คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ทดสอบพลังเวท
แสงอาทิตย์แรกของวันปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าส่งผลให้ท้องฟ้าเป็นสีส้มเข้ม ดอกไม้ภายในโรงเรียนพากันแบ่งบานต้อนรับการเริ่มต้นภาคเรียนที่โรงเรียนมหาเวทวาเคซัส บรรยากาศรอบตัวสดชื่นเย็นสบายชวนให้ใครบางคนในห้องไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอน ชายหนุ่มผมสีดำยาวถูกรวบไว้ข้างหลังแบบลวกๆ กับดวงตาสีเขียวมรกตกำลังมองสาวน้อยบนเตียง ผมตรงยาวสีน้ำตาลเข้าทรงหน้ารูปไข่ ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนถูกซ่อนไว้ใต้เปลือกตาที่กำลังปิดสนิท ผิวขาวอมชมพู คิ้วโก้ง ริมฝีปากได้รูปสีแดงกลีบกุหลาบ
“คารีเฟียร์ตื่น...” คารอสรู้สึกว่ามีแต่ความเงียบที่ตอบกลับมา แถมสาวน้อยตรงหน้ายังพลิกตัวหันหลังให้ แล้วหลับต่อ
“คารีเฟียร์ตื่น เดี๋ยวก็ไปสายหรอก รุ่นพี่นัดเราไว้นะ” หมายเลขนี้ถูกระงับการใช้งาน ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ในขณะเดียวกันคารอสเริ่มรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมตัวเขาถึงต้องมาปลุกคารีเฟียร์ด้วย
“แมะ แมะ แมะ” ขนาดว่าค่อยๆ หยดน้ำลงตรงหน้าก็ยังไม่ตื่นอีก คารอสเริ่มมองเห็นทางสว่างเมื่อมองไปเห็นถังน้ำขนาดใหญ่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ
“โครม... คารีเฟียร์โว้ย... ตื่นได้แล้ว” คราวนี้หญิงสาวสะดุ้งตื่นทันที พร้อมทั้งมองหาว่าใครที่เป็นคนทำให้เธอต้องเปียกทั้งตัวไปอย่างนี้ หลังจากสายตามองไปรอบห้องก็มาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มข้างเตียงในมือกำลังถือถังน้ำใบใหญ่ที่หลักฐานยังอยู่ในมือ
“ทำไมนายไม่ปลุกฉันให้ดีกว่านี้หน่อย คารอส” คารอสเริ่มเห็นท่าไม่ดี เพราะสาวน้อยตรงหน้าเริ่มแผ่ไอสังหารออกมา ทำให้ต้องรีบบอกเหตุผลว่าวันนี้รุ่นพี่นัดเจอตอนเจ็ดโมงเช้าที่ห้องอาหาร ด้วยเหตุนี้ทำให้สาวน้อยตรงหน้ารีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที
หลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาทีคารีเฟียร์ก็ออกมาพบเพื่อนทั้งสามของตนที่เป็นหัวหน้าชั้นปีเช่นเดียวกันกับเธอ พร้อมทั้งพูดว่า
“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนรอนาน ฉันเอ่อ... นอนตื่นสายไปหน่อย ต้องขอบใจพวกนายที่รอฉัน” คารีเฟียร์พูดด้วยท่าทีที่ดูแล้วยังไงก็ขัดลูกตาอยู่ดี เพราะสาวน้อยคนนี้มีนิสัยเหมือนสาวๆ คนอื่นซะที่ไหนกันล่ะ
