ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาสามก๊ก

    ลำดับตอนที่ #35 : เส้นทางอำนาจของพระเจ้าเล่าปี่ตอนที่หนึ่ง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.41K
      9
      9 เม.ย. 55

    ช่วงนี้อู้มากเพราะติดสงกรานต์
     
    เล่าปี่เป็นตัวพระเอกในวรรณกรรมสามก๊กของหลอกว้านจง ผู้มีหูยานถึงบ่าและมือที่ยาวเลยเข่า ตามบันทึกของเฉินโซ่วระบุว่าเขาสูง 7 เชี๊ยะ 5 ชุนหรือประมาณ 172.5 cm ซึ่งความสูงนี้เป็นความสูงที่ช่างตัดฉลององค์วัดไว้เมื่อครั้งที่อยู่เสฉวนซึ่งตอนนั้นเล่าปี่อายุเลยห้าสิบแล้วซึ่งตอนนั้นจะมีส่วนสูงลดลงเกือบสิบเซนติเมตร แปลว่าตอนเป็นหนุ่มๆ เล่าปี่อาจจะสูงถึง 180 cm เป็นอย่างน้อย  การที่เล่าปี่มีลักษณะที่แปลกประหลาดเช่นนี้ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีผู้คนรุมทำนายว่าเขาเป็นผู้มีบุญที่จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแม้ว่าแผ่นดินที่ว่าจะมีเพียงหนึ่งมนฑลเท่านั้น  เล่าปี่ตามประวัติ(ที่เจ้าตัวอ้างว่า)นั้น เขาเป็นลูกหลานรุ่นที่สิบเจ็ดของจงซานซื่ออ๋อง หนึ่งในโอรสหลายสิบองค์ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น และด้วยเหตุผลนี้เขาจึงสิทธิ์ในราชสมบัติ... เอ่อ ถ้างั้นเล่าหัวก็โคตรจะมีสิทธิ์สินะ เพราะเป็นลูกหลานรุ่นที่ห้านับจากฮ่องเต้ และเล่าเปียวก็เป็นรุ่นที่สี่นับจากฮ่องเต้--โคตรมีสิทธิ์ยิ่งกว่าอีก

     
    ^เล่าปี่เจ้าน้ำตา--ภาพที่ทุกคนคุ้นเคยจากปลายผู้กันของหลอกว้านจง

    บิดาของเล่าปี่มีนามว่าเล่าหง ได้พบรักกับสาวนิรนามผู้มีอาชีพทอเสื่อขายรองเท้าฟาง ในขณะที่โจโก๋ทิ้งเชื้อแบบเรี่ยราดจนอุแว๊ออกมาเป็นโจโฉแล้วไม่มาดูดำดูดี  เล่าปี่กลับมีพ่อ แต่พ่อก็ถูกระเห็ดออกจากตระกูลเพราะหนีมาอยู่กับผู้หญิง ท่านพ่ออยู่ได้ไม่นานก็ลาจาก เล่าปี่จึงอยู่ในความดูแลของมารดาเช่นเดียวกับโจโฉ บางทีผมก็คิดเล่นๆ ว่าด้วยอายุห่างกันเพียงหกปีโจโฉกับเล่าปี่อาจรู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาเกี่ยวข้าว(แม่โจโฉเป็นชาวนา)เล่าปี่กับแม่ก็อาจจะไปขอรับฟางเพื่อเอามาทอเสื่อสานรองเท้าขายและอาจจะจ่ายค่าฟางด้วยรองเท้าที่นั่งสานให้โจโฉตรงนั้นเลย แต่ก็ต้องปัดความคิดนั้นทิ้งไปเพราะเหตุผลไม่เข้าท่า อย่างไรก็ตามผมก็ไม่เคยเอาแผนที่มาเปิดดูว่าบ้านเล่าปี่กับบ้านโจโฉอยู่ใกล้-ไกลกันเพียงใดเช่นกัน แต่ผมรู้สึกประหลาดใจกับถ้อยคำวัยเยาว์ของเล่าปี่ "ข้าคือโอรสแห่งสวรรค์ กำลังนั่งอยู่บนราชรถ" ที่ตรงกันทั้งในนิยายและประวัติศาสตร์ ใครไปจดจำคำพูดของเด็กมาบันทึกไว้แบบนี้ เว้นแต่มันจะเป็นสิ่งที่เขาพูดทุกวันจนเป็นกิจวัตร หรืออาจจะเป็นเป้าหมายของเขาอยู่แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ภาพเล่าปี่ก็อาจเหมือนกับกรีฟีส เด็กชายในสลัมที่ผันตัวเองมาเป็นนักรบ-หัวหน้ากองพันเหยี่ยวเพื่อจุดหมายเดียว-คือเป็นราชาเหนือราชา(ดู การ์ตูนเรื่องเบอร์เซิร์ก) เล่าปี่ในประวัติศาตร์จริงเหมือนกับกรีฟีสในการ์ตูน ห้าวหาญ เฉลียวฉลาด ชอบสะสมคนเก่ง มีความมุ่งมั่นและปนิธาน ขณะเดียวก็สำรวมท่าทีและถ้อยคำ จากภายนอกเขาคือผู้มีคุณธรรม มีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างร้ายกาจ แต่ถ้าใครได้เป็นศัตรูกับเขาแล้วก็จะรู้ชัดว่าผู้ชายคนนี้อันตรายที่สุดในยุคสามก๊ก  เท่สุดๆ มั้ยล่ะครับ  ต่างกับเวอร์ชั่นนิยายอย่างฟ้ากับเหว

