ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Harry Potter fanfic:- พลิกตำนานปราสาทกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #3 : เส้นทางที่ยากลำบาก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 713
      11
      14 ม.ค. 55

    ลิลี่เดินออกมาจากกลุ่มเพื่อนไปตามเส้นทางตามลำพัง  เธอหยุดเมื่อเห็นเซเวอรัส สเนปวิ่งตามมา  แล้วจากนั้นก็เดินคู่กันไปเหมือนเคย เพื่อจะพบกับว่ามีเด็กผู้ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งกำลังยืนพิงกำแพงอยู่กับเด็กผู้หญิงผมสีเหลือนบลอนซ์ที่เกือบจะเป็นสีขาว  เธอสะกิดเพื่อนรุ่นพี่ของเธอให้หันมามอง  ลิลี่กระแอมอย่างไม่ชอบใจและเดินผ่าน

    "ลิลี่! เดี๋ยวก่อน!" ลูเซียสเรียกตาม

    "คนบ้านสลิธีรีนอย่างคุณคงไม่อยากคุยกับหนูหรอก" เธอพูดอย่างเย็นชาจนเซเวอรัสหน้าชาไปด้วยพลางพูดกับเธอว่า "ชั้นก็เป็นสลิธีรีนเหมือนกันนะ!" แต่เธอก็ไม่สนใจ  ลูเซียสวิ่งไปขวางทางเธอและเจ็บไหล่เล็กๆ ไว้

    "ชั้นผิดไปแล้ว..." ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแววตาบอกชัด  รู้สึกอย่างงั้นจริงๆ

    "แล้วทำไม... ไม่แสดงออกมาตรงๆ ล่ะ"

    "ชั้นรู้ว่าชั้นทำอะไรลงไป  ลิลี่  ชั้นไม่กล้าหาญ  ชั้นเสียใจ  ชั้นอยากเป็นเพื่อนกับเธอ  แต่ชั้นก็กลัว" ลูเซียสพับแขนเสื้อขึ้นแล้วให้เด็กทั้งสามได้เห็น "นี่คือตราประทับของคนที่กลายเป็นพวกของลอร์ด โวลเดอร์มอร์  เค้าบังคับชั้นสำหรับสิ่งนี้  และชั้นรู้ว่าอนาคต  ไม่มีเพียงแต่ชั้นเท่านั้น  ต่อไปอาจจะไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะเอ่ยนามนี้อีก" เค้าเอาแขนเสื้อลงก่อนพูดอย่างจริงจัง "ชั้นไม่ร้องขอให้เธอยกโทษให้ชั้น แต่ชั้นแค่ต้องการให้เธอรู้จักตัวจริงของชั้น เพราะในอนาคต  ชั้นอาจจะต้องใส่หน้ากากตลอดไป..." จากนั้นเค้ายิ้มเศร้าๆ เมื่อเห็นเธอมองหน้าเค้าอย่างลำบากใจ "แม้เราจะเลิกคบกันแล้ว  แต่ชั้นจะไม่ลืมเลยว่า  ในช่วงเวลาสั้นๆ ชั้นได้เป็นเพื่อนกับเธอ"

    หมดแล้ว  ลูเซียสรู้สึกโล่งใจ  เค้าหันหลังและเดินจากไปเงียบ  นาซิสซาที่อึกอักอยู่พักใหญ่มองไปรอบๆ ระหว่างเพื่อนทั้งสามก่อนจะรีบวิ่งตามลูเซียสไป  วินาทีนั้นที่น้ำตากำลังจะไหล  ลิลี่ตะโกนออกมา

    "พี่ลูเซียส!" ลูเซียสหยุดกึก  และถ้อยคำที่เขย่าหัวใจของเค้าก็ดังก้อง "เราไม่มีอะไรเกี่ยวกันอีกแล้ว... แต่ว่า! เรามีความลับเรื่องเดียวกันที่ห้ามบอกใคร! รู้มั้ย! ว่าอะไร!?"

    ลูเซียสหันมาช้าๆ ราวกับหุ่นยนตร์ "ความลับอะไร...! เรื่องพี่สาวของนาซิสซาเหรอ!?"