หลังจากพูดจบทั้งสี่จึงเดินไปคุยกันไปจนถึงโรงอาหารรวม ซึ่งโรงอาหารของโรงเรียนเป็นห้องอาหารรวม คนของหอพักแต่ละหอต่างใส่เครื่องแบบของโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย ที่นั่งของหอคอยผู้พิทักษ์นั้นอยู่ทางซ้าย กินพื้นที่ในโรงอาหารจำนวนห้าแถว แต่ละแถวมีโต๊ะยาวนั่งได้ประมาณหกคนจำนวนหกตัว ส่วนหอพักของวิหารเจ้าจันทรานั้นนั่งโต๊ะถัดจากหอคอยผู้พิทักษ์ และกินพื้นที่ในโรงอาหารจำนวนที่เท่าเท่ากันกับหอคอยผู้พิทักษ์ และสุดท้ายหอพักของพีระมิดจัตุภาคนั้นอยู่ทางด้านขวาสุด ห้องอาหารของโรงเรียนมีขนาดใหญ่ ถูกตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบสวนสไตล์อังกฤษ ทำให้ดูร่มรื่น เมื่อทั้งสี่มาถึงต่างก็ทักทายเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ และนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลือ อาหารของที่นี่มีให้เลือกหลากหลายซึ่งทุกคนสามารถตักกินได้ตามสบาย ส่วนตอนนี้น่ะเหรอทุกคนในชั้นปีหนึ่งกำลังมองหน้าคารีเฟียร์สลับกับคารอสไปมา เพราะทั้งสองกำลังกินอาหารเช้าแต่ไม่ใช่ปริมาณการกินที่เหมือนคนอื่น เพราะตอนนี้ทั้งสองกินหมดไปแล้วสามจาน และกำลังกินจานที่สี่กันอยู่ ซึ่งสาวน้อยคารีเฟียร์ยิ่งไม่น่าเชื่อว่าจะกินได้เยอะขนาดนี้ เพราะดูจากหุ่นของเธอแล้วน่าจะกินได้น้อยกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ หลังจากดูทั้งสองกินข้าวนักเรียนชั้นปีหนึ่งของหอพักพีระมิดจัตุภาคก็อิ่มแทนทั้งสองไปเลย
“นี่พวกเธอไม่จุกกันบ้างเหรอ กินกันไปตั้งสี่จาน” คราวนี้เฮอร์เดอก้าพูดแทนเพื่อนๆ ทุกคนที่มองทั้งสองด้วยความทึ่ง
“ปกติตอนอยู่บ้านฉันก็กินประมาณนี้แหละ” คารีเฟียร์พูดเสร็จ ก็ดื่มน้ำองุ่นไปอีกหนึ่งแก้ว
“ตอนอยู่ในวังฉันกินเยอะกว่านี้อีก แต่เห็นพวกนายมองแล้วฉันก็ไม่กล้ากิน” คารอสตอบพร้อมทั้งดื่มน้ำทับทิมอีกหนึ่งแก้ว
“เห็นพวกนายมองฉันก็ไม่กล้ากินเหมือนกัน” คารีเฟียร์พูดอย่างเห็นด้วยกับคารอส
“นี่พวกนายไม่กล้ากินแล้วใช่มั้ย ขนาดไม่กล้ากินนะยังกินกันเข้าไปตั้งสี่จาน แถมกินเร็วกว่าพวกเราอีก” ยูเรียสพูดพร้อมทั้งส่ายหน้าน้อยๆ และคิดถึงอนาคตของราชวงศ์ซาฟิก้า ไฟร์ ราชเวียร์ รวมทั้งของตระกลูเฟอร์เทียร์ที่มีองค์ชายรัชทายาท และลูกสาวที่กินเก่งขนาดนี้แถมเป็นผู้หญิงด้วย แล้วนี่ใครจะกล้ามาขอคารีเฟียร์เนี่ย
ทั้งหมดหยุดพูดคุยกันเมื่อเห็นเวลเมอรอนเดินมา กับอ้อมแขนที่เต็มไปด้วยกระดาษหลายปึก เวลเมอรอนยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้คารีเฟียร์ที่อยู่ใกล้สุดพร้อมทั้งบอกว่านี่เป็นตารางสอนของพวกเธอ หลังจากนั้นจึงเดินไปแจกประดาษอีกปึกให้นักเรียนในหอพักชั้นปีอื่น หลังจากแจกกระดาษให้ชั้นปีอื่นๆ เสร็จ จึงเดินมาพูดคุยกับน้องใหม่ชั้นปีหนึ่ง ซึ่งเวลเมอรอนแนะนำรุ่นพี่ชั้นปีต่างๆ ให้รุ่นน้องรู้จักพร้อมทั้งให้ชั้นปีหนึ่งแนะนำตัวเอง หัวหน้าชั้นปีหนึ่งก็ได้รับความสนใจมากที่สุดเนื่องจากเป็นองค์ชายรัชทายาทอันดับหนึ่งสองคน และนักฆ่าสองคน หลังจากแนะนำตัวเสร็จเวลเมอรอนก็มีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งกล่าวว่า
