ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Harry Potter fanfic:- พลิกตำนานปราสาทกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #20 : เค้าลางของเหตุผลที่รอคอย

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ย. 55


    ข่าวซิเรียส แบล็กแพร่ออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ลูเซียสรู้ศึกไม่สบายกับสิ่งที่ได้ยินเพราะตอนนี้เซเวอรัสอาจจะรู้สึกอึดอัดกับทั้งหมด คนที่รักถูกฆ่าตายไม่ใช่เรื่องที่ใครจะอดทนได้ ตอนนี้เค้าเป็นอย่างไรบ้าง เซเวอรัสจะไม่ออกไปตามหาฆาตกรใช่หรือไม่ จะว่าไปทำไมเค้าไม่เคยรู้เลยว่าซิเรียสเป็นผู้เสพความตาย

    คนเราไม่อาจจะมองกันแต่ภายนอกได้!?

    กับความทุกข์ทรมานที่ไม่เคยจบสิ้น...

    ต้องทนเท่าไหร่ถึงจะพอ...

    ........................

    ...............................

    .....................

    "สิ่งที่เราต้องทำเมื่อเผชิญกับความเจ็บปวดคือการยอมรับ"

    เสียงของโลกิ พริ้นซ์ทำให้ลูเซียสพิศวง... เค้ามองรอบๆ อย่างตกใจ นี่เค้าเข้ามาอยู่ในความทรงของปราสาทกาลเวลาเมื่อไหร่เนี่ย!?

    "เพราะถ้าเราต้องอดทนต่อความเจ็บปวด วันหนึ่งเราจะทนไม่ได้ แต่ถ้าเรายอมรับมัน เราจะอยู่กับมันได้ตลอดไป"

    เด็กผู้ชายที่ลูเซียสยังไม่ทันได้รู้ว่าใครหายไปซะแล้ว เค้ากำลังเผชิญหน้ากับชายผู้หนึ่งที่เค้าจำได้จากการพบเจอในการท่องความทรงจำซ้ำแล้วซ้ำอีก เซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟกำลังยืนมองเค้าด้วยดวงตาที่อ่อนโยน

    "เด็กเอ๋ย... นี่เป็นครั้งที่เล่าไหร่แล้วที่เจ้าเดินทางมาที่ความทรงจำแห่งปราสาทกาลเวลาได้"

    "แล้วผมจะรู้มั้ยล่ะ!" ลูเซียสเริ่มไม่สบอารมณ์ ทั้งจากการถูกเรียกว่าเด็ก ถูกเลือกให้มารับรู้เรื่องบัดซบพวกนี้ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย "นี่มันบันทึกของท่านไม่ใช่เหรอ ผมไม่ได้อยากมารับรู้เรื่องราวการติดต่อกันระหว่างท่านกับบุตรแห่งกริฟฟินดอร์หรอก ผมไม่เกี่ยวอะไรกับมันเลย ผมมาทำหอกอะไรที่นี่!?!"

    กับการหอบ ทำให้เซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟหรี่ตาลง "เจ้าได้บันทึกมาจากใคร"

    "ป้าอาเทน่า" ลูเซียสขมขื่น

    "อาเทน่า มัลฟอย?"

    "ใช่... ท่านรู้ด้วยเหรอ?"

    "ทำไมเจ้าเรียกเธอว่าป้า"

    "เธอเป็นพี่สาวฝาแฝดกับพ่อผม"

    พ่อ... เจ้าหมายถึงเอรีส มัลฟอยเหรอ!?"

    "ท่านรู้จักด้วยเหรอ...?"

    เสียงหัวเราะดังก้อง ลูเซียสดูงวยงง "มิน่า เจ้าจึงสามารถมาจนถึงที่นี่ได้!" กับความเวิ้งว้างอย่างหน้าใจหาย เซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟกระซิบอย่างแผ่วเบา "ความจริงที่จะบอกแก่เจ้า เด็กเอ๋ย... นี่ไม่ใช่บันทึกธรรมดา มันไม่ใช่เอกสารที่ใครๆ ก็ทำได้   คนที่มีสิทธิได้อ่านมีแต่เลือดและเนื้อแห่งกริฟฟินดอร์ และเจ้า เจ้าเป็นทายาทแห่งกริฟฟินดอร์ผ่านทางวิญญาณโดยตรง ไม่ใช่โดยสายเลือด!"