    "ความลับคือ..." ลิลี่คลี่ยิ้มอย่างงดงาม "เราสี่คนเป็นเพื่อนสนิทกันไงคะ"

    คำพูดนั้นทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง และเซเวอรัสดูตื่นเต้น  ความลับที่ว่าคือสายสัมพันธ์งั้นเหรอ!? อย่าให้รู้นะว่าความจริงแล้วเราเป็นเพื่อนสนิทกันงั้นเหรอ!? จากนั้นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าของนาซิสซาและลูเซียส  ทั้งคู่หันหลังและเดินจากเด็กอีกสองคนไปด้วยหัวใจที่ลิงโลด

    คำพูดนั้นเป็นความจริง... เพราะมันกลายเป็นเรื่องสนุกของพวกเค้าที่แอบมาจอยกันอย่างลับๆ ลูเซียสได้รู้คุณค่าของคำว่าเพื่อนอย่างแท้จริงก็ในคราวนี้เอง  เค้าได้รับของขวัญวันเกิดและวันคริสมาสต์อย่างลับๆ จากเด็กสามคนรวมทั้งแอบส่งของขวัญวันเกิดและวันคริสมาสต์ไปยังพวกเค้าแบบลับสุดยอดด้วย  แม้จะเป็นเรื่องงี้เง่าของคนที่ไม่กล้าประกาศให้โลกรู้ว่าใครคือเพื่อนสนิทของตน  แต่การเล่นอะไรแบบนี้ก็ทำให้เค้าตื่นเต้น  ลูเซียสมีความสุขในฐานะนักเรียนฮอกวอร์ตอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในปีเจ็ดนี้เอง

    และในวันเสาร์สุดท้ายที่เค้าจะจบการศึกษา.... ลูเซียสเลี้ยงฉลองให้ตัวเองอย่างลับๆ โดยมีเพื่อนเพียงสามคนเท่านั้น คือลิลี่ นาซิสซา และเซเวอรัส!

    สมุดเฟรนด์ชิฟที่ทั้งเล่มผลัดกันเขียนแค่สี่คน กลายเป็นสมุดบันทึกที่เค้าแอบเอามาอ่านทุกคืนนับแต่จบการศึกษา!










    "ลูเซียส มัลฟอย!"

    เสียงของอาเธอร์ วิสลี่ย์ปลุกเค้าจากภวังค์ ราวกับศัตรูตัวฉกาจแม้ว่าจะไม่เคยมีความแค้นอะไรกันก็ตาม  ลูเซียสจับปากกาขนนกจุ่มน้ำหมึกแล้วทำงานต่อ  อาเธอร์ วิสลี่ย์เป็นคนที่เค้าเกลียดมากอย่างไม่มีเหตุผลคนหนึ่ง  ความจริงมันมาจากความอิจฉา  อิจฉาในความกล้าของอีกฝ่ายที่ทำอะไรตามใจชอบแม้แต่การวิวาห์เหาะกับมอลลี่-ผู้เป็นภรรยา  เค้าไม่สามารถควบคุมความอิจฉาได้จึงแสดงออกมาด้วยการพูดจากเสียดสี ซึ่งเรื่องที่ง่ายที่สุดคือความคลั่งมักเกิ้ลของอีกฝ่าย ส่วนหนึ่งเพราะเค้าไม่ต้องการที่จะตกเป็นเป้าโจมตีของเพื่อนผู้เสพความตายด้วยกัน เพราะงั้น มันง่ายที่เค้าจะแสดงความเกลียดมักเกิ้ลเกินเหตุทั้งๆ ที่หนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดสามคนของเค้าเป็นลูกมักเกิ้ล

    "ลมอะไรหอบคุณมาเนี่ย" เค้าพูดเสียงยานคางอย่างเย็นชาเหมือนเคย

    "แอบนั่งใจลอยนานเชียว" อาเธอร์หลิ่วตาไปทางประตู "คุณควรล๊อกประตูนะเพราะมีคนไม่น้อยที่ชิงชังตระกูลมัลฟอย  และผู้มาเยือนก็ไม่ได้มีความอารีอารอบเหมือนผมทุกคน!"