“ทางโรงเรียนมหาเวทวาเคซัสได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาการประลองเวทเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหอพักทั้งสาม ซึ่งการประลองนี้จะจัดขึ้นทุกปีหลังเปิดภาคเรียนได้หนึ่งเดือน เป็นการแข่งขันกีฬาของนักเรียนชั้นปีหนึ่ง หอพักของเราได้ที่หนึ่งมาแล้วสามปีติดต่อกันซึ่งนี่ถือเป็นเกียรติยศของหอเรา และในปีนี้หอพักของเราก็ต้องได้ชัยชนะมาเหมือนกัน ส่วนการแข่งขันจะแบ่งเป็นกลุ่มแล้วแต่กติกาจะระบุ รายละเอียดการแข่งขันต่างๆ อยู่ในกระดาษแผ่นนี้ ขอให้ทุกคนพิจารณาตามสามารถความเหมาะสมว่าตนควรเข้าแข่งกีฬาประเภทอะไร และให้ทุกคนลงชื่อในใบสมัครนี้แล้วส่งให้ฉันในวันศุกร์นี้ มีใครสงสัยเรื่องอะไรถามได้เลย” เวลเมอรอนมองหน้าทุกคนเป็นเชิงรอคำถาม
“ต้องเข้าแข่งทุกคนเลยเหรอค่ะ” คารีเฟียร์ถามเวลเมอรอน เนื่องจากตนไม่ต้องการเข้าแข่งขันกีฬาใดๆ ทั้งสิ้น
“ต้องลงแข่งทุกคน เพราะนี่เป็นกีฬาของปีหนึ่ง และขอให้พวกเธอฝึกซ้อมกันให้ดี เอาล่ะนี่ก็น่าจะได้เวลาเข้าเรียนของพวกเธอแล้ว อย่าลืมส่งใบสมัครภายในวันศุกร์นี้ด้วย” เวลเมอรอนพูดจบจึงไล่รุ่นน้องปีหนึ่งไปเรียนตามตารางสอน
หลังจากเดินมาตามทางที่เวลเมอรอนประธานหอพักของพีระมิดจัตุภาคบอก ซึ่งระหว่างทางนั้นทั้งแปดต่างพูดคุยปรึกษากันเกี่ยวกับกีฬาของพวกตน ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งคนคือคำสิงห์กำลังปลงตกกับวิชาที่ต้องเข้าเรียนในช่วงเช้า ก็จะไม่ให้ปลงตกกับวิชาแรกได้ยังไงในเมื่อช่วงเช้าสามชั่วโมงแรกคือวิชาประวัติศาสตร์อียิปต์ ส่วนคารีเฟียร์นั้นเห็นคำสิงห์เดินปลงตกกับชีวิตจึงเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่า
“คำสิงห์นายเป็นอะไรไป หรือว่านายกำลังป่วยอยู่” คารีเฟียร์ไม่ว่าเปล่าแต่เอามือมาวางทาบวัดอุณหภูมิที่หน้าผาก ซึ่งนั่นทำให้บรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นขึ้นจนทุกคนรู้สึกหนาวไปตามๆ กัน ส่วนสาเหตุมาจากใครนั้นเหรอ คือชายหนุ่มผมสีเงินที่ยืนมองคารีเฟียร์อยู่ตลอดเวลา ส่วนคำสิงห์ที่เริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังมองจ้องตนอยู่จึงพูดว่า
“ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรหรอก เพียงแต่ว่าข้าไม่ค่อยอยากเรียนวิชาประวัติศาสตร์อียิปต์วิทยาสักเท่าไหร่” คำสิงห์พูดพร้อมทั้งถอนหายใจ ส่วนคารอสและเอคัสเดินมาจนถึงคนทั้งสอง
“ข้าก็ไม่อยากเรียนวิชานี้เหมือนกัน มันต้องน่าเบื่อมากแน่ๆ เลย” คารอสออกความเห็นอย่างเห็นด้วยที่สุด
“ถ้าไม่รีบ พวกเราจะไปสายแน่” ประโยคแรกของวันมาจากเจ้าของผมสีเงินนามว่าเอคัสซึ่งเดินนำหน้าเพื่อนๆ ไปก่อน
เมื่อทั้งเก้าคนเดินไปถึงห้องที่ต้องใช้เรียนวิชาประวัติศาสตร์อียิปต์ก็พบว่าไม่มีส่วนไหนของห้องที่เหมือนห้องเรียนแบบทั่วไป บรรยากาศช่างจำลองจนเหมือนมหานครธีปส์ พระราชวังที่กว้างใหญ่ไพรศาล ต้นไม้และดอกไม้ต่างแข่งกันบานต้อนรับแสงอาทิตย์ยามเช้า พีระมิดใหญ่โตจนน่าทึ่ง ทั้งหมดได้แต่ยืนมองชมความงามรอบตัว จนกระทั่งมีหญิงวัยกลางคนผมสีเงินตรงยาวถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีเทา รูปร่างท้วมแต่งกายในชุดของชาวอียิปต์โบราณ
