ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Short Story

    ลำดับตอนที่ #1 : Your smile ...

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 57






    -Your Smile-


     วันรับน้องคณะนิเทศศาสตร์ / ปี 2554

    “เห้ย พวกมึงฝนจะตกละ น้องๆเขาจะกลับบ้านช้า” ฉันตะโกนบอกเพื่อนๆ เมื่อเห็นว่ากิจกรรมรับน้องของห้องวันนี้มีอุปสรรคใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ฝนในเดือนนี้เดาใจยากชะมัด คิดจะมาก็มา วันนี้แดดแรงทั้งวันแท้ๆ

    “เออๆ มึงก็เดินไปหาน้องรหัสมึงสิ อีอิน” ไอ้เกม ตะโกนกลับมา ทำให้ฉันต้องรีบเดินดุ่มๆไปหาน้องรหัสของฉันที่ถูกปิดตาด้วยผ้าสีฟ้า หน้าตาเปื้อนทั้งแป้งและลิปสติกราคาถูกที่ฉันและเพื่อนๆเป็นคนละเลงใส่หน้าน้องๆ                                 ใกล้เวลาเปิดตาน้องๆเพื่อพบพี่รหัสตัวเองแล้ว โดยที่พวกเราต้องเป็นคนแก้ผ้าปิดตาให้กับน้องรหัสตัวเอง ฉันแอบสำรวจ ลักษณะของน้องที่ยืนตรงหน้า แปลกใจนิดหน่อยที่ตอนแกล้งน้องๆ ฉันไม่ได้ปะแป้งน้องคนนี้เลย อาจเพราะฉันสนใจแต่น้องผู้หญิง น่ารักๆ อยู่ก็เป็นได้ ป้ายชื่อสีเขียวสะท้อนแสงบาดตาเขียนไว้ว่า โสรต 21’  รูปร่างสูงโปร่ง ผิวเข้ม คิ้วหนายังกับปลิง แต่รวมๆแล้ว ถ้าเช็ดแป้งออก น้องต้องหน้าคมมากๆเลยล่ะ จมูกโด่งมาก ปากก็ได้รูป  นี่น้องรหัสฉันหรือนี่ ...

    “เอาล่ะ ได้เวลาเปิดตาน้องแล้วครับพี่ๆ” ฉันยืดตัวให้สูงขึ้นเพื่อจะแก้ผ้ามัดตาน้องโสรส ซึ่งใช้เวลาไม่น้อย จนมันหลุดออก

    “หวัดดีน้อง พี่เป็นพี่รหัสแกนะ” ฉันทักทายทันทีพร้อมกับยิ้มกว้างๆ ในขณะที่เพื่อนผู้ชายหลายคนเริ่มจะจีบน้องรหัสตัวเองด้วยสายตา

    “หวัดดีครับพี่ ผมโส-รต นะ เรียก โส ก็ได้ครับ” ไอ้เด็กใต้ยกมือไหว้ พร้อมกับก้มร่างสูงๆมันลงมาหาฉัน

    “เห้ยๆ ใจเย็น เดี๋ยวพี่อายุสั้น เอาเป็นว่ายินดีต้อนรับสู่คณะนิเทศ อย่างเป็นทางการเว้ย พี่ชื่ออินนะ” ฉันแซวน้องเล่นๆก่อนจะแนะนำตัวให้เป็นทางการ

    “ครับพี่อิน ผมนึกว่าจะได้ผู้ชายซะอีก ได้พี่สาวน่ารักซะนี่” โสยิ้ม ... น้องยิ้มสวยเป็นบ้า มีลักยิ้มทั้งสองข้างเลย

    “โอ้ย ชมงี้จีบพี่เลยมั้ยน้อง ฮ่าๆๆ”ฉันแซวน้องขำๆแล้วชวนคุยไปเรื่อยก่อนจะให้ของขวัญที่เตรียมมารับน้อง

    “โอเค เจอหน้ากันทุกคู่แล้วนะครับ ทีนี้น้องๆคงรู้กำหนดการแล้ว ว่ากิจกรรมรับน้องเริ่มวันพุธหน้า เราจะออกค่ายกัน เตรียมของให้พร้อมนะครับ แล้วเจอกัน” ไอ้โจ๊ก ประกาศผ่านโทรโข่ง ทำให้เราเริ่มๆแยกกันกลับ  

    “อ่า เจอกันวันกิจกรรมนะไอ้น้อง” ฉันตบไหล่โสเบาๆ ก่อนจะแยกกัน ... เด็กบ้าอะไรยิ้มสวยชะมัด ...

      

     

      

    “โส คืนนี้มึงว่างป่าว พวกกูจะไปดริ๊งค์กัน ไปด้วยกันเยอะๆ นานๆทีจะอยู่กันพร้อมหน้าทุกสายรหัส” ฉันชวนน้องไปกินเหล้ากับชาวคณะหลังการสอบที่โคตรจะทรหด

    “... เอาสิพี่อิน แต่ผมไม่เคยกินเหล้านะพี่” โสพูดพลางปาดคราบเหงื่อบนหน้าที่ไหลไม่หยุด อาจเพราะการแข่งเทนนิสอันดุเดือดระหว่างพี่น้องรหัสที่เพิ่งจบไปเมื่อกี้

    “เห้ย ไม่จริงง่ะ มึงไม่เคยกินเหล้าเหรอ” ฉันทำตาโต เพราะตกใจจริงๆ  อะไรวะ อยู่ด้วยกันมาหลายเดือนเพิ่งรู้ว่ามีน้องเป็นผู้ชาย ... บอบบาง

    “อ้าว ผมจะโกหกพี่ทำไมล่ะ ผม ไม่ค่อยเที่ยวอ่ะพี่” น้องทำหน้างงๆ แบบว่า มีอะไรแปลกไปเหรอ