    "แล้วทำไม... มีแต่ทายาทกริฟฟินดอร์ที่อ่านได้"

    "เพราะทายาทกริฟฟินดอร์คือคนที่จะบอกแก่เด็กที่ได้รับเลือกให้ครอบครองโยนีร์ล ให้เลือกว่าจะตอกตะปูลงที่ร่างราชาอุดกัลล์หรือว่าจะปล่อยพระองค์ไป"

    "ฟังแปลกๆ นะ"

    "ตอนที่เจ้าจะติดต่อกับผู้นำของพวกเมอร์กัน เจ้าจะต้องไปพบพวกนั้นที่ปราสาทประจำตระกูล... ที่นั่นเรียกกันว่า อาณาจักรแห่งทวยเทพ... และพวกนั้นก็มักจะมีนามตามนามแห่งเทพเจ้าในแอสการ์ด"

    ลูเซียสตะลึงไปวูบหนึ่งก่อนจะนึกได้... พวกเมอร์กันล้วนมีชื่อตามเทพเจ้าทั้งนั้น ไม่ว่าจะ โอดิน, เฟร์, เฟร์ยา, ทั้งหมดราวกับจะเป็นเรื่องแดกดัน แต่... โลกิ... ทำไมต้อง...

    "ทำไมโลกิ...?"

    "เป็นเรื่องตลกในทุกสมัย... เหมือนในเทพนิยาย โอดินจะต้องไปพบกับยักษ์(ศัตรู) แล้วคิดเองเออเองว่าสงครามจบแล้ว จึงรับยักษ์มาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน โดยไม่รู้ว่าตนจะต้องเจ็บปวดมากมายเพียงใดกับสิ่งที่กำลังจะเกิด" คำตอบของฮัพเฟิลพัฟเหมือนจะซ่อนบางสิ่งไว้ "เทอร์ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย แต่เป็นทายาทสายตรงแห่งโอดินเช่นเดียวกับในเทพนิยาย"

    ลูเซียสกระพริบตา นั่นแหละที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่า...

    ทำไมต้องเป็นเค้าที่จะรับสาส์น

    ทำไมต้องทำตัวเป็นสิ่งนั้น...

    "ผมไม่ได้อยากทำอะไรแบบนั้นเลยนะ" ชายหนุ่มตอบอย่างสุภาพ "ความจริงคือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมผมต้องเข้ามารับทราบเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง เซเวอรัส... บันทึกเล่มนี้ควรมีอะไรที่รอบคอบกว่านี้หน่อยนะ ขืนคนที่เค้าไม่ได้ต้องการเข้ามาดูถูกดูดเข้ามาแบบนี้บ่อยๆ มันจะกลายเป็นว่าเรื่องที่ควรจะเป็นความลับกลายเป็นสิ่งสาธารณะไป"

    "ลูเซียส มัลฟอย" เซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟเอ่ยอย่างอ่อนโยน "ถ้าที่้รู้มาถูกต้อง รู้สึกว่าเจ้าจะมีนามนี้นะ"

    "ครับ..." ลูเซียสตอบรับมัน

    "บังเอิญว่ามันเป็นนามแห่งสหายของข้า เค้าก็มีนามเดียวกันกับเจ้า ลูเซียส เกล็นเดล กริฟฟินดอร์... สหายผู้เยาว์วัย เจ้าอาจจะมองว่าข้าเป็นคนใจทรามที่นำเจ้ามาสู่หุบเหวแห่งความเจ็บปวด หูเจ้าได้ยินแต่เรื่องที่ไม่อยากได้ยินแต่ก็ต้องรับฟัง สหายเอย.. เจ้าอาจจะอยากถามว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่ อยากถามว่าทำไมเจ้าต้องถูกบังคับให้มาที่นี่ อยากจะรู้ว่าทำไมใจข้าจึงเย็นชานักที่เชื้อเชิญเจ้ามาแล้วก็ขับไสไล่ส่งเจ้า... ยามนี้ข้าอยากบอกเจ้าว่า ที่ผ่านมาข้านั้นสับสน เพราะนับจากวันที่ตายและถูกผนึกวิญญาณไว้ที่นี่ ทุกๆ วันก็เฝ้าคิดถึงใครคนหนึ่งที่เปรียบกับชีวิตครึ่งหนึ่งที่หายไปอยู่เสมอ"

