ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : มาตรา112กับความจำเป็นในสังคมไทย
“ถ้า หาก ม.112 ถูกยกเลิกจริง ถ้าหากบุคคลในสถาบันฯถูก ดูหมิ่น หมิ่นประมาท จะทำยังไงครับ ก็เท่ากับว่าสถาบันฯต้องถูกละเมิดสิทธิ์อย่างงั้น ใช่มั้ยครับ รัฐธรรมนูญไทยมีสาระสำคัญไว้ว่าบุคคลทุกคนในราชอาณาจักรไทย ไม่ว่าจะรวย จน สูงศักดิ์ หรือต่ำศักดิ์ ก็มีสิทธิ เสรีภาพเท่าเทียมกัน โดยที่ไม่ขัดต่อกฎหมายนี่ครับ
ดังนั้นการยกเลิก ม.112 ก็คือการริดลอนสิทธิของสถาบันฯในป. อาญา เรื่อง ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายสิครับ”
คุณอ้าง หลักการ“เรื่องความเท่าเทียมกัน” มาใช้สร้างความไม่เท่าเทียม ได้ยังไงครับ! มันขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว
ผม และสมาชิกฟ้าเดียวกันบางท่าน ได้เสนอไว้ว่า : มาตรา 112 สมควรถูกยกเลิก โดยที่ การหมิ่นประมาท ดูหมิ่นกษัตริย์ นั้น พระมหากษัตริย์สมควรได้รับการคุ้มครองในฐานะมนุษย์(ไม่ใช่เทวดา)ตามสิทธิทาง กฎหมายขอ
งสาธุชนทั่วไป
ส่วนการอาฆาตมาดร้ายนั้น ย่อมเป็นหน้าที่ในการป้องปรามของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอยู่แล้วในการไม่ให้ เกิดเหตุ และด้วยเป็นเรื่องที่ "ยังไม่แสดงกิริยาลงมือกระทำ" ดังนั้น การพูดเฉย ๆ ลอย ๆ กฎหมายทั่วไปไม่เอาความผิดครับ สำหรับกษัตริย์ก็สมควรมีมาตรฐานดุจเดียวกัน แต่หากเป็นการ "ขู่ว่าจะฆ่า" อันนี้ว่าตามโทษอาญาทั่วไปครับสำหรับผู้กระทำผิด
ปัจจุบัน กฎหมายมาตรา 112 เขียนกว้างจนขนาดพูดถึงในแง่ลบไม่ได้เลย(ถ้าคุณอยากทราบรายละเอียด โปรดดูกระทู้ : บทสังเคราะห์ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 112 แห่ง ป.อาญา(Lese majeste) จากตำราคำอธิบายของนักกฎหมายไทย )
ผมจึงตั้งคำถามว่า ในเมื่อเทวสิทธิ์แห่งกษัตริย์ทรงหมดสิ้นลงแล้วภายหลังการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง แต่ทำไม กฎหมายจึงให้อำนาจพิเศษนี้อยู่ (มันเพราะ กระแสความเป็น "เทวะ"ที่ตกค้าง นั้นเอง)
ขณะที่ประเทศเสรีประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ฯลฯ ให้เสรีในการวิจารณ์ เพราะเขาถือว่า แม้นพระองค์ทรงพระคุณอันประเสริฐโดยแท้แล้ว ถ้อยคำของผู้กล่าววิจารณ์พระองค์ก็จะไม่มีใครสนใจฟังไปเอง" นี่เป็นหลักคิดของนักกฎหมายอังกฤษ ซึ่งประเทศไทยยังเห็นประมุขแห่งรัฐเป็นของ "สำหรับเซ่นไหว้"กันอยู่ ในขณะที่สากลมองว่า "กษัตริย์ก็คือมนุษย์ ทรงกระทำผิดพลาดได้" และเมื่อผิด ก็ต้องมีหน้าที่ในการถูกตรวจสอบหรือวิจารณ์นั่นเองครับ
“คำว่า"อาฆาตมาดร้าย"ก็ตรงตามความหมายอยู่แล้วหมายถึง ขู่จะทำร้าย หรือขู่จะฆ่า ต่อให้พูดเฉยๆนั้นแหละครับถือว่ามีความผิดแล้ว คิดดูถ้าอาวุธอยู่ในมือของคนที่อาฆาตมาดร้ายจะเกิดอะไรขึ้น พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐนะครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นประมุขของรัฐก็ย่อมได้รับการคุ้มครองป้องกันอย่างเต็มที่ มากกว่าสามัญชนทั่วไปอยู่แล้ว นี้พูดกันตามมาตรฐานทั่วโลกนะครับ”
คุณ ต้องเข้าใจว่า ถ้อยคำนี้ เป็นภาษากฎหมายครับ ซึ่งต้องอ้างอิงหลักความคิดที่ถ่ายทอดของนักกฎหมายเป็นทอดมา ซึ่งผมได้เขียนเป็นบทความอธิบายไว้ว่า :
QUOTE(phuttipong @ Jan 27 2009, 01:11 PM) *
(3) แสดงความอาฆาตมาดร้าย (threaten) ได้แก่ การแสดงออกด้วยกิริยาหรือวาจา หรือโดยวิธีการใด ๆ ด้วยความพยาบาทมาดร้ายว่า จะทำให้เสียหายในทางใด ๆ อันมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม(หรือสิทธิตามกฎหมาย) ถือว่าเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายได้ทั้งสิ้น[11] โดยต้องเป็นการแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในอนาคต และไม่จำเป็นต้องได้โกรธแค้นเคืองกันมาก่อน เช่น ขู่ว่าจะปลงพระชนม์ จะทำร้าย หรือจะกระทำให้เกิดภยันตรายต่อสิทธิ เสรีภาพ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณก็ตามอันไม่ใช่การใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่หรือไม่ โดยขู่หรือแสดงออก มุ่งต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ [12]
เชิงอรรถ :
[11] ศาสตราจารย์ ประภาศน์ อวยชัย , หน้า112.
[12] ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย , เพิ่งอ้าง ; ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ , อ้างแล้ว.
คุณอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ มาตรา 112 ได้ที่ : บทสังเคราะห์ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 112 แห่ง ป.อาญา(Lese majeste) จากตำราคำอธิบายของนักกฎหมายไทย
“คุณไปดูได้เลยว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯได้รับการปกป้องมากขนาดไหน ถ้าคุณลองไปขู่อาฆาตมาดร้ายต่อ ปธน.ก็ถูกจับแล้วถ้าคุณแฮกข้อมูลของ ปธน. รับรองจะมี FBI มาถึงบ้านโดยทันที”
การ คุ้มครองประมุขแห่งรัฐของรัฐอื่น กว้างขวางต่ำกว่าเรามาก เช่น กรณีบุชโดนขว้างรองเท้า จากข่าว บุชถูกนักข่าวผู้นั้นด่าว่า ไอ้สุนัข ด้วย(ด่าประมาณนี้) ซึ่งแรงมากสำหรับฝรั่ง แต่เขาไม่มีกม.ห้ามหมิ่นประมุขแห่งรัฐเหมือนไทย ซึ่งอังกฤษก็ถือมาตรฐานเช่นเดียวแบบนั้น
ผมตั้งข้อสังเกตว่า การที่นักข่าวผู้นั้นถูกจับขังคุก เพราะ ข้อหาทำร้ายร่างกาย เท่านั้น (พอดีผมไม่มีตำรากฎหมายของมลรัฐ หรือ รัฐที่เกิดเหตุอยู่ในมือ จึงตอบคุณไม่ได้) แต่ตามหลักคิดของนักกฎหมายรธน.อเมริกัน หรืออังกฤษ ชัดเจนมากสำหรับประเด็นนี้
ส่วนการกระทำเกี่ยวกับข้อมูลเช่น hack คุณต้องเข้าใจว่า อเมริกานั้น ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขแห่งรัฐ และควบเป็นฝ่ายบริหาร แต่ของไทยไม่ใช่ ไทยจึงไม่ต้อง ปกป้องกันขนาดนั้น เพราะความมั่นคงของสถานะกษัตริย์ ไม่ได้กระทบกระเทือนความมั่นคงของรัฐเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้น ป่านนี้ประเทศที่เป็น constitutional monarchy(อย่างอังกฤษ) คงมีแต่ปัญหา "กลุ่มแบ่งแยกดินแดน" จนไม่ทำอย่างอื่นกันแล้ว
“เขียน ในแง่ลบไม่ได้เลย ผมว่าอันนี้ก็ไม่จริงอีก สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ไม่เคยเขียนบทความที่เป็นการสรรเสริญสถาบันฯเลยซักครั้ง แกก็ยังอยู่ดี เราต้องแยกประเด็นก่อนว่าเราจะเขียนวิพากษ์อย่างไร โดยที่ไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และอาฆาตมาดร้ายหลายคนก็สามารถเขียนถึงได้โดยไม่เข้าข่าย ม.112 เลยซักนิด
คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ป.อาญา นั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง สำคัญอย่างหนึ่งศาลจะดูจาก"เจตนา"ครับ ถ้าเจตนาหมิ่นยังไงก็คือหมิ่น นี้คือคำพูดของ คุณพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ครับ”
โธ่ เอ๊ยคุณ! เรื่องราวมันมีมากกว่าที่คุณเข้าใจเยอะสำหรับมาตรา 112 คุณอาศัยแค่ฟังแล้วมาคุยต่ออีกทีนึง...คุณคิดว่าสิ่งที่คุณเข้าใจนี้ มันเพียงพอแล้วหรือ ผมถามคุณจริง ๆ เถอะครับ! คุณไปอ่านบทสังเคราะห์ของผมดีกว่าถ้าคุณใส่ใจจริงจัง : บทสังเคราะห์ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 112 แห่ง ป.อาญา(Lese majeste) จากตำราคำอธิบายของนักกฎหมายไทย
ผมอธิบายอีกไม่ไหว เพราะสาระที่ต้องทำความเข้าใจมันเยอะ และต้องอ้างอิงตำราเยอะมาก
ขอทิ้งเรื่องนี้ไว้สั้น ๆ ว่า เหตุที่ อ.สมศักดิ์ หรือผม หรือ สมาชิกท่านอื่น ๆ ไม่โดนเล่นงาน เป็นเพราะ พวกผมยังไม่ไป "สะกิด" ให้สะดุ้งเข้าจัง ๆ น่ะครับ ถามว่า ผิดรึยัง? ผิดแล้ว แต่เพียงไม่ได้ทำตัวโดดเด่นเช่น ไปไฮค์ปาร์คแบบ ดาตอปิโด อย่างนั้น การดำเนินคดีจึงไม่กระทำ เพราะถ้ากระทำ ก็เป็นผลให้ความชอบธรรมของมาตรานี้ลดน้อยลง (คนจับ เขาไม่อยากจับพร่ำเพรื่อ แม้จะผิดก็ตาม) เพราะ ต้องจับกันบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ หน
เรื่องนี้ โดยกฎหมายมันผิดระเบียบสิทธิมนุษยชนอยู่แล้วครับ การบังคับใช้มันต้อง "กระดากใจ"กันบ้าง เพราะองค์กรสิทธิระหว่างประเทศคงไม่นิ่งดูดาย หากมีการยกเข่งกันจริง ๆ!
