ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Harry Potter fanfic:- พลิกตำนานปราสาทกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #21 : ความงี่เง่าของพวกโลกิกับวันอันงี่เง่าของลูเซียส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 351
      6
      3 ต.ค. 55

    "เซเวอรัส"

    "อะไร"

    "นายไม่คิดหน่อยเหรอว่าสิ่งที่นายคิดมาตลอดมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่นายคิด"

    "เกี่ยวกับอะไร"

    "ซิเรียส แบล็กอาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้ลิลี่ตายก็ได้"

    เซเวอรัสเงยหน้าจากกองงานอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน "นายเอาอะไรมาพูด"

    "เซเวอรัส" ลูเซียสเริ่มเหนื่อยใจ "ลองเป็นนายสิ นายจะหักหลังชั้นมั้ยล่ะ แล้วซิเรียสก็เหมือนนายกับชั้น เค้าไม่มีเหตุผลที่จะหักหลังเจมส์เลย"

    "นายเป็นพวกแบล็กตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" เซเวอรัสเดือดดาล

    "มีเหตุผลหน่อยศาสตราจารย์" ลูเซียสเข้มงวดขึ้นมา "อย่าเอาคคติของนายมาตัดสินทั้งหมดได้มั้ย นายเกลียดแบล็ก เพราะงั้นนายเลยพร้อมจะเชื่อว่าแบล็กทำเรื่องเลวๆ ได้ แต่ในความเป็นจริงจะเป็นอย่างนั้นเหรอ"

    "นายเข้าข้างแบล็ก เพราะเค้าเป็นพี่เมียนาย" สเนปกัดฟันกรอด

    "จะบ้าเหรอ!" ลูเซียสสุดจะทน สายเลือดของโลกิ พรินซ์คิดได้แค่นี้เองเหรอ "มีสติหน่อยเซเวอรัส! ที่บอกนายเพราะเป็นห่วงนะ! มันไม่ต่างอะไรกับนายรักลิลี่แต่พร้อมจะด่ามักเกิ้ลทั้งหมดว่าเป็นพวกเลือดขี้ดินทั้งๆ ที่ลิลี่ก็ไม่ต่างจากพวกเค้าเลย การที่นายตัดสินคนอื่นด้วยเหตุผลเพียงไม่กี่อย่างไม่ทำให้นายยืนในความถูกต้องได้หรอกนะ เพราะนายไม่ได้ไปเห็นทุกสิ่งซะหน่อย!!"

    "ออกไป"

    "เซเวอรัส"

    "บอกให้ออกไป!" เซเวอรัส สเนปตะโกนก้อง

    ผู้นำตระกูลมัลฟอยเปิดประตูพลั๊วะออกจากห้อง ไปพบกับดัมเบิลดอร์ที่ยืนตระหง่านอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  แต่ลูเซียสก็มองผ่านไปราวกับไม่เห็นและไม่สนใจและจากไปเงียบๆ ดัมเบิลดอร์ถอนใจ

    'คนๆ นี้ไม่ได้เลวร้ายอะไร ความจริงเป็นคนดีกว่าที่คนอื่นตัดสินไว้ด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละ ตัวเค้าเองก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เค้าพูด ก็คือตัดสินคนอื่นด้วยอคติ' แต่แน่นอนว่าด้วยความคิดนี้ ทำให้ดัมเบิลดอร์พร้อมจะปกป้องมัลฟอยและครอบครัวไว้ในวันนั้น ดัมเบิลดอร์มองด้านหลังคนผมบรอนซ์ที่เดินจากไปพลางเดินไปตบไหล่เซเวอรัสเบา "ทำไมเธอทำแบบนั้น เซเวอรัส เค้าเป็นเพื่อนที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนแล้วนะ"

    "ผมรู้..." เซเวอรัสแนบหน้ากับโต๊ะ "หากลูเซียสทิ้งผมไปอีกคนผมคงไม่เหลือใครอีก"

    "วูบเดียวทำให้คนทำพลาดได้นะ"

    "ผมเสียศูนย์ ท่านอาจารย์ใหญ่" สเนปเอ่ยเบา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้องอย่างสุดจะทน "ทำไมต้องเป็นหมอนั่น! ทำไมต้องพาหมอนั่นมา! มันไม่เป็นไรที่ท่านจะไม่ให้ผมเป็นอาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด!! แต่ท่านไม่ควรหักหลังผมแบบนี้!!"