    "ธุระของคุณ!" อารมณ์โกรธขึ้นมาทันที เพราะคนที่ทำให้เค้าต้องล๊อคหน้ากากที่ไม่อยากใส่ให้แน่นขึ้นได้โดยแค่โผล่มาก็คือหมอนี่ มันทำให้เค้าอึดอัดจนอยากจะต่อยซักป้าบ "ถ้ามีก็รีบพูดซะ! แล้วเก็บมันไปจากห้องนี้! ผมกำลังยุ่ง!"

    "ผมไม่รับคำสั่งคุณหรอกนะ! ลูเซียส!"

    "งั้นเหรอ!?" เค้าชักอยากจะบีบคอคนตรงหน้าขึ้นมาทันที "งั้นมาทำไม!?"

    "ก็แค่... ได้ยินว่าคุณรู้จักโอดิน เมอร์กันเป็นการส่วนตัว..." และไม่นานลูเซียสก็เริ่มซีดจนเขียว











    ลูเซียสมาถึงที่เกิดเหตุหลังจากนั้นไม่นาน... เค้าไม่อยากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น  แต่ว่า  ภาพตรงหน้ากลับต้อนให้เค้าจนมุม!  โอดิน เมอร์กันและภรรยานอนอยู่บนพื้น, ขณะที่แม่มดฝ่ายงานฆาตกรรมที่ทำหน้าทีตรวจสอบศพ

    ลูเซียส มัลฟอยยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง  น้ำตาคลอเบ้า... ราวกับเมื่อวานนี้เองที่เค้าฉลองวันเกิดอายุสิบเจ็ดปีกับโอดิน โลกิกับมานาเกียเดินเข้ามาพร้อมกับเค้ก! และครอบครัวพอตเตอร์ที่โผล่มาพร้อมกับของขวัญ(มีเจมส์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่) เค้าเห็นย่าไดอาน่านำร้องเพลง  และเสียงของโอดินที่กระซิบข้างหู "อธิฐานสิ" เค้าอธิฐานขอเพื่อนซักคนที่ฮอกวอร์ตแล้วได้มาถึงสาม แต่ว่า... จากวันเกิดคืนนั้นเพียงไม่กี่เดือน เค้าก็ได้ไปงานศพของโลกิและมานาเกีย! และอีกสามปีถัดมา  อาเธอร์ วิสลี่ย์ก็มาแจ้งข่าวว่าโอดินตายเนี่ยนะ! ทุเรศที่สุด! เรื่องบ้าๆ แบบนี้มีในโลกด้วยเหรอ!?

    "คุณไปอยู่กับภรรยาของคุณแล้วสินะ หลังจากที่ปล่อยให้เธอตายจากไปก่อนตั้งสิบเจ็ดปี!" ลูเซียสสะอื้นเบาๆ ขณะที่ทรุดลงร้องไห้ใต้ต้นไม้  บาร์ตี้ เคร้าซ์เดินตรงมายังเค้าและก้มลงพยุง

    "ได้ยินว่าเธอสนิทกับคุณเมอร์กันมาก  มานี่สิ  พ่อหนุ่ม  มีคนที่เธอต้องพบ..."

    บาร์ตี้ เคร้าซ์พาลูเซียสไปที่ร้านอาหารใกล้ๆ เค้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายมาก  นอกจากมีลูกชายคนเดียวที่จะเข้าเรียนที่ฮอกวอร์ตปีนี้... ฮอกวอร์ต, ตอนนี้เด็กพวกนั้นคงจะขึ้นปีสามกันแล้ว... บาร์ตี้ เคร้าซ์จับชาร้อนยัดใส่มือของลูเซียสที่ยกขึ้นไปดื่มอย่างประสาทเสีย  น้ำร้อนหกลงใส่มือและลวกลิ้นเค้า "ให้ตายสิ! เธอเป็นอะไรรึเปล่า!?" เคร้าซ์ถาม แต่ลูเซียสเหมือนไม่ได้ยิน  ซักพักเคร้าซ์ลุกขึ้นแล้วถอดหมวกออก โค้งให้กับใครบางคนที่พึ่งมา  ทีแรกเค้าคิดว่าอาจจะเป็นดัมเบิลดอร์  แต่เมื่อเห็นหน้าชัดๆ ก็ต้องตะลึง

    "เซเวอรัส!?"

