ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Harry Potter fanfic:- พลิกตำนานปราสาทกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #7 : มรดกแห่งอคติกับมรดกแห่งมิตรภาพ

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.พ. 55


    ลูเซียสดึงผ้าห่มคลุมร่างของเซเวอรัสอย่างอ่อนโยน เสียงสะอื้นดังขึ้นจากคอของลิลี่และนาซิสซาอีกครั้ง ขณะที่เรกูรัสแทบไม่สามารถละสายตาจากร่างน่าสมเพชบนเตียงหรูหราของบ้านมัลฟอยได้ ใบหน้าซีดเซียวและน่าสงสารของเซเวอรัส แม้ซีเรียสจะใช้คำว่า "เด็กตัวประหลาดที่เอาตัวแต่คลุกอยู่กับศาสตร์มืดตลอดเวลา" แต่ว่า มันไม่สามารถทำให้เค้าเข้าใจถึงสาเหตุของการกลั่นแกล้งกันแบบไม่ลืมหูลืมตาของแก๊งค์ตัวกวนได้แม้แต่น้อย  ยิ่งมองใบหน้าที่ผอมจนแหลมเสี้ยม ผิวที่ซีดจนเหมือนคนป่วยและแผลที่เห็นชัดบนริมฝีปากบอบบางนั่น รอยช้ำที่โหนกแก้ม มุมปาก และซีกหน้าข้างหนึ่ง...

    เรกูรัส แบล็กยกมือขึ้นปิดปากและสะอื้นเบาๆ ไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้ เค้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า!?

    ทำไมล่ะ... รุ่นพี่สเนป!? คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึไง!?

    "ทำบ้าอะไรอยู่...?" เสียงของเรกูรัสทำให้ทุกคนหันไปมอง ลูเซียสก้มหน้านิ่งแต่ก็รับฟังทุกอย่าง "ดัมเบิ้ลดอร์... สลักซ์ฮอน... มักกอนนากัล ทุกคนทำอะไรอยู่!? ทำไมไม่มีใครช่วยสเนปซักคน... เป็นพ่อมดไม่ใช่เหรอ เป็นอาจารย์ไม่ใช่เหรอ!? จะปล่อยให้เด็กนักเรียนตายไปก่อนแล้วถึงจะคิดว่าควรทำอะไรรึไง!?"

    ลูเซียสกำหมัดแน่น กัดฟันกรอด... ก่อนจะออกไปจากห้องนี้พร้อมกับปิดประตูปัง

    ใช่แล้ว เรื่องแบบนี้พอกันที! เซเวอรัสเป็นเด็กนะ! ไม่ใช่แค่ชิ้นเนื้อ! จะขายให้ใครก็ได้งั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เป้าหมายของคนที่ถามซื้อก็คือบำบัดความใคร่งั้นเหรอ!? ทุเรศที่สุดเลย! พวกที่โบสถ์ไม่มีใครทำอะไรบ้างเลยรึไง!? คนทั้งฮอกวอร์ตไม่รู้เรื่องเลยซักคนเหรอ! แล้วคนแถวบ้านล่ะ ร้อยหลังคาเรือนในตรอกช่างปั่นฝ้ายมันเป็นใบ้กันหมดรึไงวะ!?!

    "อย่าทำอะไรโง่ๆ ดีกว่านะ"

    เสียงๆ หนึ่งทำให้ลูเซียสจิตหลุด เค้าหันไปมองอย่างตกใจและเห็นอาเทน่า มัลฟอยยืนอยู่ที่หน้าต่าง ชายหนุ่มเกือบจะตะโกนออกมา "นี่คุณเข้ามาได้ยังไงน่ะ!?"

    "นี่บ้านชั้น... ชั้นจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้"

    ลูเซียสปาดเหงื่อ ลืมไปว่าเธอเป็นคนตระกูลมัลฟอย "น้องชายคุณรู้เรื่องบ้าๆ นี่มั้ย"

    "หมายถึงใครกันล่ะ"

    "หมายถึงพ่อผม!" เค้าคำรามออกมาอย่างสุดจะทน

    "รู้สิ... แต่ทำอะไรไม่ได้หรอก"

    "หมายความว่าอะไรที่ว่าทำอะไรไม่ได้!?"