“ข้าชื่อศาสตราจารย์อาพริส เซนทาน่า เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์อียิปต์ ตอนนี้เชิญพวกเธอเลือกที่นั่งเรียนกันตามสบาย” ศาสตราจารย์อาพริสพูดพร้อมทั้งชี้ตำแหน่งที่จะใช้นั่งเรียนกัน
คารีเฟียร์ เอคัส คารอส และคำสิงห์เลือกที่นั่งตรงที่มีก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนที่เหลือทั้งห้าคนก็เลือกที่นั่งตรงก้อนหินติดกันกับทั้งสี่คน หลังจากนั้นศาสตราจารย์อาพริสจึงเริ่มทำการสอนซึ่งการสอนของศาสตราจารย์อาพริสนั้นเป็นการสอนโดยยกตัวอย่างของสิ่งก่อสร้างให้เห็น และให้นักเรียนทุกคนเดินตามศาสตราจารย์มาทำให้เหมือนกับการที่ทุกคนได้ไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ การสอนแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่รู้สึกง่วงเหมือนวิชาประวัติศาสตร์อื่นที่สอนกันมา หลังจากเวลาเรียนในช่วงเช้าผ่านไป ทั้งเก้าคนจึงเดินไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน เจมิไนนั้นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อียิปต์เกี่ยวกับฟาโรห์แต่ละพระองค์ที่ได้เรียนมาในช่วงเช้ากับอาซีฟ และกิลเดอรอน ระหว่างทานอาหารทุกคนต่างก็จ้องมองคารอส และคารีเฟียร์ที่ต่างก็กินข้าวกันคนละสี่จานโดยไม่แคร์สายตาของเพื่อนทั้งเจ็ดคน แต่ที่ตะลึงกันยิ่งกว่าทุกคนในกลุ่มคือเมอริก้า โกโดร่าเด็กสาวจากหอคอยผู้พิทักษ์ เด็กสาวผมสีแดงหยักโศก ตาสีแดง รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวอมชมพู ก่อนกล่าวทักทายคารีเฟียร์
“คารีเฟียร์นี่เธอยังกินเหมือนเดิมอีกเหรอเนี่ย” เมอริก้าพูดด้วยความทึ่งในตัวของเพื่อนสาว
“โธ่! เมอริก้าก็คนมันหิว จะไม่ให้กินข้าวได้ยังไงเนี่ย” คารีเฟียร์หยุดการกินแล้วหันมามองเพื่อนสาวของตน
“แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนกินข้าวเยอะขนาดนี้นะ ดูสิมีแต่คนมองเธอด้วยความตกใจไปกันหมดแล้ว อย่างน้อยก็เพื่อหน้าตาตระกูลของเธอนะ” เมอริก้าพูดทั้งที่รู้ว่าพูดไปเพื่อนสาวคนนี้ของเธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงการกินได้อย่างเด็ดขาด ส่วนคารอสพอหันมาเห็นเด็กสาวที่กำลังพูดบ่นเพื่อนของตนอยู่จึงหยุดการกิน แล้วหันมามองเมอริก้าจนตาค้าง
“คุณเป็นเพื่อนของคารีเฟียร์ งั้นคุณนั่งทานข้าวโต๊ะเดียวกับพวกเรามั้ยครับ” ท่าทางที่สุภาพสุดๆ ของคารอสทำให้เพื่อนหลายคนสงสัย แต่นั้นไม่ใช่คารีเฟียร์
“นี่ทุกคน เมอริก้า โกโดร่าเพื่อนของฉัน ส่วนนายคารอสนายชอบเมอริก้าเหรอ อยู่ๆ ถึงได้แสดงท่าทางสุภาพซะขนาดนี้” เด็กสาวไม่พูดเปล่ายังหันไปจ้องจับผิดคารอส ส่วนคารอสน่ะเหรอก็ได้แต่เรียกเลือดขึ้นมาสูบฉีดบนใบหน้าแทนตำแหน่งสูบฉีดเลือดของหัวใจไปแล้ว ใบหน้าที่ตอนนี้กลายเป็นมะเขือเทศก็ไม่ปาน พร้อมทั้งพูดปฏิเสธชนิดที่ใครๆ ก็เถียงไม่ทัน ส่วนเมอริก้าจากหน้าขาวๆ ตอนนี้เลยกลายเป็นสีแดงแข่งกับคารอสไปแล้ว จนไม่รู้ว่าใครจะแดงกว่ากัน