    "เหมือนขนาดนั้นเลยเหรอ หึ  ยังไงก็ตาม  ขอบคุณที่ช่วยดูแลเซวีให้ตลอดหนึ่งปีแรกในฮอกวอร์ต" หญิงสาวที่ซีดเซียวและผอมบางหันไปยังเคร้าซ์ "ขอเวลาเราตามลำพังนะคะ" และเคร้าซ์ก็จากไปเงียบๆ

    ลูเซียสอยู่กับหญิงแปลกหน้าตามลำพัง  จากที่ได้ยินเมื่อกี้  เธอเป็นแม่ของเซเวอรัส!

    "คุณ... คือคุณนายสเนป!?"

    "ใช่... แต่ก็ไม่ใช่ด้วย  ชั้นแต่งงานจริงแต่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลตามสามีนะลูเซียส  เพราะชั้นเป็นผู้นำตระกูล  แม้จะเป็นผู้หญิงก็ตาม  ถ้ามีลูกอีกคนหลังเซเวอรัส ชั้นจะให้เค้าหรือเธอใช้นามสกุลของเราด้วย... ชั้นคือ ไอลีน พริ้นซ์"

    ...ไอลีน พริ้นซ์!?

    "แต่ก็นั่นแหละ" เธอหัวเราะเบาๆ "คนอื่นชอบคิดว่าชั้นเป็นไอลีน สเนปเรื่อยเลย"

    ลูเซียสพิจารณาเธอและหวนคิดถึงเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่เค้าพบเมื่อสามปีก่อน  เธอมีผิวซีดเหมือนคนป่วย ผมสีดำสนิทเป็นมันเยิ้มแหวกเหมือนม่านล้อมกรอบใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่น และตาของเธอก็เป็นสีดำสนิทที่ดำอย่างที่ไม่มีสีดำใดจะเหมือน คิ้วดกดำและริมฝีปากที่บอบบาง  เหมือนเซเวอรัส  เหมือนโลกิ...!?

    "ลูกสาวของโลกิ!? เซเวอรัสเป็น... หลานชายของโลกิกับมานาเกียใช่มั้ยครับ!?"

    "เธอโตขึ้นเยอะเลยนะ ลูเซียส ตอนที่แม่ของเธอคลอดเธอกับน้องสาวฝาแฝดที่หอคอยกริฟฟินดอร์ชั้นอยู่ที่นั่นด้วย  ชั้นกับเฟรยาอาบน้ำให้เธอกับน้องสาว  ตอนนี้เธอโตเป็นผู้ใหญ่และเหมือนพ่อของเธอ... ไม่สิ  เธอเหมือนย่าของเธอมาก, เหมือนจามีส พอตเตอร์" หญิงสาวถอนใจ  เธอไม่สวยน่ารัก  แต่นั่นเหมือนจะเป็นเรื่องลวง  เพราะเมื่อพิจารณาอย่างต่อเนื่อง  ลูเซียสเริ่มพบความงามที่ซ่อนอยู่  ริมฝีปากของเธอ ตาของเธอ  คิ้วของเธอ  ทั้งหมดล้วนสวยงาม  แต่ไม่เข้ากัน  ทำให้เธอดูธรรมดาเมื่อพวกมันมารวมกัน

    ยกเว้นเพียงจมูก... นี่คือใบหน้าของเซเวอรัส สเนปเมื่อเค้าโตขึ้น!

    "คุณ... มาทำอะไรที่นี่"

    "โอดินตายระหว่างที่อยู่กับชั้น"

    "ใคร!?" ลูเซียสมือสั่นมากจนชาในถ้วยกระฉอดหก "ใครฆ่าเค้า!?"

    "ใครบางคนที่ฆ่าพ่อแม่ของของชั้น"

    "โอ้..." ลูเซียสร้องไห้เมื่อนึกถึงสภาพศพของโลกิกับมานาเกีย "ในนามแห่งเมอร์ลิน!"