    อาเทน่าหันขวับ "เลาเรสไม่ได้บอกอะไรรึไง"

    "เกี่ยวอะไรกับพวกพอตเตอร์?"

    "เซเวอรัส สเนปเป็นเจ้าชายเลือดผสม... เชื้อสายราชวงศ์... ถ้าเค้าอยู่อย่างไร้มลทินเค้าจะกลายเป็นเครื่องสังเวย"

    ลูเซียสตะลึง... เค้าก้มหน้าอย่างลำบากใจ จำทุกคำที่เลาเรสและเฟรยาพูดได้ แต่ว่า...!?

    "งั้นมันน่าจะพอได้แล้ว... เด็กคนนี้มีมลทินพอแล้ว!" ลูเซียสเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง "ไม่บริสุทธิ์พอสำหรับอะโพคาลิฟ-ฟา!"

    "แย่นะ... ปัญหามีอยู่ว่าเซเวอรัสเป็นเจ้าชายเลือดผสมคนเดียวที่เป็นแกะบริสุทธิ์ตัวเดียวในโลกซะแล้ว" อาเทน่าพูดอย่างจริงจัง "เพราะตระกูลพริ้นซ์ไม่มีเลือดบริสุทธิ์เหลืออีกแล้ว และเซเวอรัสก็เป็นเลือดผสมคนเดียวที่ถูกต้องตามพันธสัญญาทุกอย่าง!"

    "น้ำชาค่ะ" เสียงแม่ของด๊อบบี้ขัดจังหวะของทั้งคู่ เธอเสริฟน้ำชาให้อาเทน่า ไม่แปลกใจที่เห็นอาเทน่า ตรงกันข้าม ดูจะดีใจด้วยซ้ำที่เห็นอาเทน่าอีก

    "จะทำยังไงต่อไป?"

    "ชั้นก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ อะโพคาลิฟ-ฟาไม่มีวันปล่อยเค้าเด็ดขาด"

    "ลูเซียส! ใครมาเหรอ!?" นาซิสซาพุ่งออกมาจากห้อง ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงร่างผอมสูงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่คล้ายลูเซียสมาก แต่เหมือนจะอายุมากกว่าเล็กน้อย ทว่า ในโลกเวทมนตร์ อายุดูจะเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น ไอพลังรอบๆ ตัวเธอบอกชัดว่าเธอน่าจะเป็นแม่ลูเซียสได้ด้วยซ้ำ เธอตัดผมสั้นหวีแสกข้าง และแต่งตัวคล้ายมักเกิ้ลเพศชายที่มีฐานะ แต่ดูจากสีผม สีตา สีผิว  เป็นคนตระกูลมัลฟอยแน่ๆ

    "นาซิสซา... นี่คือ ป้าของชั้น" ลูเซียสแนะนำเบาๆ "พี่สาวฝาแฝดของบาทหลวงเอรีส"

    "สวัสดีค่ะ" นาซิสซางวยงงเหมือนถูกสะกดจิต อาเทน่าเดินเข้ามาแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มนาซิสซา

    "นาซิสซา แบล็กใช่มั้ย... ชั้นคืออาเทน่า มัลฟอย ยินดีที่ได้รู้จัก  ดีจริงๆ ที่ตระกูลมัลฟอยจะได้ต้อนรับว่าที่หลานสะใภ้ที่น่ารักขนาดนี้"

    "ผมขอให้เราไปคุยกันข้างนอกตามลำพังได้มั้ย" ลูเซียสพูดเสียงยานคาง "คุณป้า"

    "แน่นอนที่สุด..." เธอตอบก่อนจะตีแก้มนาซีสซาเบาๆ อย่างเอ็นดู "เราไปกันเถอะ"










    ร่างสองร่างที่มองผ่านๆ เหมือนมักเกิ้ลเดินคุยกับพ่อมด แต่เมื่อมองชัดๆ จะไม่ประหลาดใจว่าสองคนนี้เป็นญาติกัน  ทั้งคู่เดินไปด้วยกันจนกระทั่งออกจากโซนพื้นที่ของโลกผู้วิเศษและหยุดที่ร้านน้ำชาของมักเกิ้ลที่ค่อนข้างเงียบสงบ ทั้งสองขอที่นั่งมุมสงบสำหรับพูดคุยกัน ลูเซียสมองดูอาเทน่าสั่งน้ำชาและขนมด้วยท่าทางที่ดูเหมือนพวกมักเกิ้ลจนกระทั่งอาหารมักเกิ้ลถูกยกมาวางที่โต๊ะ

