คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ฝันยาว-1-The beginning
"โอดิน...ของนายเป็นทาร์ตไข่ใช่มั้ย" โลกิถามเงียบๆ
"ทำไม...?" โอดินถามกลับ
"แพ้กุ้ง" โลกิตอบเงียบๆ
"เออ... ลืมไป" โอดินแลกทาร์ตไข่กับแซนวิชสลัดกุ้งของโลกิ แล้วก็หันไปหาอัสลันเทีย "นายไม่รู้เหรอว่าเพื่อนนายแพ้กุ้ง จบจากสลิธีรีนด้วยกันแท้ๆ"
"ชั้นซื้อทาร์ตมาให้เค้านั่นแหละเพราะปกติเค้ากินมังสวิรัต เว้นแต่จะมีคนซื้อเนื้อสัตว์ให้กิน ชั้นจะไปรู้เหรอว่านายจะมากินทาร์ตซะเอง"
".......ตกลงนายซื้อกุ้งให้ชั้นเหรอ" โอดินกระพริบตา
"อ้าว... นายไม่ได้ชอบเหรอ?"
"ไม่... ชั้นแค่กินเพราะเจมส์เขี่ยออกจากจานต่างหาก"
"เฮ่อ... งั้นนายเอาพายเนื้อบดของชั้นไปแล้วเอาแซนวิชมา" ว่าแล้วก็บ่นพึมพำ "อะไรกันนะพวกนายนี่ กุ้งมันอร่อยจะตาย"
"ชั้นไม่ชอบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง" เจมส์ตอบ
"ชั้นไม่ชอบแทะหรือแกะเปลือก" โอดินตอบ "มันยุ่งยาก อย่าแต่กุ้งเลย ไม่อยากกินปูกินกั้งด้วย"
หลังจากอาหารทั้งหมดลงไปอยู่ในท้องแล้ว ทั้งสี่คนก็มาเริ่มต้นกันใหม่ คราวนี้ ตะเกียงสี่อัน กับคนสี่คนเดินเรียงกันลงมาในความมืดอีกครั้ง ลูเซียสมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำอะไรซ้ำซากเมื่อมองแสงแวบวาบสี่ดวงในความมืด มันก็เหมือนเมื่อก่อนหน้านี้นั่นแหละ ต่างแต่คราวนี้มันเพิ่มจากหนึ่งเป็นสี่
กับเสียงที่เหมือนสั่นผวา...
"ใจเย็นๆ โลกิ" โอดินปลอบ
"ทำไมนายไม่มานำหน้าแทนวะ" เสียงเหมือนจะหอบ ลูเซียสวูบในอกเบาๆ เมื่อคิดได้ว่าเซเวอรัสก็เคยทำเสียงคล้ายๆ แบบนั้น... ใช่แล้ว เสียงโลกิเหมือนเสียงเซเวอรัสไม่มีผิด เพียงแต่มีมิติที่แตกต่าง เสียงเซเวอรัสเป็นเสียงที่เงียบลึกและราบเรียบ เหมือนเสียงที่ดังมาจากป่าดงดิบ แต่เสียงโลกิเป็นเสียงที่กังวานใสคล้ายเสียงระฆัง เป็นเสียงที่งดงามและเต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งชีวิต
เซเวอรัส... ในนามแห่งเมอร์ลิน ทำไมเค้าคิดเรื่องเซเวอรัสในตอนนี้
แล้วมันก็เหมือนตอบทั้งหมดได้ในพริบตา เสียงจากตะเกียงมากพอที่จะโชว์ภาพอันหน้าสะพรึงกลัวที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ ทั้งเพดานและพื้น รวมถึงผนังทุกด้าน มันคือซากศพที่มีชีวิต หรืออาจจะเป็นคนที่ยังไม่ตายแต่ดำรงชีวิตด้วยสภาพที่เหมือนซากศพก็ได้ แต่มันไม่ใชอินเฟอร์ไรท์ ทั้งการเคลื่อนไหว และประกายตาอันลึกโหลนั่น มันเหมือนสัตว์ป่าที่หิวกระหาย
