ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Harry Potter fanfic:- พลิกตำนานปราสาทกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #23 : เมื่อลูเครเซียจะไปตามหาลูเซียส--1

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 55


    "เราไปช่วยพวกเค้าดีมั้ย" โลกิถามหลังจากทนมองอยู่นาน

    "เราต้องไม่ใช่เวทมนตร์ต่อหน้ามักเกิ้ล" เจมส์เตือน

    "แล้วจะทนดูพวกเค้ามีอันตรายรึไงกัน" อัสลันเทียโวยวาย

    และแล้ว คนที่พุ่งออกไปคนแรกก็คือโอดิน กับการร่ายเวทย์ แต่คงช้าไปหน่อย มักเกิ้ลที่กำลังยุ่งวิ่งมาทางนี้พอดีแล้วกระแทกเข้ากับโอดินจนล้ม แว่นตากระเด็นไปกับพื้น(ความเหมือนเจมส์พ่อแฮร์รี่ก็พลอยลดลงด้วย) ยังไม่นับความซวยที่มักเกิ้ลอีกคนวิ่งมาเหยียบแว่นแตกละเอียด จากความพยายามจะช่วยพวกมักเกิ้ล โลกิ อัสลันเทียและเจมส์จึงต้องรีบช่วยชีวิตโอดีนแทน โลกิแบกโอดินวิ่งหนีแมมมอธที่อาละวาดหนักกว่าเดิมเพราะเจมส์ร่ายคาถาผิดบท

    ลูเซียสเอามือกุมหน้าผาก มันทุเรศจนดูไม่ได้

    โลกิแบกโอดินวิ่งไปที่ซอกหิน แล้ววางเพื่อนลง โอดินป่ะป้ายไปทั่ว "แว่นชั้นล่ะ แว่นชั้นอยู่ไหน!?"

    "แหลกไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้" โลกิตอบแบบไม่ให้ความหวัง "เดี๋ยวจะรวมศักยภาพการมองเห็นมาไว้ที่ตาข้างเดียวนะ เอาซ้ายหรือขวา?"

    คำถามนั้นทำให้ลูเซียสอึ้ง ...มีเวทย์มนตร์แบบนั้นด้วยเหรอ...!?

    "อะไรก็ได้ ให้ชั้นมองเห็นก็พอ"

    กับการร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว ดวงตาสีฟ้าด้านซ้ายโอดินกลายเป็นสีเทา โอดินกระโจนจากซอกหินแล้วร่ายคำสาปพิฆาตใส่แมมมอธทันที

    เวลานั้นเค้ายืนอย่างผู้พิชิตท่ามกลางพวกมักเกิ้ลที่ห้อมล้อมมา ด้วยสายตาที่มองราวกับเป็นเทพเจ้า... เทพเจ้า? ใช่สิ ไม่มีคำใดเหมาะสมไปกว่านั้นแล้ว เพราะทั้งสี่ได้รับเชิญไปยังหมู่บ้านพร้อมกับเหยื่อที่พวกเค้าล่าได้อย่างสมบูรณ์

    วินาทีนี่ลูเซียสเหมือนจะจับต้นชนปลายได้ว่าที่นี่คือที่ไหนเมื่อเห็นหมู่บ้านที่ล้าหลังสุดๆ และการแสดงความเทิดทูลต่อเทพเจ้าที่ไม่เคยรู้จักมักจี่

    ท่ามกลางงานเลี้ยงต้อนรับ ลูกบ้านได้นำเทพตาเดียวและเพื่อนๆ ไปที่ลานกว้าง "มหาเทพโอดินประทับที่ตรงนี้" โอดินนั่งลงด้านซ้ายหัวหน้าเผ่า ส่วนพวกเพื่อนเดินไปอีกด้าน "เทพขี้ข้านั่งตรงนี้"

    "ขี้ข้าเหรอ?" อัสลันเทียที่หัวไวและประสาทไวกว่าเพื่อนทวนคำเบาๆ

    "เฮ้ย!? ทำไมโอดินเท่อยู่คนเดียวฟะ!?" เจมส์ลุกขึ้นโวย แต่โดนโลกิดึงไว้

    "เอาน่าๆ นั่งตรงนี้ก็สบายดีออก จะนอนก็แผ่ลงเลย แต่นั่งบนโขดหินข้างหัวหน้าเผ่าอย่างโอดิน เวลาง่วงมามีหวังหงายหลังหัวฟาดพื้น คอหักแน่นอน"