    "ชั้นเรียกเธอมาที่นี่เพื่อจะบอกว่า ชั้นกำลังจะตาย" คำพูดนั้นกระชากลูเซียสที่อยู่ในความเศร้าให้กลับมาสู่สภาพความจริง  เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มอย่างอ่อนโยนเหมือนแม่ทำให้ลูกชาย  แม่ที่เค้าไม่เคยมี "เพราะฉะนั้น  ชั้นขอร้องเธอ  ช่วยดูแลลูกของชั้นด้วย... เหมือนที่พ่อของชั้นดูแลเธอ"

    "ทำไม... คุณ...? เดี๋ยวสิ! คุณไม่จำเป็นต้องตายเลยนะ! มันเกิดอะไรขึ้น!?"

    "ชั้นทำปฏิญานไม่คืนคำว่าจะไม่ใช่เวทมนตร์อีก  แต่ตอนนี้ชั้นจำเป็น  คู่ต่อสู้ของชั้นมีพลังมาก... ชั้นต้องดึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในเลือดของแม่ที่อยู่ในร่างชั้นออกมาใช้"

    "คุณจะไปฆ่าพวกมัน!? ใช่มั้ย!?"

    "ใช่" เธอพูดพลางกำแขนซ้ายของเค้า  ตำแหน่งที่มีตรามารประทับอยู่ "แต่ชั้นพูดไม่ได้... ชั้นต้องการให้เธอปลอดภัย.. ลูเซียส, หลังจากชั้นตาย  เธอช่วย  ไปงานศพชั้นด้วย"

    ลูเซียสตื่นขึ้นแล้วพบว่าตนเองกำลังนอนที่ห้อง  สอบถามว่ามีคนพบเค้าหมดสติที่ร้านอาหารหลังจากเห็นศพของโอดิน  ลูเซียสรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น...

    ข้างนอกมีฝนตกไม่ขาดสาย... บางที ไอลีน พริ้นซ์อาจจะตายไปแล้วระหว่างที่เค้ากำลังหลับอยู่...
    --------------------------------------------

    อีกครั้งที่ห้ามตัวเองไม่ได้  เค้าหยิบสมุดขึ้นมาเปิด  สมุดที่เป็นความทรงจำของปราสาทกาลเวลา  แต่มันมีแต่เรื่องของโลกิในสองหน้าแรกและอาจจะมีแต่เรื่องของโลกิและเพื่อนๆ ทั้งเล่ม  แต่ความโหยหาในตัวเพื่อนที่รู้ใจซึ่งทยอยจากไปทำให้เค้าควบคุมตัวเองไม่ได้

    สมุดนำเค้าไปสู่อีกช่วงเวลา...

    ในพิธีคัดสรร  เค้าเห็นเจมส์ พอตเตอร์ที่เป็นปู่ของเจมส์ที่เค้ารู้จัก  รวมทั้งจามีส พอตเตอร์พี่สาวของเค้าถูกคัดให้ไปกริฟฟินดอร์ พวกเค้าดูคล้ายลูเซียสสมัยเด็กๆ แต่มีผมสีทองและตาสีน้ำตาล  เห็นโอดินถูกคัดไปกริฟฟินดอร์  และแน่นอนว่าโลกิถูกคัดไปสลิธีรีน  เค้าไปนั่งข้างๆ เด็กชายที่มีผมและดวงตาสีเงินเหมือนผู้นำตระกูลมัลฟอยแล้วทั้งคู่ก็เริ่มคุยกันอย่างออกรส ลูเซียสหันไปยังโต๊ะกริฟฟินดอร์และเห็นชัดๆ ว่าโอดินมีร่องรอยของความเจ็บปวดในดวงตา และเค้าได้เห็นดัมเบิลดอร์ในวัยเด็กที่นั่นด้วย

    ผู้นำตระกูลมัลฟอยคือปู่ของเค้าเอง  อัสลันเทีย มัลฟอย  ดูเป็นเด็กที่ร่าเริงและน่ารัก  จนกระทั่งเมื่อเหลือแต่เค้ากับโลกิ  เด็กชายก็ถาม "ผู้นำตระกูลพริ้นซ์อย่างนาย  ทำไมถึงอยากอยู่สลิธีรีนล่ะ"

    "แล้วนายล่ะ อัสลัน  เด็กที่ร่ำรวยอย่างนายยังมีอะไรที่เอามาไม่ได้อีก?"

