คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : สะสางบัญชี (100%)
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้านกน้อยต่างส่งเสียงขับขานกันเป็นสำเนียงเพลงที่ไพเราะ แต่ไม่ว่าเหล่านกน้อยจะส่งเสียงเพื่อปลุกสาวน้อยในห้องสักเพียงใด สาวน้อยบนเตียงก็ยังไม่ตื่นอีกเช่นเคย ดวงตากลมโตสีดำจับจ้องร่างบางบนเตียงเพื่อเริ่มหาทางปลุกสาวน้อยบนเตียง พรางย้อนคิดไปถึงคารอสที่บรรยายสรรพคุณเรื่องที่คารีเฟียร์นอนขี้เซาขนาดไหน
“คำสิงห์เวลานายจะปลุกคารีเฟียร์ ฉันขอแนะนำนายควรใช้วิธีแบบซาดิสม์ หรือไม่ก็วิธีรุนแรงไปเลย ขนาดฉันตะโกนก็แล้ว เขย่าตัวก็แล้วก็ยังไม่ยอมตื่น แถมยังหันหลังให้ฉันอีก จนฉันต้องใช้วิธีสาดน้ำใส่ แม่คุณถึงจะตื่น” ครั้นคำสิงห์ได้ฟังถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาด้วยความขี้เซาของสาวน้อยตรงหน้า
“คารีเฟียร์ตื่น...” คำสิงห์ใช้เสียงตะโกนกรอกใส่ลงไปในหู แต่สาวน้อยตรงหน้ากลับยกฝ่าเท้าน้อยๆ ของเธอถีบคำสิงห์ด้วยแรงเต็มรักแบบไม่ยั้ง จากนั้นพลิกตัวหันหลังให้และหลับต่อ ผลจากแรงถีบเมื่อครู่ทำให้คำสิงห์ถึงกับจุกจนพูดไม่ออก จะขยับตัวก็ทำได้ลำบากยิ่งนัก ในห้วงคิดของคำสิงห์เริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกของคารอสแล้ว ว่าทำไมคารอสถึงดีใจนักหนาที่ไม่ได้เป็นคนปลุกสาวน้อยตรงหน้าในวันนี้
“จะจูบแบบซาดิสม์ดี หรือใช้กำลังปลุกดีหนอ ถึงจะทำให้คารีเฟียร์ตื่น” คำสิงห์บ่นกับตัวเองเบาๆ อย่างใช้ความคิด ไวเท่าความคิดมือใหญ่สากดึงกระชากผ้าห่มออกจากตัวของคารีเฟียร์ พร้อมกับใช้มืออีกข้างคว้าข้อเท้าทั้งสองของหญิงสาว และจับเหวี่ยงเสมือนเป็นลูกข่างแล้วส่งไอสังหารอย่างรุนแรงออกมาด้วยเป็นของแถม คารีเฟียร์สะดุ้งตื่นทันใด พร้อมกับบ่นคำสิงห์อย่างไม่หยุด
“เฮ้ย! ปล่อยฉันลงไปเดี๋ยวนี้นะ ฉันเวียนหัวจะตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ปลุกกันให้ดีกว่านี้หน่อย” คำสิงห์หยุดเหวี่ยงคารีเฟียร์ทันที พร้อมกับรีบวิ่งหนีออกไปห้องทันทีด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้สาวเจ้าบ่นอย่างหัวเสีย และเดินไปอาบน้ำ
“ไปปลุกแม่คุณยังไง คารีเฟียร์ถึงได้บ่นอย่างนั้น แล้วนี่นายปลุกด้วยวิธีไหน” ทันทีที่คำสิงห์ออกจากห้องของคารีเฟียร์ คารอสยิงคำถามรวดเดียวด้วยความอยากรู้
“เออ... เดี๋ยวสิฉันตอบคำถามนายไม่ทัน ก็เมื่อวานนายใช้น้ำสาดเธอ เธอเลยเก็บถังน้ำแล้วใช้เวทมนต์ล็อกประตูห้องน้ำไว้ ไอ้เราหรือจะใช้วิธีปลุกแบบเดียวกับนายก็ไม่ได้ ก็เลยคิดถึงคำพูดของนายว่าให้ใช้วิธีแบบซาดิมส์ ข้าก็เลยจับข้อเท้าของคารีเฟียร์แล้วจับเหวี่ยงเป็นลูกข้างพร้อมกับส่งไอสังหารออกไปให้ด้วยเป็นของแถมไง” คารอสที่ได้ฟังคำสิงห์พูดจบก็ตะลึงในความคิดอันพิสดารทันที
หลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาทีคารีเฟียร์ก็ออกมาจากห้องเพื่อลงไปทานอาหารเช้าพร้อมกับเพื่อนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อทั้งหมดมาถึงโรงอาหารทันทีที่คารีเฟียร์เห็นกิบบ้อนเด็กชายที่ดูถูกเธอเมื่อวาน ก็เดินเข้าไปหาด้วยท่าทางของนักเลงโตจะไปยกพวกตีอย่างใดอย่างนั้น ครั้นกิบบ้อนเหลือบสายตามาด้านหลังด้วยเพราะมีไอสังหารแผ่ตรงมาที่ตนอย่างรุนแรน และทันทีที่คารีเฟียร์เห็นกิบบ้อนเริ่มที่จะขยับเท้าวิ่งหนีออกจากโรงอาหาร ในขณะเดียวกันกับที่คารีเฟียร์เริ่มร่ายเวทพันธนาการเอาไว้แล้ว กิบบ้อนไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้ คารีเฟียร์จึงเดินเข้าไปแล้วเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้กิบบ้อนตะลึงตาค้างแบบคาดไม่ถึง
“ข้าคารีเฟียร์ เฟอร์เทียร์ขอท้าเจ้ากิบบ้อน บาโลด้าสู้ที่สนามประลองเวท วันนี้ตอนเที่ยงครึ่ง” สาวน้อยพูดด้วยเสียงดังจนนักเรียนในหอพักอื่นได้ยินกันทั้งโรงอาหาร ทางด้านกิบบ้อนพอได้ยินถึงกับเข่าอ่อนไปทันที จนเพื่อนในหอพักพีระมิดจัตุภาค และเมอริก้าจากหอคอยผู้พิทักษ์ต่างเข้ามาลากคารีเฟียร์ไปนั่งทานข้าวที่โต๊ะของตน พร้อมกับที่คารีเฟียร์และคารอสเริ่มการกินอาหารแบบมาราทอนแข่งกันซะแล้ว
ณ ขณะนี้ทุกคนในโรงอาหารต่างได้ยินการท้าสู้ของนักฆ่าตระกูลเฟอร์เทียร์ และต่างกระจายข่าวไปโดยทั่วกันภายในเวลาไม่กี่นาที ทำให้การเรียนในช่วงเช้าไม่มีใครมีจิตใจจดจ่อในเรื่องวิชาเรียนแต่อย่างไร ในใจของกิบบ้อนตอนนี้ร้อนรอยิ่งกว่าใคร พลางเดินไปหาเมอริก้า
“เมอริก้า เจ้าช่วยข้าพูดกับคารีเฟียร์หน่อยสิ ให้ช่วยยกเลิกการต่อสู้กับข้าที ลำพังที่วันนี้ข้าหายเป็นปกติ เพราะได้เวทรักษาของอาจารย์ประจำห้องพยาบาลช่วยต่อกระดูกให้ และรักษาบาดแผลจนสมานเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่อย่างนั้นวันนี้ข้ายังเดินไม่ได้ และต้องนอนในห้องพยาบาลด้วยซ้ำ” กิบบ้อนพูดเพื่อให้เมอริก้าเห็นใจ แต่เมอริก้ากลับพูดในสิ่งที่กิบบ้อนกลับกลัวมากกว่าเดิม
“นี่ถ้านายไม่รู้จักคารีเฟียร์ล่ะก็ ข้าจะบอกให้นะ ข้าเป็นเพื่อนกับคารีเฟียร์มาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวของคารีเฟียร์เป็นนักฆ่าเจ้าคงจะรู้จักตระกูลนักฆ่าของเฟอร์เทียร์ดีเรื่องฝีมือในการต่อสู้ และการฆ่าอย่างไร้ความปราณีใดๆ ตั้งแต่เด็กคารีเฟียร์ได้ถูกฝึกให้เรียนรู้วิธีป้องกันตัว และการต่อสู้ทุกรูปแบบตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าเกิดก่อนคารีเฟียร์เดือนเดียวข้ายังเห็นคารีเฟียร์ต้องต่อสู้ตั้งแต่ข้ายังจำความไม่ได้เหมือนกัน