    "เห็นด้วยกับโลกิ" อัสลันเทียพยักหน้า

    เนื้อแมมมอธถูกแล่แล้วหมักกับผลไม้ อบกับหินร้อนๆ จนสุกได้ที่ถูกนำมาเสริฟ ตอนนี้ลูเซียสเริ่มจะท้องร้องแล้วเหมือนกัน เค้าจ้องเป๋งไปบนหินที่กลายเป็นเหมือนเขียง เนื้อหอมๆ ทำให้น้ำลายสอ แต่เมื่อเอื้อมมือไปแตะกลับไม่สามารถแตะได้

    นี่โหดร้ายไปแล้วนะ... การที่เค้าไร้ตัวตนนานๆ ก็ทำให้เริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะตายแล้ว และบางทีถ้าติดตามดูต่อไปเรื่อยๆ เค้าอาจจะพบว่าตัวเองไปยืนที่ริมแม่น้ำ มีเทพนาวี-แครอลรอรับ แล้วแจวเรือพาเค้าข้ามไปอีกฝั่งเพื่อรับฟังคำพิพากษาจากฮาเดท

    แต่ลูเซียสรู้ชัดแล้วว่าตนเองอยู่ที่ไหน...

    บนดินแดนใดดินแดนหนึ่ง บนแผนดินยุโรปเหนือโบราณ ที่ต่อมาอารยธรรมไวกิ้งจะบังเกิดที่นี่ น่าตกใจที่จะยอมรับว่าศาสนานอส์โบราณนั้นพัฒนามาจากความเชื่อของชนเผ่าเล็กๆ นี้เอง เทพเจ้าโอดินบังเกิดที่เผ่านี้ แล้วก็เริ่มยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของนักรบไวกิ้งโบราณ

    ถ้าพวกมักเกิ้ลรู้ว่าโอดินไม่ได้เป็นเทพในจิตนาการแต่เป็นพ่อมดที่ย้อนเวลามาแบบงงๆ ก็คงอยากกระอักเลือดเหมือนลูเซียสตอนนี้

    คนเผ่ามองมาที่โลกิอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก จนกระทั่งหัวหน้าเผ่าต้องถามว่าโอดินมีความเกี่ยวพันธ์กับโลกิยังไง โอดินบอกว่าโลกิเป็นเหมือนน้องชาย

    "เป็นพี่น้องกันเรอะ"

    "เปล่า"

    "แล้วทำไมเป็นน้องชายล่ะ"

    "ยังไงดี ก่อนหน้านั้นเราทะเลาะกันมาก พอเราได้เป็นเพื่อนกันอีก ผมเลยสาบานว่าจากนี้ไปจะรักโลกิเหมือนน้องชายน่ะ" โอดินตอบหัวหน้าเผ่า สังเกตท่าทาง และหยั่งดู "มีอะไรเหรอครับ"

    "สีดำ"

    "สี?"

    "ทำไมคนๆ นี้มีผมกับตาสีดำได้ ไม่เคยเห็นใครแปลกแบบนี้มาก่อน"

    "มันก็ไม่..." โอดินมองไปรอบๆ ก่อนจะนึกได้ ที่นี่ไม่มีใครมีผมหรือตาสีดำเลย

    มันก็แน่นอนล่ะ ก่อนหน้านี้พวกยุโรปมีแต่พวกที่มีผมสีแดงไปจนสีบลอนซ์ ตาสีเขียวบ้างฟ้าบ้าง แต่ไม่มีพวกผมตาดำปรากฏมาก่อนจนกระทั่งเมื่ออารยธรรมเริ่มก่อเกิดจนเข้ายุคทองคำ การติดต่อทางการค้าจึงทำให้คนที่มีผมตาดำกับคนที่มีผมตาสีอื่นได้พบกัน

    ระหว่างที่โอดินกำลังหาคำอธิบาย คนเผ่าคนหนึ่งก็โวย "เจ้าคนนั้นเป็นพวกยักษ์"

    "หา... ยักษ์?" พวกอัสลันเทียงงบ้าง

    "ยักษ์! ใช่! ยักษ์แน่ๆ"