    "คนระดับจตุราชามานั่งร้านมักเกิ้ลแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ" ลูเซียสถามเหมือนไม่อยากจะรับคำตอบด้วยซ้ำ

    "ที่ๆ ปลอดภัยที่สุดก็คือที่สำหรับพวกมักเกิ้ล ลูเซียส  เพราะไม่มีผู้วิเศษคลั่งเลือดที่ไหนจะมานั่งแถวนี้หรอก แม้แต่พ่อมดที่คลั่งไคล้มักเกิ้ลอย่างอาเธอร์ วิสลี่ย์ก็ไม่ได้รู้ทุกซอกทุกมุมของมักเกิ้ล เพราะฉะนั้น เมื่อเธอเล่นบทพ่อมดที่บ้าคลั่งในเลือดอันบริสุทธิ์และสูงส่งไปแล้ว หากต้องการรักษาความลับ จงจำไว้ว่าเธอต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกมักเกิ้ลให้มากยิ่งว่าพ่อมดจำพวกนั้น แล้วเธอจะปลอดภัย" อาเทน่าคนชานมเบาๆ ราวกับมันเป็นอะไรที่มากกว่าแค่เครื่องดื่ม ไม่นานนักลูเซียสเห็นควันสีทองลอยขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่เห็นซักนิดว่าเธอใส่อะไรลงไป! วินาทีนั้นเค้าขนลุกเมื่อตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นแม่มดที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างแท้จริง!? แข็งแกร่งยิ่งกว่าดัมเบิลดอร์หรือลอร์ด โวลเดอร์ "ถ้าเธออยากมีชีวิตรอดในยุคสงคราม จงดำรงชีวิตอยู่ให้ได้แม้จะไม่มีเวทย์มนตร์ แล้วเธอจะรอดอย่างแท้จริง"

    "คุณเป็นใครกันแน่!" ลูเซียสมองถ้วยชานมที่ถูกส่งมาให้เค้า ควันสีทองมันลอยขึ้นตลอดเวลา

    "ตามหลักแล้ว คนที่เป็นผู้นำตระกูลมัลฟอยอย่างเธอไม่ควรรู้เรื่องนี้หรอก เพราะพวกเธอถูกล๊อคให้อยู่ในสลิธีรีนและภูมิใจในความเป็นสลิธีรีน แต่ชั้นคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะตระหนักความเกี่ยวพันธ์กันระหว่างชั้นกับเลาเรสและเอรีส ตระหนักในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจมส์ พอตเตอร์  ลูเซียส มัลฟอย... เธอไม่เพียงเป็นผู้นำตระกูลพ่อมดศาสตร์มืดที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เป็นทายาทสายตรงของก๊อดริก กริฟฟินดอร์แม้ว่าจะไม่มีเลือดของกริฟฟินดอร์แม้แต่หนึ่งหยดในกาย แต่เมื่อกริฟฟินดอร์ได้กลับมาสู่โลกอีกครั้งในร่างใหม่ เธอมีความสำคัญในฐานะทายาททางวิญญาน... และ เธอเป็นลูกหัวปีด้วย"

    คำพูดนั้นดังก้องอยู่ในใจ  เค้าลืมไปแล้ว แต่วันนี้นึกออกอีก!?

    นี่เค้าฝันเหรอ ฝันมานานขนาดนั้นเลยเหรอ!?

    ท่ามกลางความเจ็บปวด สติหลุดลอย!

    และเสียงที่ดังก้อง จากขอบฟ้า

    ".......!........."

    ใครนะ!?

    "..!.."

    ...O...o...O...

    ...............

    ........

    หยดน้ำตา!?

    กับเปลือกตาที่เปิดออก เค้าเห็นคมดาบที่จ่อคอหอย และแสงจากใบหน้าของใครบางคน

    ไม่ใช่น้ำตา! แว่นตาต่างหาก!