    “งั้น เดี๋ยวพี่พาเที่ยวเองน้อง อยู่กับพี่เป็นตัวเองเต็มที่” ฉันวาดแขนไปกอดคอน้องแบบยืดๆเพราะน้องสูงกว่ามาก

    “... งั้นก็ได้พี่ แต่อย่าพาผมกลับหอนะ ให้ผมไปนอนไหนก็ได้ เดี๋ยวรูมเมทผมว่า” เอาแล้วไง คืนนี้เมาแน่น้องกู

    “ได้เลยน้อง เดี๋ยวพี่เลี้ยงดูปูเสื่อเอง เพื่อนๆมึงก็ไปกันเยอะ” ฉันพูดชนิดที่ลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ... ก็คนมันชินอ่ะนะ

    “ครับๆ งั้นผมกลับไปอาบน้ำก่อนนะครับ” โสตอบตกลงแล้ว ฉันเลยโล่งใจว่าวันนี้จะมีน้องไปเที่ยวด้วยแบบไม่อายเพื่อน

    “เอาสิ กูพาไป แล้วเดี๋ยวทุ่มนึงจะมารับอีกที”   

      

     

     

                    “อ้าวเห้ย อีอินมาแล้วโว้ย พาน้องมาด้วยๆ” แจน ในชุดวาบหวิวเหมือนสาวบาร์ถือแก้วเหล้าลุกมาเหมือนจะต้อนรับฉันกับน้อง เพื่อนๆส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่

                    “มาช้านะมึง นัดกันทุ่มครึ่งทำไมมาซะสองทุ่มกว่าเลยวะ” ไอ้บิว สุดหล่อพ่อรวยของกลุ่มพูดขึ้นในขณะที่มือปลาหมึกของมันกำลังโอบน้องรหัสของมันที่สวยเอาการอยู่

                    “กูเผลอหลับว่ะ เลยไปรับน้องช้า” ฉันพูดพลางเดินมานั่งพร้อมกับกวักมือเรียกโสมานั่งด้วยกัน

                    “หวัดดีครับพี่ๆ” โสยกมือไหว้พวกมันอย่างถ่อมตัว ทำเอาเพื่อนๆฉันทำท่าเอ็นดูกันใหญ่

                    “อ้าว น้องโส มาๆๆๆ มานั่งกับเจ้มา ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลยลูก ” นาวพูดแซวๆแต่ก็เอื้อมมือมาแตะอั๋งน้องฉันอย่างน่าหมั่นไส้ โสที่ทำตัวไม่ถูกได้แต่ยิ้ม ฉันมองอย่างขำๆและปล่อยให้พวกมันแทะโลมน้องต่อไป สายตาที่อยู่ไม่สุขเผลอหันไปจ้องคน คนเดิมที่ยังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง

                    “เอ้า อีอิน แก้วมึง ให้น้องมึงด้วย” ฉันสะดุ้งเพราะไอ้เสือสะกิดและส่งแก้วเหล้ามาให้ ฉันรับมาก่อนจะส่งอีกแก้วให้โส

                    “... พี่อิน ถ้าผมเมาล่ะ” โสยิ้มเจื่อนๆ พอรู้ว่าตัวเองต้องกินเหล้าแล้วจริงๆ ฉันมองหน้าน้องแบบอดขำไม่ได้

                    “เออๆ เอาเป็นว่าถ้ามึงเมากูจะดูแลมึงเอง เคมั้ย ??” ฉันพูดให้น้องสบายใจ เรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนอีกครั้ง

                    “โหย ดูมันบอกจะดูแลน้อง ทีกับเพื่อนนี่ไม่มีหรอกแบบนี้ มีแต่เมาเป็นหมาให้เพื่อนเก็บศพ” ไอ้เสือแซวปนด่า

                    “อ้าว ไอ้สัด กูก็อยากมีโมเมนต์ปลดปล่อยบ้าง ไรบ้าง กูก็ช่วยมึงอยู่หรอกตอนเมาจนจูบหมาเฮียบุ๊นน่ะ” ฉันพูดแฉไอ้เสือจนเพื่อนหัวเราะทั้งกลุ่ม โสหัวเราะไปด้วย และสุดท้ายก็รับแก้วเหล้าในมือฉันไปจิบ สถานการณ์ในวงเหล้าก็เริ่มปกติ มีเมาท์กันบ้างเรื่อยๆ จนแจนสะกิดให้ฉันเงี่ยหูไปใกล้ๆ

                    “อิน ... มึงจะไม่ไปดูมันหน่อยเหรอวะ ?” แจนถามฉันเรื่องไอ้บ้าคนนึงที่เอาแต่สูบบุหรี่ จนเมื่อกี๊เพิ่งจะมาเติมเหล้าที่โต๊ะ แต่ก็ทำท่าจะแยกไปนั่งที่เดิม

                    “อืม เดี๋ยวกูไปดูเอง” ฉันลุกขึ้นยืน เดินไปหาไอ้การ เพื่อนที่เคยสนิทของฉัน โดยที่ถือแก้วเหล้าไปด้วย

    ฉันเดินไปถึงเก้าอี้ตัวเล็กที่ยังว่างตรงข้างๆไอ้การ แต่ก็รู้สึกอึดอัดเกินกว่าจะถามว่า นั่งด้วยได้ไหม ? คำพูดถูกกลืนหายไปในลำคอ และโดนเสียงเพลงจากร้านกลบไปจนหมด คนโดนมองหันหน้ามาหาฉัน มองดูฉันด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและเดายากอย่างที่มันทำเป็นประจำ ถึงจะเป็นเพื่อนกันมานาน แต่มีน้อยครั้งที่ฉันจะเดาความคิดมันได้ถูก

                    “........ นั่งด้วยได้มั้ยวะ ?” ฉันแอบกลืนน้ำลายก่อนจะเสี่ยงถามไป มันมองหน้าฉันอยู่สักครู่ ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูก

                    “เอาดิ” มันตอบรับก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกระเบียงเหมือนเดิม ฉันทำตัวไม่ถูก ใจหนึ่งกำลังด่าตัวเองว่าไม่น่าเอาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้เลย แต่อีกใจก็อยากจะคุยกับมันใจแทบขาด ... ยังไงเพื่อนก็ตัดกันไม่ขาดหรอก .. ฉันนั่งลงที่เก้าอี้จนได้ พยายามรวบรวมความกล้าที่จะพูดอะไรซักอย่างโดยการกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่

                    “แล้วนี่ มึงไม่เอาน้องรหัสมึงมาด้วยเหรอ ?” ฉันตัดสินใจถามไปโดยไม่มองหน้า พยายามเบนความสนใจไปที่นอกระเบียง เพื่อรอคำตอบที่ออกจากปากไอ้หน้านิ่งข้างๆนี่

                    “... น้องกูไม่สบาย มันเลยไม่มาด้วย และกูก็ไม่ได้อยากให้มันมา”

                    “มึงนี่ก็ หัดเทคแคร์คนอื่นเขาบ้างดิวะ มึงพูดเองนี่ ว่าถ้ามีน้องรหัสจะดูแลให้ดีๆเหมือนที่พี่รหัสดูแลมึง” ฉันพูดขึ้นเพราะเคืองนิดๆ ที่มันไม่ยอมทำอะไรเลย ทั้งที่แต่ก่อนมันไม่เคยเป็นแบบนี้  การหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาเฉยชาเหมือนเคย แต่มันแฝงความเจ็บปวดเล็กๆไว้ข้างใน

                    “ถ้ากูแคร์ใคร แล้วกูได้รับแต่ความผิดหวังกลับมา เหมือนที่กูแคร์มึง กูก็ไม่รู้ว่ากูจะแคร์ไปทำไมว่ะอิน” ฉันรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นๆสาดหน้าแรงๆ                      

    “....... มึงรู้ไหม ? ว่ากูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอก มันดูงี่เง่า มันดูเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว แต่มึงรู้อะไรไหม ? ถ้ามึงรักใครมากๆ มึงทนไม่ได้หรอก ที่ต้องเป็นเพื่อน ทั้งๆที่มึงอยากเป็นมากกว่านั้น” การพูดกับฉันโดยที่ไม่หันกลับมามองหน้าฉันเลย ฉันรู้สึกจุกไปทั้งตัวยังไงไม่รู้ มันเหมือนโดนตอกย้ำ ว่ายังไงเราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้

                    “กูขอโทษนะอิน ตอนนี้กูไม่พร้อมจะเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิมจริงๆ ... มึงเข้าใจกูนะ ?” การพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไป  ... กูขอโทษนะการ ...

     

     

                    “เรากลับกันได้ยังวะ ?” ฉันถามเพื่อนๆที่เริ่มเมาหนัก บางคนเริ่มเบลอ บางคนรั่วจนเหมือนคนบ้าไปเลย ... การกลับไปก่อนนานแล้ว ตั้งแต่ที่เรากอดกัน มันก็ขอตัวกลับไปเลย ... แจนที่อ้วกเป็นรอบที่สองเพิ่งเดินเซออกมาจากห้องน้ำ ฉันหันไปมองโสที่เหมือนจะกำลังได้ที่ ให้ตายสิ แบบนี้เอาเข้าหอไม่ได้แน่ ... ภาระกูสินะ !

                    ฉันเดินลากแขนโสออกมาจากร้านและกล่าวลาเพื่อนๆที่กำลังแยกย้ายกันกลับไป มีคนที่ไม่เมาอยู่ไม่กี่คนช่วยกันดูเพื่อนๆ ฉันเองก็ต้องมาปราบเด็กใหม่หัดดื่มอย่างโส ก็รู้ๆว่าตัวเองไม่ค่อยกินยังซัดไปซะหลายแก้ว โลกหมุนเลยไหมล่ะมึง! แต่เอาเถอะ ฉันก็ผิดที่พาเด็กใสซื่อมาเปิดโลกทัศน์ใหม่ ใสซื่อสุดๆ ... ฉันพยุงน้องขึ้นซ้อนมอไซ อย่างทุลักทุเล เด็กนี่แม่งก็สูงชิบ เกือบล้มคว่ำเพราะแบกเปรตที่ทรงตัวไม่ได้อย่างมันเดินลงบันได

                    “โส ... นั่งดีๆดิ เกาะดีๆด้วยเดี๋ยวตกรถนะมึง” ฉันกำชับในขณะที่จับมือมันมาให้เกาะเอวฉันไว้ มันพิงหัวบนไหล่ซ้ายของฉันโดยที่ปากบ่นๆไม่หยุดเพราะความเมา

                    “พี่อิน ... ผมรู้สึกเหมือนลอยได้เลยพี่ ... ผมจะไปดาวอังคาร วู้วว !!”  โสบ่นไปหัวเราะไป ดีที่มันไม่อ้วก

                    “เออๆ จะไปไหนก็เรื่องของมึง อย่าพากูไปด้วยก็พอ จับแน่นๆ จะพาขึ้นยาน” ฉันกำชับก่อนจะออกรถ โดยต้อง ขับให้ช้าลงอีกเพื่อจะไม่ให้ไอ้โย่งที่ซ้อนท้ายนี่ตก รู้สึกเหมือนโดนแกล้งที่ต้องติดทุกไฟแดง ให้ตายสิ มีแต่เรื่องดีๆ ชีวิตกู !