“คุณอย่าลืมว่าระบบความคิดวิเคราะห์ การศึกษาของคนไทยยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นและอังกฤษได้เลย 2 ประเทศนี้มีระบบการศึกษา ติด top 10 ของโลกนะครับ ประชาชนของเขามีการศึกษาสูง ได้รับข่าวสารที่เที่ยงตรงรอบด้านเขาจึงสามารถแยกแยะและวิเคราะห์เหตุการณ์ ต่างๆได้
แล้วกลับ กันมาดูเมืองไทย ผมสมมติเหตุการณ์นะครับ ถ้าหากมีคนคิดร้ายจะทำลายสถาบันก็แจกใบปลิว ปล่อยข่าวเท็จ ใส่ร้าย แล้วก็มีคนหลงเชื่อด้วยความที่เป็นคนด้อยการศึกษา เจอข่าวเท็จ ข้อมูลเท็จแค่นิดเดียวก็เชื่อแล้ว พาลเกลียดสถาบันจะทำยังไงครับ”
ใน ย่อหน้าแรก คุณเอาอะไรมาอ้างอิงครับ และแม้จะจริง ถ้ากษัตริย์(ถ้าทรงดีจริง) ทนต่อการวิจารณ์ หรือโจมตีไม่ได้แล้ว ก็ไม่ต้องมีครับ ทุกวันนี้เราโอ๋เจ้ามากเกินไปครับ
“ทำมากๆเข้านานๆเข้า ก็จะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ นี้มันไม่ใช่แค่หมิ่นประมาทธรรมดา แต่เป็น เรื่องของความมั่นคงของชาติเลยนะครับ”
อันนี้ผมตอบไปตอนต้นแล้วว่า "ความมั่นคงของชาติ" กับ "ความมั่นคงของสถาบัน" มันคือคนละเรื่อง!
แต่ ที่คนไทยโดยมากเข้าใจแบบนั้น เพราะมันเกิดจากวาทกรรมที่บิดเบือนสุดฤทธิ์ตามโฆษณาการ เพราะกษัตริย์ เป็นองค์กรหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ (รธน.บอกให้มี) ส่วน "ความมั่นคงของชาติ"(ในระบอบปชต.) อยู่ที่ "อำนาจอธิปไตย" ครับ คุณอย่าสับสนระหว่าง "ประมุขแห่งรัฐ" กับ "ตัวระบอบการปกครองรัฐ"
“ปฏิเสธ ไม่ได้เลยว่าคนไทยยังด้อยการศึกษาโดยเฉพาะแถบต่างจังหวัด ยังไหว้ต้นไม้ ไหว้สัตว์พิการอยู่เลย รอให้ระบบการศึกษาและคนไทยมีการศึกษาเท่ากับประเทศพัฒนาแล้วดีกว่ามั้ยครับ แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกที”
การที่ประชาชนไม่พัฒนาความคิด ก็เพราะ ประชาชนยัง "ไม่กล้า"ที่จะคิด ไม่กล้าที่จะมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของวิเศษวิโส ที่แท้ก็ก้อนกรวด หรือสัตว์ตัวนึง หรือเป็นมนุษย์ที่มากด้วยกิเลสเหมือนเรา ๆ ทั้งนั้น คือ เรามองว่า กษัตริย์เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม กษัตริย์ทรงผลิตแต่ของดี ๆ มาให้พสกนิกร ผมถามว่า “ที่กฎหมายห้ามวิจารณ์น่ะ” มันทำให้เรารู้ได้มั้ยว่า “อะไรดีหรือไม่ดีจริง ๆ” กล่าวคือ นำเสนอข่าวด้านเดียว ตลอด24ชั่วโมงว่า พระองค์ "ทำดี" พูดง่าย ๆ ว่า ทุกวันนี้ คนไทยถูกผูกขาดความจริงด้านเดียวตลอด 24 ชั่วโมง แล้วคุณจะคิดอย่างอื่นไปได้ยังไง !
“ความคิดของคุณ phuttipong ไม่ผิดหรอกครับ เรื่องที่ว่าจะให้กษัตริย์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถ้าดีจริงจะอยู่นิ่งเฉย แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงตามสังคมไทยขณะนี้ยังไม่เหมาะที่เปิดเสรีถึงขนาด นั้น เราต้องมองดูการศึกษาของคนไทยด้วย”
คุณพยายามป้ายคนไทยว่า "โง่" "ไม่มีสติปัญญา" "คิดเองไม่ได้" คำพูดของคุณมันจริงสำหรับ "คนที่ไม่ยอมคิด ไม่กล้าที่จะคิด และต้องเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นคิดโดยไม่ต้องตรวจสอบ"
คุณกำลังสร้าง เงื่อนไขต่อประชาธิปไตย ให้การเมืองกลับคืนไปสู่ "อภิชนาธิปไตย" ใช่หรือไม่? (คุณตอบตัวเอง) บทสุดท้าย "ประชาชนคือ ควาย" ส่วน "พวกเจ้านาย คือ คน"
แม้กระทั่งเสรีภาพ คุณยังไม่ยอมรับเลย(ให้เป็นแบบสากล)ซึ่งคำนึงถึง "ความเป็นมนุษย์"เป็นเกณฑ์มาตรฐานแห่งความเท่าเทียม
“แต่ในความเป็นจริง คนไทยยังยากจนและด้อยการศึกษาอยู่มาก อย่างที่ผมบอกถ้าหากมีใครอยากล้มล้าง ก็แค่ปล่อยข่าวเท็จ ข่าวลวงชาวบ้านก็หลงเชื่อแล้วครับ ในสงครามจิตวิทยามีส่วนสำคัญมากถ้าใครควบคุมการข่าว คนนั้นได้ชัยชนะไปกว่าครึ่งแล้ว”
ทุกวันนี้ "ใครคุมข่าวได้ล่ะครับ" คุณตอบตัวเองเถอะ!
“คุณ รู้มั้ย 3 จังหวัดใต้ที่ลุกเป็นไฟ เพราะส่วนหนึ่งเยาวชนถูกปลุกปั่นล้างสมองครับ ชาวบ้านตามต่างจังหวัดน่ะ แค่ใช้งิน 200 500 ก็สามารถซื้อกันได้แล้ว”
ถ้าคุณคิดได้เผิน ๆ แค่นั้นก็เลิกคิดครับ คือ คุณคิดว่า "เรื่องเท่านั้นเหรอ" ที่จุดประกายปัญหาขึ้นมาได้ใหญ่โตและบานปลาย!
คุณ อย่ามองชาวบ้านเป็นเดรัจฉาน ซื้อขายได้เป็นวัวเป็นควายสิครับ ชาวบ้านมีชีวิตจิตใจ คนที่เขาประสบปัญหาในภาคใต้ "มันมีปมฝังใจ" คุณอย่าเอาความคิดตื้น ๆ แบบนี้มาสร้างน้ำหนักให้ "กษัตริย์"เลยครับ มันฟังไม่ขึ้นจริงๆ !