    "น้อยๆ หน่อย! โลกิเหมือนยักษ์ตรงไหนกัน?" เจมส์ว่า ใช่สิ พวกยักษ์ขนดกหยาบและตัวใหญ่กว่านี้มาก แต่โลกิไม่ได้เป็นแบบนั้น

    "จริงด้วย" หญิงสาวคนหนึ่งเสริม "คนๆ นี้ต้องเป็นพวกยักษ์ ตอนที่เราล่าช้าง(แมมมอธ) เราเห็นราชาอุดกัลล์โลกินั่งดูที่กิ่งไม้ แล้วเจ้านี่ก็โผล่มาก

    คำว่า 'อุดกัลล์ โลกิ' ทำให้ลูเซียสสะอึกวูบ จะว่าไปแล้วคนที่เค้าเห็นที่กิ่งไม้...

    "ราชาอุดกัลล์ที่ว่านี่เป็นคนแบบพวกเราเหรอ?" อัสลันเทียถามอย่างสงบ

    "ท่านมีผมและตาสีดำแบบนี้แหละ"

    พวกโลกิมองหน้ากัน "บางทีหมอนั่นอาจจะเป็นพ่อมดก็ได้" อัสลันเทียบอก จากนั้นก็หันไปถามต่อ "แล้วทำไมเค้าเป็นพวกยักษ์ล่ะ"

    "มันออกจะชัดเจน ไม่มีใครสั่งพวกยักษ์ได้หรอก นอกจากจะเป็นพวกยักษ์ซะเอง หรือไม่ก็ต้องมีอำนาจอะไรบางอย่างที่จะทำ..." หัวหน้าเผ่าบอก เธอเป็นหญิงชราที่ฉลาด ท่าทางสงบไม่เหมือนคนอื่นที่เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ "นั่นเป็นเหตุผลที่เราเรียกว่าราชายักษ์ ความจริงจะเป็นราชายักษ์หรือไม่เราไม่แน่ใจหรอก เพราะท่านไม่เพียงควบคุมยักษ์ แต่ยังควบคุมทุกสิ่ง ทั้งต้นไม้ สรรพสัตว์ แล้วก็เวทมนตร์ที่ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงไป"

    "งั้นเราจะไปพบเค้า" โอดินว่า

    "แต่ว่า ท่านนั้นมีพลังอำนาจมากนะ"

    "ไม่ทำให้เรากลัวหรอก หัวหน้าเผ่า หากเค้ามีอันตราย เราก็ควรไม่ให้เค้ามีเป็นภัยกับใครอีก"

     

     

     


    "ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์... มีอะไรรึเปล่าครับ"

    เสียงลูปินเหมือนจะจับความเคร่งเครียดบางอย่างได้ ดัมเบิลดอร์พยักหน้าช้าๆ "จิตเค้าได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งบางอย่างไปแล้ว เค้าจะฝันยาวอย่างเหนือปกติ คืนหนึ่งของเค้าอาจจะผ่านไปหลายวัน หรือเลวร้ายที่สุด อาจจะนานเป็นพันๆ ปีเลยก็ได้"

    "ไม่มีวิธีแก้เหรอครับ" เซเวอรัสขมขื่น

    คำตอบคือเสียงถอนใจ

    "เซเวอรัส... ไม่เป็นไรนะ" รีมัสพยายามปลอบ

    "ผมพาลูเซียสไปยังที่ๆ หนึ่งได้มั้ยครับ"

    "เซเวอรัส ไม่คิดว่า--"

    "ได้โปรด"

    "...งั้นก็ ตามใจเธอ"

    เซเวอรัสเอาห่อผ้ามาห่อร่างลูเซียสไว้ แล้วแบกไว้ที่ด้านหลัง ร่างกายที่ผอมมากทำให้รีมัสมองตามอย่างลำบากใจ เค้าอยากเสนอตัวเองเข้าช่วย แต่เซเวอรัสไม่ญาติดีด้วย ตอนนี้นักเรียนพากันไปเที่ยวฮอกมีด คงไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องแปลกๆ แบบนี้แน่

    ไม่รู้ว่าเซเวอรัสจะหาทางช่วยเพื่อนยังไง แต่ว่า หากมันเป็นความจำเป็น แม้จะเป็นศาสตร์มืดที่เลวร้าย ดัมเบิลดอร์ก็อาจจะจำเป็นต้องยอมพึ่ง