                    ฉันพยุงร่างเปรตๆของโสขึ้นมาบนห้องพักของฉัน วางมันลงบนเตียง ห่มผ้าให้อย่างดี เปิดแอร์ เปิดเพลงเบาๆ ก่อนจะไปอาบน้ำให้สติมั่นคง ... ฉันก็เมานิดๆแหละ กินไปไม่น้อยเหมือนกัน ฉันจับโทรศัพท์ขึ้นมาหลังจากอาบน้ำเสร็จเพื่อกดโทรหาไอ้เสือ

    “มีอะไรวะอิน ?” เสือตอบกลับมาทันทีที่รับสาย

    “กูกวนมึงป่าววะ ?” ฉันถามเพราะกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนที่ต้องลากคนเมากลับถึงสามคน

    “ก็ไม่นะ ... ถามแบบนี้จะคุยเรื่องไอ้การ ?” เสือถามเหมือนรู้ทัน ... ให้ตายสิ พ่องเป็นหมอดูเหรอสัด !

    “อืม ... วันนี้ก่อนมันกลับกูคุยกับมันนิดหน่อย แล้วกูก็...รู้สึกผิดมากๆเลยว่ะ” ฉันพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะคอมพ์

    “มึงแม่งคิดมาก ปล่อยๆบ้างเหอะ ไม่ได้ผิดที่มึงหรอก เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนว่ะ ยิ่งเกิดขึ้นกับพวกมึงที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปี มันยิ่งซับซ้อนไปใหญ่ แต่จะทำไงได้ รู้สึกผิดไป มึงก็ไปคบกับมันไม่ได้จริงไหม ? เรื่องแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้หรอก” เสือตอบกลับมายาวๆ ทำเอาฉันนิ่งไปเลย ... ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสือพูดถูก

    “กูรู้เสือ กูเข้าใจมันด้วย กูแค่รู้สึกแย่ที่กูรักมันไม่ได้ทั้งที่มันทำทุกอย่างเพื่อกู มึงก็เห็น กูแม่งเหี้ยว่ะ” ฉันระบายออกไป

    “เออๆ กูเข้าใจๆ แต่ทางที่ดีมันต้องใช้เวลาว่ะ ทำใจสบายๆนะ ดึกแล้วมึงนอนเหอะ พรุ่งนี้ก็หาไรทำ อยู่หอคนเฉยๆเดี๋ยวจะเน่าคาห้อง” เสือปลอบให้ฉันสบายใจ ก่อนจะจบบทสนทนาในคืนนี้ ... นอนเถอะ เหนื่อย ... ฉันเดินมาที่เตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆโสและหลับไป

     

     

    ฉันตื่นมาในตอนที่สายมากแล้ว วันนี้ขี้เกียจมากจริงๆ เลยเดินลงไปหาอะไรกินง่ายๆที่ร้านป้านวลตรงข้ามหอพัก และไม่ลืมที่จะซื้อโจ๊กไปฝากไอ้โย่งที่หลับยังกับซ้อมตายอยู่บนห้อง ... ถ้าแม่รู้ว่ามีผู้ชายมานอนห้องนี่โดนแน่เลย แต่เอาเถอะก็ฉันเป็นคนไม่ค่อยถือ แถมมีแต่เพื่อนผู้ชาย มันก็ต้องมีบ้างละ ที่จะมาค้างบ้านกันบ้าง  ฉันเดินกลับมาบนห้องพบว่าโสตื่นแล้วเหมือนจะเพิ่งล้างหน้ามา เพราะหน้ากับผมยังเปียกๆอยู่

    “อ้าว พี่อิน ผมนึกว่าพี่หายไปไหน” น้องทักในขณะที่ยกชายเสื้อมาเช็ดหน้า จนเห็นหน้าท้องแบนๆ มีแอบมีซิกแพกของมัน คือน้องลืมไปรึเปล่า ว่ากูเป็นผู้หญิง ?

    “เอานี่ โจ๊ก กูซื้อมาฝาก” ฉันยื่นถุงโจ๊กให้ โสยกมือไหว้ก่อนจะรับไป ทั้งที่เคยห้ามไม่ให้ไหว้มานับครั้งไม่ถ้วน ช่างมัน ขี้เกียจห้ามละ กูยอมแก่ก็ได้วะ  

    “งั้น เดี๋ยววันนี้ โสเก็บห้องให้นะพี่ ถือซะว่า เป็นการคืนเงินค่าโจ๊ก” โสพูดด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง ... รอยยิ้มแบบนี้ ทุกทีมันก็ดูไม่มีอะไร ... ทำไมฉันถึงชอบนักนะไอ้ยิ้มแบบนี้ ?

    ... กูแพ้รอยยิ้มแบบนี้ว่ะ หยุดยิ้มทีได้มั้ย ?? ...

     

     

     

    ช่วงกลางเทอมที่น่าตื่นเต้น ทำหนังเรื่องแรก / ปี 2555

                    “อิน กูว่าต้องไอ้โสน้องมึงแล้วล่ะ” เสือออกความเห็น แต่เหมือนจะสั่งกันมากกว่า

                    “มึงเอาจริงเหรอ ? แล้วกูต้องเป็นคนไปถามมันเนี่ยนะ ?” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แบบว่าถามกูสักคำไหม

                    “อ้าว อีห่า มึงกับน้องมึงก็สนิทกันจะตาย มึงก็ต้องเป็นคนถามดิวะ” อีแจนวีนเบาๆ

                    “... เออๆ ก็ได้ งั้นเตรียมถ่ายเลย เดี๋ยวกูบังคับมันมาเอง” ฉันรับปากกับเพื่อนทั้งกลุ่ม ไม่ใช่เพราะกลัวมันไม่เล่นหรอกนะ  

                    ... แค่ช่วงนี้ รู้สึกแปลกๆ  เหมือนไม่อยากเห็นหน้าน้องตัวเองยังไงไม่รู้  ...  

