ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เมื่อวลาดอยู่ในกรงรักของสุลต่าน
^เด็กๆ ที่กำลังร่ายรำก็คืออิโคเก้น(Icoglani) หนึ่งในประวัติศาตร์อัปยศของออตโตมัน
ก่อนเข้าเรื่อง ขอปรับความรู้เพิ่มอีกนิด เกี่ยวกับการคัดเรื่องจานิสซารี่(Janissary)และอิโคเก้น(Icoglani)
ทหารเด็กอย่างจานิสซารี่นั้นไม่มีกฎที่ตายตัวในการคัดเลือก แต่แน่นอนว่าเด็กที่ผ่านการคัดเลือกจะล้วนมีศักยภาพทางทหาร--มีรูปร่างที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดจนไหวพริบที่ยอดเยี่ยม ที่สำคัญคือความจงรักภักดี แน่นอนว่าเมื่อคุณจะถ่ายทอดความรู้ทางการทหารขั้นสูงให้กับใครซักคน พวกเขาควรเป็นคนที่ภักดีใช่หรือไม่ ฉะนั้น จานิสซารี่จึงถูกปลูกฝังเรื่องความภักดีแบบถวายหัวเพื่อสุลต่าน ต้องเปลี่ยนเป็นอิสลาม เด็กเหล่านี้จะตัดขาดจากครอบครัวของตัวเองและมีชีวิตเพื่อสุลต่านเท่านั้น สำหรับทาสเด็กอย่างอิโคเก้นนั้นต่างออกไป เพราะพวกเขาจะต้องมีความงามอันสมบูรณ์แบบ ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงงามเลิศ แต่หมาย "งามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า" คือจะต้องไร้ข้อบกพร่องด้วยประการทั้งปวง(ถ้ามีแผลเป็นหรือไฝปานก็หมดสิทธิ์) พวกเขาจะทำงานจนกระทั่งเริ่มมีหนวด แล้วจึงจะเกษียรจากตำแหน่ง
ในจานิสซารี่บางคนที่ค่อนข้างรูปงาม(เช่นราดู)ก็อาจจะสามารถเป็นอิโคเก้นไปพร้อมๆ กันได้ แต่เด็กที่เป็นอิโคเก้นไม่สามารถเป็นจานิสซารี่ได้เลย อย่างไรก็ตาม เด็กทั้งสองกลุ่มจะเรียนร่วมกันและเรียนเหมือนกัน รวมทั้งสามารถเรียนวิชาแพทย์, การเมือง, ปรัชญา, และอื่นๆ มากเท่าที่มีความสามารถ เพียงแต่จานิสซารี่จะมีภาคบังคับเป็นการทหาร ส่วนอิโคเก้นจะเน้นเกี่ยวกับศิลปะ(เพราะเป็นเด็กรับใช้ที่มีหน้าที่ให้ความบันเทิง) และเมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาก็สามารถรับราชการต่อได้ด้วย เพียงแต่อิโคเก้นมีสถานภาพอันน่าขนพองสยองเกล้า เนื่องจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายระบุว่า "อิโคเก้นมีสถานภาพไม่แตกต่างจากโสเภณี!" มีหลักฐานมากมายทั้งจดหมายเหตุและภาพวาดร่วมสมัยที่แสดงชัดเจนว่า "พวกเขาถูกล่วงละเมิดทางเพศซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยผู้ชาย!" เนื่องจากผู้หญิงในวังทั้งหมดเป็นของสุลต่าน ทำให้บรรดาพนักงานชายที่พระราชฐานชั้นนอกทั้งหลายอยู่ในสภาพที่อารมณ์เปลี่ยวเต็มที่(มีผู้หญิงมากมาย แต่แตะต้องไม่ได้) พอเห็นเหล่าอิโคเก้นน้อยหน้ามนทั้งหลายก็เลยเงี่ยนขึ้นมา... ปัญหาการละเมิดเด็กผู้ชายจึงเกิดขึ้นดังนี้แล
^ Radu cel Frumos(Radu the handsome) พระอนุชารูปงามของวลาดเทเปส