“ช่วงบ่ายพวกเธอมีเรียนวิชาอะไรเหรอ ของฉันเป็นวิชาการใช้เวทขั้นต้น” เมอริก้าพูดพร้อมทั้งตักอาหารเข้าปากด้วยเช่นกัน
“ช่วงบ่ายพวกเราเรียนวิชาการใช้เวทขั้นต้นเช่นกันครับ งั้นแปลว่าพวกเราก็ต้องเรียนด้วยกันสินะ” คำตอบที่สุภาพแบบนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคารอส ที่ยังไงก็ดูสุภาพเกินเหตุอยู่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนในชั้นปีหนึ่งของหอพักพีระมิดจัตุภาคคิดกัน
หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงให้ทุกคนได้พักผ่อน เมอริก้าจึงขอตัวกลับหอพักของตน ส่วนทั้งเก้าคนก็พากันไปนั่งเล่นที่หอพักของตนเช่นกัน รวมทั้งปรึกษากันว่าใครควรจะลงแข่งกีฬาประเภทไหนกัน ซึ่งกีฬามีทั้งหมดสามประเภท อย่างแรกคือวิ่งวิบากเก็บขุมทรัพย์สามัคคี แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน ส่วนอย่างที่สองคือผจญภัยหาขุมทรัพย์ในแม่น้ำ แบ่งเป็นกลุ่มละสองคน และกีฬาอย่างสุดท้ายคือห้องผจญภัยเก็บขุมทรัพย์มรณะ แบ่งเป็นกลุ่มละสี่คน ซึ่งทุกคนต่างถามถึงความถนัดในการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า หรือการสู้โดยใช้อาวุธ รวมถึงพลังเวทของธาตุที่ทุกคนใช้ด้วย ทำให้ผลสรุปออกมาเป็นดังนี้
วิ่งวิบากเก็บขุมทรัพย์สามัคคี
1. เจมิไน คานารอล ถนัดการต่อสู้แบบประชิดตัว พลังเวทธาตุน้ำ
2. เฮอร์เดอก้า เทนโทเพต ถนัดการต่อสู้ด้วยพลังเวท พลังเวทธาตุไฟ
3. ยูเรียส เซซอสตริส ถนัดการต่อสู้ด้วยอาวุธ พลังเวทธาตุดิน
ผจญภัยหาขุมทรัพย์ในแม่น้ำ
1. อาซีฟ ไฟร์เมอร์ ถนัดการต่อสู้ด้วยอาวุธ พลังเวทธาตุน้ำ
2. กิลเดอรอน อิลลาฮัม ถนัดการต่อสู้ด้วยพลังเวท พลังเวทธาตุน้ำ
ห้องผจญภัยเก็บขุมทรัพย์มรณะ
1. เอคัส ฟามินโก้ เวล เซราฟ ถนัดการต่อสู้ด้วยพลังเวท พลังเวทธาตุน้ำ
2. คารอส ซาฟิก้า ไฟร์ ราชเวียร์ ถนัดการต่อสู้แบบประชิดตัว พลังเวทธาตุไฟ
3. คารีเฟียร์ เฟอร์เทียร์ ถนัดการต่อสู้แบบประผสมระหว่างพลังเวท และการต่อสู้แบบประชิดตัวด้วยอาวุธ พลังเวทธาตุลม
4. คำสิงห์ เวลเดอกอน ถนัดการต่อสู้ด้วยอาวุธทุกรูปแบบ พลังเวทธาตุดิน
หลังจากที่ทั้งเก้าคนประชุมเสร็จทุกคนจึงตรงไปเรียนวิชาการใช้เวทขั้นต้น ซึ่งต้องเรียนที่ลานสนามหน้าโรงเรียนและเป็นวิชาที่ทุกหอพักของชั้นปีต้องเรียนร่วมกัน ส่วนศาสตราจารย์ผู้สอนนั้นยืนรอนักเรียนอยู่ก่อนแล้ว ศาสตราจารย์ซามาน อินดิวารับหน้าที่สอนวิชาการใช้เวทขั้นต้นของนักเรียนชั้นปีหนึ่ง ส่วนคารีเฟียร์และเพื่อนที่เหลืออีกแปดคนต่างตรงไปทักทายเมอริก้า หลังจากรอนักเรียนอีกประมาณสิบห้านาทีศาสตราจารย์ซามานจึงแนะนำตัวเองอีกครั้ง และให้นักเรียนของแต่ละหอพักยืนรวมกันเป็นแถวหน้ากระดาน หลังจากนั้นศาสตราจารย์ซามานจึงเรียกนักเรียนคนแรกออกมา