    ความหมายแห่งศาสตร์มืดที่เลวร้ายก็คือ บางทีเซเวอรัสอาจจะเรียนรู้เวทมนตร์โบราณบางอย่างที่ไม่มีใครกล้าเรียน เพราะยังไงซะ เค้าก็เคยเป็นผู้เสพความตาย

    "เธอแน่ใจนะว่าไม่ต้องการให้--" ดัมเบิลดอร์ยังไม่ทันพูดจบสเนปก็ตัดบท

    "หากผมทำไม่สำเร็จ ผมก็จะยอมรับ"

    ...แน่นอน จะให้ดัมเบิลดอร์หรือใครรู้เรื่องลูเครเซียไม่ได้ ทุกคนคิดว่าลูเซียสเป็นลูกเบริฟรอท ซึ่งดีต่อลูเซียสมาก เพราะเมื่อไม่มีใครคิดแน่นอนว่าลูเซียสเกี่ยวพันธ์กับเด็กแฝดที่หายไปเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน ไม่คิดว่าเกิดจากพ่อที่มีพลังใกล้เคียงกับก๊อดริก กริฟฟินดอร์ทั้งๆ ที่เป็นคนตระกูลมัลฟอย ย่อมไม่มีใครนำทั้งสองไปใช้ในพิธีสำคัญได้

    พิธีที่ว่ากันว่าจะสามารถดึงพลังของก๊อดริก กริฟฟินดอร์ที่ซ่อนให้ฮอกวอร์ตออกมาและนำมาใช้อย่างไร้ขอบเขต

    แน่นอนว่าอัสลันเทียคงรู้เรื่องนี้จึงพรากลูเซียสจากครอบครัวเพื่อที่เมื่อเค้าโตขึ้นพลังของกริฟฟินดอร์จะโดนรีดออกจากตัวหมดและแทนที่ด้วยพลังประจำตระกูลแทน
    ------------------------------

    ที่โบสถ์ หน้าปากซอยของตรอกช่างปั่นฝ้าย เอรีสตรวจลูกชายอย่างใช้ความคิด ไม่ผิดแน่... พลังฝ่ายฮัฟเฟิลพัฟที่สาบสูญกำลังห้อมล้อมเค้าไว้ ปัญหามีอยู่ว่า ลูเซียสไม่เคยไปเรียนเวทย์ฮัฟเฟิลพัฟที่ไหนแน่ๆ นี่นา ที่ๆ ที่สอนเวทย์สายฮัฟเฟิลพัฟมีที่เดียวคือเพลมิล๊อค แต่ว่า ก็โดนกระทรวงเวทย์มนตร์กวาดล้างไปแล้ว และในสงครามครั้งนั้น... นักเวทย์สายเพลมิล๊อคก็ตายเกลื่อนแผ่นดินและไม่น่าจะมีการสืบทอดต่อ เอรีสหันมามองลูกสาวอย่างกังวล

    ตอนนี้ ในบรรดาศิษย์เพลมิล๊อคที่ยังเหลือ ก็น่าจะมีแต่ลูเครเซียเท่านั้นที่เป็นนักเวทย์สายฮัฟเฟิลพัฟแท้ๆ เพราะเซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟก็ตายตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนี้นา...

    แม้ว่าจะมีอาเทน่าที่จบจากเพลมิล๊อค แต่อาเทน่ามีเวทย์สายกริฟฟินดอร์ เพราะเธอต้องทำเพื่อกลบกลิ่นเวทย์เหมือนกับที่พ่อ(อัสลันเทีย)เล็งเห็นว่าหากปล่อยให้เดินไปเดินมาแบบนี้จะเป็นอันตราย ตอนที่พ่อเค้าสั่งให้เค้าส่งลูเซียสมาให้และสั่งให้พาลูเครเซียหนีไป พ่อคงคิดไว้แล้ว

    อาเทน่า... ทำไมเค้าคิดเกี่ยวกับพี่สาวฝาแฝดในตอนนี้

    อาเทน่าตายแล้วไม่ใช่รึไง....?