จนกระทั่งนางอายุห้าขวบคารีเฟียร์รู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่เธอต้องเป็นนักฆ่า ตอนนั้นข้าเห็นใจนางมากแต่ข้าก็ยังช่วยอะไรนางไม่ได้ คารีเฟียร์ได้แต่ร้องไห้โดยมีข้าช่วยปลอยใจอยู่ทุกวัน จนมาถึงวันนี้ฝีมือของคารีเฟียร์ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดไปเลยทีเดียว แล้วคารีเฟียร์ไม่เคยกลับคำพูดด้วย นายจำคำพูดของฉันให้ดี นายนั่นแหละที่ไม่ดีเองไปพูดจาดูถูกคารีเฟียร์และตระกูลของเธอ” เมอริก้าพูดจบ จึงหันหลังเตรียมตัวเดินหนีออกไปด้วยความรำคาญ แต่แล้ว
“เจ้าจะไม่ช่วยข้าหน่อยเหรอ อย่างน้อยก็คนหอพักเดียวกัน” กิบบ้อนไม่ล้มเลิกความตั้งใจ แต่ยังคงพูดขอให้เมอริก้าเห็นใจต่อไป
“ไม่... อีกอย่างที่คารีเฟียร์สู้กับนายเมื่อวาน เธอใช้พลังแค่หนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น นายไม่ต้องมาพูดอีก ฉันรำคาญ” เมอริก้าพูดจบก็เดินจากไปทันทีทิ้งให้กิบบ้อนตกใจกับสิ่งที่เมอริก้าพูด
เวลาเที่ยงมาถึงโรงอาหารในวันนี้ช่างเงียบเหงายิ่งนัก นักเรียนของหอพักพีระมิดจัตุภาคนั่งทานอาหารด้วยความสงสัย พร้อมกับเมอริก้า แต่คารีเฟียร์กลับกินเยอะกว่าเดิมอีกจากสี่จานเป็นหกจาน โดยมีคารอสมองตาค้างด้วยความตะลึงว่าเพื่อนสาวของเธอทำไมกินเยอะจัง
“เฮ้... คารีเฟียร์ทำไมกินเยอะจังนี่เข้าจานที่หกแล้วนะ” คารอสพูด พร้อมกับเพื่อนทุกคนที่พยักหน้าพร้อมกันอย่างเห็นด้วย
“โธ่วันนี้ต้องใช้แรงอีกเยอะนะ ก็เลยต้องกินเยอะๆ ไว้ก่อน” คารีเฟียร์พูดจบจึงหยิบแก้วน้ำแครอทขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้วจึงชวนเพื่อนๆ ของเธอไปที่ลานประลองเพื่อสู้กับกิบบ้อน เพราะทุกคนทานข้าวกันเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่เธอคนเดียว
พอทั้งหมดมาถึงลานประลองก็ต้องตกใจเพราะที่นั่งบนสแตนของสนามประลองเวทเต็มทุกที่ เพราะทุกคนต่างพร้อมใจกันนำอาหารมาทานที่ลานประลองเวทเพื่อจองที่นั่ง คารีเฟียร์เดินขึ้นไปยืนบนสนามประลองด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จวบจบเวลาผ่านไปสิบนาทีก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกิบบ้อน คารีเฟียร์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด พร้อมกับร่ายเวทด้วยเสียงดังกึกก้องจนได้ยินไปทั้งสนามประลองเวท เพียงไม่ถึงนาทีกิบบ้อนได้มาปรากฏตัวที่สนามประลอง ทันทีที่กิบบ้อนลืมตาขึ้นมาก็ต้องตกใจที่ตนมาโผล่ที่สนามประลองได้อย่างไร
“ข้าเรียกเจ้ามาเองตกใจเหรอ” คารีเฟียร์พูดด้วยเสียงหวาน พร้อมรอยยิ้มยิงฟันที่พยายามให้ดูสวยที่สุดในขณะที่กิบบ้อนรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที กรรมการในที่นี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นประธานหอพักของพีระมิดจัตุภาค และประธานของหอคอยผู้พิทักษ์