     

     

     

                    “เอาละนะ ทุกคนพร้อมใช่มั้ย” เสือถามความพร้อมก่อนการถ่ายทำฉากแรกของเรื่อง แล้วนึกไงก็ไม่รู้ ฉันถึงสั่งให้ถ่ายซีนยากๆก่อนเลย ... โสยอมมาเล่นคู่กับน้องบีม หลานรหัสเพื่อนต่างคณะของฉัน ส่วนโส ไม่ยากเลย แค่ฉันเอ่ยปากบอก น้องมันก็ว่าง่ายซะ

                    “พี่อินๆ” เหมือนรู้ตัวว่าโดนนินทาเลย อยู่ๆโสก็เรียกฉันพร้อมกับกวักมือ เอ่อ น้องคะ กูไม่ใช่หมา

                    “อะไรมึง ตื่นเต้นเหรอ ?” ฉันถามดังๆเพราะเรายืนห่างกันค่อนข้างมากอยู่ ทำเอาไอ้บิวหันมาค้อนด้วยสายตา

                    “เปล่าพี่ ผมไม่รู้ผมจะเล่นได้รึเปล่า พี่อินลองเล่นกับผมได้มั้ย ?” โส ชูกระดาษบทละคร ฉันเดินเข้าไปหาน้องและลากแขนมันออกมาหามุมที่ห่างจากความวุ่นวายมาช่วยมันท่องบท ฉันลากมันมานอกระเบียงห้องไอ้บิวที่เราใช้ถ่ายซีนนี้ ลมกำลังเย็น วิวในตอนสี่โมงเย็นนี่ก็ไม่เลว

                    “มาๆนั่งๆ บทยากไปเหรอ เมื่อวานก็ยังซ้อมกับน้องบีมได้เลย” ฉันนั่งลงที่เก้าอี้และเอาบทที่ว่ามาดู

                    “ก็เล่นได้นะพี่ พอกลับหอนอน ตื่นมาเหมือนมันไม่ค่อยมีฟีล” มันพูดไปเกาหัวไป ทำเอาผมยุ่งนิดๆ

                    “เอางี้ จำที่กูสอนได้ป่าว หลับตาลง เรียกสมาธิก่อน” ฉันจับไหล่น้องให้นั่งตรงๆ หลับตาทำสมาธิเผื่อจะช่วยได้  โสค่อยๆหลับตาลงตามที่ฉันบอก นั่งนิ่งๆสักพัก ... ฉันหยุดมองหน้าน้องไม่ได้เลย ฉันทำอะไรอยู่ ? โสค่อยๆยิ้มยิ้มทั้งที่หลับตาอยู่ เผยให้เห็นลักยิ้มทั้งสองข้างที่ฉันเห็นจนชินตา แต่ตอนนี้มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ปกติ มันเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย นอกจากภาพตรงหน้า ... โสลืมตาขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ฉันรีบตั้งสติไม่ให้น้องรู้ว่าจ้องมันอยู่

                    “โอเค พี่ ซ้อมเลย ผมพร้อมละ” โส พูดพร้อมกับคว่ำหน้ากระดาษลงบนโต๊ะ และเราก็ซ้อมบทด้วยกันในเวลาอันน้อยนิดก่อนถ่าย     

     

     

                    “เราไม่รู้จะพูดไง เป็นนาย นายจะทำไง ?”

                    “เราก็ไม่รู้ แค่คิดว่าถ้าเธอชอบเพื่อนเราจริงๆ ก็ลองคุยกับมันดู”

                    ห้องฉายหนังของคณะเงียบสนิท ทุกสายตากำลังจ้องมองจอภาพที่ฉายโปรเจคของกลุ่มเราอยู่ เสือนั่งหลับอยู่ข้างๆฉันเพราะเมื่อคืนตัดต่อช่วยกันจนไม่ได้นอน หนังสั้นแค่ครึ่งชั่วโมง แต่กินเวลาทำมาเดือนกว่า เพราะมีหลายซีนที่ต้องถ่ายใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ... ต่อไปกูจะไม่อยู่ฝ่ายตัดต่อละ กูจะเป็นนางเอก !

    ฉันเหลือบไปมองไอ้การที่อยู่นั่งดูอย่างเงียบๆ ฉันเดินผ่านที่นั่งมันรอบหนึ่งตอนไปฉี่ แต่ก็เหมือนเคย ไม่กล้าพูดด้วย แอร์เย็นๆทำให้ฉันเริ่มง่วง และไม่คิดจะตื่นเต้นกับหนังเลย เพราะนั่งดูมันซ้ำๆในช่วงการตัดต่อจนแทบจะบอกได้ว่าบทบรรทัดไหนอยู่ในนาทีที่เท่าไหร่

                    “แล้วนายคิดยังไงกับเพื่อนเราล่ะ ?”

    อยู่ๆฉันก็หันมาตั้งใจกับจอซะเฉยๆ พอถึงบทพูดนี้ของน้องบีม ... เป็นเพราะต่อจากนั้น

                    “กับแก้มเหรอ ? ก็เปล่านะ ... แต่กับเพื่อนแก้ม เราไม่แน่ใจ”

    กล้องถ่ายหน้าพระเอกของเราเต็มๆกับซีนบอกรักอ้อมๆพร้อมกับดูดบุหรี่ไปด้วย สายตาของโสที่มองผ่านกล้อง มันเหมือนมองมาที่ฉันโดยตรง ใบหน้าคมๆนั่น ถึงมันจะไม่ได้ยิ้ม โสในอีกมุมที่ไม่คิดว่าจะเล่นเป็นบุคคลที่ฉันสร้างขึ้นมาได้ดีขนาดนี้ และไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่ตัดต่อหนังเรื่องนี้ ฉันจะต้องดูซีนนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดในตอนที่คนอื่นเผลอ และทุกทีที่ดู ฉันมักจะหงุดหงิดในใจขึ้นมาซะเฉยๆ  ... ไม่ได้ไม่พอใจอะไรกับมัน รู้สึกดีด้วยซ้ำ ที่ซีนนี้มันดูดีเหลือเชื่อ ... แค่โมโหตัวเอง ที่เอาแต่ดูมันซ้ำๆ

     

     

     

     