“พอข้าเรียกใครให้ออกมายืนกลางลานประลอง แล้วให้สู้กัน ข้าจะดูพื้นฐานของทุกคน” ศาสตราจารย์ซามานพูดพร้อมทั้งชี้ตำแหน่งที่นักเรียนทุกคนต้องออกมายืนเพื่อสู้กัน
“วิหารเจ้าจันทรา เนวิล ฟาเรคิน กับ พีระมิดจัตุภาค คำสิงห์ เวลเดอกอน” ศาสตราจารย์ซามานให้สัญญาณทั้งคู่จึงเริ่มสู้กัน
เนวิลเริ่มร่ายคาถาทันทีพลันท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับมืดมนด้วยฤทธิ์ของเวทสายดำ ส่วนคำสิงห์นั้นยกมือขึ้นพร้อมกับที่พื้นดินตรงที่เนวิลยืนอยู่เป็นรอยแยกออกจากกัน และปรากฏเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ พร้อมกับที่เนวิลร่ายเวทเสร็จพอดี จึงทำให้พื้นดินบริเวณที่เนวิลยืนอยู่ปรากฏเป็นมังกรสีดำขนาดไม่ใหญ่มากนัก เกล็ดสีดำสนิทเป็นมันวาว ตาสีแดงเพลิง เพราะพลังเวทยังไม่สูงพอจึงทำให้เรียกมังกรเวทมาได้ไม่เต็มที่ แต่ก็สามารถหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้ คำสิงห์จึงเปลี่ยนไปใช้การต่อสู้ที่ตัวเองถนัด แค่ตวัดมือปืน m1911a1 ก็มาอยู่ในมือของคำสิงห์ เป็นอาวุธประจำมือ ระบบกึ่งอัตโนมัติทำงานด้วยการสะท้อนถอยหลัง ป้อนกระสุนเข้าสู่ลังเพลิง ด้วยการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของเลื่อนปืน เมื่อยิงหมดแล้วปืนจะเลื่อนมาอยู่ข้างหลัง ความยาว
“ศาสตราจารย์ซามานให้สัญญาณว่าคำสิงห์ เวลเดอกอน จากพีระมิดจัตุภาคชนะ” เกิดเสียงปรบมือดังขึ้น คำสิงห์จึงปล่อยเนวิลออกจากเขตอาคม และเก็บอาวุธของตนทันที
“ต่อไป พีระมิดจัตุภาค คารีเฟียร์ เฟอร์เทียร์ กับ หอคอยผู้พิทักษ์ กิบบ้อน บาโลด้า”
หลังจากที่ศาสตราจารย์ซามานให้สัญญาณกิบบ้อนจึงเรียกดาบของตนออกมาเป็นใบดาบหนากว้าง คารีเฟียร์จึงเรียกดาบสายลมสังหารออกมาบ้าง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...” กิบบ้อนวิ่งเข้าหาคารีเฟียร์พร้อมทั้งตะโกนสุดเสียง คารีเฟียร์ยกดาบขึ้นกันดาบของกิบบ้อนไว้ แล้วสะบัดข้อมือซ้ายนิดหน่อยสายลมคมกริบก็พุ่งเข้าใส่กิบบ้อนทันที กิบบ้อนสะดุ้งสุดตัวจากแผลที่เกิดขึ้น จึงกระโดดถอยห่างออกมาแล้วสำรวจดูบาดแผลบนร่างกาย แล้ววิ่งเข้ายกดาบฟันคารีเฟียร์เต็มแรงด้วยความโกรธ สาวน้อยใช้มือทั้งสองข้างจับด้ามดาบแล้วยกขึ้นรับแรงปะทะของดาบกันไว้ได้ทันเวลาพอดี คารีเฟียร์จึงใช้ฝ่าเท้าน้อยๆ ของเธอถีบตรงท้องของกิบบ้อนออกไป กิบบ้อนซึ่งโดนถีบไปเต็มแรงเซถลาไปตามแรงถีบของฝ่าเท้าน้อยๆ ทำให้คารีเฟียร์วิ่งเข้าฟันกิบบ้อนเต็มกำลัง คารีเฟียร์ยกดาบขึ้นฟันแนวสี่สิบห้าองศาหวังให้โดนต้นแขน แต่กิบบ้อนยกดาบกันไว้ทัน