    "เซเวอรัส... ศาสตราจารย์ลูปินกับการตายของลิลี่มันคนละเรื่องนะ"

    "คนละเรื่องได้ไง! เค้าเป็นเพื่อนของแบล็กไม่ใช่เหรอ!? แล้วท่านแน่ใจได้ยังไงว่าเค้าจะไม่ได้ร่วมมือกับแบล็กมาแต่แรก!!!"

    "รีมัสก็เหมือนกับเธอ... ไม่ได้คิดว่าลิลี่เป็นแค่เพื่อน นี่เป็นเหตุผลที่มากพอมั้ย"

    แต่แล้วก็ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดจากปากดัมเบิลดอร์อีก เค้าได้แต่มองเซเวอรัสที่ร้องไห้สะอื้นในความมืดโดยไม่อายใคร

     

     

     

    ลูเซียสว้าวุ่นใจ เค้าควรขอโทษเซเวอรัสก่อนมั้ย? แต่เค้าไม่ได้ทำผิดอะไรไม่ใช่เหรอ?

    ...เป็นเพื่อนคนสำคัญสินะ เด็กคนนั้นน่ะ...

    "ใช่" เค้าตอบกลับเสียงนั้นโดยไม่สนใจที่มาที่ไป

    ...เค้าชื่ออะไร...

    "เซเวอรัส"

    บรรยากาศและสภาพแวดล้อมทั้งหมดเปลี่ยแปลง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเค้าได้ตั๋วฟรีเที่ยวโลกแห่งความทรงจำของปราสาทกาลเวลาอีกแล้ว ...ยังก่ะเป็นเรื่องแดกดัน...

    "คำถามแรก.. ผมมีความจำเป็นอะไรที่ต้องเรียนเรื่องเทพนิยายกับท่าน"

    ...เจ้าไม่ได้เรียนเรื่องเทพนิยายหรอก เพียงแต่เจ้าแค่บังเอิญได้เรียนใหม่พร้อมๆ กับพวกโลกิ พวกโลกิพบเส้นด้านที่เชื่อมทั้งหมดไว้ด้วยกัน และนั่นนำพวกเค้าไปสู่การกอบกู้โลกอันเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่ยากจะมีใครเทียบได้ แต่วีรกรรมนี้ไม่มีใครได้รับทราบ พวกเจ้าสนใจแค่ดัมเบิลดอร์พิชิตกิลเดวัลด์ และ แฮร์รี่ พอตเตอร์พิชิตลอร์ดโวลเดอร์มอร์ แต่โลกรอดพ้นวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดเพราะใครกลับไม่มีใครสนใจ...

    คำตอบทำให้ลูเซียสสะอึก "เรื่องร้ายแรงขนาดแทบจะทำให้โลกดับสลายเลยเหรอ!?" แล้วเค้าก็ไม่ได้รู้เรื่อง รวมทั้งคนอื่นๆ ด้วย!?

    พริบตาที่ได้ยินแบบนี้ทำให้เรื่องแฮร์รี่  พอตเตอร์ และ อัลบัส ดัมเบิลดอร์กลายเป็นเรื่องโกหกพกกลมที่เหมือนกับแค่กุขึ้นมาเพื่อเป็นนิทานกล่อมเด็ก

    ...รีบรู้ก่อนมันไม่สนุกหรอก เด็กน้อย ค่อยๆ รู้ไปพร้อมๆ พวกโลกิดีกว่า...