    "โธ่.. เว้ยยยย!" กับเสียงคราง คุ้นเคย ดาบถูกโยนออกไป ร่างผอมสูงอีกร่างทรุดลงคร่อมอยู่เหนือร่างของเค้า "พ่อแม่บอกชั้นว่า นายเป็นพี่น้องทางพลังเวทย์ของชั้นเห็นจะจริง เมื่อกี้! ชั้นเหมือนเห็นพ่อที่ตายไปแล้ว! เค้าบอกชั้นว่า 'เจมส์! ลูกจะฆ่าพี่ของตัวเองได้ลงคอเชียวเหรอ!?' แล้วก็ทำให้ชั้นหยุดดาบทั้งๆ ที่ไม่อยาก!"

    จริงสิ!? เจ้าเด็กนี่ มันเป็นผู้นำการต่อสู้กับผู้เสพความตาย แล้วก็ไล่ต้อนพวกเราจนแตกพ่าย!!

    "เมื่อกี้" ลูเซียสตอบแผ่วเบา "ชั้นเหมือนจะฝัน... มีคำกล่าวว่า ถ้าคนเรากำลังจะตายจะได้เห็นนิมิต มันเป็นภาพจากอดีตของเราเอง และเมื่อกี้ ชั้นพึ่งได้เห็นอดีตของตัวเองด้วย"

    "เราเป็นพี่น้องทางพลังเวทย์เหรอ... ชั้นไม่เห็นเข้าใจเลย" เจมส์คราง น้ำตาอุ่นๆ ไหลหยดลงที่แก้มที่เปื้อนเลือดของเค้า "มันมีอิทธิพลพอๆ กับการเป็นพี่น้องท้องเดียวกันเลยเหรอ!?" เจมส์ดึงลูเซียสที่นอนแน่นิ่งกับพื้นไปสู่อ้อมกอด กับเสียงสะอื้น ในป่าที่เหลือเพียงพวกเค้าสองคน
    ------------------------------------------------------

    ....สุดท้ายแล้วเจมส์ก็ไม่ฆ่าเค้า....!?

    ลูเซียสมองดูร่างที่มีแผลเต็มตัวของตัวเองในกระจก เค้าฟื้นขึ้นมาในห้องของตัวเองและนาซิสซา-ภรรยาของเค้า, เธอบอกเค้าว่าเซเวอรัสเป็นคนพบเค้าที่มุมตึกในสภาพมีเสื้อคลุมพ่อมดห่อไว้เหมือนจะเป็นผ้าห่มและพาเค้ากลับมา ฝนตกหนักมาก ลูเซียสรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าหมดสติที่กลางป่า  สำหรับเสื้อคลุมที่ห่อร่างเค้าไว้นั้น เค้าจำได้ว่ามันคือเสื้อคลุมของเจมส์

    ไม่ว่าจะเพราะใจเสาะหรือเพราะความเป็นพี่น้อง แต่เจมส์ พอตเตอร์ก็ไม่ฆ่าเค้า!

    เกี่ยวกับเซเวอรัส เค้ารู้ยิ่งกว่ารู้ว่าเด็กนั่นแปรพักตร์จากจอมมารแล้วในวินาทีที่จอมมารเชื่อว่าเด็กในคำพยากรณ์คือลูกของลิลี่กับเจมส์ เซเวอรัสทิ้งท่าทีเย็นชาและคุกเข่าอ้อนวอนขอให้จอมมารอย่าได้แตะต้องเด็กสาวนั่น และจากนั้น ลูเซียสยังรู้อีกว่าเซเวอรัสลอบติดต่อกับดัมเบิ้ลดอร์ซึ่งไม่ใช่การไปเป็นสายลับสองหน้าอย่างที่เค้าบอกแก่ใคร! แต่ว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญมาก ไม่ใช่ครั้งแรกที่นาซิสซาบอกเค้าเรื่องที่เป็นความลับ เธอห่วงลิลี่และเจมส์เท่าที่ห่วงเค้าและเซเวอรัส เพียงแต่เธอไม่รู้เกี่ยวกับเซเวอรัสเท่าที่เค้ารู้! และเธอเพียงแค่กลัวว่าลิลี่กับเจมส์จะอยู่ในอันตรายเหมือนที่กลัวว่าดัมเบิลดอร์จะจับได้ว่าเซเวอรัสเป็นคนของจอมมาร!

