ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาสามก๊ก

    ลำดับตอนที่ #78 : จับเข่านินทาพฤติกรรมของสุมาอี้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      6
      3 พ.ย. 56

    จับเข่านินทาพฤติกรรมของสุมาอี้
    สำหรับคนที่ตามอ่านเป็นเวลานาน  ย่อมรู้ว่าสุมาอี้ในเวอร์ชั่นนี้มีอะไรบ้าง  แต่ผมก็จะขอบอกทุกท่านเหมือนเดิมว่า, สิ่งที่ผมได้มาเขียนบอกท่านนั้น  ไม่ต้องหลับหูหลับตาเชื่อไปซะทุกอย่าง  เพราะผมก็ผสมผสานระหว่างเรื่องจริงกับเรื่อง จริงบ้างมั่วบ้างเป็นธรรดาเพื่อให้บทความมันสนุกขึ้น  อ่านแล้วไม่ต้องจดจำให้รกสมอง  ถือว่าอ่านเอามันส์เป็นพอ
     
    เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าสุมาอี้นั้นเป็นโรคภูมิแพ้, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, แพ้แมว  แต่ก็ดันมารับใช้เจ้านายที่ชอบแมว และมีนิสัยแบบแมวๆ อย่างท่านโฉ  ชีวิตของสุมาอี้ก็เลยวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องแมวๆ(เขียนอะไรวะเนี่ย)  แต่สุมาอี้ยังแอบมีเรื่องอื่นให้นินทาหลายอย่าง  และมีความลับอย่างหนึ่งที่น้อยคนจะรู้  เพราะในฐานะที่ถูกสถาปณาเป็นปฐมฮ่องเต้แห่งจิ้นก๊ก  สิ่งนี้ย่อมไม่อาจจะเขียนกันให้สนุกมือได้  นั่นคือเรื่องที่สุมาอี้นั้นกลัวเมีย!?!?
     
    ปัญหาเกี่ยวกับการมีอีแก่อยู่ที่บ้าน  คอยจ้องจะฉีกอกเป็นเรื่องน่ากลัดกลุ้มในทุกยุคทุกสมัย   อันที่จริงผมไม่ได้ฟันธงหรอกว่าสุมาอี้กลัวเมียจริงหรือไม่  เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่แสดงความชัดเจนว่าสุมาอี้กลัวเมีย  เพียงแต่เมื่อมีคนตั้งประเด็นสิ่งนี้ขึ้นมา  ผมก็ต้องมานั่งวิเคราะห์ว่ามันใช่หรือไม่  สุมาอี้เองก็ได้เมียคนนี้มาด้วยการถูกคลุมถุงชน  แรกๆ เธอก็เป็นหญิงงามที่สุภาพเรียบร้อย  แต่อยู่ไปอยู่มาเธอก็เริ่มเป็นเหมือนหญิงทั่วไปที่มีสามีอายุมากกว่านั้นคือ "แก่ง่ายและตายช้า"  ทำให้สุมาอี้ต้องไปหาผู้หญิงข้างนอกเพื่อมาสร้างความรื่นรมณ์ให้กับชีวิต  แน่นอนยิ่งไปกับโจโฉยิ่งไปต้องพูดถึง  เพราะโจโฉนั้นชอบสะสมแม่ม่าย(อาจจะสงสารแม่  ก็เลยมีเมตตาต่อผู้หญิงที่ผัวไม่มีเป็นพิเศษ)  ฉะนั้น  สาวใช้ของแม่ม่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวซิงย่อมเป็นของลูกน้องโจโฉ  สุมาอี้ก็ได้อนิสงฆ์นี้ไปด้วย
    ทว่า... ศักดิ์ศรีท่านเมียผู้นี้ย่อมมิใช่ธรรมดา  ถ้าใครๆ พอจะจำเรื่องเล่าได้ว่า  เมื่อสุมาอี้แกล้งป่วย  ภรรยารู้เข้าก็มาเยี่ยม  สุมาอี้ก็บ่นว่า "ของเก่าๆ หน้าตาน่าเกลียด  ทำไมชอบออกมาสร้างความเดือดร้อนรำคาณใจให้คนอื่นด้วยนะ" ทำให้คุณเมียโกรธจัดขนาดไม่ยอมกินข้าว  ลูกๆ ของสุมาอี้จึงต้องมาขอร้อง-ร้องไห้ร้องห่มสารพัดขอให้พ่อแก้ปัญหานี้  ในที่สุดสุมาอี้จึงยอมขอโทษภรรยา  ทว่า เขาก็บอกอีกเช่นกันว่า "ที่ยอมขนาดนี้ไม่ใช่เพราะรักเมียแต่เพราะลูกที่แสนดีสองคนต่างหาก
     