    ลูเซียสยืนท่ามกลางความมืด รอว่าจะนำเสนออะไรมาอีก ก่อนจะได้พบกับแสงไฟที่ไหววูบวาบจากเทียนที่ค่อยๆ รอยมาใกล้ๆ

    ในแสงไฟเริ่มปรากฏหน้าซีดๆ ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี และทำให้เค้านึกได้ว่าพวกพรินซ์มักแต่งชุดดำเสมอ แม้แต่เซเวอรัสที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากับตายายตัวเอง(และไอรีนคงไม่ได้บอกเด็กน้อยด้วยว่าบ้านเธอแต่งตัวยังไง)ก็ยังแต่งดำมะเมื่อมตั้งแต่หัวจรดเท้า บ่งบอกว่าสำเนาถูกต้อง หลานโลกิกับมานาเกียแน่นอน

    และทีแรกที่ไม่เห็นอะไรในแสงเทียนเพราะโลกิเล่นแต่งดำมาเหมือนทุกวัน

    "เฮ้ยๆ อย่าหายใจรดเทียนนะเว้ย ยิ่งไม่ได้เตรียมไม้ขีดมาซะด้วย" อัสลันเทียพึมพำเบาๆ ทำให้หลานชายที่สังเกตการณ์ภายนอกต้องนิ่วหน้า 'ปู่เป็นพ่อมดนะ ทำไมต้องพึ่งเครื่องมือมักเกิ้ลด้วย?'

    "แหงสิ..." เจมส์ว่า "ไม่มีใครบอกเลยว่า การจะมาที่นี่แล้วพบสิ่งที่อยากจะพบ ต้องไม่ใช้เวทมนต์เด็ดขาด" ว่าแล้วก็พ่นลมออกจากปากจนโดนหลังคออัสลันเทียซึ่งเสียววาบขึ้นมาทันทีก่อนจะหันไปเขกกะบาลเพื่อนรัก ลูเซียสไม่คิดว่าจะได้คำตอบเกี่ยวกับ 'เรื่องที่พวกนี้เอาเทียนมาแทนที่ไม้กายสิทธิ์' เร็วแบบนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นพฤติกรรมบรรพบุรุษและผองเพื่อน

    หลังจากนั้นความคิดทั้งหมดต้องโดนปัดออกไปเมื่อลูเซียสเห็นท่าทางเหมือนไม่แน่ใจ โลกิค่อยๆ ย่อตัวลงแล้วเอาไฟส่องใกล้ๆ อะไรบางอย่างที่เค้าเหยียบลงไป ก่อนจะพากันร้องสุดเสียงเพราะเห็นสิ่งที่เห็นคืออะไรบางอย่างที่เหมือนอินเฟอร์ไร้ท์แต่น่ากลัว และเทียนก็ลอยสูงพร้อมๆ กับการแหบปากจากทั้งสี่คนที่มาด้วยกัน(คนที่แอบมาสังเกตการณ์ก็แหกปากด้วย) แสงสว่างหนึ่งเดียวในห้องกระแทกกับพื้นและดับลง

    เมื่อกี้มันอะไร...!

    "เฮ้ย! มีของแบบนี้ในฮอกวอร์ตด้วยเหรอ!" เสียงโอดินดังก้อง

    "แว๊กกกก!" ไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันเป็นความจริง เสียงนี้มาจากโลกิแน่ๆ "มันจับขา!"

    "จับแขนด้วยยยยย!!" เจมส์เสียงโหยหวน

    "ลูมอส!" แสงวาบออกมาจากไม้กายสิทธิ์ สิ่งที่หลายๆ คนกลัวหายวับไปจนหมด และทั้งสามหันไปมองอัสลันเทียอย่างขอบคุณก่อนจะโดนกำปั้นสับกะบาลไปคนละที "แหกปากไปได้ไม่อายกันเลย เราเป็นพ่อมดนะ อีกอย่าง ชั้นพึ่งบอกไม่ใช่เหรอว่าเราไม่ได้เห็นในสิ่งที่เราควรเห็นหากใช้เวทมนตร์ก่อนเวลาอันเหมาะสม"

    ดูๆ ไป พวกเค้าทั้งสี่ก็บ้าๆ บอๆ พอๆ กันหมดนั่นแหละ เพียงแต่อัสลันเทียมีสติมากกว่าเพื่อนเวลาเกิดปัญหาเท่านั้นเอง(ปู่เรานี่เยี่ยมจริงๆ) ลูเซียสสรุปหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป

    "เสียเที่ยวซะแล้ว" โลกิพูดเซ็งๆ ทำให้เจมส์พึมพำ

    "เพราะใครกันล่ะ"

    "งั้นนายมาเดินนำหน้ามั้ยล่ะ"

    "เรื่องอะไร คนที่อยากรู้ใครนาย เราไม่เกี่ยว"

    "เจมส์... แกอยากตีกับโลกิคนนี้สินะ"

    "ย่อมได้ ฝ่าบาท" เจมส์ทำท่ากวนบาทา

    "พอที!" โอดินโวยในที่สุด "ไหนๆ มันก็ดับไปแล้ว พวกนายจะพากันดับดิ้นด้วยรึไงวะ!?"