    แม้เล่าปี่จะไม่ได้ยอมขายเพื่อนเพื่อแลกอำนาจอย่างกรีฟีสเพราะชีวิตจริงไม่ได้มีเหตุการณ์อภินิหาริย์ขนาดนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เล่าปี่หนีจากโจโฉมาก็เหมือนตอนที่กองพันเหยี่ยวแตกพ่ายหนีจากมิดแลนด์ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถประคองใจตนเองได้ คราวนี้ เราจะกลับไปดูชีวิตของกรีฟีสตัวจริงที่เรารู้จักในชื่อเล่าปี่

    เล่าปี่เกิดในปี ค.ศ. 161 เขามีเพื่อนร่วมก๊วนที่ดูจะรักใคร่กันดีสองคนคือเฝิงเสี้ยนที่เด็กกว่าหนึ่งปี ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นกวนอู และปราชญ์หนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องวาดรูปและปลอมลายมืออย่างเตียวหุยซึ่งเด็กกว่าถึงหกปี ก่อนจะร่วมอุดมการณ์กันจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ขณะนั้นเกิดการจราจลทั่วทั้งแผ่นดินจากน้ำมือของกลุ่มผ้าเหลืองที่คนละเรื่องกับพันธมิตรบ้านเรา เล่าปี่วัยเพียงยี่สิบสี่ กวนอูวัยยี่สิบสาม และเตียวหุยวัยเพียงสิบแปดได้กลายเป็นกองทัพทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว และยิ่งโด่งดังมากเมื่อได้กุนซือชั่วคราวจากเมืองหลวงอย่างโจ-เมิ่งเต๊อะ-โฉ  กองทัพใต้การวางแผนของกุนซือหนุ่มที่ไม่มีใครสนใจบุกถึงฐานที่มั่นของศัตรูและทำให้กองทัพผ้าเหลืองแตกยับเยิน เขากลายเป็นที่จดจำของผู้คนมากมายทันที แต่เล่าปี่กลับไม่ได้รับรางวัลมากไปกว่าค่าจ้างที่มากกว่าปกติ ความจริงเค้าควรได้ตำแหน่งขุนนางด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากอ้วนเสี้ยวและขุนพลจากเมืองหลวงไม่พอใจที่ถูกเล่าปี่และโจโฉรวมหัวกันฉีกหน้าจึงไม่ยอมส่งชื่อเขาไปยังเมืองหลวง แต่อย่างไรก็ตาม เล่าปี่ยังคงทำงานของเค้าต่อไป รวบรวมผู้คนที่เก่งกาจและมีความสามารถไว้หลายต่อหลายคนที่ล้วนแต่ผ่านสมรภูมิมาจนเป็นทหารที่เชี่ยวชาญ จนในที่สุดก็มากพอที่จะกลายเป็นกองทัพที่จะยึดครองเมืองๆ หนึ่งได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เพราะตอนนี้ตั๋งโต๊ะกำลังเป็นใหญ่และกองทัพธรรมจากสิบเจ็ดหัวเมืองก็พึ่งแตกออกมา ตอนนี้ผมมีปัญหาในการเล่าเรื่องนิดหน่อยเพราะเมื่ออ่านประวัติศาสตร์ร่วมสมัยแล้วพบว่า ตอนที่สิบเจ็ดขุนพลรวมกันปราบทรราชย์ตั๋งโต๊ะนั้น เล่าปี่ไม่ได้มาร่วมทัพอย่างในวรรณกรรมครับ(กูถูกวรรณกรรมต้มอีกแล้ว) แต่กวนอูเป็นคนคุ้มกันซุนเกี๋ยนจนสังหารหัวหยงได้จริงๆ เพราะหัวหยงเองก็ตายก่อนที่สิบเจ็ดขุนพลจะมารวมกันตั้งนาน! จึงไม่ทางที่ฉากสุรายังอุ่นจะมีขึ้นได้ และสุราก็ยังอุ่นเพราะไม่เคยริน เล่าปี่ไม่ได้นำทัพมาร่วมศึกนี้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ และเริ่มเคลื่อนไหวในวันหนึ่ง
     