    ลูเซียสมองตรงไปที่เซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟด้วยความรู้สึกหวิวๆ อย่างประหลาด เมื่อเห็นว่าดวงตาสีทองนั่นมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับเซเวอรัส สเนป

    "และเมื่อเห็นเจ้า" เซเวอรัสพูดเบาๆ อย่างเจ็บปวด "รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกให้เป็นริ้วๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนที่มีผมสีเงินสว่างที่นำพาให้นึกถึงใครอีกคนที่มีผมสีเหมือนเมฆที่ลอยบนฟ้าแม้ว่าจะเป็นผมคนละสีกัน ดวงตาสีเงินที่มองมาก็เหมือนจะย้ำให้คิดถึงดวงตาสีแดงราวกับกระต่ายขาวของเพื่อนที่ตายจากไป ข้าถูกทำให้มึนงงซ้ำอีกเพราะคนที่ไม่เหมือนเพื่อนรักแต่ทำให้ข้าคิดถึงเพื่อนรักนั้นมีนามๆ เดียวกับเพื่อนด้วย ลูเซียส... แปลว่าแสงสว่าง... ไม่เพียงแต่มีนามเดียวกันเท่านั้น พวกเจ้าต่างก็เป็นบุตรแห่งกริฟฟินดอร์เหมือนกันด้วย ทั้งหมดมากพอจะทำให้สับสน"

    อีกครั้งที่ตาสีทองสูญเสียประกายอันงดงามและทำให้ลูเซียสรู้สึกเหมือนกำลังอยู่สองต่อสองกับเซเวอรัส อีกฝ่ายรู้มั้ยว่าเค้าก็สับสนไม่แพ้กัน

    "ที่ข้าเฉยเมยต่อความลำบากของเจ้านั้น ไม่ใช่เพราะจิตใจเย็นชา แต่เพราะรู้สึกสับสน"

    "ผมไม่ว่าอะไรหรอก" ลูเซียสเอ่ยในที่สุด "เพราะผมก็ผิดที่พยายามเรียกร้องความรับผิดจากท่านโดยไม่ได้คิดเลยว่าท่านมีส่วนในความลำบากนี้รึไม่"

    "แล้วเจ้า.. ต้องการออกจากภาระกิจนี้รึไม่ล่ะ"

    "สงสัยว่าผมไม่อาจจะออกไปสู่ความเป็นปกติได้ หากผมไม่ทำหน้าที่ที่ใครบางคนยัดเหยียดมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ" ลูเซียสกลอกตาไปมาแบบมั่นใจ

    กับเสียงหัวเราะ เซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟเลื่อนนิ้วเรียวยาวไปในมิติที่ว่างเปล่า "จริงที่เจ้าคิดนั่นแหละ เจ้าต้องทำหน้าที่นี่ต่อไปแม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม"

    ภาพรอบๆ ตัวไหววูบ สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง ลูเซียสเดินทางในโลกแห่งความทรงจำของปราสาทกลางเวลาอีกครั้งโดยไม่มีเซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟ แต่ตอนนี้เค้ากลับไม่รู้สึกกังวลเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ตรงข้าม เค้าชักจะสบายใจกับการที่ได้รับรู้ว่าเค้าอยู่ในการดูแลของเซเวอรัส เรวิน ฮัฟเฟิลพัฟตลอดเวลา เพราะอย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นคนที่เค้าชื่นชมมานานแสนนาน

    คราวนี้เค้ากำลังมองดูโลกิ ในห้องสมุดฮอกวอร์ต แต่เค้าไม่ใช่เด็กนักเรียน หากแต่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องมาเรียนอีกแล้ว พูดง่ายๆ คือเค้าไม่จำเป็นต้องมาอยู่ที่นี่...

    แล้วทำไมเค้ามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?