    "ปล่อยให้พวกมันสู้กันไป" อัสลันเทียบอกโอดิน ยกมือเกาหลังหู "อุฮู้... ความกระหายชัยชนะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว"

    ทั้งหมดของการต่อสู้ระหว่างโลกิและเจมส์ไม่ใช่การเสกเวทย์ใส่กัน แต่เป็นการเล่นมวยปล้ำนิ้วหัวแม่มือ ลูเซียสค้นพบในเวลาอันรวดเร็วว่าจริงๆ แล้วทั้งสองไม่ได้โกรธกัน แค่อยากจะแก้เซ็งนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น เค้าเห็นการเล่นมวยปล้ำนิ้วผ่านแสงจากไม้กายสิทธิ์ที่ปู่นำมาส่องไฟให้ มีโอดินเป็นกรรมการ ทั้งสองเริ่มต้นด้วยความสนุก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระหายชัยชนะ แล้วหลังจากนั้นก็จบลงที่การเล่นนอกกติกา-ตุกติก-สกปรกและน่าอับอาย

    .....(-"-).....

    "ทุเรศที่สุด..." อัสลันเทียลงความเห็นหลังจากทนเงียบมาแสนนาน

    "แล้วเอาไงต่อ..." โอดินถามหลังจากความมันส์ผ่านไปแล้ว

    "ก็คงต้องกลับมาอีก" โลกิตอบแบบเฉยๆ "เพียงแต่คราวนี้คงต้องเตรียมเทียนสำรองกับไม้ขีดมาด้วย เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้อีก"

    "งั้น... ชั้นไปที่โลกมักเกิ้ลดีกว่า อาจจะได้มาซักโหลหนึ่ง" เจมส์ว่า "อาจจะนานซักหน่อยเพราะต้องไปแลกเงินมักเกิ้ลที่ธนาคารด้วย พวกนายกินเมื้อเที่ยงก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอชั้น" ว่าแล้วก็ไปก่อนใคร

    "ชั้นจะไปซื้ออาหารให้ดีกว่า เพราะยังไงซะเราก็ไม่ได้เป็นนักเรียนแล้ว ฮอกวอร์ตคงไม่เลี้ยงอาหารหรอก" ว่าแล้วก็หายไปอีกคน

    แสงจากไม้กายสิทธิ์วาบออกมา เห็นเพียงโอดินกับโลกิเท่านั้น "เหมือนพวกเค้าจงใจทิ้งเราให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเลยนะ" โลกิพูดแบบงงๆ

    "โรแมนติกดีนะเพื่อน" โอดินหยอกเบาๆ แต่ในความมืดที่มองไม่เห็นกันมันให้ความรู้สึกจริงจังจนแม้แต่ลูเซียสก็ยังพลอยขนตั้งไปด้วย เพราะภาพตรงหน้านั้นคล้ายภาพของเจมส์(พ่อแฮร์รี่)กับเซเวอรัส(อาจารย์แฮร์รี่)ยังไงพิกล ยิ่งเจมส์ทำท่าเหมือนจะลวนลามซึ่งน่ายิ่งทำให้หนุ่มรุ่นหลานที่แอบมองอย่างลูเซียสมีอาการเหมือนจะอ้วก ให้ตายสิ! เค้าไม่ได้ต้องดูโชว์ระหว่างพวกเกย์หรอกนะเฟ้ย!