ถ้าไม่นับว่าอยู่ในฐานะองค์ประกัน และวลาดเจ้าชายวลาดทรงถูกบังคับให้เป็นทาสเด็กในวังส่วนราดูเป็นทหารเด็ก พระองค์ใช้ชีวิตอยู่ในออตโตมันอย่างสุขสบายดี เพราะทรงเป็นพระบรมวงศานุวงชั้นสูง(เจ้าฟ้าชาย)ทำให้มีพนักงานรับใช้ในพื้นที่ส่วนพระองค์ และเพราะความที่เป็นเด็ก พระองค์ทั้งสองจึงน่าจะใช้ชีวิตในเขตฮาเร็ม(พระราชฐานชั้นใน) เอกสารทางประวัติศาสตร์พูดถึงการปรับตัวอย่างรวดเร็วและเยี่ยมของราดูว่า "พระองค์เป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน", และพูดถึงวลาดว่า "ตัวเล็ก อ่อนแอ และเหม่อลอย ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใด" ด้วยคำๆ นี้วลาดจึงมักถูกเฆี่ยนตีบ่อยครั้งสำหรับการเป็นเด็กที่ยากในการเรียนการสอน แต่ปัญหาของวลาดไม่ได้มีแค่นั้น เรื่องที่สร้างความกระอักกระอวนให้กับนักประวัติศาสตร์ออตโตมันคือความจริงที่ว่า "ปัญหาทั้งหมดของวลาดเป็นผลสืบเนื่องจากการถูกละเมิดทางเพศบ่อยครั้ง"
^จานิสซารี่หนุ่มในชุดอันทรงเกียรติ
mine kırıkkanatเคยกล่าวไว้ใน "Osmanlı’nın en ünlü içoğlanı(อิโคเก้นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ออตโตมัน)" โดยระบุว่า วลาด บาซารับ(แดร็กคิวล่า)ทรงถูกนำไปเป็นบรรณาการแด่สุลต่านมูรัตที่สองขณะที่มีพระชนม์เพียง 11 พรรษา พระองค์ถูกข่มขืนและทุกข์ทรมานตลอด 6 ปีในออตโตมัน สุลต่านมูรัตชื่นชอบแดร็กคิวล่าน้อยมากจนถึงขั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายหญิงคนใดอีกต่อไป และดำเนินกิจกรรมที่ทำให้ชัดเจนว่าพระองค์จะสูญพันธ์อย่างอย่างสมบูรณ์... แหงล่ะ กิจกรรมทางเพศกับอิโคเก้นมันจะมีอะไรมากไปกว่าการฆาตรกรรมลูกๆ ของตัวเองเล่า เพราะไม่ว่าจะฉีดปื้ดเข้าไปกี่ครั้งมันไม่ก็มีผลิตผลใดเกิดขึ้น(ลูกหารังไข่ไม่เจอเพราะแม่มันดันเป็นเด็กผู้ชาย) ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังทำให้แน่ใจว่าวลาดจะไม่มีเคราไปตลอดชีวิตเพื่อวลาดจะเป็นของพระองค์ตลอดไปโดยการใช้สาเคมีบางอย่างลูบที่คางและกรามในช่วงที่เด็กกำลังเป็นวัยรุ่น--ทำให้หน้าตาเกลี้ยงเกลา และตามความเป็นไปได้ของเอกสารและบริบททางประวัติศาสตร์มันชัดเจนว่าวลาดจะทรงถูกบังคับให้เจาะหูด้วย ซึ่งสองข้อหลังนี่ถือว่าเลวร้ายมาก
ทั้งนี้เพราะในวัฒนธรรมของออตโตมัน--การมีหนวดหมายความเป็นผู้ใหญ่, และเคราคือพลังอำนาจและความเป็นชาย ผู้ชายที่ไม่มีเคราจึงมีความหมายถึงการยอมรับอำนาจที่ใหญ่กว่าของชายคนอื่น ซึ่งปกติจะไม่มีใครโกนเคราทิ้งยกเว้นจานิสซารี่(จานิสซารี่จะโกนเคราเพื่อแสดงความคารวะต่อสุลต่าน) แต่สำหรับคนที่ไม่เคราโดยไม่ต้องโกนนี้มันเป็นการตีตราประทับโดยผู้มีอำนาจครับ อีกประการคือการเจาะหู เพราะประเพณีของออตโตมันเวลานั้นใช้เพื่อแสดงความเป็นหญิง ผู้ชายออตโตมันจะเจาะหูเพราะแสดงสัญลักษณ์ว่า "ตรูเป็นเคะ!!" ซึ่งคำนี้เบามากเมื่อเทียบกับเอกสารผมอ่านมานะ เพราะในนั้นใช้คำว่า "Fu*k me!!" สรุปคือในออตโตมัน สิ่งเหล่านี้เป็นตราบาปสำหรับวลาดไปตลอดชีวิต ทั้งบอกว่าเขาเป็นสมบัติของผู้ชายคนอื่น และประกาศว่าตัวเองเป็นเคะสำหรับผู้ชายทุกคน