    ฉลาด-เจ้าแผนการและมุ่งมั่น(อ๊ากกกก เราต้องกอบกู้ตัวจริงที่แสนเท่ของเล่าปี่กลับมานะ!!!)

    โตเกี๋ยม-ไม่ได้แก่หงักอย่างหลายท่านคิดแต่เป็นชายวัยห้าสิบกว่าๆ ที่สง่างามและภูมิฐาน เขาเป็นนักรบที่มีส่วนปราบขบถผ้าเหลืองและเก่งกาจขนาดบันทึกประวัติศาสตร์ยังระบุว่า "เมื่อโจโฉนำทัพไปโจมตีโตเกี๋ยมเขาเตรียมใจว่าอาจจะตายได้" และเขาเฉียว(ผู้ทำนายอนาคตโจโฉ)เคยพูดว่า "โตเกี๋ยมแม้ว่าเวลานี้จะเลี้ยงดูข้าอย่างดี แต่เขาจะไม่ใจดีเช่นนี้ตลอดไป" จากตรงนี้เราคงต้องลืมโตเกี๋ยมของหลอกว้านจงอีกเช่นกัน  โตเกี๋ยมรู้จักคุ้นเคยกับโจโก๋ก็เลยส่งคนมาคุ้มกัน-แต่คนคุ้มกันเกิดโลภะขึ้นมาเลยสังหารทั้งครอบครัวเพื่อชิงทรัพย์ โจโฉทราบข่าวถึงกับร้องไห้จนสลบคาที่ ครับ... โจโก๋ไม่เคยขายสมบัติช่วยโจโฉเหมือนในนิยาย ย่อมมีทรัพย์สินมากมายให้ขน จะโดนปล้นฆ่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เฉินโซ่วระบุว่า "ขบวนคาราวานของโจโก๋ใช้เกวียนกว่าร้อยคัน"  ครับ.. แม้พ่อจะตายแต่โจโฉยังมีสติใช้ได้-เรียกร้องให้โตเกี๋ยมรับผิดชอบโดยหาคนร้ายมาให้ได้ แต่โตเกี๋ยมเมินเพราะเห็นโจโฉเป็นแม่ทัพฟันน้ำนมจึงเกิดสงครามตามมา บันทึกร่วมสมัยระบุว่าโจโฉสังหารเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับการตายของโจโก๋เท่านั้น แต่เฉินโซ่วกลับระบุว่าโจโฉสั่งฆ่าคนนับแสนมาตลอดทาง ซึ่งผมคิดว่าอาจเป็นความเข้าใจผิดเพราะโจโฉพุ่งม้านำทัพออกไปและถึงแนวรบก่อนเหตุการณ์สังหารโหดตั้งหลายวัน ผู้นำการฆ่าโหดจึงน่าจะเป็นโจหอง-โจหยินที่กำลังสติแตกมากกว่า และการที่โจโฉไม่ได้ว่าอะไรหลังจากนั้นเพราะเป็นช่วงที่น้องๆ สติกระเจิง แถมตัวเองก็ไม่ได้มีคำสั่งห้ามลงมาแต่แรก เป็นธรรมดาที่ฝ่ายปรปัฏของโจโฉจะมองว่าเป็นคำสั่งของโจโฉเอง กระนั้นก็ดี นี่เป็นช่วงเล่าปี่ได้ก้าวเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยช่วยโตเกี๋ยมหลังจากไม่มีบทให้เล่นตั้งนานก่อนจะโดนโจโฉที่กำลังของขึ้นตีแตกกระเจิง