    "จริงด้วย" โลกิทำท่าเหมือนสมยอมและเล่นด้วย(เฮ้ย! จะเกย์ไปไหนเนี่ย!?) ซึ่งเจตนาคงต้องการหยอกโอดินกลับ เพราะเมื่อโอดินทำท่าจะจับกดโลกิตรงนั้นก็ทำให้โลกิแอบเกย์ต่อไม่ไหนเหมือนกัน เค้าว๊ากสุดเสียงแล้ววิ่งกลับไปด้านบน

    โอดินหัวเราะอย่างสะใจ "หมอนี่น่ารักดีว่ะ" ก่อนจะตามเพื่อนๆ กลับขึ้นไปข้างบนบ้าง

    แม้ทุกสิ่งจะจบลงอย่างง่ายๆ แต่ลูเซียสก็แน่ใจว่าเค้าจะยังไม่ได้กลับไปยังโลกของเค้า เพราะเค้าจะต้องรอดูพวกโลกิกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเทียนและไม้ขีดไฟสำรอง
    ---------------------------------------

    เซเวอรัส สเนปเดินไปที่ห้องรับรองแขกพิเศษของอาจารย์ ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดเป็นครั้งแรกในรอบปี นับแต่คบเพื่อนคนนี้ เค้าอยากขอโทษลูเซียส  เพราะยังไงซะก็ไม่มีใครดีกว่าลูเซียสอยู่แล้ว

    อีกฝ่ายพูดเพราะเป็นห่วง เพราะหวังดี ทำไมเค้าจะไม่รู้ล่ะ

    ลูเซียสนั่งหลับที่เก้าอี้โซฟา...

    วูบหนึ่งที่เห็นหน้า เซเวอรัสรู้สึกสงบอย่างประหลาด...

    ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ลูเซียสก็สว่างไสวในสายตาเค้าเสมอ...

    ยิ่งแสงจ้าแค่ไหน เงาก็ยิ่งเข้มขึ้นด้วย ยิ่งนายเจิดจ้าเท่าไหร่ ความมืดในใจชั้นก็ยิ่งแจ่มกระจ่าง...

    นายสว่างไสวในแสงแห่งทิวากาล สมชื่อลูเซียสจริงๆ

    เซเวอรัสขยับเข้าใกล้คนที่กำลังหลับแล้วเขย่าเบาๆ "นี่ ตื่นหน่อยสิ"

    เงียบ....

    "เฮ้..." เซเวอรัสเรียกอีกครั้งก่อนจะจับแก้ม แล้วตกใจกับความเย็นอันน่าสะพรึงกลัว

     

     


    "ท่านอาจารย์ใหญ่ครับ นี่เค้าเป็นอะไรไปเหรอครับ"

    "ชั้นก็ไม่แน่ใจ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน" ดัมเบิลดอร์ตอบอย่างใคเย็นแม้จะร้อนรนไม่แพ้เซเวอรัส ศาสตราจารย์มักกอนนากัลถามเบาๆ

    "ควรบอกมัลฟอยก่อนมั้ย อัลบัส"

    "ไม่ ผมว่าอย่าพึ่งให้เดรโกหรือนาซิสซาทราบเรื่องดีกว่า เพราะมันอาจจะไม่แย่อย่างที่คิด เซเวอรัส" หันไปหาสเนป "เธอไปปรุงยาคืนสติซิ แล้วใจเย็นๆ นะ เซเวอรัสรีบไป จากนั้นหันไปหามักกอนนากัล "มิเนอร์ว่า ไปตามศาสตราจารย์ลูปินมาหน่อยซิ" แม้จะแปลกใจกับคำสั่งแต่เธอก็ทำตาม ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมอาจารย์สอนป้องกันตัวจากศาสตร์มืด

    "ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ มีอะไรเหรอครับ"

    "มานี่เร็ว"

    "นั่น... มัลฟอยไม่ใช่เหรอ" เค้าบอกงงๆ ก่อนจะผวาเมื่อสัมผัสบางสิ่ง "นี่มัน!"