การโจมตีเริ่มต้น น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครเสกเวทย์มนตร์เลยแม้แต่คนเดียว โลกิ โอดิน เจมส์ และ อัสลันเทีย ทั้งเตะและต่อยและพยายามต่อกรกับสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้น กับการกระโดดหลบที่รวดเร็วราวกับกำลังโชว์บนไม้กวาดกลางอากาศ(และทำให้นึกได้ว่าพวกเค้าทั้งสี่เป็นนักกีฬาควิดดิชมือหนึ่งของฮอกวอร์ต) จากนั้นก็วิ่งตามกันไปติดๆ เพื่อหนีการตามล่า
เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นปลิวไปด้านหลัง และเสียงตะโกนที่ดังก้องจากเจมส์ "เมื่อไหร่เราจะใช่เวทมนตร์ได้"
"ไม่ใช่ที่นี่" อัสลันเทียตะโกนตามหลัง "วิ่งไปเจมส์ อย่าหันกลับมามอง" จากนั้นก็หันกลับไปแล้วกระชากดาบออกมาแล้วตัดหัวอสูรกายที่ติดตามมาไปหลายตัว เลือดพวกมันสาดไปทั่ว เหมือนบอกให้ทราบทั่วกัน ว่ามันไม่ได้เป็นศพ ไม่ใช่จากข้างใน
นี่อาจจะเป็นเวลาที่น่าสะพรึงกลัวและน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มันน่ากลัวเหลือเกินที่จะคิด หากต้องวิ่งหนีตายโดยไม่มีเวทย์มนตร์แม้แต่บทเดียว ไม่สามารถเสกคาถาได้แม้แต่หนึ่งครั้ง ลูเซียสตระหนักในพริบตาว่ามักเกิ้ลนั้นเข้มแข็งเพียงใดที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้แต่ในสถานการณ์ที่อับจนหนทางขนาดนี้
กับการหอบที่หนักหน่วง แต่สติและการเคลื่อนไหวก็ยังมั่นคง แต่คงจะเป็นคราวซวยเมื่อความเร็ว-แรงของการเคลื่อนไหวทำให้ตะเกียงของทุกคนดับ
วินาทีที่ร้ายกาจที่สุดคือวินาทีที่ไม่รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะตาย!
และเสียงกรีดร้องที่ดังก้อง...
"โลกิ...."
"........."
"โลกิ... ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ตอบด้วย"
"ลูมอส!!" อีกครั้งที่ไม้กายสิทธิของคุณปู่ช่วยลูเซียสไว้ เพราะอย่างน้อยเค้าก็ได้เห็นทั้งหมดที่เกิดขึ้น "ไม่น่าเชื่อนะ พวกเรามือไวกันจริงๆ ขนาดตกลงมามืดๆ ยังคว้ากันและกันเอาไว้ได้ทัน" อัสลันเทียพึมพำพลางหอบ
ภาพที่ปรากฏคือภาพอัสลันเทียถือไม้กายสิทธิ์ที่เปล่งแสง ห้อยโตงเตงอย่างน่าหวาดเสียว มีโลกิกำเสื้อคลุมไว้แน่น แถมเสื้อคลุมก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก เพราะมันจะตามมาด้วยเสียง "แคว่ก" เสมอเมื่ออัสลันเทียขยับตัว เหนือไปด้านบนก็มีโอดินที่คว้าเสื้อคลุมโลกิได้ทันเหมือนกัน แต่คนที่หนักที่สุดคงจะเป็นเจมส์ที่เอาขาทั้งสองข้างกอดเอวเจมส์ไว้ ส่วนมือเหมือนจะคว้าคานอะไรได้บางอย่าง
