ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Twilight Zone

    ลำดับตอนที่ #2 : ฮอบบิท เปิดตำนานมนุษย์แคระ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 49


    เกาะฟลอเรส ในประเทศอินโดนีเซีย เป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูคนทั่วโลกนัก แต่พลันที่ ดร.ไมก์ มอร์วูด นักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ ออสเตรเลีย และทีมงาน เผยแพร่ผลงานการค้นพบซากกะโหลกศีรษะขนาดเล็กของมนุษย์โบราณเพศหญิงและโครงกระดูกที่สูงเพียง 1 เมตร ในนิตยสารเนเจอร์ เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2004 เกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็กลายมาเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในทันใด



    มอร์วูดเริ่มงานที่น่าทึ่งนี้ด้วยการค้นพบเครื่องมือยุคหินอายุกว่า 8 แสนปี ในถ้ำเลียงบัวบนเกาะฟลอเรส เมื่อ 6 ปีก่อน การค้นพบครั้งนั้นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะความรู้ทางมานุษยวิทยาบ่งชี้ว่า เมื่อ 4 แสน-2ล้านปีก่อนนั้น เป็นช่วงเวลาของมนุษย์โบราณสปีซีส์โฮโม อีเรกตัส(Homo erectus)



    มนุษย์โบราณสายพันธุ์นี้ได้อพยพจากทวีปแอฟริกาไปยังยุโรปและเอเชีย

    นักมานุษยวิทยารู้ว่าพวกโฮโม อีเรกตัสเดินทางมายังเอเชียจากการพบหลักฐานซากของโฮโม อีเรกตัสในประเทศจีน ซึ่งเรียกกันว่า "มนุษย์ปักกิ่ง" และในประเทศอินโดนีเซีย บนเกาะชวา ซึ่งเรียกกันว่า "มนุษย์ชวา" ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 7 แสนปีก่อน

     


    ภาพวาดโฮโม อีเรกตัส และเครื่องมือ


    แต่ทว่ายังไม่มีหลักฐานปรากฏว่าโฮโม อีเรกตัสมีสติปัญญาสูงพอที่จะสามารถต่อเรือเดินทะเลได้เหมือนอย่างพวกโฮโม ซาเปียน บรรพบุรุษของเรา ด้วยเหตุผลนี้นักมานุษยวิทยาส่วนใหญ่จึงกังขาว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าของเครื่องมืออายุกว่า 8 แสนปี บนเกาะฟลอเรสซึ่งอยู่ไกลจากเกาะชวาถึง 500 กิโลเมตร คือพวกโฮโม อีเรกตัส ที่ต่อเรือเดินทางจากเกาะชวาไปยังเกาะฟลอเรส

    ปลายปี ค.ศ.2003 คณะนักสำรวจของออสเตรเลียและอินโดนีเซียซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการหลายสาขา นำโดย ไมก์ มอร์วูด ศาสตราจารย์อาร์.พี. โซโจโน จากศูนย์วิจัยโบราณคดีอินโดนีเซีย และศาสตราจารย์ริชาร์ด โรเบิร์ตส์ จากมหาวิทยาลัยวูลลองกอง ออสเตรเลีย ทำการขุดบริเวณถ้ำเลียงบัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พวกเขานำความประหลาดใจมาให้ยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว

    เมื่อพบซากกะโหลกศีรษะขนาดเล็กของมนุษย์โบราณและโครงกระดูกสูงที่อยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ซึ่งฝังอยู่ใต้พื้นดินลึก 5.9 เมตร นอกจากนั้นยังพบเครื่องมือยุคหินและกระดูกสัตว์ต่างๆ ที่มีรอยไหม้เหมือนถูกย่างไฟมาแล้วอีกด้วย

     


    ภาพวาดฮอบบิตโดยปีเตอร์ เชาเทน นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก


    การค้นพบซากของมนุษย์แคระนี้ทำให้นักมานุษยวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นมาก มอร์วูดบอกว่ามันเป็นการการค้นพบครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 100 ปีเลยทีเดียว

    ในขณะที่นักมานุษยวิทยาบางคนตั้งข้อสงสัยว่า มนุษย์แคระนี้อาจไม่ใช่มนุษย์โบราณสปีซีส์ใหม่ แต่เป็นเพียงมนุษย์ที่ร่างกายแคระแกร็นซึ่งเกิดจากโรคสมองฝ่อซึ่งเรียกกันว่า microcephaly

    ผลการศึกษาของคณะสำรวจพบว่าโครงกระดูกนี้เป็นมนุษย์เพศหญิง อายุประมาณ 30 ปี สูง 1 เมตร ตายเมื่อ 18,000 ปีที่แล้ว กะโหลกศีรษะของเธอคล้ายพวกโฮโม อีเรกตัส แต่มีขนาดเพียง 1 ใน 3 ของกะโหลกมนุษย์ในปัจจุบัน และช่องบรรจุสมองมีปริมาตรเพียง 400 ซีซี เล็กกว่าช่องบรรจุสมองของโฮโม อีเรกตัสซึ่งมีปริมาตร 900-1,200 ซีซี และมีกระดูกสะโพกคล้ายกับมนุษย์ลิงออสเตรโลพิเทซัส แอฟริกานัส(Australopthicus africanus) หรือลิงทางใต้ของแอฟริกาซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อราว 2-3 ล้านปีก่อน

     


