่จอดรวมอยู่กับรถของอาจารย์คนอื่นๆ เพิ่งรู้นะว่าการเป็นเดือนและการมีตำแหน่งในมหาวิทยาลัยจะทำให้มีอภิสิทธิ์ขนาดนี้
ความคิดเห็น