"พวกนายอย่ามัวคุยกันได้มั้ย" เจมส์หอบ "ชั้นจะตายห่าอยู่แล้ว"
ลูเซียสอยากสอนให้พวกเค้าบินเหมือนอย่างที่ผู้เสพความตายทุกคนทำได้ แต่โอดินก็จัดการด้วย "วิงการ์เดี้ยมเลวิโอซ่า" ส่งให้อัสลันเทียลอยขึ้นไปบนคานเดียวกับเจมส์
"ค่อยเบาขึ้นหน่อย"
อีกครั้งที่มือโลกิว่าง แต่เค้ากลับบอกว่า "ไม้กายสิทธิ์ชั้นตกว่ะ"
...นั่นป่ะไร...(-"-)
"เอ็กซิโอ ไม้กายสิทธิโลกิ" โอกินร่ายมนตร์เสียงแหบ
ไม้กายสิทธิ์กลับมาที่มือโลกิจากความมืดแล้วโลกิก็ยกร่างตัวเองและโอดินขึ้นไปบนคานบ้าง จากนั้นจึงช่วยกันดึงเจมส์ และไม่นานแสงจากไม้กายสิทธิ์ก็ทำให้ที่นี่สว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
"นายช่วยเราไว้เจมส์" โอดินตบไหล่เพื่อน
"ชั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะชั้นจริงรึเปล่า" เจมส์ตอบ
"ทำไมล่ะ"
"ตอนนั้นที่เราตกลงมาโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ตามหลักมันเป็นไปไม่ได้ที่ชั้นจะมองเห็นนายและคาน แต่ชั้นก็เห็น"
"อาจจะเป็นพลังแห่งฮอกวอร์ตที่ช่วยเราไว้ก็เป็นได้" โลกิบอก
ระหว่างที่ทั้งสามพยายามหาคำตอบ พวกเค้าไม่ได้สังเกตเห็นอัสลันทีที่ตาค้างแล้วในที่สุดก็สะกิดโลกิ "เฮ้ย... หันมาหน่อยสิวะ"
สู่ความพิศวงอีกครั้ง คราวนี้ทั้งหมดมองตรงไปตามแสงที่ไม้กายสิทธิอัสลันเทียโฟกัสไป ทีแรกมันเหมือนจะแค่ผนังหิน แต่ไม่เป็นแบบนั้น.... มันเหมือนจะเป็นปฏิมากรรมมหึมามากกว่า เพราะเมื่อพิจารณาให้จะๆ คานนี้เหมือนกับตะปูขนาดยักษ์ที่ตอกลงบนหน้าผากของใครคนใดคนหนึ่ง
"ไม่ผิดแน่ มีไรผม นี่ต้องเป็นรูปสลักคน" อัสลันเทียบอก
"หรืออาจจะเป็นเทพเจ้า" โอดินว่า
"แต่มันไม่พอนะ เราน่าจะวิวที่จะเห็นภาพทั้งหมดมากกว่านี้" เจมส์ออกความเห็น
"วิงการ์เดี้ยม เลวิโอซ่า" โอดินสั่งพร้อมกับร่างเจมส์ที่ลอยสูงแล้วจากนั้นก็ลอยไปตามที่ต่างๆ ตามคำสั่งโอดิน "เห็นอะไรก็บอกด้วย"
"คิดว่าเห็นหน้าโลกิ"
กับเสียงว๊ากจากเจมส์ที่เกือบร่วงเพราะความตกใจ โอดินเกือบทำให้เพื่อนดิ่งลงเหวซะแล้ว จนกระทั่งเจมส์กลับมาที่คานแล้วหอบ
"ทีแรกคิดว่าหน้าโลกิ แต่ก็ไม่แน่ใจหรอก เพราะใบหน้าคมกว่า สวยกว่า แต่ก็ยังคงเป็นผู้ชาย แล้วก็อย่างที่คิด คานนี้เหมือนตะปูยักษ์ที่ตอกลงบนหน้าผากไม่มีผิด"
ทั้งสี่คนอยู่ในความคิดอีกครั้ง และไม่นานอัสลันเทียก็ถามเบาๆ "ใบหน้านี่ใหญ่ขนาดไหน?"