    "โลกิ... นายหาอะไรบอกให้รู้บ้างไม่ได้เหรอ" โอดินเอ่ยในที่สุดหลังจากทนเงียบมานาน

    "กระซิบใส่หูก็ได้ ไม่ต้องพูดดัง เดี๋ยวก็โดนบรรณารักษ์ฆ่าทิ้งหรอก"โลกิตอบเหมือนกระซิบ

    ลูเซียสหันไปมองบรรณารักษ์แล้วพบว่าหล่อนไม่ใช่บรรณารักษ์คนเดียวกับทุกวันนี้ หน้าตาฉุนเฉียวตลอดเวลา ประมาณว่าดูๆ ไปก็เหมือนๆ ส้นเท้าชาวบ้านเค้านั่นเอง

    "ตกลงหาอะไร.. ชั้นจะได้ช่วยถูก" โอดินก้มลงกระซิบที่หูโลกิ

    "อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเทพนิยายยุโรปเหนือ" โลกิตอบ

    "หาที่ห้องสมุดมักเกิ้ลจะง่ายกว่ามั้ยเพื่อน" เจมส์พ่นลมออกจมูก

    "ไม่ก็ที่คฤหาสเมอร์กัน รู้สึกจะเรียกว่า 'อาณาจักรแห่งทวยเทพ' เลยนะ แล้วลูกหลานแต่ละคนก็มีชื่อเป็นเทพเจ้าในแอสการ์ดทั้งนั้น" อัสลันพูดอย่างมีความสุข"

    แต่แล้วก็ไม่มีใครชวนคุยอีกเหมือนจะรู้สถานการณ์เมื่อโลกิหยุดอ่านที่เรื่องของ "ราชาอุดกัลล์" และไม่นานโลกิก็เอ่ยเบาๆ

    "นี่ไง... ตรงนี้..."

    "ราชาอุดกัลล์ชื่อโลกิเหรอ งั้นก็ไม่เป็นคนเดียวกับโลกิที่เป็นต้นเหตุแห่งแรคนาร๊อคน่ะสิ" เจมส์ขมวดคิ้ว

    "ไม่ใช่" อัสลันเทียตบหัวเจมส์ "อ่านตรงนี้พอตเตอร์, ราชาอุดกัลล์คือตำแห่งสูงสุดของเผ่ายักษ์ ตำนานบอกว่าเป็นบิดาของยักษ์ทั้งมวล และนี่ หลังสงครามระหว่างยักษ์กับเทพสิ้นสุด โอดินก็ได้พบกับเด็กหนุ่มเผ่ายักษ์ที่มีจิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ที่ชื่อโลกิ และถูกชะตาด้วยอย่างมากจนสาบานเป็นพี่น้องกับเค้าได้ ปรากฏว่าเมื่อโลกิไปอยู่บนสวรรค์ไม่นานก็มีคำทำนายว่าโลกิจะเป็นนำจักรวาลทั้งจักรวาลไปสู่วันพิพากษาโลกที่เรียกว่าแร๊คนาร๊อค ทีแรกโอดินไม่ยอมรับ แต่เมื่อโลกิมีความสมพันธ์กับนางยักษ์แองกรูเบอร์ด้าและมีลูกด้วยกันสามตนโอดินก็เริ่มกังวลว่าคำทำนายจะเป็นความจริงจึงเริ่มวางแผนที่จะต่อสู้กับอนาคตที่ตนก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง"

    "แล้วนายจะเอาไปทำอะไร โลกิ" โอดิน เมอร์กันมองเพื่อนรักที่จดยิกๆ ในกระดาษ ลายมือเหมือนหนอนก็ไม่ปาน

    "มาเร็ว มีบางอย่างที่พวกนายต้องรับทราบ"

    สิ้นคำลูเซียสก็ย้ายมายังบ้านโลกิอย่างรวดเร็ว สี่สหายนั่งสุมหัวกันที่โซฟา โลกิคลี่หนังสัตว์แผ่นใหญ่ออกมาให้เหล่าสหายได้เห็นจะๆ "พวกนายคิดว่านี่อะไร"

    "อู้... ลายแทงมหาสมบัติ!!"

    "อย่าทำเป็นเล่น เจมส์ กูเครียดเว้ย" โลกิออกแนวหยาบคายเป็นครั้งแรก

    "ล้อเล่นน่าฝ่าพระบาท" เจมส์บอก แต่ก็ยังล้อเล่นอยู่ดี เพราะฝ่าบาทไม่ใช่ถ้อยคำที่จะเรียกคนสามัญ หากมีนัยยะหยอกล้อโลกิที่มีนามสกุล 'พริ้นซ์' ที่แปลว่า 'เจ้าชาย'

    "ซุกซนไม่เข้าเรื่อง เจมส์..." อัสลันเทียหยอกเย้าแกมขู่ "จะเลิกไร้สาระดีๆ หรือจะจูบก้นชั้น"

    "ดูเหมือนแผนที่ฮอกวอร์ต..." โอดินพูดโดยไม่สนใจพวกปากปูปากกั้งที่อยู่ใกล้ๆ "แต่มีอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยเหมือน"

    "รายระเอียด, ไอ้เพื่อนยาก" โลกิบอก "มีคนส่งมันมาให้ ระบุว่ามันเป็นแผนที่ปราสาทกาลเวลา"

    "ปราสาทที่ว่าเป็นที่อยู่ฮาเดสเนี่ยนะ!?!"