    "ใช่ที่ชั้นคิดมั้ย"

    กับการพยักหน้า  ลูปินเสียงแผ่ว "ตอนที่ผมออกตามหาวิธีที่จะทำให้ความเป็นมนุษย์หมาป่าคลายลงหรือหายไปน่ะ ผมได้พบกับเวทย์เพลมิล๊อคด้วย มันเป็นเวทย์ที่หยุดความบ้าในตัวผมได้นานกว่าห้าปี แล้วมันก็สลายไป ผมไม่เคยเห็นมันอีก จนตอนนี้ ทำไมมันมาอยู่นี่ได้"

    "เพลมิล๊อคโดนกวาดล้างไปนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับครอบร่างลูเซียสไว้ มันหมายความว่ายังไงกัน" ดัมเบิลดอร์ครางเบาๆ ยังมีสิทธิ์เพลมิล๊อคเหลือในโลกนี้อีกเหรอ"

    ราวกับได้ยินว่าโลกกำลังจะสูญสลาย พวกเค้าไม่แน่ใจว่าจะจัดการยังไง เพราะนี่คือเวทย์ที่แทบไม่มีใครเคยพบ และคนที่เคยพบก็ไม่ได้แปลว่าจะแก้มันออกไป

    ใครคือคนวางแผนให้ปลามาฮุบเหยื่อ? ความวุ่นวายกำลังจะเกิดรึเปล่า แล้วมันเกี่ยวกับอะไร? วูบหนึ่งดัมเบิลดอร์แค้นใจตนเองที่ไม่ได้พยายามศึกษาพลังฝ่ายเพลมิล๊อคเลย ด้วยกลัวในระดับที่ตนไม่อาจจะประคับประคองได้หากเสียศูนย์ เพราะพลังฝ่ายเพลมิล๊อคคือ "สุดยอดแห่งพลังเวทย์" ที่เป็นมรดกเดียวที่เฮก้า ฮัฟเฟิลพัฟทิ้งไว้

    น้อยคนจะทราบ ว่าฮอกวอร์ตไม่ได้เป็นเหมือนสมัยโบราณ มันไม่ได้เป็นที่รวมแห่งมหาเวทย์จากมหาบรรพจารย์ทั้งสี่ กริฟฟินดอร์ เรเวนครอ ฮัฟเฟิลพัฟ และ สลิธีรีนอย่างที่พวกมันมีนามบอก ฮอกวอร์ตในตอนนี้เป็นเพียงที่สิ่งสู่แห่งเวทย์สายกริฟฟินดอร์เท่านั้น

    เรเวนครอและสลิธีรีนได้ออกจากฮอกวอร์ตไปนานแล้ว ตอนนี้สิ่งสู่ที่ไหนกัน...

    แต่สายฮัฟเฟิลพัฟ ก็ไม่อาจนำกลับมารวมในฮอกวอร์ตได้ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในมรดกจากบรรพจารย์...

    การกวาดล้างเพลมิล๊อคก็ไม่ต่างอะไรกลับทำลายพลังสายฮัฟเฟิลพัฟให้หมดสิ้น!

    "เมื่อพันปีก่อน อาจจะเกิดอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยคาดคิดกระมัง" ดัมเบิลดอร์กระซิบ

    "มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก แต่เพราะบางอย่าง เรื่องยิ่งใหญ่กลับเป็นเรื่องที่คนเราไม่สนใจ" รีมัสตอบกลับ "อาเทน่าเคยบอกผมแบบนี้"

    "อาเทน่า มัลฟอยน่ะเหรอ"

    "ครับ..."

    "แล้ว..."

    "ตอนนี้เอาไว้ก่อน แต่... ศาสตราจารย์, หมอนี่ยังหายใจนะครับ แล้วก็หายใจสม่ำเสมอด้วย เหมือนแค่หลับเฉยๆ"

    "หูดีนี่"

    "เปล่าครับ แค่หายใจดัง เกือบจะกรน"

    ทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกัน "อุส่าห์เป็นห่วงแทบตาย ดันมานอนหลับซะได้" ดัมเบิลดอร์ว่า "เธอเป็นห่วงเค้าสินะรีมัส"

    "เจมส์เคยบอกว่าหมอนี่เป็นพี่เค้า แม้ผมจะไม่ทราบว่าทำไม แต่เค้าจริงจังกับมันมาก แปลกนะ ไม่ได้มีพ่อหรือแม่เดียวกันซะหน่อย"

    "คงเพราะญาติพวกเค้าแต่งงานกันมั้ง"

    ในความเงียบ ทั้งสองมองลูเซียสหายใจเงียบ แม้จะทำเป็นเหมือนเรื่องธรรมดา แต่ลึกๆ แล้วว้าวุ่นใจไม่แพ้กัน

     

     


    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×