"ใหญ่มาก ประมาณตึกสิบชั้นเลยล่ะ"
"งั้นเราสำรวจกันมั้ย" โลกิว่า
"ยังไง?" อัสลันเทียเลิกคิ้วเมื่อมองโลกิสะบัดเสื้อคลุมตัวใหญ่
"เราจะนั่งบนเสื้อคลุม แล้วช่วยกันทำให้มันลอยไปตามทิศทางต่างๆ" โลกิบอก
"นายมั่นใจนะว่ามันจะไม่ขาดกลางซะก่อน" อัสลันเทียไม่ค่อยแน่ใจ
"ก็ยังหนากว่าเสื้อนายและ พ่อชนชั้นศักดินา"
"ดูซิ พูดยังก่ะนายไม่ใช่ซะยังงั้นแหละ" อัสลันเทียเหน็บ แล้วจากนั้นทั้งสี่ก็หัวเราะพร้อมๆ กัน
ลูเซียสฉวยโอกาสนี้ลงไปนั่งกับปู่และเพื่อนๆ แม้จะไม่มีใครสัมผัสและพูดกับเค้าแต่ลูเซียสก็คิดว่ามันดีพอแล้ว
เค้าเหมือนไม่เคยเห็นอัสลันเทีย.. หรืออาจจะไม่เลย... อัสลันเทียน่าจะตายก่อนที่เค้าจะเกิดด้วยซ้ำ
เจมส์ก็เหมือนกัน
ที่เค้าจำได้และสนิทสนม คือโลกิกับโอดิน... แต่ทั้งสองก็จากไปแล้วเมื่อตอนที่เค้ายังเด็ก...
เค้าสูญเสียมากเหลือเกิน...
เสื้อคลุมของโลกิกลายเป็นเสมือนพรมวิเศษ มันพาพวกเค้าลอยห่างจากผนังเพื่อให้เกิดทัศนวิสัยด้านกว้าง ขณะที่อัสลันเทียยิงมนตร์แสงที่เหมือนกับดวงไฟสีทองจำนวนมาก กลายเป็นกระจุกแสงที่ให้แสงสว่างแก่พวกเค้า และภาพสลักมหึมาก็ปรากฏต่อสายตายทุกคน
เป็นภาพคนๆ หนึ่ง ที่เหมือนจะก้ำกึ่งระหว่างความเป็นชายและความเห็นหญิง เป็นใบหน้าที่คล้ายโลกิ คล้ายมากๆ แต่ก็ไม่เหมือนในแง่รายละเอียด ใบหน้าแห่งปฏิมากรรมนี้มีจมูกตรงยาว สันดั้งกว้างไม่เป็นเหลี่ยมหรือคม โหนกแก้มสูง ใบหน้ารูปไข่ ผอมแต่ไม่แหลมเสี้ยม คางเรียวมน หน้าผากสูงและกว้าง มีลักษณะเป็นเหลี่ยม ดวงตาที่มองตรงมาค่อนข้างกลมโต ริมฝีปากไม่หนาแต่ก็ไม่บางเหมือนอย่างโลกิ
"ไม่เหมือนโลกิซะทีเดียว แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนมาก" เจมส์บอก "แม้จะเป็นหินสีเทา แต่มั่นใจได้เลยว่าคนๆ นี้จะต้องมีผมและดวงตาสีดำ เหมือนกับโลกิ ผิวต้องขาวซีดเหมือนกัน อาจจะใส่ชุดดำด้วย อาจจะเป็นเด็กสาวที่มาดแมนเหมือนอย่างไอรีนไปพร้อมๆ กับเป็นเจ้าชายแสนสวยเหมือนอย่างเลาเรส... เป็นคนที่ดูให้เป็นหญิงก็ได้เป็นชายก็ดี ทั้งสวยอย่างประหลาด ทั้งรูปหล่อสะดุดตา ว่ามั้ย"
"ไอ้ความเหมือนโลกิแต่ก็ไม่เหมือนนี่มันน่าจะเป็นบุคลิก" โอดินออกความเห็น "เพราะโลกิใจบริสุทธิ์(ตอนที่พูด โลกิกระพริบตาปริบๆ คงรู้สึกแปลกๆ ที่มีคนชมว่าใจบริสุทธิ์)แต่คนๆ นี้จะดีก็ไม่ใช่ร้ายก็ไม่เชิง"
"เป็นอะไรที่แปลก" อัสลันออกความเห็นบ้าง "เหมือนเห็นสิ่งที่ขัดแย้งกันมากรวมอยู่ในคนเดียวกัน ชั้นไม่แน่ใจว่าพวกนายเห็นอะไรกัน แต่ชั้นเห็นความสวยงามกับความน่าเกลียด ความฉลาดกับความเจ้าเล่ห์ ความเลวร้ายกับความอ่อนโยน แล้วทั้งหมดก็ประสานรวมกันจนกลายเป็นความงามที่ลึกลับจนน่ากลัว..." ว่าแล้วก็สะแหยะยิ้ม "เทพก็ไม่ใช่ มารก็ไม่ถูก บางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่างเลย"
ที่ทั้งสามคนว่ามาก็มีเค้าความจริงเยอะ จริงดังว่า... ลูเซียสพิจารณาบ้าง คนๆ นี้ราวกับเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในโลก ทั้งสิ่งที่สมบูรณ์แบบและสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะที่ปู่พูดมานั้นมันตรงประเด็นมากที่สุด ราวกับนี้จะเป็นระดับสูงสุดที่อยู่สุดปลายทางของทุกสิ่งทุกอย่างเลยก็ได้
"ระหว่างที่พากันวิพากษ์วิจารณ์นี่" โลกิพูดในที่สุดหลังจากเป็นใบ้มานาน "ไม่มีใครตั้งข้อสังเกตซักคนเลยเหรอว่า ไอ้ตะปูมากมายนี่มันอะไร?"