    โชคดีที่ตอนนั้นม้าเท้ง-หันซุนยกทัพมาจากนอกด่านเข้ารุกรานแผ่นดิน ทำให้โจโฉที่พยายามจะตีเมืองซึ่งเล่าปี่ได้หนีถอยเข้าไปหลบและจัดแนวตั้งรับแทนต้องล่าชะงัก  โจโฉสั่งให้ทหารอพยพผู้คนออกจากเส้นทางการเดินทัพของคนฮวนและเผาบางเมืองเพื่อบีบให้ผู้คนทิ้งเมืองและหลบหนีไปโดยเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนจากการรุกไล่เล่าปี่เป็นตั้งทัพรับมือกับชาวต่างชาติ ภายหลังเมื่อลิฉุย-กุยกีขับพวกม้าเท้งไปได้แล้วโจโฉจึงยกทัพกลับ  จากทั้งหมดนี้เล่าปี่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก ซ้ำยังได้รับการยกย่องว่ามีคุณธรรมเพราะสถานการณ์ตอนนั้นปั้นโจโฉเป็นอธรรมไปครึ่งหนึ่งแล้ว เนื่องจากผู้คนจำนวนมากที่ต้องสังเวยคำดาบทหารใต้ปัญหาโจหยินและโจหองกับการสั่งเผาเมืองเพื่อบีบให้ผู้คนทิ้งเมือง(แม้จะมีเจตนาดีแต่ไม่มีเวลาอธิบาย) เล่าปี่ซึ่งต้านทัพโจโฉไว้ได้นานสองนานจึงมีชื่อเสียงหอมฟุ้งในหมู่ประชาชนทันที เมื่อโตเกี๋ยมป่วยหนักจึงตัดสินใจยกเมืองให้เล่าปี่ซึ่งเล่าปี่ที่ขึ้นครองเมืองอย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางเสียงสนับสนุนของข่งหยง  แต่เล่าปี่สุขขีสโมสรได้ไม่นานลิโป้ก็โผล่เข้ามาในชีวิตของเขา ตีสนิทและเรียกเล่าปี่เป็นน้องชายแถมเรียกมานั่งบนเตียงเขาเลยทีเดียว(แค่นั่งเตียงเดียวกันครับไม่ได้ถึงกับนอน แต่ท่านจะจิ้นอะไรผมไม่ขัดศรัทธา) ซึ่งเล่าปี่นั้นไม่เคยไว้วางใจความสนิทสนมของลิโป้แม้แต่น้อย
     
    ลิโป้^

    พอดีอ้วนสุดที่พยายามเชื่อมความสัมพันธ์โดยให้ลูกชายของเขาแต่งงานกับลูกสาวลิโป้(ซึ่งลิโป้ตกลง) ดันทะลึ่งส่งกิเหลงพร้อมกำลังพลสามหมื่นเข้าโจมตีเล่าปี่ เล่าปี่ขอความช่วยเหลือจากลิโป้ ลิโป้ก็ยกทัพตามมาช่วยและคนกิเหลงและแม่ทัพคนอื่นมาดื่มกินร่วมกันและบอกว่า "เล่าปี่นั้นเป็นเสมือนน้องชายของข้า ตอนนี้เขามีเรื่องบาดหมางกับท่าน ข้าจึงต้องมาช่วยเขา ข้าไม่ใช่คนประเภทที่ชอบหาเรื่องบาดหมางกับใคร จริง ๆ แล้ว ข้าชอบที่จะสร้างความสงบสุขมากกว่า" แล้วสั่งทหารนำขวานปลายหอกไปตั้งไว้ที่ประตูค่าย แล้วโชว์เทพโก่งคันธนูมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "พวกท่านจงมองดูข้ายิงหนามเล็ก ๆ ของหอกนี้ ถ้าข้ายิงโดน พวกท่านจงถอยทัพกลับทั้งสองฝ่าย ถ้าข้ายิงพลาด พวกท่านสามารถตั้งทัพต่อสู้กันต่อได" ลิโป้ยิงธนูออกไปและยิงโดนกึ่งกลางของหนามนั้น กิเหลงรับปากไปแล้วถอยทัพกลับ เล่าปี่รอดมาอย่างหวุดหวิด ดูจากตรงนี้เหมือนทั้งคู่จะไปกันได้ดีใช่มั้ยครับ เสียใจด้วย... เนื่องจากปนิธานของเล่าปี่แน่วแน่ เขาไม่เคยหยุดที่จะไปยังเป้าหมาย จึงรวบรวมคนสร้างกองทัพจนมีทหารมากกว่าหมื่นคน ทำให้ลิโป้ชักไม่แน่ใจเลยนำทหารโจมตีเล่าปี่แตกกระเจิงไปพร้อมกับน้องผู้น่ารักทั้งสอง
     