“การต่อสู้จะจบลงเมื่อคู่ต่อสู้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถตู่สู้ได้แล้วเท่านั้น แต่ต้องไม่สู้กันจนถึงตาย” ทันทีที่เวลเมอรอนบอกกติกาและให้สัญญาณเริ่มต้นการต่อสู้ กิบบ้อนตระหนักได้แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็ต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
กิบบ้อนเป็นผู้ใช้เวทประเภทมนต์ขาว ส่วนคารีเฟียร์นั้นเป็นสายเวทธรรมชาติธาตุลม สายเวทธรรมชาติเป็นพลังเวทที่แข็งแกร่งกว่ามนต์ขาว และมนต์ดำมาก กิบบ้อนเริ่มร่ายเวทเรียกมังกรขึ้นมาใช้สู้แทนตน ในขณะที่คารีเฟียร์ยังจ้องมองดูอยู่ ประมาณสามนาทีผ่านไปมังกรสีเหลืองสดใส ดวงตาสีเหลืองด้วยอัญมณี ความสูงเท่าตึกสามชั้นก็ปรากฏขึ้นข้างๆ กิบบ้อน ครั้นกิบบ้อนลืมตาขึ้นหลังจากร่ายเวทเรียกมังกรเสร็จก็เห็นคารีเฟียร์ยืนมองเฉยๆ
“เฮ้ย นี่เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยเหรอ” กิบบ้อนพูด พร้อมด้วยกำลังใจที่เริ่มมาทีละนิด
“เปล่าซะหน่อย ฉันกำลังยืนมองนายอยู่ต่างหากร่ายเวทเรียกมังกรตั้งนาน ได้แต่มังกรตัวแค่นี้น่ะเหรอ มังกรของจริงมันต้องนี่” คารีเฟียร์พูดพร้อมทั้งร่ายเวทเรียกมังกรทันที
ท้องฟ้าที่เคยสว่างบัดนี้กลับมืดครื้น มีเสียงท้องฟ้าคำรามและผ่าลงมาไม่ขาดสาย เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีมังกรสีฟ้าอ่อน ดวงตาสีน้ำเงินสดใส เหนือคิ้วทั้งสองมีเขางอกออกมาทั้งสองข้าง ตรงกระดูกสันหลังมีหนามเล็กงอกออกมาไล่ลงไปจนถึงปลายหาง ส่วนปลายหางมีลักษณะเป็นใบมีดคมคล้ายหอก เสียงคำรามของมันดังกึกก้องจนทุกคนต้องยกมือขึ้นปิดหู ความสูงขนาดตึกแปดชั้น ช่างดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับมังกรของกิบบ้อน กิบบ้อนนั้นตกใจสุดขีดที่เวลาภายในไม่ถึงหนึ่งนาทีคารีเฟียร์เรียกมังกรออกมาได้ ทันทีที่มังกรของคารีเฟียร์เห็นมังกรสีเหลืองสดใสของกิบบ้อนก็วิ่งตรงเข้าใส่มังกรของกิบบ้อนทันที มังกรทั้งสองตัวต่อสู้กันทันที มังกรสีเหลืองของกิบบ้อนอ้าปากปล่อยลำแสงสีเหลืองออกมา เพียงแค่มังกรฟ้าของคารีเฟียร์ขยับปีกก็พาตัวมันเองหลบพ้นลำแสงทำลายของมังกรสีเหลืองของกิบบ้อนได้แล้ว พลังทำลายของมังกรสีเหลืองนั้นทำให้สนามประลองเกิดหลุมขนาดใหญ่ทันที มังกรของคารีเฟียร์พุ่งเข้าโจมตีพร้อมกับใช้หางที่มีความคมดั่งใบมีดฟาดเข้าใส่มังกรของกิบบ้อนทำให้มังกรของกิบบ้อนได้รับบาดเจ็บทันที
ทางด้านคารีเฟียร์เสียงตะโกนเรียกดาบคู่กายดังขึ้นด้วยเสียงอันทรงพลังเพื่อเรียกดาบของตน เสียงเรียกดาบอันทรงพลังนั้นกึกก้องและกังวาน สายลมสังหารปรากฏอยู่ในมือของคารีเฟียร์ ส่วนกิบบ้อนนั้นเรียกดาบของตนออกมาเช่นกัน