    "พ่อค่ะ ให้หนูไปพาพี่กลับมาได้มั้ยคะ" ลูเครเซียเร่งเร้า

    "อย่าพึ่งวู่วาม แม้จะซึมซับความเป็นฮัฟเฟิลพัฟลงไปมากแล้วแต่เธอก็ยังเป็นธิดาแห่งก๊อดริก กริฟฟินดอร์ หากเธอมีการประสานพลังเวทย์กับลูเซียส กลิ่นอายอำนาจฝ่ายฮัฟเฟิลพัฟที่คอยกลับกลิ่นอายอำนาจฝ่ายกริฟฟินดอร์ก็จะเริ่มจางลง จากเดิมที่มันตีกันจนไม่ได้กลิ่นทั้งสองฝ่ายก็จะกลายเป็นว่า กลิ่นกริฟฟินดอร์จะแรงกว่าเดิม  แบบนี้อะโพคาลิฟ-ฟาหรือใครที่ต้องการพลังนี้ต้องหาตัวเธอพบแน่"

    "เอรีส!!!" เซเวอรัสคราง

    "ชั้นเข้าใจว่าเธอเป็นทุกข์มาก เซวี ชั้นก็ไม่น้อยกว่าเธอหรอก เพราะยังไงลูเซียสก็เป็นลูกชั้น แต่ว่า... ชะตากรรมโลกเราก็สำคัญ แต่ว่าลูเซียส  แม้เค้าจะได้รับการซึมซับพลังเวทย์ประจำตระกูลมัลฟอยเข้าไปตั้งแต่เป็นทารก แต่ตอนที่เค้ากับน้องสาวเชื่อมใจหากันผ่านทางความฝัน ไอพลังกริฟฟินดอร์ก็แผ่วูบจนขนลุกแล้ว หากคราวนี้ลูเครเซียเป็นฝ่ายแทรกเองแบบนี้ มันคงสะเทือนแผ่นดินแน่"

    "แต่หนูรอไม่ได้ พี่ชายหนูทั้งคนนะ"

    "นี่... ไม่ฟังอะไรบ้างเหรอ พ่อพึ่งบอกว่า..."

    "ให้เธอทำเถอะครับ คุณลุงผมยังทำเพื่อแม่ผมได้ ลูเครเซียจะทำเพื่อพี่ก็ไม่แปลกนี่ พวกเค้าเป็นฝาแฝดด้วยนี่ครับ ห้ามไม่ได้หรอก"

    เอรีสมองทั้งสองก่อนจะเออออห่อหมก "เออๆ จะทำอะไรก็ทำ ไม่วุ่นด้วยแล้วล่ะ"

    "พ่อ..." หญิงสาวเหมือนจะดีใจ

    "พาพี่กลับมาให้ได้... พ่อจะรอพวกเราทั้งสองตรงนี้แหละ สู้เค้านะ"

    ลูเครเซียหันไปมองเซเวอรัสที่ยิ้มให้ ก่อนจะเดินตรงไปหาพี่ชายฝาแฝดและถอดชุดนักบวชออก

    กับการร่ายคาถา แล้วจิตของเธอก็พุ่งไปยังปลายทาง...

     

     

     

    ลูเซียสมองดูโลกิที่สำรวจตรวจตราทุกอย่างอย่างตั้งใจ ใบหน้ามีแววไตร่ตรองที่ทำให้คิดถึงเซเวอรัสขึ้นมา เซเวอรัสเหมือนตาของเค้ามากกว่าที่ลูเซียสคิดไว้ น่าแปลกใจที่เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตเห็น ซักพักโอดินเดินตรงมาหาและทำให้โลกิยืดตัวตรง หันมาประจันหน้า สูงน้อยกว่าโอดินนิดหน่อยเท่านั้นเอง

    "เหมือนเจมส์กับเซเวอรัสเลยแฮะ" คนผมยาวสีบรอนซ์หัวเราะหุๆๆ อย่างมีนัยยะสำคัญ

    "เป็นไง  เจออะไรบ้าง"

    "เราย้อนเวลามา" โลกิตอบ "แม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นไปได้ยังไง

    "แล้ว... เราจะกลับไปได้มั้ย"

    "ก็... อาจจะต้องไปพบอุดกัลล์โลกิจริงๆ ก็ได้"

    "ทางเดียวสินะ"