“วัฒนธรรม ของคนไทยคือการเทิดทูนเคารพสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นเป็นสิ่งที่สังคมยังรับไม่ได้ถ้าหากสิ่งที่เขาบูชาเคารพนับถือถูกย่ำ ยี่ คุณจะเสนอแนวคิดอะไร ต้องมองสภาพสังคมด้วย วัฒนธรรมมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาสั่งสมมานาน คุณไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็นเวลาแค่ชั่วข้ามคืนหรอกครับ”
ขอพูดถึงส่วนนี้สั้น ๆ จริง ๆ ล่ะครับ เพราะผมได้พูดไปบ้างแล้ว(ทั้งการเขียนที่ส่งไปถึงคุณคราวก่อน และกล่าวในข้อเขียนส่วนนี้บ้างแล้ว)
1.ประเพณีนิยม จะใช้ในทางที่ขัดระบอบการปกครองไม่ได้
2.ทุกวันนี้ ผมและหลายท่านในฟ้าเดียวกัน พยายาม "แจกน้ำยาหยอดตา"(หรืออะไรสักอย่างที่ royalistอยากป้ายให้พวกผม) ให้แก่สังคม
3.ประเพณี เป็นสิ่งที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาตามกาลสมัย ประเพณีที่ไม่เหมาะสมกับระบอบการปกครองก็ต้องล่มสลายไปในที่สุด(เว้นแต่ ต้องการปฏิเสธระบอบการปกครองนั้น ๆ)
4.ถ้าคุณจมปรักอยู่กับประเพณีเดิม ๆ ถ้าคุณถือ คติยึดหลักจารีตประเพณี ไม่ยอมรับความจริงในการเปลี่ยนแปลงแล้ว คุณจะไม่มีวันรู้ได้เลย ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ถ้าคุณยังจมปรักอยู่กับของเดิม ๆ โดยไม่คิด
“ประเทศไทยมีประเพณีเคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ ให้ความเคารพเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ เพราะมีเหตุผลมาจากประวัติศาสตร์ที่กษัตริย์เป็นผู้นำประชาชนต่อสู้เพื่อเอก ราชของแผ่นดินมาตลอด นี้คือเหตุผลว่าทำไมถึงมีการออกกฎหมายเพื่อปกป้องสถาบันฯ”
คุณ จะเคารพนบนอบตามธรรมเนียม ทำได้ครับ แต่ต้องให้พอดี กล่าวคือ สถาบันอยู่ได้ด้วยใจราษฎร และต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงและหลักการปกครอง ถ้าสถาบันยืนหยัดต่อองค์ประกอบดังกล่าวนี้ไม่ได้ แสดงว่า สถาบันกษัตริย์ในเมืองไทยล้าสมัยต้องยกทิ้งแล้วครับ(องค์กรใดที่ปรับตัวตาม สภาพสังคม และวิวัฒนาการทางปกครองมิได้ ก็ต้องย่อยสลายไปตามกาลเวลา) แต่ถ้าคนไทยรักสถาบันอย่างใจจริง(บนพื้นฐานของความจริงที่เกิดจากเสรีภาพ) สถาบันก็อยู่ต่อไปได้ครับ คนจะโง่งี่เง่าอะไร ไม่มีใครตัดสินได้ (ยิ่งคุณเคยบอกว่า คนไทยยังไหว้ต้นไม้อยู่เยอะแยะ แสดงว่า คนไทยเหล่านั้นอยากหาที่พึ่งพิง? ถ้ากษัตริย์สามารถทรงสถานะให้เขาเป็นที่ "พึ่งพิงทางใจ" ตามระบอบการปกครองได้ พระองค์ก็ทรงอยู่ได้ครับ
“ผมให้เลย ถ้าหากมีการยกเลิก ม.112 จริง ก็จะมีการวิพากษ์สถาบันฯได้อย่างเสรีใช่มั้ยครับ แต่การวิพากษ์ มันก็มีการวิพากษ์ในทางที่ดีจริงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี แล้วใครจะรับผิดชอบครับ ถ้าหากมีคนปล่อยข่างเท็จ ปล่อยข่าวใส่ร้าย ทำลายสถาบัน ทำให้เกิดการเข้าใจผิดและเกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันในทางวงกว้าง”
แล้ว ทุกวันนี้ใครรับผิดชอบต่อความเสียหายอันเนื่องมาจากโครงการพรด. เช่น ปากพนัง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ(รายละเอียดคุณอ่านได้จากกระทู้ในฟ้าเดียวกัน) ซึ่งสังคมหุบปากเงียบไม่มีใครพูด ใครรับผิดชอบ? และอำนาจซ้อนระบบที่มันแทรกแซงปชต.ทุกครั้ง ใครรับผิดชอบครับ ตัวอย่างเช่น พระราชดำรัสที่ออกมาจากพระโอษฐ์ ที่ไม่มีใครร่างให้พูด ผมถามว่าถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ใครรับผิดชอบ ถ้าเป็นเหตุจุดชนวนให้สังคมแบ่งฝ่าย ใครรับผิดชอบ! ฯลฯ ฯลฯ
คุณกำลัง มองข้ามผลประโยชน์ของ "รัฐ" แต่คุณให้ความสำคัญต่อ "ตัวกษัตริย์"มากกว่า! คุณเลิกอ้างเสียทีเรื่องพระคุณกู้ชาติบ้านเมือง ... สงครามจะชนะไม่ได้ถ้าขาดไพร่พล รวมถึงเสบียงอาหารที่ราษฎรเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว ในทางเดียวกัน ถ้ามีแต่แม่ทัพ ก็ไม่มีทางรบชนะ
คุณต้องให้ความสำคัญต่อ "รัฐ" มากกว่าองค์กรหนึ่งองค์กรใดภายในรัฐครับ(สถาบันกษัตริย์เป็นองค์กรตามรัฐ ธรรมนูญ เพราะ รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้มีขึ้น) ไม่เช่นนั้น ถ้าเราไปเน้นที่ตัวองค์กร องค์กรนั้น ๆ ล่ะ ที่จะทรงอำนาจถ่วงไปข้างนึง ตอนนี้ก็ปรากฏว่า อำนาจกษัตริย์เหยียบอำนาจรัฐ(อำนาจอธิปไตย)ไว้อยู่โดยสภาพ