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก” กิบบ้อนตะโกนสุดเสียง
พร้อมทั้งวิ่งเข้าใส่คารีเฟียร์ คารีเฟียร์ยกแขนข้างที่ถือดาบกางวงแขนสี่สิบห้าองศาเพื่อให้คบดาบสัมผัสกับแขนของกิบบ้อนทันที ในขณะที่มืออีกข้างยกคทาประจำตัวขึ้นกันคมดาบแหลมคมของกิบบ้อน ทางด้านกิบบ้อนหลบคมดาบของคารีเฟียร์ได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็สามารถเรียกเลือดของกิบบ้อนได้เช่นกัน การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้งที่กิบบ้อนร่ายเวทเพื่อเรียกให้เถาวัลย์ปรากฏมาพันรัดรอบตัวคารีเฟียร์ดังเช่นเมื่อวาน คราวนี้เถาวัลย์ถูกคารีเฟียร์ฟันไม่เหลือซาก พร้อมกับร่ายเวทเรียกพายุหมุน กิบบ้อนดึงมีดสั้นขึ้นมาพร้อมกับขว้างไปสุดแรงตรงไปทางคารีเฟียร์ คารีเฟียร์หลบได้อย่างเฉียดฉิด แต่เรียกเลือดของคารีเฟียร์ได้เช่นกัน
ผลปรากฏออกมาว่ามังกรของคารีเฟียร์ชนะมังกรของกิบบ้อนได้ และมังกรของคารีเฟียร์พุ่งเข้าใส่กิบบ้อนที่ยืนตะลึงอยู่ พร้อมกับอ้าปากจนเกิดแสงสีส้มที่ตรงกลางปากพุ่งตรงเข้าใส่ กิบบ้อนทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่พายุหมุนของคารีเฟียร์เริ่มขยายขนาดจนดึงกิบบ้อนเข้าไปสู่ใจกลางพายุ มังกรฟ้าหันไปสบตากับคารีเฟียร์พร้อมกับบินหายไปทันที ตามกระแสจิตที่คารีเฟียร์บอกให้มันกลับไปได้แล้ว หลังพายุหมุนสงบลงกิบบ้อนนอนสลบเหมือดทันที ชัยชนะเป็นของคารีเฟียร์ ตลอดวันนั้นทั้งวันคารีเฟียร์ได้แต่ยิ้มทั้งวัน ในขณะที่เพื่อนร่วมหอพักของคารีเฟียร์นั้นต่างรู้สึกสงสารกิบบ้อนขึ้นมาจับใจในเรื่องดวงซวยของกิบบ้อน
วันที่สามของการเรียนก็มาถึง หากแต่สาวน้อยในห้องยังคงนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเช่นเดิม วันนี้เป็นเวรปลุกของเอคัส ดวงตาสีฟ้าสดใส กับผมสีเงินหยุ่งเหยิงรูปร่างสูงโปร่งของเอคัสยืนมองคารีเฟียร์อยู่บนเตียง คราวนี้คารีเฟียร์ร่ายเวทเพื่อกางเขตอาคมให้ตัวเองไปแล้ว ทำให้เอคัสใช้วิธีปลุกคารีเฟียร์แบบเดิมไม่ได้
“กางข่ายอาคมซะด้วย แล้วจะปลุกยังไงล่ะเนี่ย” เอคัสบ่นออกมากับตัวเองเบาๆ ก่อนจะนึกไอเดียบางอย่างขึ้นมาได้
“คารีเฟียร์ตอนนี้โรงอาหารกำหนดเวลากินข้าวใหม่ถ้าไม่ลงไปตอนนี้ จะมีข้าวเหลือให้เธอกินแค่จานเดียวนะ” ทันทีที่ได้ยินว่าจะได้กินข้าวแค่จานเดียว เท่านั้นแหละคารีเฟียร์ก็ตื่นขึ้นมาทันใด พร้อมกับที่รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที ในขณะที่เอคัสเดินออกไปรอนอกห้อง ครั้งคำสิงห์ และคารอสเห็นเอคัสออกมาจากห้องเร็วกว่าที่คิดไว้ จึงถามวิธีปลุกคารีเฟียร์