                    “มึงเป็นอะไรของมึงวะอิน ? ช่วงนี้มึงดูเงียบๆนะ” เสือพูดเมื่อเดินถือถุงข้าวกล่องเข้ามาในห้องพักของฉัน ฉันไม่ค่อยใส่ใจคำถามนัก ทั้งทีได้ยินเต็มสองรูหู เลยเก๊กทำท่าคุ้ยถุงผ้าหาดีวีดีที่เพิ่งซื้อมา

                    “สาด กูถามได้ยินป่าววะ” เสือเอาช้อนเคาะหัวฉันเบาๆ แต่ก็เจ็บเอาการ

                    “โอ๊ย เคาะหาโคตรหม่ามี๊มึงเหรอ เจ็บนะไอ้แมวเหมียว” ฉันลูบหัวป้อยๆพร้อมกับด่ามันไป

                    “ก็กูถามไม่ได้ยิน มันต้องโดน ตอบกูมานะ อีสุภาพสตรีผู้ไม่มีความเป็นแม่ศรีเรือน” ดูมันๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนรักนะ กูจะจับมึงโยนลงระเบียงซะ

                    “ด่ากูงี้ ไม่ด่าแม่กูเลยล่ะ” ฉันหยิบดีวีดีหนังออกมาเตรียมฉาย ไอ้เสือแกะข้าวกล่องใส่จานมาเรียบร้อยเดินมานั่งที่พื้นข้างๆฉันหน้าจอทีวี ก่อนจะยื่นจานข้าวให้ ฉันยื่นมือจะรับจาน แต่ไอ้เสือก็ชักมือกลับไป

                    “ไม่ตอบ ไม่ให้แดก” มันมองหน้าฉันแบบเอาจริงเอาจัง

                    “ห่าเอ๊ย เรื่องมาก กูไม่ได้เป็นไร ... กูแค่รู้สึกไม่ปกติ” ฉันพูดออกไปจนได้ ก็นี่เพื่อน ปิดมันไม่ได้หรอก

                    “ยังไงวะ ? เมนไม่มา ? หรือ นมใหญ่ขึ้น อยากตัดทิ้ง ?” เสือถามกลับมากวนตีนๆ เพราะฉันทำหน้าเครียดๆ ทำเอาหุบยิ้มไม่อยู่

                    “พ่องดิ ป่าว ... กูรู้สึกผิดว่ะเสือ” ฉันหุบยิ้มลง พอจะเปิดใจจริงๆ

                    “เรื่องอะไรวะ มึงทำอะไร” เสือวางจานข้าวลง ดูมันตั้งใจจะฟังมาก

                    “... มึงว่ากูเหี้ยป่าววะ ? คนที่รักกู กูดันไม่รัก ... กูดันไปรู้สึกดีกับคนอื่น” ฉันพูดความในใจออกมา แต่ดูเหมือนเสือยังไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่

                    “เดี๋ยวนะๆ ถ้าคนที่รักมึงคือ ไอ้เชี่ยการ ... แล้วคนที่มึงรู้สึกดีนี่คงไม่ใช่...ไอ้โส นะ ?” เอาแล้วไง เสือกเดาถูกอีก ทำไมรู้สึกอยากฆ่าตัวตายจังวะ ที่มีเพื่อนฉลาดแบบนี้

                    “ไอ้ห่า มึงรู้ได้ไงวะ ” ฉันโล่งใจยังไงไม่รู้ แค่ได้บอกออกไป ไอ้เสือหัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้า ฉันหยิบข้าวจานขึ้นมาแก้เขิน

                    “ทำไมกูจะไม่รู้วะ กูใครอีอิน กูใคร กูจ้าวป่า” มันลุกขึ้นมาจากการเกลือกกลิ้งกับพื้นเหมือนหมาโดนน้ำร้อน

                    “ตอนแรกกูก็ไม่แน่ใจนะ แต่เห็นมึงมองมันไม่เหมือนมองผู้ชายคนอื่น มึงดูฝืนๆตัวเองให้ปกติเวลาอยู่กับมัน ถึงคนอื่นจะดูไม่ออก แต่กูบอกเลย มึงชอบน้องมึงชัวร์” เสือตักข้าวเข้าปากทันทีที่พูดจบ ทำเอาฉันกลืนข้าวไม่ลงเลยทีเดียว ตกลงว่า ... ฉันชอบโสจริงๆเหรอ ? 

     

     

     

    ใกล้ปีใหม่  ปีสุดท้ายในรั้วมอ / 2556

                    “ปีใหม่นี้เราไปไหนดีวะ” เสือถามขณะที่นอนตักฉันเพราะเริ่มเมา อากาศหนาวมาก เลยนึกบ้าๆ มานั่งกินเบียร์กันบนดาดฟ้าบนบ้านตึกของแจน เพื่อนๆบางส่วนกลับไปแล้ว ที่นั่งๆกันอยู่ เหลือแค่ห้าหกคน แจนลงไปนอนเพราะทนหนาวไม่ได้ ฉันยกขวดสุดท้าย จนหมด ส่วนน้องๆ ... ไอ้เอ็มเมาแล้วกำลังรำ บางคนนั่งล้อมวงกันดีดกีต้าร์แหกปาก ส่วนไอ้โส ... เมาแล้วนอนบ่นๆอะไรคนเดียวเหมือนเดิม

                    “ไม่รู้ว่ะ แล้วตามึงดิ” ฉันแหงนหน้ามองดูดาวนึกด่าตัวเองว่าไม่น่าหันไปมองไอ้โสเลย เป็นห่วงมันยังไงไม่รู้