“เคร้ง เคร้ง เคร้ง ฉึก” กิบบ้อนรับดาบของคารีเฟียร์ไปหลายกระบวนท่า ในตอนนี้ตามตัวของกิบบ้อนมีแต่รอยบาดแผล ส่วนคารีเฟียร์ยังไม่มีบาดแผลเลย ทำให้กิบบ้อนที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีจึงร่ายเวทใส่คารีเฟียร์ทันที พลันท้องฟ้าที่สงบเกิดการแปรปรวนจากสีขาวกลายเป็นเมฆมืดครึ้มทันที แล้วกลายเป็นสีขาวปรากฏเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้นพันรอบตัวคารีเฟียร์ทันที กิบบ้อนไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป รีบร่ายเวทเรียกสายฟ้าทันทีท้องฟ้าสดใสกลายเป็นมืดครื้มแล้วตรงตำแหน่งที่คารีเฟียร์ถูกต้นไม้พันธนาการอยู่ก็ถูกสายฟ้าผ่าใส่เต็มๆ คารีเฟียร์รู้สึกตัวชาไปทั้งตัว ด้วยความโกรธสาวน้อยจึงรีบร่ายเวทกางเขตอาคมทันที กิบบ้อนที่กำลังยืนมองดูชัยชนะที่กำลังจะมาถึงอยู่แค่เอื้อมด้วยความดีใจที่ตนชนะนักฆ่าในตระกูลเฟอร์เทียร์ได้ จึงพูดว่า
“ไหนเค้าว่ากันว่า ตระกูลเฟอร์เทียร์เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่ง พอวันนี้ได้ลองสู้ดูทำไมถึงได้ชนะง่ายอย่างนี้” กิบบ้อนพูดดูถูกคารีเฟียร์พร้อมด้วยสายตาเหยียดหยาม
บรรยากาศรอบตัวเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ จนทุกคนรู้สึกได้ พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรงจากคารีเฟียร์ ในขณะที่ดวงตาของคารีเฟียร์เปลี่ยนจากสีน้ำตาลอ่อนเป็นสีเงิน พร้อมกับบังเกตุเกิดลมพัด จากแรงลมอ่อนได้กลายเป็นลมกำลังแรงจนสุดท้ายจึงกลายเป็นพายุหมุนตรงไปทางกิบบ้อน ส่วนในตอนนี้กิบบ้อนที่เริ่มรู้ตัวว่าตนไม่ควรไปดูถูกคนของตระกูลเฟอร์เทียร์จึงได้แต่ลนลานทำอะไรไม่ถูก พายุหมุนดึงกิบบ้อนเข้าสู่ใจกลางพายุหมุน พร้อมกับที่คารีเฟียร์กางเขตอาคมเสร็จ ต้นไม้ที่พันธนาการคารีเฟียร์อยู่จึงสลายไป พร้อมกันนั้นเสียงร้องโหยหวนน่ากลัวของกิบบ้อนก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ศาสตราจารย์ซามานรีบให้สัญญาณว่าคารีเฟียร์ เฟอร์เทียร์ จากพีระมิดจัตุภาคชนะ” เกิดเสียงปรบมือดังขึ้น แต่กิบบ้อนก็ยังคงร้อยโหยหวนดังกว่าเดิมพร้อมกับที่คารีเฟียร์พูดว่า
“ตระกูลเฟอร์เทียร์ไม่เคยต้องให้ใครมาดูถูกจำไว้ ว่านี่แค่ข่ายเวทอาคมขั้นพื้นฐานที่คนของตระกูลเฟอร์เทียร์ต้องทำให้ได้ตอนอายุห้าขวบเท่านั้น” พูดจบคารีเฟียร์จึงปล่อยกิบบ้อนออกจากเขตอาคม ศาสตราจารย์ซามานเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดว่า
“เอาล่ะทุกคนได้เห็นการต่อสู้แล้ว เป็นการต่อสู้ที่ดีมากจริงๆ ทีนี้ครูจะให้พวกเธอร่ายเวทกางเขตอาคมที่ตนถนัด แล้วหลังจากที่ครูพากิบก้อนไปส่งห้องพยาบาลเสร็จครูจะบอกจุดอ่อนของข่ายเวทและวิธีดึงพลังขึ้นมาใช้” พูดจบศาสตราจารย์ซามานก็นำกิบบ้อนไปส่งห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว เพราะบาดแผลที่ค่อนข้างจะรุนแรงไปนิดหน่อยของคารีเฟียร์ นั่นคือเหตุผลที่คารีเฟียร์พูดกับศาสตราจารย์และเพื่อนๆ ของเธอ ต้องขอย้ำว่าคารีเฟียร์แค่รู้สึกโกรธนิดหน่อยเท่านั้น เลยเผลอทำให้กิบบ้อนต้องบาดเจ็บนิดหน่อยเท่านั้นเองในความคิดของคารีเฟียร์ แต่ทุกคนต่างเห็นว่าวันนี้นายกิบบ้อนนี่ดวงซวยสุดๆ อาจจะเรียกได้ว่าดวงซวยที่สุดในรอบปีก็ว่าได้