และในความที่ทรงเป็นอิโคเก้น พระองค์ถูกข่มขืนโดยคนอื่นที่นอกเหนือจากมูรัตด้วย! หนึ่งในนั้นคือฮัมซามหาอามาตย์(Hamza Pasha)ซึ่งปรากฏตัวในเรื่อง Dracula Untoldหลายครั้งในฐานะผู้บีบบังคับวลาดและตอนท้ายยังทำให้มิรันด้า--ภรรยาสุดที่รักของวลาด(ในหนัง)ต้องตกจากปราสาท... น่าเสียตายที่ฮัมซาจบเช่นนั้นในหนัง เพราะในประวัติศาสตร์จริงจบได้มันส์กว่านั้นมาก ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในภายหลัง
การที่วลาดเป็นเคะสาธารณะเช่นนั้นเป็นที่เอ็นจอยของเหล่าจานิสซารี่กันมาก พวกเขาล้อเลียนวลาดอย่างสนุกสนานและตั้งฉายาที่แสดงความเป็นเคะให้วลาดอย่างเต็มที่ แต่ต่อมาเรื่องอาจจะเข้าหูผู้ใหญ่จนต้องออกมาเตือน จานิสซารี่ก็เลยเลิกล้อเลียนด้วยฉายาที่มีความหมายตรงไปตรงมาแต่มาใช้ฉายาที่ใช้เพื่อแดกดันแทน นั่นคือ "Kaziklu bey" ซึ่งแปลว่า "ท่านนักเสียบ" คือใช้เพื่อแดกดันจริง เพราะวลาดโดนเสียบจะกลายเป็นนักเสียบได้ยังไง? ซึ่งเรื่องนี้ชาวยุโรปไม่รู้กันเลยและเข้าใจว่าพวกออตโตมันเรียกชื่อนั้นเพราะความกลัว จนเอามาเป็นฉายาวลาดในภายหลังว่า Vlad Tepes, Vlad the Impaler ฯลฯ ซึ่งฟังดูดีครับ--เข้ากับสิ่งที่เป็นลายเซนต์ของพระองค์ในภายหลัง แต่ลึกๆ ผมว่าพระองค์ไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะทรงรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ของฉายานี้ ศาสตราจารย์แดนแห่งมหาวิทยาลัยบูคาเรสเคยเขียนบทความว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อชีวิตของวลาดในระยะยาว เพราะมันอาจจะทำให้พระองค์เป็นเกย์แฝง(พึงพอใจที่ถูกแทง?) เนื่องจากมีเอกสารหลายฉบับที่พระองค์เหมือนจะถูกพิจารณาจากผู้ชายคนอื่นว่าเป็นผู้หญิงอยู่บ่อยครั้ง
^ Vlad Tepes (Dracula) ตัวจริงน่ารักผิดกับที่เคยเห็นในหนังลิบลับ(ในหนังเค้าก็เลือกคนหล่อๆ แมนๆ)
ในตอนแรกมันก็เป็นการล้อเล่นสนุกธรรมดาของเด็กที่ไร้เดียงสา แต่นานเข้าคงไม่ใช่เช่นนั้นแน่ เพราะจริงอยู่ที่มูรัตตกหลุมรักดวงตาสีเขียวของวลาดจริงๆ จังๆ ในตอนแรก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าความรักจะจืดจางแต่กลับมาขึ้นด้วย เพราะพระองค์สวยขึ้นทุกวัน! เอกสารทางประวัติศาสตร์ระบุว่าจากเด็กที่ผอมซีดและเปราะบางเริ่มค่อยๆ มีเลือดฝาดมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป "พอเริ่มจะเป็นหนุ่มพระองค์ก็โดดเด่นขึ้นมาด้วยผิวขาวเหมือนหิมะ แก้มสีชมพู ผมดำเป็นเงา ขนตายาวงอนและตาสีเขียวเข้ม.." พวกจานิสซารี่จากที่เคยล้อเลียนก็เริ่มหอนเหมือนหมาเดือนสิบสองแล้วคราวนี้ ว่ากันว่าพวกเขาพยายามแย่งวลาดจนเกิดเป็นศึกหน้าพระพักตร(ศึกหน้านาง?)เสมอ มีบันทึกของโรมาเนียระบุว่าวลาดเคยบาดเจ็บจากศึกชิงพระองค์จนถึงขั้นพระกรหักทีเดียว หลังจากหนีจากพวกหื่นได้หวุดหวิดจึงได้รับการรักษาจากหมอหลวง พอมูรัตถามว่า "เจ้าไม่ร้องไห้?" พระองค์ก็บอกว่า "กระหม่อมไม่ใช่เด็กผู้หญิง" มูรัตได้สดับก็สบอารมณ์ยิ่งนัก จึงอุ้มวลาดไปที่เตียง
และ...เซนเซอร์!!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น