    "อืม.. อาจจะทางเดียว" โลกิพ่นลมหายใจอย่างเคร่งเครียด ก่อนจะเอามือแตะที่ตาซ้ายโอดิน "เป็นไงบ้างที่ตาบอดไปข้างหนึ่งเนี่ย"

    "นายก็ทำใหมันดีขึ้นมาข้างแล้วไง"

    "แต่ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าคราวนี้ตาที่ดีมันเสียมา นายจะตาบอดทั้งสองค้างเลยนะ"

    "แล้วนายมีวิธีที่ปรับสายตาให้เป็นเหมือนก่อนจะรวมความสามารถในกางมองเห็นมารวมที่ข้างขวามั้ยล่ะ"

    "แน่นอนเพื่อนยาก"

    "งั้นชั้นก็แค่รักษามันไว้จนกว่าจะถึงตอนที่นายรักษาคืนให้" ไม่พูดเปล่า เอามือตัวเองกุมมือของโลกิที่กำลังแตะตาตัวเองอยู่ด้วย บรรยากาศทะแม่งๆ ซะจนลูเซียสยืนอ้าปากค้าง

    นี่เค้ามาทำอะไรที่นี่? มาเพื่อรับทราบสองคนนี้แอบกิ๊กกันงั้นเหรอ?

    ไม่... เค้าบอกตัวเอง ...ไม่ใช่แบบนั้น นี่ก็แค่มิตรภาพระหว่างชายสองคนที่เป็นเพื่อนรักกัน น่าตกใจที่จะคิด แท้จริงแล้วเจมส์มันแอบรับพฤติกรรมนี้จากตามันรึเปล่า และบางทีที่ชอบแกล้งเซเวอรัสเหมือนกับที่โอดินทำกับโลกิสมัยเด็กๆ ก็เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนที่แอบปิ๊ง

    ....ม่ายยยย! เค้าคิดอะไรเนี่ย! คิดว่าโอดินแอบรักโลกิและเจมส์แอบรักเซเวอรัสเรอะ! เค้ามันบ้าไปแล้ว!...

    แถม... ใครบางคนก็ออกมาสนับสนุนสมมติฐานเฮงซวยซะงั้น

    "แฮ่มๆๆ" อัสลันเทียกระแอมไอ "พวกนายมีความสัมพันธ์กันระดับนี้แล้วสินะ"

    ...เฮ่ย นี่อย่าบอกนะว่าไอ้ความคิดโสมมในหัวเค้านี้เป็นพันธุกรรมที่ได้รับมาจากท่านปู่...

    โลกิเหมือนจะไม่เก็ท แต่โอดินหน้าแดงทันที "นี่นายพูดอะไรเนี่ย?"

    "โอ๋... ทำไปเลย รับรองว่าอัสลันเทียคนนี้จะไม่บอกใคร"

    "นี่แก"

    "พวกนายควรจะมีอะไรกันให้เรียบร้อยนะ... เพราะหากโลกิอีกคนเก่งกล้ากว่าที่เราคิด พวกนายจะได้ตายตาหลับ เพราะไม่มีอะไรให้ค้างคาใจ"

    "บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิไอ้บ้านี่"

    "มีอะไรกัน" โลกิทวน ก่อนจะพยักหน้าอย่ารู้แจ้ง แต่ไปคนละทาง "นายมีอะไรที่ต้องบอกเป็นพิเศษสินะ"

    ...เงียบ...

    "คนใจสะอาด ทำยังไงก็ไม่คิดสกปรกเลยเนอะ" อัสลันเทียหัวเราะอย่างซังก่ะตาย ก่อนตรงประเด็น "เมื่อกี้นายบอกว่าเราย้อนเวลามายังอดีตสินะ"

    "อืม" โลกิตอบ

    "แปลว่านายก็คือโลกิในเทพนิยายนอส์"

    "ก็คงงั้น"

    "และนายก็คือมหาเทพโอดิน"

    "แล้วเกี่ยวยังไง" โอดินยังไม่เก็ท

    "หมายความว่าสงครามครั้งนี้จะเป็นไง... ก็อาจจะต้องส่งผลต่ออนาคตไง" อัสลันเทียบอกง่ายก่อนหันหลังแล้วจากไป "เดี๋ยวจะต้องไปลาดตะเวนกับเจมส์ พวกนายก็ระวังที่นี่ดีๆ นะ"

     

     

     

    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×