    ปัญหาคือ... เมื่อพิจารณาไปเรื่อย ผมพบว่าเรื่องนี้ไร้สาระที่สุด เพราะหากพิจารณาสถานการณ์ทั้งหมด  ตอนที่สุมาอี้ควรจะโดนโจโฉลากไปทำงานนั้น  จริงๆ แล้วก่อนศึกอ้วนเสี้ยวด้วยซ้ำ  และสุมาอี้ก็บ่าย-แกล้งทำเป็นป่วย  ทำให้โจโฉยอมเชื่อว่าป่วยจริง  แต่หลังจากนั้นก็ลากมาทำงานจนได้ซึ่งเรื่องเกิดก่อนผาแดงด้วยซ้ำ... ถ้าเราจะยอมเชื่อเรื่องสุมาอี้แกล้งป่วยที่ถูกเขียนไว้ในประวัติของท่าน  ท่านผู้อ่านคิดลูกๆ สองคนของสุมาอี้น่าจะอายุเท่าไหร่ครับ? สุมาเจียวและสุมาสูล้วนอายุน้อยกว่าโจผีและโจสิด... ไง? เด็กสองคนนั้นอายุเท่าไหร่  ถึงขนาดร้องไห้-แสดงความกตัญญู-ให้พ่อขอโทษแม่เพื่อยอมให้แม่กินข้าว  สองขวบ, หรือสามขวบ?
     
    แล้วเด็กเล็กๆ แบบนั้นจะไปเข้าใจสถานการณ์พ่อแม่ทะเลาะกันซักแค่ไหนกันครับ  ไหนจะไปแสดงความกตัญญูกตเวทิตากับแม่ด้วย?
     
    ฉะนั้น... เรื่องนี้คงจะเขียนแก้เก้อเหมือนกับเรื่องแกล้งป่วยนั้นแหละ...
     
    คำถาม? ทำไมต้องเขียนเหมือนกับว่าเมียของสุมาอี้ไม่มีความสำคัญอะไรในสายตาของสุมาอี้? เรื่องไร้สาระขนาดนี้จำเป็นต้องจารึกในประวัติของปฐมฮ่องเต้องค์หนึ่งเชียวเหรอ? ไม่อายลูกหลานบ้างรึไง?
     
    แสดงว่า... บันทึกนี้อาจจเขียนเพื่อไม่ให้สุมาอี้มีภาพลักษณ์ที่ไม่ควรมีหรือไม่  เช่นกรณีที่สุมาอี้มีเจตนาให้ราชวงศ์ฮั่นล่มสลาย  ผู้เขียนจึงเขียนว่าสุมาอี้ไม่อยากทำงานกับโจโฉแต่แรก เพื่อไม่ให้สุมาอี้มีภาพลักษณ์เหมือนโจโฉซึ่งถูกทาสีจนมอมว่าเจตนาล้มล้างราชวงศ์ฮั่น(อันที่จริงโจโฉไม่ได้ล้มล้างฮั่นเลยนะ  เพียงแต่เป็นเจ้านายของฮั่นเท่านั้น  เนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ท่านได้กลายเป็นทาสแมวไปเพราะทนความน่ารักของน้องแมวที่ชื่อเฉาเชาไม่ได้เท่านั้น)
     
    เหี้ยนเต้.- "เชา, เอาปลามั้ย
    โจโฉ.- "เมี้ยวววว(เอาสาวๆ แทนได้มั้ย)"
    เหี้ยนเต้.- "ได้สิ, เดี๋ยวจะให้คนไปหามาให้  ตอนนี้เชานอนตรงนี้ก่อนนะ  เดี๋ยวเราจะเกาคางให้"
    โจโฉ.- "เมี้ยว(เกาพุงแทนดีกว่า)"
     