    อัสลันเทียถอนใจ "เงินไม่ใช่ทุกอย่าง... ชั้นมีเงิน  แต่ไม่มีคนจริงใจ  ถ้าชั้นไม่มีพวกที่คบๆ คงตีจาก" เค้ามองโลกิ "นายก็คงเหมือนกัน เรามาเป็นเพื่อนสนิทกันมั้ย" กับการตอบรับ  ทุกอย่างเปลี่ยนไป  เค้าเริ่มเห็นมุมแห่งสุขของโลกิกับปู่ของเค้า ตั้งแต่เริ่มเรียนปีหนึ่ง  เค้าพบว่าโลกิมีพรสวรรค์อย่างหาตัวจับยากด้านกีฬา  แต่เค้าก็เก็บมันไว้เงียบเชียบ  ถ่อมตัว  ไม่โอ้อวด  แต่ก็มีคนสังเกตเห็นจนทำให้เค้าได้ร่วมเกมส์การแข่งควิดดิชทั้งแต่อยู่ปีหนึ่งเท่านั้น  แต่ก็ไม่วุ่นวายอะไรมาก เพราะเค้าอายุครบสิบสองหลังจากเข้าเรียนไม่นาน... โลกิเกิดต้นปีการศึกษา  อายุของเค้าใกล้เคียงกับเด็กปีสองที่เป็นอายุมาตรฐานสำหรับการเล่นควิดดิชในระดับโรงเรียน

    แต่ความสัมพันธ์กับโอดินไม่ดีนัก ทั้งคู่แทบไม่คุยกันเลยตั้งแต่เปิดเทอม  และเมื่อขึ้นปีสอง โอดินพยายามแข่งขันกับโลกิอย่างชัดเจน และบางครั้งก็ถึงขั้นชกกัน  เค้าเคยได้ยินคร่าวๆ ว่าสมัยเรียน โลกิกับโอดินไม่ถูกกัน แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้  นี่มันพอๆ กับที่เจมส์ พอตเตอร์ไม่ถูกกับเซเวอรัส สเนป!? เพียงแต่การกัดกันของทั้งคู่ไม่มีตัวช่วย  ผิดกับที่เจมส์ชอบแกล้งเซเวอรัสแบบสี่รุมหนึ่ง อะไรกันเนี่ย กัดกันตั้งแต่รุ่นคุณตา  แล้วก็มากัดกันรุ่นหลานงั้นเหรอ!? ตกลงเจมส์อคติกับเซเวอรัสเพราะรับมรดกอคติมาจากตาแท้ๆ ของตัวเองเหรอ!? ที่สำคัญ  ทำไมต้องเกลียดกันขนาดนี้ทั้งที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน!?

    แล้วหลังจากนั้นก็มาเป็นเพื่อนกันอีก... ตกลงพวกเค้าดีกันตอนไหน!?

    .............................................................................

    ........................................................

    ..................................

    ..............................................

    ............................

    ลูเซียสเอามือลูบหน้าอย่างอ่อนเพลียหลังจากทุกอย่างผ่านไป  เค้าพบด๊อบบี้ที่ยืนขาสั่นเมื่อเค้าลืมตา "นี่ชั้นบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าถ้าอยากพบชั้นให้เคาะประตูก่อน!?" ดวงตาโตๆ ของมันตื่นกลัว ก่อนจะพุ่งไปที่หัวที่นอนแล้วเอาแจกันขึ้นมาโขกตัวเอง  น้ำจากแจกันและดอกไม้กระเด็นไปทั่ว

    "ด๊อบบี้รบกวนเจ้านาย! ด๊อบบี้เลว! ด๊อบบี้เลว!"