    "เออสิ"

    "แล้วนายไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอุดกัลล์โลกิทำไม!?" โอดินไม่เข้าใจ

    "ทีแรกชั้นก็ไม่คิดว่าจะเกี่ยวหรอก แต่ที่กลางปราสาทนี่มีต้นเอลเดอร์" โลกิชี้ให้โอดินดู "ช่ายยยย... ชั้นรู้ว่าหาอ่านได้ในเรื่องเกี่ยวกับฮาเดส แต่นายลองพิจารณาไอ้ต้นเอลเดอร์นี่ดีซิ นายคิดว่ามันเป็นอะไรง่ายๆ แบบนั้นจริงเหรอ จากรูปร่างและขนาดของมัน นายจินตนาการถึงแค่ความเป็นเอลเดอร์ธรรมดาเท่านั้นเองเหรอ แหกตาให้ดีๆ โอดิน เอลเดอร์พันธุ์ไหนมันกินคนเป็นอาหารกันฟะ แล้วเอลเดอร์บ้านแกมันใหญ่ปานนี้เลยเรอะ ลองมองจากมุมนี้ดิ๊! รากพวกนี้มันจะหยั่งลงไปที่ไหน แล้วยอดล่ะ มันจะแตกกิ่งก้านสาขาไปไหนอีก"

    "มันดูยังก่ะ ต้นไม้แห่งชีวิตในเทพนิยายยุโรปเหนือ" อัสลันเทียออกความเห็น

    "ต้นไม้ที่เทพโอดินทรมาณตนเองจนได้อักษรรูนมา ต้นไม้ที่เมอรินได้กิ่งมาทำเป็นไม้กายสิทธิ์" เจมส์มองตาลุกวาว

    "มีตำนานกล่าวว่ามัจจุราชได้หักกิ่งเอลเดอร์มาทำไม้กายสิทธิ์ให้พี่ชายคนโตในนิทานสามพี่น้อง" โอดินพูดขึ้น

    "มีบันทึกว่าตอนที่พี่น้องพรีวิเร็ตไปรับราชโองการสุดท้ายจากโอซิริส พี่คนโตได้รับไม้เอลเดอร์เนื้อดีเป็นของขวัญ-มีคนทำวิจัยด้วยว่ามันคือไม้กายสิทธิ์ในนิทานสามพี่น้อง" โลกิเลิกคิ้ว "แล้วยังมีตำนานที่คล้ายๆ กันเล่าด้วยว่า เมื่อเทพเจ้าสามองค์ได้เดินทางไปยังดินแดนของพวกยักษ์ตามคำสั่งโอดินเพื่อรับตัวโลกิที่ถูกจับเป็นตัวประกันนั้น พวกท่านได้พบกับราชอุดกัลล์ ที่นั่น พวกเค้าเล่นเกมส์ชนะราชายักษ์จนราชายักษ์ยอมคืนตัวโลกิให้ พร้อมกับมอบอำนาจสามสิ่งให้กับเทพทั้งสาม คืออาวุธที่จะไม่มีวันแพ้ในการต่อสู้ใดๆ อำนาจที่จะเรียกคนตายกลับมาจากอาณาจักรแห่งเฮลล์ และที่ซ่อนที่จะไม่มีใครหาพบ  คิดมั้ยว่ามันออกจะลงตัวเกินไปหน่อย"

    ทั้งสี่อยู่ในความคิด...