    อ่ะแอ่ม....(-"-) กลับมาเข้าเรื่องก่อน, ถ้าจะแก้ภาพลักษณ์ให้สุมาอี้  ทำไมต้องเขียนเหมือนไม่แยแสเมีย  เธอไม่มีอำนาจในสายตาเขา... แสดงว่าในสายตาของคนที่มีชีวิตร่วมสมัย, ภรรเมียของสุมาอี้คงจะมีอำนาจมากมายขนาดสับให้สุมาอี้หันซ้ายหันขวาได้... จริงอยู่ว่าเธออาจจะไม่คอยมาเป่าหูให้สุมาอี้ทำโน่นนี่นั่น  แต่การที่เมียมีอำนาจในบ้านไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร  เพราะสามีเป็นผู้มีอำนาจในสังคม  แต่กลับเข้าบ้านมาเมียอาจจะเป็นผู้ครอบครองอำนาจในบ้านก็เป็นได้  โจโฉและเล่าปี่เองก็ให้เมียมีอำนาจเต็มที่ในบ้าน  เพราะเธอต้องดูแลครอบครัวของเขาขณะที่พวกเขาไม่อยู่  โดยเฉพาะโจโฉถึงกับสนับสนุนให้ภรรยายูริได้อย่างเปิดเผย(เพราะแฟนสาวของเมียกรูก็คือเมียน้องกรูเช่นกัน) และให้อำนาจเปี้ยนสีในการที่จะจัดการทุกสิ่งในบ้านของเขา  เมื่อโจโฉกลับเข้ามาในบ้าน  เขาได้รับความรักและการต้อนรับจากลูกเมีย  แต่แน่นอน, เขาไม่ยุ่งเรื่องการจัดบ้านจัดโต๊ะของภรรยา ไม่ยุ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอและลูกๆ เพราะเขาเชื่อว่าเมียหลวงของเขาจัดการทุกอย่างได้
     
    คราวนี้กลับมาที่สุมาอี้... เป็นไปได้ที่สุมาอี้จะรักเมียมากจนไม่อาจยอมได้ถ้าเมียจะอดข้าวตาย  คำถามคือ?  ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร  ทำไมต้องไปเขียนไร้สาระแบบนั้น  จะเบิดเบือนเรื่องจริงด้วยเหตุผลใด?  เป็นไปได้ว่าเรื่องอดข้าวตายอาจเป็นเรื่องจริง  แต่ไม่ใช่คุณนายอดข้าวตาย  แต่คุณนายอาจบังคับสุมาอี้อดข้าวมากกว่า(ฮา)
     
    คราวนี้... มีคนตั้งข้อสังเกตว่า "แท้จริงแล้วสุมาอี้กลัวเมีย, ข่งเบ้งรู้ข้อนี้ จึงแกล้งส่งเสื้อผ้าผู้หญิงไปให้" คือไม่ได้เอาไปให้สุมาอี้ใส่  แต่ส่งไปแบล็กเมย์สุมาอี้ว่า "เฮ้ย... ชั้นรู้ว่าแกแอบมาเอาเมียแถวนี้  นี่คือเสื้อผ้าของหล่อน  ถ้าคุณนายของแกรู้แก้ตายแน่" และมีบางคนบอกว่า ตอนที่ข่งเบ้งส่งคนไปร้องด่าท้าทายก็ล้อเลียนด้วยเรื่องสุมาอี้กลัวเมียเป็นหลัก
    ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรอก  เพราะมันไม่มีหลักฐาน  แต่น่าสนว่าถ้ามีคนร้องด่าขนาดนั้นก็ต้องมีคนเอากลับไปเล่าต่อที่วุ่ยจนสนุกปาก ผลที่ได้คือคนไม่น้อยต้องเชื่อเรื่องนี้... นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ต้องเขียนเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับผัวเมียลงในเอกสารประวัติศาสตร์ ทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็น
     
    แต่... ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองคิดต่อว่า เรื่องภรรยาอดข้าวประท้วงสุมาอี้  แท้จริงแล้วมีอะไรแอบแฝงกันแน่
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×