                    “กูรู้กูจะถามมึงไม่มั้ยเนี่ย โด่ว” เสือยันตัวลุกขึ้น

                    “กูไปดูแจนก่อนนะ ไม่รู้มันนอนยัง” เสือเดินจากไป แต่ก็หันกลับมาแซว

                    “ไม่ดูน้องมึงหน่อยเหรอวะ เดี๋ยวไข้แดกขึ้นมาทำไง” ฉันโยนกระป๋องเบียร์  ข้างตัวไล่ มันเลยหัวเราะเดินไป  เอาตรงๆคือไม่กล้า แต่มันควรลงไปนอน เพราะมันเป็นหวัดอยู่แล้ว ฉันส่ายหัวกับความคิดบ้าๆ แต่สุดท้ายก็ลุกไปพยุงตัวมันลงจากชั้นดาดฟ้า เกือบพามันตกบันไดหลายขั้น และบ้านอีแจนที่เป็นตึกนี่บันไดชันโคตรๆ ไอ้เปรตนี่ก็บ่นตลอดทางลงมา ฉันพามันลงมาถึงห้องนั่งเล่นชั้นสอง  ค่อยวางมันลงโซฟายาว เอาผ้าห่มให้ โสบ่นไปหัวเราะไป ... ไอ้เด็กนี่มันหายนะชัดๆ หายนะสำหรับฉัน  มันกอดเอวฉันตลอดทาง และตอนนี้มันยังจับมือฉันมาแนบแก้มอีก เอาเข้าไป ให้กูตายตรงนี้เลยมั้ย ?

                    “พี่อิน พี่รู้มั้ย พี่แม่งโคตรดีอ่ะ ผมอยากเป็นน้องพี่ตลอดเลย ผมพูดจริงนะพี่” โสพูดและหัวเราะออกมาเหมือนจะอารมณ์ดีมาก ... ฉันควรจะดีใจใช่มั้ย ? ที่น้องมันรักและเทิดทูนขนาดนี้ ... นึกแล้วอยากขำตัวเอง เหมือนที่ไอ้การพูดเป๊ะ

    ... ถ้ามึงรักใครมากๆ มึงทนไม่ได้หรอก ที่ต้องเป็นเพื่อน ทั้งๆที่มึงอยากเป็นมากกว่านั้น...

     

     

     

    คืนสุดท้ายในมอ น้องๆเลี้ยงเหล้ารุ่นพี่ / 2557

                    ทุกคนกำลังสนุกกัน บางคนเดินไปเต้นหน้าเวทีแล้ว วันนี้ทั้งบรรดาน้องรหัส หลานรหัส มารวมตัวกันเพื่อพวกเรา นึกแล้วมันก็ใจหาย นี่จะจบแล้วเหรอ ? เร็วไปป่าววะ ? ยังอยากทำอะไรหลายๆอย่างอยู่เลย ฉันขยับตัวเปลี่ยนท่ายืนพิงผนัง รู้สึกแปลกๆ เพราะนอกจุกชุดนักศึกษา ฉันแทบไม่ใส่กระโปรง ฉันใช้เวลานานกว่าจะเลือกชุดได้ แจนแทบจะตบฉันที่ลองชุดไหนๆก็ไม่เอา ก็ชุดพวกนั้นมันดูสวยไป สุดท้ายเลยสวมกระโปรงยาวๆพริ้วๆลายแนวโบฮีเมียนสีน้ำตาล กับเสื้อยีนส์ปักหมุดดูร๊อคๆ พับแขนขึ้น ตัดกับผมสีส้มแสบสันของฉันที่ทำมาได้เกือบเดือน และแน่นอนว่าไม่ใส่ส้นสูงเหตุผลคือ ใส่เดินไม่ได้ เลยใส่คอนเวิร์สเก่าๆคู่เดิม

                    “คิดอะไรอยู่อ่ะพี่อิน” โสเดินถือแก้วเหล้ามาหาฉันที่ยืนพิงผนังยิ้มอยู่คนเดียว

                    “ป่าว แค่ใจหายนิดหน่อย” ฉันยกแก้วขึ้นชนกับน้องก่อนจะยกขึ้นซด

                    “วันนี้พี่น่ารักเนอะ ปกติพี่ไม่ใส่กระโปรงเลย” ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มมองดูชุดตัวเอง ใช่ เลือกตั้งนาน ชุดกระโปรงที่มัน ... ไม่สวยเกินไป เดี๋ยวไม่เข้ากับหน้า

                    “ก็มึงอุตส่าห์นัดมาว่าจะใส่เสื้อที่กูให้เป็นของขวัญวันรับน้องมางาน กูต้องหาชุดที่คู่กับน้องดิวะ” ฉันตอบเหมือนธรรมดา แต่เอาจริงๆ ดีใจมาก ที่น้องมันเห็นความสำคัญขนาดนี้ โสสวมเสื้อมัดย้อมสีฟ้าอ่อนที่ฉันให้ตั้งแต่มันเข้าปีหนึ่ง สวมสูทน้ำตาลทับ กับกางเกงยีนส์สีเข้มมีรอยขาดตรงเข่า ดูเท่ไปอีกแบบ ... น้องชายฉันโตเป็นหนุ่มขึ้นมาจากเด็กซื่อๆจากต่างจังหวัด ให้ตายสิ มึงดูดีเกินไปละ  ฉันเหลือบไปมองเสือกับแจนที่จับมือกันโยดไปตามจังหวะเพลงมันส์ๆที่หน้าเวที

                    “ถ้าจบไป ใครจะพาผมไปเที่ยว ไปทำนู่นทำนี่ล่ะเนี่ย ?” อยู่ๆ โสก็พูดขึ้นมา

                    “เบอร์กูมี ไอ้นี่ ทำเหมือนจะไม่ติดต่อกันยังงั้นเหละ” ฉันพูดขำๆ กับความคิดมัน

                    “ทำยังกะพี่อินจะว่างงั้นแหละ ผมรู้นะ ว่าพี่อินจะไปทำงานเมืองนอก พี่เสือบอกผมแล้ว”

                    “... เออน่า ไม่ได้ไปเร็วขนาดนั้น ยังอยู่ไทยอีกนาน” ฉันอึ้งนิดหน่อยที่น้องรู้แล้ว แต่ก็ดึงอารมณ์ให้ปกติ

                    “จริงนะพี่ ... เกือบงอนละนะฮ่าๆๆ” โสพูดขำๆก่อนจะละสายตาจากฉันมองไปทางเวที

    “พี่อิน พี่เคยตกหลุมรัก ใครสักคนป่าว ?” ... มึงว่าไงนะ      

    ...เคยดิ อายุขนาดนี้แล้ว ไม่มีสักครั้งก็บ้า”

    “แล้วมันจะเป็นยังไงวะพี่ เหมือนในหนังป่าว?  ... ถามแบบนี้ มึงรักใครอยู่เหรอ ?