    แต่เซเวอรัสไม่ใช่คนของจอมมาร และเซเวอรัสก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าจะรู้แล้วว่าเค้ารู้!

    อนิจจา ความรักทำให้คนเป็นไปได้มากขนาดนี้!?

    ...รักคือการสิ้นหวัง....!

    เหมือนเซเวอรัสจะเคยพูดแบบนี้มาก่อน

    ลูเซียสเปิดลิ้นชัก เพื่ออ่านบันทึกที่เค้าไม่ได้อ่านมานานแล้ว เวลานี่ต้องการโลกิเหลือเกิน แต่ เอ๊ะ! สมุดของจอมมารวางอยู่ตรงนั้น!? กับความไม่แน่ใจ ลูเซียสค่อยๆ เอาผ้าเช็ดหน้าห่อมันไว้แล้วดึงออกให้พ้นทาง ก่อนจะหยิบสมุดอีกเล่มมาด้วยความรู้สึกที่โล่งใจขึ้น

    เค้าไปนั่งที่เตียงและเปิดสมุดออก เตรียมตัวเข้าไปสู่โลกแห่งความทรงจำของคนอื่น

    คราวนี้ไม่ใช่โลกิ... ชายหนุ่มผมสีดำยาวจนเกือบจะถึงพื้นกำลังเสกผู้พิทักษ์ มันมีขนาดเล็ก แบดเจอร์สีเงิน!?! ลูเซียสมองดูมันวิ่งออกไปในป่า ก่อนจะมองชายคนนั้นด้วยความตกใจ ผู้ชายที่คล้ายเซเวอรัส สายลมพัดมาและทำให้ผมสีดำยาวสยายกับเสื้อคลุมปลิวสะบัดในสายลมเย็น  ดวงตาสีทองที่ส่องแสงจ้าในรัตกาล เซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟ!?

    ทีแรกเค้าคิดว่าเค้าคงย้อนมาอยู่ในช่วงเวลาเมื่อพันปีก่อน หรืออย่างน้อยที่สุดมันคือการเห็นอดีตของโลกิเหมือนคราวนั้น แต่ไม่ใช่ เค้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งหลับอยู่บนพื้น  ผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา! นี่คือมานาเกียใช่รึเปล่านะ!?

    แต่มานาเกียจะอยู่ในช่วงเวลาที่เซเวอรัส ฮัฟเฟิลพัฟมีชีวิตอยู่ได้ยังกัน!?

    เซเวอรัสยิ้มอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะจากไปเงียบๆ และไม่นาน โลกิก็เดินออกมาจากความมืดที่ป่า เข้ามาพร้อมกับอัสลันเทีย โลกิตรงมายังเด็กสาวที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทรุดตัวลงและตรวจชีพจร

    "เธอเป็นไงบ้าง?" อัสลันเทียถาม "เธอเสกผู้พิทักษ์เหรอ?"

    "ชั้นไม่รู้ แต่เราต้องรีบพาเธอไป เร็วอัสลัน เธอตัวเย็นมาก" โลกิพูดพลางอุ้มเธอขึ้น แล้วภาพรอบๆ ตัวเปลี่ยนไป

    พวกเค้าอยู่ด้วยกันในคฤหาสตระกูลพริ้นซ์ที่บัดนี้มันตกเป็นของคนอื่นแล้ว เพราะแม้ไอรีนจะเป็นผู้นำตระกูล แต่เซเวอรัสใช้นามสกุล "สเนป" ตามกฏหมายโลกเวทมนตร์มันตกเป็นของคนตระกูลพริ้นซ์คนอื่นแทน ซึ่งพวกเค้ามีความบริสุทธิ์ของเลือดน้อยกว่าเซเวอรัสที่เป็นลูกครึ่งด้วยซ้ำ โลกิมองดูเด็กผู้หญิงที่พวกเค้าพบ พลางพิจารณาสร้อยคอที่ห้อยจี้รูปดอกแอปเปิ้ลสีทอง ที่ถอดจากคอของหล่อนสลักคำว่า "มานาเกีย" ไว้ด้านหลัง