“ก็คารีเฟียร์ร่ายเวทกางเขตอาคมเอาไว้ ทำให้ใช้วิธีปลุกแบบพวกนายไม่ได้ ก็เลยตะโกนไปว่าถ้าไม่รีบลงไปตอนนี้ จะเหลือข้าวให้กินแค่จานเดียว เท่านั้นแหละแม่คุณก็ตื่นแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที” เอคัสพูด พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
วิชาแรกเป็นวิชาการใช้อาวุธ แน่นอนว่าทุกคนนั้นถูกฝึกให้ใช้อาวุธในการต่อสู้ตั้งแต่เด็กเพื่อป้องกันตัวกันอยู่แล้ว วิชานี้จึงเป็นวิชาที่ทุกคนชอบมาก เพราะไม่ต้องใช้สมาธิในอ่านหนังสือหรือจดแล็กเชอร์ใดๆ ทั้งสิ้น ศาสตราจารย์ผู้สอนวิชานี้มีผมสีน้ำตาลอ่อนซอยเป็นทรงแลดูยุ่งเหยิง ดวงตาสีเงินสดใส รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทนเข้มเพราะคล้ำแดด อยู่ในชุดสีดำเข้ารูป แลดูน่าเกรงขาม เป็นศาสตราจารย์คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสอนที่โรงเรียนมหาเวทวาเคซัสในปีนี้
“ข้าชื่อกัลป์มาทอริกซ์ เฟอร์เทียร์ เป็นศาสตราจารย์สอนวิชาการใช้อาวุธ พวกเจ้าเรียกข้าว่ากัลป์มาทอริกซ์ก็พอ ไม่ต้องเรียกศาสตราจารย์เพราะข้ายังไม่แก่ อายุข้าเพิ่งจะยี่สิบปีเอง” ทันทีที่ศาสตราจารย์กัลป์มาทอริกซ์แนะนำตัวเสร็จก็เกิดเสียงพูดคุยดังขึ้นทันที
“ท่านอา ปีนี้ท่านอายุยี่สิบเอ็ดปี ไม่ใช่ยี่สิบสักหน่อย” คารีเฟียร์พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเพราะ อาของเธอไม่เคยยอมรับเรื่องตัวเองเริ่มมีอายุแล้วนั่นเอง
“โธ่อีกสองเดือนกว่าจะยี่สิบเอ็ดปีนะคารีเฟียร์ หลานรักแล้วหลานยังไม่ส่งจดหมายไปบอกท่านพี่อีริค และคาทีน่าเลยนะหลาน” กัลป์มาทอริกซ์พูดพร้อมทั้งลูบผมหลานสาวเล่น
“โอ๊ย! ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลยท่านอา ยังไงข้าฝากท่านอาบอกท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยนะคะ ท่าอา” คารีเฟียร์พูดพร้อมทั้งแสดงท่าทางแบบเด็กขึ้นมาทันทีทันใด ท่าทางแบบนี้ทำให้กัลป์มาทอริกซ์คิดว่ายังไงก็เด็กชัดๆ
“ท่านอาทำไมอยู่ๆ ถึงมาสอนวิชานี้ได้ค่ะ คงไม่ได้มาจับตาดูหลานสาวคนนี้หรอกนะ” คารีเฟียร์ถามด้วยความสงสัย
“บ่ะ ดันรู้ทันซะได้” กัลป์มาทอริกซ์คิดในใจ จึงเอ่ยพูดตัดบท
“เอาไว้เราค่อยคุยกัน ตอนนี้เพื่อนหลานคงสงสัยแย่แล้ว ข้าเป็นอาของคารีเฟียร์ วันนี้ข้าจะสอนวิธีการใช้ดาบในการต่อสู้ เอาเป็นว่ายืนเป็นแถวตรงหน้ากระดานด่วน” ศาสตราจารย์กัลป์มาทอริกซ์พูด
ทุกคนในหอพักพีระมิดจัตุภาคต่างรีบยืนเรียงแถวหน้ากระดานทันทีไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย เพราะกลัวว่าศาสตราจารย์กัลป์มาทอริกซ์จะเกิดอยากใช้อาชีพของตัวเองฆ่าพวกตนเสียก่อน กัลป์มาทอริกซ์ใช้สายตามองด้วยความพอใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้เราจะมาใช้วิธีการใช้จิตแทนดาบ เพราะดาบไม่สามารถใช้ได้ดีเท่ากับจิตที่คิดได้ตามเจ้าของ ข้าจะแสดงตัวอย่างให้ดู” กัลป์มาทอริกซ์พูดจบ ก็ดีดนิ้วหนึ่งทีตุ๊กตาหุ่นฟางเคลื่อนไหวได้จำนวนยี่สิบตัวปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