“กับอีแค่กระดูกหักไม่กี่ท่อนทำร้องโหยหวนไปได้” คารีเฟียร์บ่นด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
“ช่างเถอะเธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เมอริก้าพูดด้วยความเป็นห่วงเพื่อนสาวของตน
“ก็มันน่าเจ็บใจนิ มาดูถูกกันได้ คอยดูฉันจะทำตุ๊กตาวูดูใส่มันเลย นายนี่ชื่ออะไรนะ เห็นอยู่หอพักเดียวกับเธอ” คารีเฟียร์ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหหันไปถามเมอริก้า
“เอาเป็นว่ารีบฝึกกางข่ายเวทดีกว่า เดี๋ยวศาสตราจารย์ซามานจะมาซะก่อน” คารอสที่เริ่มเห็นท่าไม่ดี เพราะเพื่อนสาวของตนยังโมโหไม่หายจึงรีบพูดเปลี่ยนสถานการณ์ไว้ก่อน
หลังกลับจากพากิบบ้อนไปส่งห้องพยาบาลศาสตราจารย์ซามานก็เดินแนะนำวิธีการดึงพลังเวทขึ้นมาใช้จนกระทั่งหมดคาบเรียน ศาสตราจารย์จึงปล่อยนักเรียนทุกคนกลับหอพักของตน ส่วนคารีเฟียร์ที่ยังไม่หายโกรธได้แต่เดินเข้าโรงอาหารไปพร้อมกับเพื่อนของตน แต่พอได้เห็นอาหารที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเท่านั้น สาวน้อยก็ลืมความโกรธทั้งหมดที่มีและตั้งหน้าตั้งตากินอาหารเย็นด้วยความหิวทันที ในตอนนี้เพื่อนในหอพักหลังจากได้เห็นคารีเฟียร์กับคารอสกินข้าวกันมื้อละสี่จานมาแล้วสองมื้อก็เริ่มจะปลงตกกับนิสัยการกินของเพื่อน จึงไม่มีใครพูดว่าอะไรนอกจากสายตาดุๆ โดยถูกส่งตรงมาจากเอคัสที่มองมาเป็นระยะๆหลังจากกินข้าวมื้อเย็นกันเสร็จทุกคนก็พากันกลับหอพักของตน ส่วนคารีเฟียร์ที่รู้สึกเพลียจึงขอตัวไปนอนที่ห้องของตน พอล้มตัวลงนอนบนเตียงคารีเฟียร์ก็หลับไปแบบไม่รู้ตัว
คารีเฟียร์มองไปยังทุ่งดอกไม้หลากสีสัน ธรรมชาติรอบกายก็เป็นใจสายลมอ่อนพัดมา ทำให้ต้นไม้น้อยใหญ่พลิ้วไหวตามแรงลม ถัดจากทุ่งดอกไม้ไปเป็นลำธารใส มองเห็นก้อนหินด้านล่าง หมู่ปลาพากันไหว้ไปมาดูแล้วเพลินตา เด็กสาวเดินต่อไปจนเห็นสัตว์อสูร ขนดกสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้ามีลักษณะเป็นหมาใน ช่วงไหล่ลงมาถึงเท้ามีรูปร่างเหมือนมนุษย์ มันส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง พร้อมกับนัยต์ตาสีแดงก่ำจ้องมองมาทางเธอ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง ความหนาประมาณเกือบ ๆ สองพันหน้า หนังสือในมือส่องแสงสีทองอ่อนแลดูสวยดี ที่หน้าปกมีอัญมณีสีเขียวมรกตส่องสว่างสุกใส พร้อมทั้งเสียงคำรามดังกึกก้องที่ครั้งนี้เสียงดังสนั่นกว่าเดิม สัตว์อสูรวิ่งตรงมาทางเธอด้วยความเร็วจนเธอไม่รู้จะทำอย่างไร
“อย่า... ” คารีเฟียร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมทั้งหยดน้ำใสเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า
“สงสัยจะฝันร้าย แต่นี่เป็นฝันแบบเดิมอีกแล้ว” เด็กสาวบ่นกับตัวเอง และล้มตัวนอนต่อ
ความคิดเห็น