ทั้งหมดมองไปยังตะปูมากมายที่โลกิมองอยู่นานจนไม่สนใจอย่างอื่นบ้าง ก่อนจะขนลุกเกลียวเมื่อเห็นว่ามันถูกตอกตรึงไว้เต็มไปหมดบนร่างนี้ ตั้งแต่หัวจรดเท้า! ในนามแห่งเมอร์ลิน นี่มันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
"เค้าจะเป็นอะไรก็ชั่งเถอะ" โลกิครางเบา "แต่นี่มันน่าสงสารเหลือเกิน"
เวลาผ่านไปนานสำหรับก้นเหวที่ลึกแสนลึก... หลังจากสำรวจจนพอใจแล้ว คราวนี้สี่หนุ่ม(?) ก็กลับมานั่งปวดหัวกันอีกทอดใหญ่
"ท่าทางพวกเราจะหลุดเข้ามาอยู่ในอีกมิติหนึ่งแล้วนะ" อัสลันเทียบอกเพื่อนๆ หลังจากพยายามตรวจสอบอย่างระเอียด จากรูปการณ์ทั้งหมดทำให้ลูเซียสทราบเพิ่มเต็มอีกว่าอัสลันเทียไม่เพียงจะเป็นคนที่สติดีที่สุดแล้ว ยังเป็นการเป็นงานกว่าใคร สมัยเรียนจะจบออกมาด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูงกว่าสามคนที่เหลือที่ทำท่าจะไม่ค่อยมีสมองทันทีที่มารวมหัวกัน เพราะเค้าเป็นคนที่ทำให้ทั้งหมดในนี้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิด "ที่นี่ไม่ใช่ฮอกวอร์ตที่เรารู้จักซะแล้ว บางทีหากเราขึ้นไปข้างบนได้เราอาจจะออกไปสู่โลกอื่นเลยก็ได้"
"นี่... ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย" โอดินพยายามแคะหูตัวเองให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอุดตัน
"เค้าพูดความจริง โอดิน" โลกินั่งลงกับพื้นในที่สุดหลังจากตรวจสอบทั้งหมด "ที่นี่มีองค์ประกอบเวทมนตร์ที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง เหมือนมันไม่ได้อยู่ในมิติของพวกเราด้วย"
"ไม่ตลกนะเฟ้ย... ชั้นยังมีลูกที่ต้องเลี้ยงหลังจากเมียทิ้งไป" เจมส์หันมาโวยทันที "เราจะติดแหงกที่นี่ตลอดไปไม่ได้!!"