    กะโหลกฮอบบิต ภาพโดยปีเตอร์ บราวน์


    คณะสำรวจให้นิคเนมมนุษย์แคระนี้ว่า "ฮอบบิต" (Hobbit) เหมือนชื่อมนุษย์แคระในในภาพยนต์เรื่องลอร์ด ออฟ เดอะ ริง และมีชื่อที่เป็นทางการว่า "โฮโม ฟลอเรสไซนซิส" (Homo Floresiensis) และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า LB1


    ก่อนหน้านี้มอร์วูดและทีมวิจัยของออสเตรเลียและอินโดนีเซียพบร่องรอยของมนุษย์โบราณบริเวณแอ่งใจกลางเกาะฟลอเรส ซึ่งเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นพวกโฮโม อีเรกตัส ซึ่งได้เดินทางมาถึงเมื่อราว 840,000 ปีก่อน ข้อมูลนี้ชี้ถึงความเป็นไปได้ว่าพวกฮอบบิตได้มาอาศัยอยู่ในถ้ำในราว 95,000-13,000 ปีก่อน และบรรพบุรุษของฮอบบิต ก็คือโฮโม อีเรกตัสนั่นเอง


    มอร์วูดบอกว่า ฮอบบิต คือมนุษย์โบราณสปีซีส์ใหม่ซึ่งมีชีวิตในช่วงเวลาเดียวกับเรา พวกเขามีความสูงเท่ากับเด็กอายุ 3 ปี และหนักประมาณ 25 กิโลกรัม และแม้ว่าขนาดสมองจะเล็กกว่าสมองของลิงซิมแปนซี แต่ก็มีความฉลาด สามารถใช้ไฟ ประดิษฐ์เครื่องมือที่ทำจากหิน ล่าช้างแคระที่เรียกว่าสเตโกดอน(Stegodon) และหนูยักษ์เป็นอาหาร และบรรพบุรุษของฮอบบิตอาจจะเดินทางรอนแรมมายังเกาะฟลอเรสโดยใช้แพไม้ไผ่


    ศาสตราจารย์ดีน ฟอล์ค กับแบบหล่อสมองฮอบบิตและแบบหล่อสมองของมนุษย์โบราณ ลิง พิกมี มนุษย์ที่เป็นโรคสมองฝ่อ ที่ใช้ในการวิจัย ภาพโดยไมเคิล เอ็ดมุนด์ส มหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา และนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก


    การศึกษาฮอบบิตมีความชัดเจนมากขึ้นจากผลงานการวิจัยของศาสตราจารย์ดีน ฟอล์ค ผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาโบราณประสาทวิทยา(Paleoneurology) ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา และทีมนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารไซน์ ฉบับวันที่ 3 มีนาคม 2005

    ฟอล์คและทีมงานได้ศึกษาสมองของฮอบบิตโดยใช้แบบหล่อสมองของฮอบบิตเปรียบเทียบกับแบบหล่อสมองของมนุษย์ลิงรุ่นแรกๆ สมองของโฮโม อีเรกตัส โฮโม ซาเบียน มนุษย์แคระเผ่าพิกมี ลิงซิมแปนซี ลิงกอริลลา และสมองของมนุษย์ที่เป็นโรคสมองฝ่อ

     


    เครื่องมือของฮอบบิตที่ค้นพบ ภาพโดยคริส เทอร์นีย์


    ผลการวิจัยพบว่า โครงสร้างและรูปทรงสมองของฮอบบิตไม่ได้เกิดจากโรคสมองฝ่อ และยังแตกต่างกับสมองของพวกพิกมีด้วย และยังพบว่าสมองของฮอบบิตมีลักษณะผสมผสานระหว่างลักษณะของสมองมนุษย์ดึกดำบรรพ์กับมนุษย์สมัยใหม่

    ฟอล์คกล่าวว่า สมองของ LB1 มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพ ทว่ามีลักษณะพิเศษซึ่งมีลักษณะก้าวหน้าแบบที่เราเห็นในมนุษย์ปัจจุบัน และก็มีส่วนที่เป็นแบบดึกดำบรรพ์ที่เราเห็นในบรรพบุรุษอยู่ด้วย
    มันเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนสิ่งใดๆ ที่เคยเห็นมา


    ถ้ำเลียงบัว ภาพจากมหาวิทยาลัยวูลลองกอง


    นับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจทีเดียวที่มนุษย์โบราณจะมีชีวิตรอดอยู่ได้จนถึงช่วงเวลาของมนุษย์ยุคใหม่ การอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะขนาดเล็กที่ห่างไกลและมีอาหารน้อย วิวัฒนาการที่ใช้เวลาหลายพันปีของนักล่าบนเกาะแห่งนี้ในคือการมีขนาดที่เล็กลง ดังเช่นช้างแคระสเตโกดอน

    มีนิทานพื้นบ้านหลายเรื่องที่บอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ตัวเล็กๆ บนเกาะฟลอเรสซึ่งมีรายละเอียดที่ค่อนข้างเหลือเชื่อ เนื้อหาของนิทานบ่งบอกว่า มนุษย์ตัวเล็กๆ เหล่านี้อาจมีชีวิตอยู่จนถึงทศวรรษที่ 15 และนิทานเหล่านี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คณะสำรวจเข้าไปขุดค้นหาร่องรอยของพวกเขา

    เครดิตจาก น.ส.พ.มติชน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×