    "หยุดที! เดี๋ยวแจกันชั้นก็แตกพอดี! ทำชั้นเปียกหมดแล้วเจ้างี่เง่าเอ๊ย!" ใช่... ความจริงเค้าห่วงมันมากกว่าห่วงว่าตัวเองจะเปียกด้วยซ้ำ  เค้าควรจะไสมันไปให้พ้น โดยให้เสื้อผ้าแก่มัน... แต่เค้าทำไม่ได้.... มันเป็นลูกของกรีส, ตัวแทนของกรีส  เค้าคงเสียใจถ้ามันทิ้งบ้านนี้ไป  แต่มันทำให้กรีสตาย เพราะงั้นเค้าจะไม่ยอมรับว่าเค้าห่วงมันหรอก  ด๊อบบี้สะอึกสะอื้นพร้อมกับสั่งขี้มูกลงบนปลอกหมอนที่เอามาห่อตัวเหมือนเสื้อผ้า สารรูปมันดูน่าสมเพชจนเค้าต้องเบือนหน้าหนี "แกมีอะไร"

    "คุณหนูนาซิสซาให้เอล์ฝเอาจดหมายนี่มาให้นายท่าน"

    ลูเซียสแกะมันออกอ่าน... ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายเลยแม้แต่น้อย...










    ท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าโศก  ลูเซียสพยายามมองหาเซเวอรัสที่นั่งอยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง  และก็พบกับเด็กชายที่อยู่กับเพื่อนสองคน  คนหนึ่งคือลิลี่ และอีกคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาป้วนเปี้ยนที่โลกมักเกิ้ลได้ นาซิสซา แบล็ก... ลูเซียสเดินเข้าไปยังเด็กทั้งสามที่กำลังปลอบปะโลมกันและกันอยู่ รอบๆ มีเด็กมักเกิ้ลที่น่าจะเรียกว่าพระฝึกหัดมองอย่างเห็นใจ และกระซิบเบาๆ ไม่มีพวกพ่อมดที่นี่ ไม่มีใครจับตาดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเค้า

    "ชั้นเสียใจเรื่องแม่ของเธอ"

    เซเวอรัสหันใบหน้าที่พราวน้ำตามาแล้วกอดลูเซียสอย่างเด็กที่มองหาที่พึ่ง ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร "ลูเซียส! แม่ของผม! แม่ของผมทิ้งผมไปแล้ว!"

    "ชี่ชชชช ไม่เป็นไรเด็กน้อย  เธอยังมีเราอยู่  มีลิลี่  มีนาซิสซา  มีชั้นด้วย  เราจะไม่ทิ้งเธอหรอก"

    เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร  เค้าเดินเข้าไปที่โลงศพ  เอาดอกไม้วางให้  มองหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย น่าใจหายเมื่อคิดได้ว่าพึ่งเจอกันเมื่อวานนี้เอง... วูบหนึ่ง  ลูเซียสหันไปและพบกับบาทหลวงผู้หนึ่งที่ดูคล้ายเค้ามาก  ข้างๆ คือหญิงสาวที่เหมือนจะอายุพอๆ กันกับเค้า  อะไรบางอย่างตอบสะท้อนอย่างรุนแรงจากหญิงสาวคนนั้น  เค้าหวนนึกถึงคำขอของไอลีน... เธอขอให้เค้ามางานศพของเธอเพื่อสิ่งนี้เหรอ!?

    "ทำไม... เธอมาที่นี่  ที่ของพวกมักเกิ้ล!?"

    "ไอลีนขอให้ผมมา เธอขอก่อนที่เธอจะตาย" ลูเซียสสั่นไปหมด  แม้เค้าจะรู้เหตุผลทั้งหมดจากโลกิและตัดสินใจให้อภัยแล้วก็ตาม  แต่ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกทิ้งยังเป็นแผลลึกเสมอ "คุณ... เป็นพ่อผมเหรอ"

    "ลูเครเซีย..." เอรีส มัลฟอยหันไปหาลูกสาว "ทักทายพี่ชายฝาแฝดของลูกสิ"

    แต่ไม่มีคำใดหลุดออกมา  เค้าจึงเดินหนีไปจากทั้งคู่  แต่อย่างไรก็ตาม  ระหว่างงานศพ  เค้ามองดูพ่อแท้ๆ ของเค้า และน้องสาวอยู่เกือบตลอดเวลา  และลูเครเซีย, เธอก็มองเค้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเช่นกัน







    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×