"แล้วตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง" โอดินหันมาถามโลกิ "มีวิธีไหนที่เราควรจะลองทำก่อนบ้าง"
โลกิมองขึ้นไปยังเบื้องบนที่มืดจนไม่สามารถเห็นอะไรได้ "เราลองกลับขึ้นไปดีมั้ย"
"เอาสิ... ไม่มีทางอื่นแล้วนี่ บางทีข้างบนอาจจะยังเหมือนเดิมก็ได้" อัสลันเทียว่า แล้วจากนั้นพวกเค้าทั้งสี่ก็กลับขึ้นไปด้วยวิธีเดียวกับที่ลงมา "หวังว่าเสื้อคลุมนายจะไม่ขาดกลางคันนะ"
"ถ้ามันขาดก็เป็นกรรมของพวกเรา" เจ้าของเสื้อตอบแบบไม่ใยดี
แล้วหลังจากนั้นลูเซียสก็ต้องหน้าถอดสีเมื่อสัมผัสความลึกของเหวที่ลอยสูงปานนี้แล้วยังไม่มีท่าทีว่าจะเห็นแสงสว่าง แต่พวกเค้าทำอะไรได้นอกจากพยายามควบคุมทิศทางการลอยให้ลอยขึ้นไปเลื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ด้วยหวังเพียงจะพ้นจากก้นเหว
บางทีพวกเค้าก็อดคิดไม่ได้เพียงแต่ไม่พูดออกมา...
คือพวกเค้าตายแล้ว... แต่ไม่รู้ว่าตัวเองตาย...
และเมื่อลอยไปจนถึงที่สุดพวกเค้าก็จะเห็นเมฆมากมายและแสงว่างที่ไม่มีวันดับสูญ รวมทั้งได้พบกับบรรดาคณาญาติที่ตายจากไปแล้วเมื่อนานแสนนาน...
อุ... ฮู่!? แสงที่ว่าเมื่อเห็นดั่งดาวประกายพรึก...!?!
"เหมือนจะเป็นปากทาง" โลกิกระซิบ
"เออ... เป็นปล่องว่ะ" เจมส์เอามั่ง
อัสลันเทียกระโดดขึ้นไปก่อนแล้วหันกลับมายังเพื่อนๆ ส่งมือมารับทีละคนแล้วดึงขึ้นไป และเมื่อออกจากความมืดได้แล้วพวกเค้าก็ต้องตะลึงเป็นไก่ตาแตกยิ่งกว่าเก่า
"สาบานได้ว่าเรื่องจริง..." โอดินว่า
ก็ควรเป็นเช่นนั้น เพราะลูเซียสก็งงไม่แพ้กัน พวกเค้าอยู่ในฮอกวอร์ตมาตั้งแต่ต้นไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย พวกเค้าทะลุออกมาที่ไหนก็ไม่รู้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นที่ๆ ไม่มีใครในพวกคุณปู่และตัวลูเซียสรู้จักแม้แต่คนเดียว พวกเค้ามองเห็นการล่าสิ่งที่เหมือนกับช้างแต่ว่าใหญ่กว่าหลายเท่า มีงาที่งอนยาวอย่างน่ากลัวและมีขนที่ดกครึ้มปุกปุยไปหมด และแน่นอนว่าถ้าไม่เพราะลูเซียสโปรดปราณการอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์มักเกิ้ล(หนึ่งในความลับระดับพระกาฬ)ก็ไม่มีทางที่จะบอกได้ว่ามันคือ...
"มะ... แมมมอธ...?"
ขณะที่คุณปู่และผองเพื่อนกำลังตื่นเต้นกับสัตว์ที่ไม่เคยเห็นในตำรา ลูเซียสกลับมองมันด้วยความเสียใจ 'โธ่... เซเวอรัส... นายเอาหนังสือสมัยไหนมาให้ชั้นอ่าน... ไหนว่าแมมมอธมันสูญพันธุ์ไปหมดแล้วไง แล้วไอ้ที่ชั้นเห็นนี่มันตัวอะไรฟะ!?'
คงว่าอะไรเซเวอรัสไม่ได้มาก เพราะเซเวอรัสก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องมักเกิ้ลมากกว่าเค้า...
ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ คนกลุ่มหนึ่งในเสื้อชุดขนสัตว์กำลังพยายามล่าแมมมอธด้วยหอกที่ทำจากไม้และหิน ลูเซียสฉลาดพอที่จะสังเกตเพิ่มเติมว่ามีอะไรไม่ปกติ... วูบหนึ่งเค้ามองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง และเห็นคนๆ หนึ่งที่เหมือนกับปฏิมากรรมยักษ์ในความมืดไม่ผิดเพี้ยน!?
เค้าลืมคิดไปแล้วว่าตัวเองท่องในโลกนี้นานมากเพียงใดและจะตื่นอีกเมื่อไหร่...?
TBC.
ความคิดเห็น