    "นายท่าน เด็กหนุุ่มชื่ออัลบัส ดัมเบิลดอร์มาขอพบ เค้าบอกว่าเค้าเป็นเพื่อนของนายท่าน" เอลฝ์ประจำบ้านเข้ามารายงาน

    ลูเซียสขมวดคิ้ว ขณะที่อัสลันเทียคำราม แล้วแล่นออกไป ขณะที่โลกิเหมือนจะจมอยู่ในความคิด ระหว่างที่ลูเซียสพยายามจับต้นชนปลาย เสียงของปู่ของเคาก็ดังลั่น "นายมาทำหอกอะไรที่นี่!" โลกิถอนใจพลางรีบลุกออกไป แต่ลูเซียสไม่ต้องการพบดัมเบิลดอร์ เค้านั่งลงที่เก้าอี้แล้วมองดูมานาเกีย ระหว่างมีเสียงตะโกนดังขึ้นมาอีก "นายไม่มีสิทธิ์มาพบโลกิอีกแล้วหลังจากที่นายทำให้โลกิมีประวัติเสียในโลกเวทมนตร์เมื่อปีที่แล้ว! นายกล้าดียังไงมาหาเค้า! หลังจากทำให้เค้าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่ายูนิคอนทั้งๆ ที่เป็นแค่เด็กปีหก!"

    "พอเถอะอัสลัน!" คราวนี้เสียงโลกิดังขึ้น แล้วไม่นานเค้าก็ได้ยินเสียงกร่นด่าของ อัสลันเทียกับเสียงวิ่งขึ้นบันได แล้วประตูก็เปิดออก ปู่ของเค้าลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ พร้อมกับบ่นเรื่องความบดซบของดัมเบิลดอร์ จนลูเซียสรู้สึกเหมือนมีตัวตน เพราะเหมือนอีกฝ่ายกำลังบ่นให้เค้าฟัง ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียง

    "ชั้นไม่ต้องการความเมตตาที่เกินเลยของนายหรอก!! ชั้นมาที่นี่เพื่อพูดกับนายเรื่องเมื่อปีที่แล้ว! พริ้นซ์! อย่าแสดงน้ำใจกับชั้มากกว่านี้เลย! นายรู้ตลอดว่าชั้นเป็นยังไงใช่มั้ย! และนายรู้ด้วยว่าชั้นจงใจให้นาย--!"

    "ไอ้บัดซบดัมเบิ้ลดอร์... ใส่ร้ายโลกิมาตั้งปีพึ่งจะมาขอโทษ!" อัสลันเทียคำราม

    "เห็นด้วยครับ" ลูเซียสตอบแบบไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นเค้าถูกนำไปสู่อีกช่วงเวลาหนึ่งที่โลกิได้กลับมาแล้ว และมานาเกียก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว พวกเค้าพูดคุยกันถึงสิ่งต่างๆ ซึ่งมานาเกียจำอะไรไม่ได้ซักอย่าง

    "ชั้นว่าสมองหล่อนเจ๊งแล้วว่ะ" อัสลันเทียลงความเห็น

    "งั้นก็ให้หล่อนอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีที่ไปก็แล้วกัน" โลกิตอบอย่างจริงจัง

    "ไม่มีชื่อจะวุ่นวายนะ"

    "ก็เรียกว่ามานาเกียก็ได้นี่ เพราะดีด้วย"

    "โอ้ย! อิจฉาเว้ย! อยู่ๆ ก็มีสาวสวยมาอยู่ด้วยสองต่อสอง!" อัสลันเทียแซว อีกซักพักเอลฝ์ประจำบ้านตัวเดิมก็โผล่มา

    "นายท่านครับ มีเด็กหนุ่มสองคนมาพบ เค้าบอกว่าชื่อเจมส์ พอตเตอร์กับโอดิน เมอร์กัน" ลูเซียสขมวดคิ้ว นี่คราวนี้เค้าจะได้พบทีเดียวสี่คนเลยเหรอ ไม่ทันไรเอลฝ์ก็ร้องเสียงหลงเมื่อบ้านประตูเปิดผ่าง