    "ทั้งหมดอยู่ในตำนาน... ตำนานที่เล่าสับสนปนเปจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ" อัสลันเทียเริ่มสนุก

    "ใครบางคนที่ส่งแผนที่นี่มาให้เรา มีความจำเป็นอะไรที่ต้องระบุว่ามันเป็นแผนที่ปราสาทกาลเวลา เว้นแต่ว่ากำลังยุให้พวกเราหาคำตอบแล้วก็โลดเล่นไปตามการชักใยนั่น" เจมส์ถอนใจ "แล้วพวกนายยังจะเล่นตามที่มันยุให้เล่นอีกเหรอ"

    "ความจริงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอก" โอดินว่า "แต่ไม่ว่าโลกิจะสนใจมันเพราะความมันส์ส่วนตัวหรือมีอะไรอยู่ในใจ พวกเราก็เล่นด้วยอยู่ดีไม่ใช่เรอะ"

    "เหตุผลคือไอ้นี่" โลกิเคาะนิ้วเบาๆ ที่สัญลักษณ์บางอย่างที่เหมือนแบดเจอร์สีดำ "มันอาจจะเกี่ยวกับมานาเกีย"

    "ถามจริง... นายไม่กลัวที่จะต้องไปรู้อดีตหล่อนบ้างเหรอ" เจมส์ถามจริงจังหลังจากที่เล่นมาตลอด

    "ก็กลัวอยู่... แต่ว่า... ถ้ามัวกลัวก็จะทำอะไรให้คนที่เรารักไม่ได้เลย" โลกิถอนใจ "เพราะอดีตมันเป็นสิ่งที่สำคัญนะ หากมานาเกียมีคนที่รออยู่ที่บ้านด้วยความเป็นห่วง เราจะทำเป็นไม่สนใจได้เหรอ หากไม่มีใครรอเธอจริงเราก็จะได้รู้ไง ทำแบบนี้ดีกว่านะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย"

    สรุปแล้วก็คือโลกิห่วงคนอื่นนั่นเอง... ลูเซียสยิ้มจางๆ เมื่อพบว่าตนเริ่มเข้าใกล้เหตุผลที่ถูกเรียกมาที่นี่แล้วบ้าง แม้จะไม่ค่อยทันใจเพราะต้องมารู้อะไรแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการวูบไปวูบมาตามลำพังเหมือนเมื่อก่อน
    -------------------------------------------------------

    บานประตูเปิดออกพร้อมกับร่างผอมบางในชุดสีดำหลวมโพรกที่หยุดยืนมองมาด้วยความรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ดัมเบิลดอร์ทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส แม้จะรู้เต็มอกว่าอีกฝ่ายคงไม่แจ่มด้วย ระหว่างนั้นร่างค่อนข้างผอมซีดแต่งกายมอซอลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาที่่อาจารย์สอนปรุงยา แม้จะเป็นคนร่างสันทัดแต่รีมัส ลูปินก็สูงกว่าเซเวอรัส  เนื่องจากร่างในชุดดำที่มีความสูงใกล้เคียงกับลิลี่-เพื่อนหญิงที่เค้าเคยแอบปิ๊ง

    "ไม่เจอกันนานนะสเนป... ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนที่เรียนร่วมกันมา... เรียกว่าเซเวอรัสได้มั้ย"

    "ไม่ต้องทำมาเป็นสุภาพหรอก ทีสนิสเวลลัสยังเรียกมาแล้วเลย อีแค่เซเวอรัสน่าจะเรียกออกมาได้โดยไม่ต้องขออนุญาตด้วยซ้ำ"

    ยังไม่ทันที่ลูปินจะได้อ้าปาก เซเวอรัส สเนปหันหลังให้และหายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาปั้นหน้าอย่างยากลำบาก ดัมเบิลดอร์ถอนใจเบา

    "บาดแผล... ก็เหมือนตะปูที่ตอกลงบนแผ่นไม้ แม้จะดึงออกไปแล้ว รอยที่เคยตอกลงก็ไม่เลือนหาย ระหว่างเซเวอรัสกับซิเรียส แบล็กมันมีอะไรมากมายจนแม้แต่อดีตเพื่อนแบล็กก็ไม่อาจจะจำให้เค้าเปิดใจรับได้"

    "เรื่องนั้นผมรู้" ลูปินเอ่ยในความเงียบ "เจอกันตอนมื้อค่ำนะ เซเวอรัส"

    กับคำอันเป็นไมตรีที่ส่งไปในความเงียบ... คนที่น่าสงสารในเครื่องแต่งกายสีรัตติกาลไม่เคยได้ยินและจะไม่เคยคิดจะตอบกลับ

     

     


    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×