    ^ความสามารถพิเศษคือการตีหน้าซื่อเป็นคนไร้เดียงสา 

    ตอนนี้เล่าปี่เกิดคิดถึงความหลังอันหวานชื่นสมัยที่เคยได้แอ้มกุนซือหนุ่มจากเมืองหลวงตั้งแต่หัวจรดเท้าตอนปราบขบถโพกผ้าเหลืองด้วยกัน ผ่านไปหลายไปหนุ่ม(ร่าง)น้อยหน้ามนกลายเป็นยอดนักรบไปแล้ว จำได้ว่าเห็นหน้ามนๆ ของมันอยู่ไวๆ ตอนไปช่วยโตเกี๋ยม จึงตัดสินใจเสริมความด้านให้ใบหน้า เดินทางไปหาโจโฉ--ขอฝากเนื้อฝากตัว ท่ามกลางเสียงปฏิเสธของบรรดาที่ปรึกษาฝ่ายโจโฉ แต่โจโฉนั้นแม้จะมีชื่อเป็นคนโหดเหี้ยมของแผ่นดินก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำจึงต้อนรับเล่าปี่อย่างดี แต่ลูกน้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เล่าปี่นั้นมักใหญ่ใฝ่สูง เขาต้องสร้างปัญหาให้ท่านแน่" โจโฉจึงเริ่มเอนซ้ายเอนขวาเหมือนกัน ต้องถามความเห็นกุยแกซึ่งกุยแกก็ตอบว่า "ข้าเห็นด้วยว่านายท่านควรกำจัดเล่าปี่ แต่นายท่านกำลังต้องการกำลังพลเพื่อกำจัดขุนนางชั่ว การประพฤติตนที่ดีเท่านั้นที่ดึงดูดคนดีมีฝีมือให้มาเข้าร่วมกับนายท่านได้ และตอนนี้เล่าปี่มีชื่อเป็นวีรบุรุษ ถ้าเขามาขอความช่วยเหลือเราแล้วเราฆ่าเขาเสีย ชื่อเสียงของเราจะด่างพร้อยไปด้วย เราควรจะทำเช่นนั้นหรือ บัณฑิตที่ชาญฉลาดและขุนนางทั้งหลายจะรู้สึกไม่มั่นใจและตัวนายท่านและรู้สึกว่าพวกเราเลือกนายผิด แล้วใครจะอยู่ช่วยนายท่านกอบกู้แผ่นดิน แม้ว่านายท่านสามารถกำจัดศัตรูที่คุกคามท่านได้หนึ่งคน แต่คนทั้งหลายผิดหวังในตัวนายท่าน นี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ทุกคนจงไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน" จากคำพูดของกุยแกทุกคนเงียบเป็นเป่าสาก มีเพียงโจโฉที่หัวเราะชอบใจ  โจโฉมอบทหารให้เล่าปี่และให้เสบียงอาหาร ส่งเขาไปที่ไพก๊ก เพื่อรวบรวมกองทัพที่แตกพ่ายของเขาและวางแผนโจมตีลิโป้

    และหลังจากนั้น เล่าปี่ก็... ไม่ใช่ครับ เอามาล่อสาววายเฉยๆ สำหรับภาพนี้

    เอาเป็นว่ายังไม่จบครับ... เดี๋ยวผมมาต่อคราวหน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×