ดังนั้นการยกเลิก ม.112 ก็คือการริดลอนสิทธิของสถาบันฯในป. อาญา เรื่อง ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายสิครับ”
คุณอ้าง หลักการ“เรื่องความเท่าเทียมกัน” มาใช้สร้างความไม่เท่าเทียม ได้ยังไงครับ! มันขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว
ผม และสมาชิกฟ้าเดียวกันบางท่าน ได้เสนอไว้ว่า : มาตรา 112 สมควรถูกยกเลิก โดยที่ การหมิ่นประมาท ดูหมิ่นกษัตริย์ นั้น พระมหากษัตริย์สมควรได้รับการคุ้มครองในฐานะมนุษย์(ไม่ใช่เทวดา)ตามสิทธิทาง กฎหมายขอ
งสาธุชนทั่วไป
ส่วนการอาฆาตมาดร้ายนั้น ย่อมเป็นหน้าที่ในการป้องปรามของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอยู่แล้วในการไม่ให้ เกิดเหตุ และด้วยเป็นเรื่องที่ "ยังไม่แสดงกิริยาลงมือกระทำ" ดังนั้น การพูดเฉย ๆ ลอย ๆ กฎหมายทั่วไปไม่เอาความผิดครับ สำหรับกษัตริย์ก็สมควรมีมาตรฐานดุจเดียวกัน แต่หากเป็นการ "ขู่ว่าจะฆ่า" อันนี้ว่าตามโทษอาญาทั่วไปครับสำหรับผู้กระทำผิด
ปัจจุบัน กฎหมายมาตรา 112 เขียนกว้างจนขนาดพูดถึงในแง่ลบไม่ได้เลย(ถ้าคุณอยากทราบรายละเอียด โปรดดูกระทู้ : บทสังเคราะห์ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 112 แห่ง ป.อาญา(Lese majeste) จากตำราคำอธิบายของนักกฎหมายไทย )
ผมจึงตั้งคำถามว่า ในเมื่อเทวสิทธิ์แห่งกษัตริย์ทรงหมดสิ้นลงแล้วภายหลังการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง แต่ทำไม กฎหมายจึงให้อำนาจพิเศษนี้อยู่ (มันเพราะ กระแสความเป็น "เทวะ"ที่ตกค้าง นั้นเอง)
ขณะที่ประเทศเสรีประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ฯลฯ ให้เสรีในการวิจารณ์ เพราะเขาถือว่า แม้นพระองค์ทรงพระคุณอันประเสริฐโดยแท้แล้ว ถ้อยคำของผู้กล่าววิจารณ์พระองค์ก็จะไม่มีใครสนใจฟังไปเอง" นี่เป็นหลักคิดของนักกฎหมายอังกฤษ ซึ่งประเทศไทยยังเห็นประมุขแห่งรัฐเป็นของ "สำหรับเซ่นไหว้"กันอยู่ ในขณะที่สากลมองว่า "กษัตริย์ก็คือมนุษย์ ทรงกระทำผิดพลาดได้" และเมื่อผิด ก็ต้องมีหน้าที่ในการถูกตรวจสอบหรือวิจารณ์นั่นเองครับ
“คำว่า"อาฆาตมาดร้าย"ก็ตรงตามความหมายอยู่แล้วหมายถึง ขู่จะทำร้าย หรือขู่จะฆ่า ต่อให้พูดเฉยๆนั้นแหละครับถือว่ามีความผิดแล้ว คิดดูถ้าอาวุธอยู่ในมือของคนที่อาฆาตมาดร้ายจะเกิดอะไรขึ้น พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐนะครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นประมุขของรัฐก็ย่อมได้รับการคุ้มครองป้องกันอย่างเต็มที่ มากกว่าสามัญชนทั่วไปอยู่แล้ว นี้พูดกันตามมาตรฐานทั่วโลกนะครับ”
คุณ ต้องเข้าใจว่า ถ้อยคำนี้ เป็นภาษากฎหมายครับ ซึ่งต้องอ้างอิงหลักความคิดที่ถ่ายทอดของนักกฎหมายเป็นทอดมา ซึ่งผมได้เขียนเป็นบทความอธิบายไว้ว่า :
QUOTE(phuttipong @ Jan 27 2009, 01:11 PM) *
(3) แสดงความอาฆาตมาดร้าย (threaten) ได้แก่ การแสดงออกด้วยกิริยาหรือวาจา หรือโดยวิธีการใด ๆ ด้วยความพยาบาทมาดร้ายว่า จะทำให้เสียหายในทางใด ๆ อันมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม(หรือสิทธิตามกฎหมาย) ถือว่าเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายได้ทั้งสิ้น[11] โดยต้องเป็นการแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในอนาคต และไม่จำเป็นต้องได้โกรธแค้นเคืองกันมาก่อน เช่น ขู่ว่าจะปลงพระชนม์ จะทำร้าย หรือจะกระทำให้เกิดภยันตรายต่อสิทธิ เสรีภาพ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณก็ตามอันไม่ใช่การใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่หรือไม่ โดยขู่หรือแสดงออก มุ่งต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ [12]
เชิงอรรถ :
[11] ศาสตราจารย์ ประภาศน์ อวยชัย , หน้า112.
[12] ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย , เพิ่งอ้าง ; ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ , อ้างแล้ว.
คุณอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ มาตรา 112 ได้ที่ : บทสังเคราะห์ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 112 แห่ง ป.อาญา(Lese majeste) จากตำราคำอธิบายของนักกฎหมายไทย
“คุณไปดูได้เลยว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯได้รับการปกป้องมากขนาดไหน ถ้าคุณลองไปขู่อาฆาตมาดร้ายต่อ ปธน.ก็ถูกจับแล้วถ้าคุณแฮกข้อมูลของ ปธน. รับรองจะมี FBI มาถึงบ้านโดยทันที”
การ คุ้มครองประมุขแห่งรัฐของรัฐอื่น กว้างขวางต่ำกว่าเรามาก เช่น กรณีบุชโดนขว้างรองเท้า จากข่าว บุชถูกนักข่าวผู้นั้นด่าว่า ไอ้สุนัข ด้วย(ด่าประมาณนี้) ซึ่งแรงมากสำหรับฝรั่ง แต่เขาไม่มีกม.ห้ามหมิ่นประมุขแห่งรัฐเหมือนไทย ซึ่งอังกฤษก็ถือมาตรฐานเช่นเดียวแบบนั้น
ผมตั้งข้อสังเกตว่า การที่นักข่าวผู้นั้นถูกจับขังคุก เพราะ ข้อหาทำร้ายร่างกาย เท่านั้น (พอดีผมไม่มีตำรากฎหมายของมลรัฐ หรือ รัฐที่เกิดเหตุอยู่ในมือ จึงตอบคุณไม่ได้) แต่ตามหลักคิดของนักกฎหมายรธน.อเมริกัน หรืออังกฤษ ชัดเจนมากสำหรับประเด็นนี้
ส่วนการกระทำเกี่ยวกับข้อมูลเช่น hack คุณต้องเข้าใจว่า อเมริกานั้น ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขแห่งรัฐ และควบเป็นฝ่ายบริหาร แต่ของไทยไม่ใช่ ไทยจึงไม่ต้อง ปกป้องกันขนาดนั้น เพราะความมั่นคงของสถานะกษัตริย์ ไม่ได้กระทบกระเทือนความมั่นคงของรัฐเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้น ป่านนี้ประเทศที่เป็น constitutional monarchy(อย่างอังกฤษ) คงมีแต่ปัญหา "กลุ่มแบ่งแยกดินแดน" จนไม่ทำอย่างอื่นกันแล้ว
“เขียน ในแง่ลบไม่ได้เลย ผมว่าอันนี้ก็ไม่จริงอีก สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ไม่เคยเขียนบทความที่เป็นการสรรเสริญสถาบันฯเลยซักครั้ง แกก็ยังอยู่ดี เราต้องแยกประเด็นก่อนว่าเราจะเขียนวิพากษ์อย่างไร โดยที่ไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และอาฆาตมาดร้ายหลายคนก็สามารถเขียนถึงได้โดยไม่เข้าข่าย ม.112 เลยซักนิด
คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ป.อาญา นั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง สำคัญอย่างหนึ่งศาลจะดูจาก"เจตนา"ครับ ถ้าเจตนาหมิ่นยังไงก็คือหมิ่น นี้คือคำพูดของ คุณพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ครับ”
โธ่ เอ๊ยคุณ! เรื่องราวมันมีมากกว่าที่คุณเข้าใจเยอะสำหรับมาตรา 112 คุณอาศัยแค่ฟังแล้วมาคุยต่ออีกทีนึง...คุณคิดว่าสิ่งที่คุณเข้าใจนี้ มันเพียงพอแล้วหรือ ผมถามคุณจริง ๆ เถอะครับ! คุณไปอ่านบทสังเคราะห์ของผมดีกว่าถ้าคุณใส่ใจจริงจัง : บทสังเคราะห์ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 112 แห่ง ป.อาญา(Lese majeste) จากตำราคำอธิบายของนักกฎหมายไทย
ผมอธิบายอีกไม่ไหว เพราะสาระที่ต้องทำความเข้าใจมันเยอะ และต้องอ้างอิงตำราเยอะมาก
ขอทิ้งเรื่องนี้ไว้สั้น ๆ ว่า เหตุที่ อ.สมศักดิ์ หรือผม หรือ สมาชิกท่านอื่น ๆ ไม่โดนเล่นงาน เป็นเพราะ พวกผมยังไม่ไป "สะกิด" ให้สะดุ้งเข้าจัง ๆ น่ะครับ ถามว่า ผิดรึยัง? ผิดแล้ว แต่เพียงไม่ได้ทำตัวโดดเด่นเช่น ไปไฮค์ปาร์คแบบ ดาตอปิโด อย่างนั้น การดำเนินคดีจึงไม่กระทำ เพราะถ้ากระทำ ก็เป็นผลให้ความชอบธรรมของมาตรานี้ลดน้อยลง (คนจับ เขาไม่อยากจับพร่ำเพรื่อ แม้จะผิดก็ตาม) เพราะ ต้องจับกันบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ หน
เรื่องนี้ โดยกฎหมายมันผิดระเบียบสิทธิมนุษยชนอยู่แล้วครับ การบังคับใช้มันต้อง "กระดากใจ"กันบ้าง เพราะองค์กรสิทธิระหว่างประเทศคงไม่นิ่งดูดาย หากมีการยกเข่งกันจริง ๆ!
“คุณอย่าลืมว่าระบบความคิดวิเคราะห์ การศึกษาของคนไทยยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นและอังกฤษได้เลย 2 ประเทศนี้มีระบบการศึกษา ติด top 10 ของโลกนะครับ ประชาชนของเขามีการศึกษาสูง ได้รับข่าวสารที่เที่ยงตรงรอบด้านเขาจึงสามารถแยกแยะและวิเคราะห์เหตุการณ์ ต่างๆได้
แล้วกลับ กันมาดูเมืองไทย ผมสมมติเหตุการณ์นะครับ ถ้าหากมีคนคิดร้ายจะทำลายสถาบันก็แจกใบปลิว ปล่อยข่าวเท็จ ใส่ร้าย แล้วก็มีคนหลงเชื่อด้วยความที่เป็นคนด้อยการศึกษา เจอข่าวเท็จ ข้อมูลเท็จแค่นิดเดียวก็เชื่อแล้ว พาลเกลียดสถาบันจะทำยังไงครับ”
ใน ย่อหน้าแรก คุณเอาอะไรมาอ้างอิงครับ และแม้จะจริง ถ้ากษัตริย์(ถ้าทรงดีจริง) ทนต่อการวิจารณ์ หรือโจมตีไม่ได้แล้ว ก็ไม่ต้องมีครับ ทุกวันนี้เราโอ๋เจ้ามากเกินไปครับ
“ทำมากๆเข้านานๆเข้า ก็จะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ นี้มันไม่ใช่แค่หมิ่นประมาทธรรมดา แต่เป็น เรื่องของความมั่นคงของชาติเลยนะครับ”
อันนี้ผมตอบไปตอนต้นแล้วว่า "ความมั่นคงของชาติ" กับ "ความมั่นคงของสถาบัน" มันคือคนละเรื่อง!