    "แว๊กกกก! เจ้าบ้า! ใครเค้าให้บุกเข้ามาแบบนี้กันวะ!" โอดินโวย

    "ไม่เป็นไร! โลกิเป็นเพื่อนเรา!" แหม.. นิสัยแบบนี้มันเจมส์ชัดๆ จากนั้นหนุ่มน้อยผู้มาใหม่ของคนก็อึ้งกับภาพที่เห็น ก่อนที่เจมส์ พอตเตอร์จะร้องสุดเสียงอย่างตื่นเต้น "อ่ะฮ้า! ยินด้วยที่โลกิเพื่อนรัก! นายที่สุดก็ได้เสียความบริสุทธิ์ผุดผ่อง!"

    อัสลันเทียโยนหมอนใส่หัวทั้งคู่ ขณะที่โลกิกับมานาเกียมองหน้ากันอย่างงงๆ ซักพักโลกิมองดูโอดิน ก่อนจะบอก "ขอเวลาเราตามลำพังได้มั้ย"

    "เอ่อ... ตามสบาย" อัสลันเทียกับเจมส์พูดพร้อมกัน พอพวกเค้าออกไป อัสลันเทียก็พูดขึ้น "หวังว่าคงไม่ชกกันนะ"

    "ชกกันก็ไม่มีปัญหานี่ อย่างน้อยก็ได้ปรับความเข้าใจกันซะ"

    วินาทีนั้นดูจะเป็นสิ่งที่ลูเซียสต้องการ เค้ารีบออกไปและตามทั้งคู่ไปจนถึงลานกว้างหน้าบ้าน  โลกิที่เดินนำโอดินมาตลอดหยุดแล้วหันไปมองเพื่อน "ชั้นขอโทษ"

    "เกี่ยวกับอะไร"

    "ชั้นเองที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรา" โลกิถอนใน ท่าทางเหมือนเซเวอรัสจริงๆ "ตอนนั้นชั้นบอกนายว่านายไม่ใช่เพื่อนเพราะชั้นไม่อยากให้นายต้องถูกแยกจากสังคมเพราะชั้น แต่มันอาจจะดีแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้เรามีเพื่อนดีๆ เพิ่มอีกสองคน"

    "ฮึ! นึกออกแล้วสินะเจ้าบ้า  ว่าทำอะไรลงไป!"

    วินาทีนั้นลูเซียสตกใจสุดขีดเมื่อเห็นโอดินกระโจนเข้าใส่ ชกโลกิไม่นับหมัด ขณะที่โลกิได้แต่ปัดป้องโดยไม่โต้ตอบ ลูเซียสเห็นเจมส์และอัสลันเทียเดินออกมาดูที่ระเบียง แต่ไม่มีใครเข้ามาหยุดระหว่างสองคน

    หมัดแล้วหมัดเล่า จนในที่สุด โอดินเป็นคนหยุดมันด้วยตัวเอง หายใจหอบลึก

    หน้าโลกิโชกเลือด เหมือนหน้าของเซเวอรัสหลังจากถูกพ่อกระทืบมา

    "ทำไมไม่โต้ตอบล่ะ" โอดินสะอื้นไห้ "นายก็เป็นซะแบบนี้ ชั้นถึงได้เกลียดนายที่สุด! เจ้าบ้าเอ้ย!"

    กับอ้อมกอดที่มอบให้ โอดินร้องไห้และกอดโลกิแน่น แต่คนที่ถูกชกจนสะบักสะบอมไม่โกรธแม้แต่น้อย เพียงคำพูด "ขอโทษ" เท่านั้นที่หลุดจากปาก มันทำให้เค้านึกถึงเจมส์อีกคนหนึ่ง ที่ตอนนั้นก็กอดเค้าและร้องไห้แบบนี้

    บางทีเจมส์อาจจะเหมือนคุณตาของเค้ามากกว่าแค่ใบหน้าก็เป็นได้

    ถ้าวันหนึ่งเจมส์ปรับความเข้าใจกับเซเวอรัสได้แบบนี้ก็คงดี

    ลูเซียสปิดตาลง เคลื่อนจากโลกแห่งความทรงจำสู่โลกปัจจุบัน....!







    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×