    “ไม่รู้สิ ...” แต่ที่แน่ๆ กูเป็นอยู่ตอนนี้   

    ... ใช่ กูเป็นอยู่ กูตกหลุมรักมึงอยู่ ไอ้เชี่ยโส ...  

                    “แล้วแต่คนมั้ง แอบชอบใครเหรอมึงง่ะ” ฉันแหย่ๆน้องเล่น

                    “ป่าวพี่ ถามไปงั้นแหละ ผมไม่เคยมีแฟน” โสตอบกลับมา และฉันรู้ว่านั่นไม่ได้โกหก  แววตาเป็นมิตรที่ว่างเปล่า ไม่แปลกหรอกนะ ถ้ามึงจะไม่รู้สึกอะไรกับใคร ... มึงยังซื่อเกินไป และนั่นเป็นข้อดี

                    “ไก่อ่อนเอ๊ย ถ้ามีต้องบอกกูคนแรกนะ” ฉันตบไหล่น้องเบาๆก่อนจะกอดคอฟังเพลงกับมัน

     เวลาผ่านไปนานจนงานเลี้ยงที่ไม่อยากให้เลิก กำลังจะสิ้นสุด ฉันไม่อยากให้มันผ่านเวลานี้ไปเลย หลังจากวันนี้ไม่รู้จะว่างมาเจอเพื่อนเมื่อไหร่ ... ไม่รู้จะได้เจอโสตอนไหน กังวลไปหมด  ฉันกอดลาเพื่อนๆ กอดคอกันร้องเพลงสุดท้ายหน้าเวที และเมื่อแยกกันไป ฉันก็ต้องไปส่งน้องตามเดิม จริงๆโสมีรถตั้งแต่ขึ้นปีสอง แต่เวลาไปกินเหล้าฉันต้องไปรับไปส่งเพราะกลัวมันเกิดอุบัติเหตุ  แต่โสอาสาขับให้ฉันซ้อน ... ตลอดทางที่ขับรถมา ฉันเงียบไปนิดหน่อย เพราะอารมณ์ซึ้งจากงานยังค้างอยู่  โสพยายามชวนคุยบ้าง จนมาถึงหอ ฉันลงจากรถเพราะต้องเปลี่ยนไปเป็นคนขับ แต่ทันทีที่ก้าวลงมา       โสก็เข้ามากอดฉันแน่น และไม่มีคำพูดใดๆตลอดเวลานาทีกว่าๆนั้น ตัวผอมแบบนี้ แต่กอดอุ่นโคตร

    “ผมคิดถึงพี่แย่เลย ห้ามหนีไปนอกก่อนนะพี่ มาเยี่ยมกันก่อนนะ” โสค่อยๆปล่อยฉันก่อนจะยิ้มกว้างเหมือนเคย ยิ้มที่ฉันชอบ ใบหน้าที่ฉันชอบมอง แววตาที่ฉันเผลอมอง และร่างสูงๆที่ฉันคุ้ยเคย ...

    “... อื้อ กูสัญญาเว้ย” ฉันพูดพร้อมกับตบไหล่น้องเป็นเชิงปลอบใจ

    “ถ้ามีอะไรที่ผมทำให้ได้ บอกนะพี่ รู้สึกหลายปีมานี้ พี่ดูแลผมมาตลอดเลย พี่เหมือนพี่สาวผมแท้ๆเลยนะพี่” โสยิ้มไปพูดไป แววตาดูเศร้านิดๆ เหมือนไม่อยากให้ฉันไป ฉันมองดูใบหน้านั้นนานจนรู้สึกว่า ฉันควรไปได้แล้ว มันไม่ใช่ที่ ที่ฉันควรอยู่ ฉันกำลังทำร้ายตัวเอง ...

    อยู่ๆสมองมันก็คิดอะไรบ้าๆ แต่ ในตอนนี้ ฉันห้ามตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ... ฉันยืดขายันตัวขึ้นสูง ก่อนจะเอียงหน้าไปหอมแก้มไอ้เด็กเปรตที่ฉันผูกพันมาด้วยตลอดสามปีเบาๆ เหมือนโสจะนิ่งไปเลยเพราะตกใจ แต่ฉันไม่สนอะไรแล้ว ไม่กี่วินาทีนั้น ฉันปล่อยเองลงมายืนด้วยความสูงปกติ มองหน้าของโสอีกครั้ง

    “แค่นี้แหละ กูก็พอใจแล้ว” ฉันหันกลังกลับไป ปล่อยน้ำตาให้ซึมเบาๆก่อนจะก้าวขึ้นมอไซโดยไม่หันไปมองหน้าโสอีก ฉันยิ้มให้ความกล้าของตัวเอง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลตลอดทางที่ขับรถกลับหอ ...                                                       
      ... ลาก่อน ความรัก ที่จบโดยไม่ได้เริ่มอะไรเลย จบโดยที่ไม่มีคำบอกรัก ไม่มีคำบอกลา ไม่มีสมหวัง ไม่มีอกหัก ...






    -- ติชมกันด้วยนะ เรายังเรียบเรียงอะไรไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แฮ่ๆ จะพัฒนาตัวเองคร้าบบ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×