แต่ ที่คนไทยโดยมากเข้าใจแบบนั้น เพราะมันเกิดจากวาทกรรมที่บิดเบือนสุดฤทธิ์ตามโฆษณาการ เพราะกษัตริย์ เป็นองค์กรหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ (รธน.บอกให้มี) ส่วน "ความมั่นคงของชาติ"(ในระบอบปชต.) อยู่ที่ "อำนาจอธิปไตย" ครับ คุณอย่าสับสนระหว่าง "ประมุขแห่งรัฐ" กับ "ตัวระบอบการปกครองรัฐ"
“ปฏิเสธ ไม่ได้เลยว่าคนไทยยังด้อยการศึกษาโดยเฉพาะแถบต่างจังหวัด ยังไหว้ต้นไม้ ไหว้สัตว์พิการอยู่เลย รอให้ระบบการศึกษาและคนไทยมีการศึกษาเท่ากับประเทศพัฒนาแล้วดีกว่ามั้ยครับ แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกที”
การที่ประชาชนไม่พัฒนาความคิด ก็เพราะ ประชาชนยัง "ไม่กล้า"ที่จะคิด ไม่กล้าที่จะมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของวิเศษวิโส ที่แท้ก็ก้อนกรวด หรือสัตว์ตัวนึง หรือเป็นมนุษย์ที่มากด้วยกิเลสเหมือนเรา ๆ ทั้งนั้น คือ เรามองว่า กษัตริย์เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม กษัตริย์ทรงผลิตแต่ของดี ๆ มาให้พสกนิกร ผมถามว่า “ที่กฎหมายห้ามวิจารณ์น่ะ” มันทำให้เรารู้ได้มั้ยว่า “อะไรดีหรือไม่ดีจริง ๆ” กล่าวคือ นำเสนอข่าวด้านเดียว ตลอด24ชั่วโมงว่า พระองค์ "ทำดี" พูดง่าย ๆ ว่า ทุกวันนี้ คนไทยถูกผูกขาดความจริงด้านเดียวตลอด 24 ชั่วโมง แล้วคุณจะคิดอย่างอื่นไปได้ยังไง !
“ความคิดของคุณ phuttipong ไม่ผิดหรอกครับ เรื่องที่ว่าจะให้กษัตริย์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถ้าดีจริงจะอยู่นิ่งเฉย แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงตามสังคมไทยขณะนี้ยังไม่เหมาะที่เปิดเสรีถึงขนาด นั้น เราต้องมองดูการศึกษาของคนไทยด้วย”
คุณพยายามป้ายคนไทยว่า "โง่" "ไม่มีสติปัญญา" "คิดเองไม่ได้" คำพูดของคุณมันจริงสำหรับ "คนที่ไม่ยอมคิด ไม่กล้าที่จะคิด และต้องเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นคิดโดยไม่ต้องตรวจสอบ"
คุณกำลังสร้าง เงื่อนไขต่อประชาธิปไตย ให้การเมืองกลับคืนไปสู่ "อภิชนาธิปไตย" ใช่หรือไม่? (คุณตอบตัวเอง) บทสุดท้าย "ประชาชนคือ ควาย" ส่วน "พวกเจ้านาย คือ คน"
แม้กระทั่งเสรีภาพ คุณยังไม่ยอมรับเลย(ให้เป็นแบบสากล)ซึ่งคำนึงถึง "ความเป็นมนุษย์"เป็นเกณฑ์มาตรฐานแห่งความเท่าเทียม
“แต่ในความเป็นจริง คนไทยยังยากจนและด้อยการศึกษาอยู่มาก อย่างที่ผมบอกถ้าหากมีใครอยากล้มล้าง ก็แค่ปล่อยข่าวเท็จ ข่าวลวงชาวบ้านก็หลงเชื่อแล้วครับ ในสงครามจิตวิทยามีส่วนสำคัญมากถ้าใครควบคุมการข่าว คนนั้นได้ชัยชนะไปกว่าครึ่งแล้ว”
ทุกวันนี้ "ใครคุมข่าวได้ล่ะครับ" คุณตอบตัวเองเถอะ!
“คุณ รู้มั้ย 3 จังหวัดใต้ที่ลุกเป็นไฟ เพราะส่วนหนึ่งเยาวชนถูกปลุกปั่นล้างสมองครับ ชาวบ้านตามต่างจังหวัดน่ะ แค่ใช้งิน 200 500 ก็สามารถซื้อกันได้แล้ว”
ถ้าคุณคิดได้เผิน ๆ แค่นั้นก็เลิกคิดครับ คือ คุณคิดว่า "เรื่องเท่านั้นเหรอ" ที่จุดประกายปัญหาขึ้นมาได้ใหญ่โตและบานปลาย!
คุณ อย่ามองชาวบ้านเป็นเดรัจฉาน ซื้อขายได้เป็นวัวเป็นควายสิครับ ชาวบ้านมีชีวิตจิตใจ คนที่เขาประสบปัญหาในภาคใต้ "มันมีปมฝังใจ" คุณอย่าเอาความคิดตื้น ๆ แบบนี้มาสร้างน้ำหนักให้ "กษัตริย์"เลยครับ มันฟังไม่ขึ้นจริงๆ !