“เริ่มแรกให้ถือดาบไว้ในมือเฉยๆ ไม่ต้องเดินไปฟันหุ่นฟาง แต่ให้พวกเจ้าหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิ ให้คิดว่าหุ่นฟางอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า แล้วใช้จิตฟันพวกมันอย่างนี้” กัลป์มาทอริกซ์พูดจบก็หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมา เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีตุ๊กตาหุ่นฟางจำนวนยี่สิบตัวล้มลงแยกออกเป็นสองท่อน ทั้งที่กัลป์มาทอริกซ์ยังไม่ขยับตัวด้วยช้ำ
“การที่ข้าให้พวกเจ้าหลับตาตั้งสมาธิก่อน เพราะพวกเจ้ายังไม่รู้วิธีใช้จิตเคลื่อนย้ายตัวเอง ดังนั้นจงเข้าใจไว้ว่า ถ้าพวกเจ้าใช้จิตเคลื่อนย้ายตัวเองได้เมื่อไหร ศัตรูตรงหน้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเอาเวลาไหนไปทำร้ายเขา นี่เป็นวิธีที่นักฆ่าใช้สังหารคู่ต่อสู้ และจะมีเฉพาะนักฆ่าเท่านั้นที่รู้ แล้วคำสิงห์ท่านโรเนล กับท่านวันวิสาข์เป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหม” กัลป์มาทอริกซ์พูดถาม
“สบายดีทั้งสองท่านครับ ท่านกัลป์มาทอริกซ์” คำสิงห์พูดจบ กัลป์มาทอริกจึงพูดต่อว่า
“เอาหล่ะข้าจะให้คารีเฟียร์ และคำสิงห์แสดงให้พวกเจ้าดูอีกครั้งหนึ่งเป็นตัวอย่าง” กัลป์มาทอริกซ์พูดพบก็ดีดนิ้วอีกครั้งหนึ่ง ตุ๊กตาฟางจำนวนยี่สิบตัวเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าเดิมปรากฏขึ้นล้อมรอบตัวคารีเฟียร์ และคำสิงห์ทันที
คารีเฟียร์กับคำสิงห์จัดการตุ๊กตาหุ่นฟางพวกนี้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เพื่อนๆ ทุกคนในหอพักเริ่มฝึกใช้จิตกันอย่างตั้งอกตั้งใจโดยมีกัลป์มาทอริกซ์, คารีเฟียร์ และคำสิงห์คอยช่วยแนะนำอีกทีหนึ่ง
ช่วงบ่ายเป็นวิชาเรียนที่น่าเบื่อสำหรับคารีเฟียร์อย่างยิ่ง นั่นก็เพราะเป็นวิชาประวัติศาสตร์เมืองเกลเบี้ยน หลังจากที่คารีเฟียร์พยายามนั่งถ่างตาก็แล้ว หยิกตัวเองก็แล้ว ผลปรากฏออกมาก็ยังคงจะหลับให้ได้อยู่ดี พอมองไปรอบตัวคารอส และคำสิงห์หลับกันไปแล้ว แล้วจะไม่ให้เธอหลับได้ยังไงในเมื่อเพื่อนของเธอหลับไปแล้ว เหลือก็แต่เอคัสที่ยังคงนั่งตาสว่างอยู่ได้ งั้นก็ให้เอคัสนั่งเรียนเป็นตัวแทนของเพื่อนๆ และหัวหน้าชั้นปีของหอพักพีระมิดจัตุภาคแล้วกัน คารีเฟียร์คิดในใจเสร็จก็ล้มตัวเอาหน้าฟุบลงกับแขนทั้งสองข้างทันที การเข้าญาณในวิชานี้คงเป็นวิชาที่ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียนมหาเวทวาเคซัส เสียงของศาสตราจารย์เอมบิทนั้นเหมือนเสียงเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กน้อยฟังไม่มีผิด ยิ่งฟังก็ยิ่งง่วงนอน