“วัฒนธรรม ของคนไทยคือการเทิดทูนเคารพสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นเป็นสิ่งที่สังคมยังรับไม่ได้ถ้าหากสิ่งที่เขาบูชาเคารพนับถือถูกย่ำ ยี่ คุณจะเสนอแนวคิดอะไร ต้องมองสภาพสังคมด้วย วัฒนธรรมมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาสั่งสมมานาน คุณไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็นเวลาแค่ชั่วข้ามคืนหรอกครับ”
ขอพูดถึงส่วนนี้สั้น ๆ จริง ๆ ล่ะครับ เพราะผมได้พูดไปบ้างแล้ว(ทั้งการเขียนที่ส่งไปถึงคุณคราวก่อน และกล่าวในข้อเขียนส่วนนี้บ้างแล้ว)
1.ประเพณีนิยม จะใช้ในทางที่ขัดระบอบการปกครองไม่ได้
2.ทุกวันนี้ ผมและหลายท่านในฟ้าเดียวกัน พยายาม "แจกน้ำยาหยอดตา"(หรืออะไรสักอย่างที่ royalistอยากป้ายให้พวกผม) ให้แก่สังคม
3.ประเพณี เป็นสิ่งที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาตามกาลสมัย ประเพณีที่ไม่เหมาะสมกับระบอบการปกครองก็ต้องล่มสลายไปในที่สุด(เว้นแต่ ต้องการปฏิเสธระบอบการปกครองนั้น ๆ)
4.ถ้าคุณจมปรักอยู่กับประเพณีเดิม ๆ ถ้าคุณถือ คติยึดหลักจารีตประเพณี ไม่ยอมรับความจริงในการเปลี่ยนแปลงแล้ว คุณจะไม่มีวันรู้ได้เลย ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ถ้าคุณยังจมปรักอยู่กับของเดิม ๆ โดยไม่คิด
“ประเทศไทยมีประเพณีเคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ ให้ความเคารพเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ เพราะมีเหตุผลมาจากประวัติศาสตร์ที่กษัตริย์เป็นผู้นำประชาชนต่อสู้เพื่อเอก ราชของแผ่นดินมาตลอด นี้คือเหตุผลว่าทำไมถึงมีการออกกฎหมายเพื่อปกป้องสถาบันฯ”
คุณ จะเคารพนบนอบตามธรรมเนียม ทำได้ครับ แต่ต้องให้พอดี กล่าวคือ สถาบันอยู่ได้ด้วยใจราษฎร และต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงและหลักการปกครอง ถ้าสถาบันยืนหยัดต่อองค์ประกอบดังกล่าวนี้ไม่ได้ แสดงว่า สถาบันกษัตริย์ในเมืองไทยล้าสมัยต้องยกทิ้งแล้วครับ(องค์กรใดที่ปรับตัวตาม สภาพสังคม และวิวัฒนาการทางปกครองมิได้ ก็ต้องย่อยสลายไปตามกาลเวลา) แต่ถ้าคนไทยรักสถาบันอย่างใจจริง(บนพื้นฐานของความจริงที่เกิดจากเสรีภาพ) สถาบันก็อยู่ต่อไปได้ครับ คนจะโง่งี่เง่าอะไร ไม่มีใครตัดสินได้ (ยิ่งคุณเคยบอกว่า คนไทยยังไหว้ต้นไม้อยู่เยอะแยะ แสดงว่า คนไทยเหล่านั้นอยากหาที่พึ่งพิง? ถ้ากษัตริย์สามารถทรงสถานะให้เขาเป็นที่ "พึ่งพิงทางใจ" ตามระบอบการปกครองได้ พระองค์ก็ทรงอยู่ได้ครับ
“ผมให้เลย ถ้าหากมีการยกเลิก ม.112 จริง ก็จะมีการวิพากษ์สถาบันฯได้อย่างเสรีใช่มั้ยครับ แต่การวิพากษ์ มันก็มีการวิพากษ์ในทางที่ดีจริงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี แล้วใครจะรับผิดชอบครับ ถ้าหากมีคนปล่อยข่างเท็จ ปล่อยข่าวใส่ร้าย ทำลายสถาบัน ทำให้เกิดการเข้าใจผิดและเกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันในทางวงกว้าง”
แล้ว ทุกวันนี้ใครรับผิดชอบต่อความเสียหายอันเนื่องมาจากโครงการพรด. เช่น ปากพนัง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ(รายละเอียดคุณอ่านได้จากกระทู้ในฟ้าเดียวกัน) ซึ่งสังคมหุบปากเงียบไม่มีใครพูด ใครรับผิดชอบ? และอำนาจซ้อนระบบที่มันแทรกแซงปชต.ทุกครั้ง ใครรับผิดชอบครับ ตัวอย่างเช่น พระราชดำรัสที่ออกมาจากพระโอษฐ์ ที่ไม่มีใครร่างให้พูด ผมถามว่าถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ใครรับผิดชอบ ถ้าเป็นเหตุจุดชนวนให้สังคมแบ่งฝ่าย ใครรับผิดชอบ! ฯลฯ ฯลฯ
คุณกำลัง มองข้ามผลประโยชน์ของ "รัฐ" แต่คุณให้ความสำคัญต่อ "ตัวกษัตริย์"มากกว่า! คุณเลิกอ้างเสียทีเรื่องพระคุณกู้ชาติบ้านเมือง ... สงครามจะชนะไม่ได้ถ้าขาดไพร่พล รวมถึงเสบียงอาหารที่ราษฎรเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว ในทางเดียวกัน ถ้ามีแต่แม่ทัพ ก็ไม่มีทางรบชนะ
คุณต้องให้ความสำคัญต่อ "รัฐ" มากกว่าองค์กรหนึ่งองค์กรใดภายในรัฐครับ(สถาบันกษัตริย์เป็นองค์กรตามรัฐ ธรรมนูญ เพราะ รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้มีขึ้น) ไม่เช่นนั้น ถ้าเราไปเน้นที่ตัวองค์กร องค์กรนั้น ๆ ล่ะ ที่จะทรงอำนาจถ่วงไปข้างนึง ตอนนี้ก็ปรากฏว่า อำนาจกษัตริย์เหยียบอำนาจรัฐ(อำนาจอธิปไตย)ไว้อยู่โดยสภาพ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น