จนกระทั่งถึงวันศุกร์ เวลเมอรอนประธานหอพักพีระมิดจัตุภาคเดินมาพบทุกคนเพื่อมารับใบสมัคร เวลเมอรอนมองรายชื่อในกีฬาที่รุ่นน้องชั้นปีหนึ่งในหอพักพีระมิดจัตุภาคลงชื่อในกีฬาแต่ละประเภท แน่นอนว่าเวลเมอรอนกับซาฟีร่า มัลโควิชรองประธานหอพักพีระมิดจัตุภาคเห็นด้วยกับการคัดเลือกผู้เล่นนี้ด้วย คารีเฟียร์สังเกตว่าซาฟีร่านั้นเป็นหญิงสาวยิปซี หน้าตาอ่อนหวานแต่เซ็กซี่ ผมสีบอล์นหยิกเป็นลอนยาวถึงกลางหลัง ผิวสีแทนเข้ม ดวงตากลมโตสีม่วงอ่อน ซึ่งกำลังยิ้มให้กับเวลเมอรอน และทั้งขณะที่ทั้งคู่กำลังปรึกษากันอยู่ เสียงพูดคุยในห้องก็ดังไม่หยุดไม่แพ้กัน ส่วนคำสิงห์นั้นกำลังสอนคารีเฟียร์ยิงปืนด้วยเพราะทนเสียงออดอ้อนของคารีเฟียร์ไม่ไหว คำสิงห์สอนคารีเฟียร์ใช้ปืนพก m1911a1 และวิธีการเหนี่ยวไกปืน ส่วนสาเหตุที่คำสิงห์สอนคารีเฟียร์ใช้ปีนพก m1911a1 นั้นเพราะมีน้ำหนัก 3 ปอนด์เท่านั้น
ดังนั้นมหกรรมการไล่ฆ่าล้างบางจึงเกิดขึ้นโดยมีคำสิงห์ และคารีเฟียร์นำทีมไล่ฆ่าเพื่อนร่วมหอพักเดียวกัน ส่วนลูกกระสุนนั้นเป็นลูกกระสุนสี ซึ่งเวลายิงจะกลายเป็นน้ำสีเขียว และสีน้ำเงินแล้วแต่ๆ ละทีม เพราะคำสิงห์ใจดีสอนเพื่อนทุกคนในหอพักชั้นปีหนึ่ง รวมถึงการให้ยืมปืนใช้ชั่วคราวอีกด้วย ทางด้านเวลเมอรอน และซาฟีร่าเห็นเสียงดังผิดปรกติเพราะฝูงลิงทโมนกำลังเอาปืนมาวิ่งไล่ยิงกัน ทำให้เวลเมอรอนโดยลูกกระสุนของอาซีฟเข้าไปเต็มๆ หน้า ทำให้ทั้งใบหน้าในตอนนี้เป็นสีน้ำเงิน ดูๆ แล้วช่างเหมือนตุ๊กแกสิ้นดี พร้อมกับเสียงที่ตะโกนแข่งกับฝูงลิง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ... ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าเก็บปืน และทำความหอพักให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้ แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่สนามหญ้าหลังหอพักพีระมิดจัตุภาคเวลาแปดโมงเช้า ห้ามสายเด็ดขาดไม่งั้นโดนทำโทษแน่” เวลเมอรอนพูดจบ ก็เดินจากไปพร้อมกับซาฟีร่าทันที พร้อมทั้งเอามือกุมขมับกับความซนของรุ่นน้องของตน ที่ดันเล่นมหกรรมไล่ฆ่าล้างบางกันแบบนี้
เรื่องเก็บกวาดนั้นไม่มีใครห่วงเพราะกิลเดอรอนเป็นนักเวท แค่ร่ายเวทนิดหน่อยห้องทั้งห้องก็สะอาดเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงพากันเข้านอนกันอย่างรวดเร็ว เพราะยังไงก็คงไม่อยากโดนทำโทษแน่นอน เพราะประธานหอพักของพีระมิดจัตุภาคนั้นขึ้นชื่อเรื่องการทำโทษแบบพิสดารอยู่ด้วย หลังจากบอกลาทุกคนคารีเฟียร์ก็เข้าห้องอาบน้ำ
“ราตรีสวัสดิ์คารีเฟียร์” คารีเฟียร์พูดกับตัวเองเบาๆ แล้วล้มตัวลงนอน
ความคิดเห็น