ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF Chanyeol & Rit ] - M . A . N .O

    ลำดับตอนที่ #4 : M.A.N.O - 3

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 57


    M.A.N.O -  3

     




     

     

    วันหยุดที่แสนสบายยยยยยยยย

     

    เป็นวันที่ผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะนอนอืดอยู่บนที่นอนแบบไม่ต้องขยับไปไหน ไม่ต้องทำอะไร ก็นะ ชีวิตนักศึกษาแพทย์มันโคตรจะเครียดเลยนี่นา เวลาว่างก็ไม่ค่อยมีแบบชาวบ้านเขา พอมีวันหยุดทีก็ขอให้ได้นอนยาวหน่อยเถอะ ฮือ

     

    ก๊อกๆๆ

     

    ….

     

    ก๊อกๆๆๆๆๆ

     

    …..

     

    ก๊อกๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆ

     

    โอ๊ยยยยยย รู้แล้วววว!!!”

     

    สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวต้องไปเปิดประตู ใครคนที่มันบังอาจมาเคาะในช่วงเช้าวันหยุดแบบนี้

     

     

    เอ่อไม่ใช่แฮะ

     

    เรียกทำไม เคาะทำไมมีอะไรคนจะนอนเห็นมั้ย

     

     

    โอเค ผมไม่เข้าใจไอ้ใบหน้ายิ้มๆ แบบนั้นหรอก แต่นี่มันก็สิบโมงกว่าแล้ว ผมก็เดาเอาเองแล้วกันว่าเขาอาจจะหิว

     

    มั้ง

     
     

    ผมไล่ให้คุณเอ๋อ(ที่เกือบลืมไปแล้วว่าอยู่ในบ้าน)ให้ลงไปรอข้างล่าง ผมก็จัดการทำธุระส่วนตัวของตัวเองให้เสร็จถึงจะมึนๆ หน่อยแต่หัวสมองก็ยังมิวายเอาแต่คิดเมนูอาหารที่จะกินตอนเช้า อันที่จริงผมเป็นคนไม่สันทัดเรื่องทำอาหารเท่าไหร่นะ ทำทีไรก็กินได้คนเดียว แต่คุณเอ๋อเป็นคนเกาหลีนี่ เขาไม่น่าจะเข้าใจรสชาติอาหารของไทยเท่าไหร่หรอกมั้งสรุปง่ายๆเลยแล้วกัน

     

    ยังไงผมก็จะทำให้เขากิน อิอิ

     

    มาแล้ววววววว

     

    ผมตะโกนเสียงดังตั้งแต่บนบ้านกะจะให้คนข้างล่างตกใจสะดุ้งเล่น แต่พอลงมาถึงข้างล่างมันก็กลับกลายเป็นว่าผมเองที่เป็นฝ่ายตกใจ

     

    ฮะเฮ้ย

    เด &^%%$(^(&*(^%”

     

    ใบหน้าติดเอ๋อ(ที่มีคนบอกว่าหล่อ) กำลังนั่งส่งยิ้มพริมใจอยู่บนโต๊ะอาหารที่มีชามข้าวต้มหอมส่งกลิ่นเย้ายวนน้ำย่อยในกระเพาะของผมอยู่ ผมมองหน้าของคุณเอ๋อสลับกับชามข้าวต้มนั้น

     

    ทำเองหรอ?”

    เฮ้ย จริงดิ

     

    ผมรีบวิ่งเข้ามานั่งกับเก้าอี้ อยากจะแทรกหน้าเข้าไปในชามแล้วถามเจ้าเมล็ดข้าวที่ลอยไปลอยมาอยู่ว่า คุณเอ๋อนี่เป็นคนทำจริงใช่มั้ย ไม่ได้ไปปลุกคุณป้าจอมโหดข้างบ้านให้มาช่วยทำใช่มั้ย หลอกกันอยู่รึเปล่า?

     

    ผมยังทำไม่เป็นเลยนะ - -

     

    “%^#^%*&^(^&*%^%$&^”

    อ่าๆ…”

     

    ผมพยักหน้ากับสิ่งที่เขาพูด คือไม่ได้เข้าใจอะไรหรอก แต่ดูเหมือนเขาจะกำลังพรีเซนต์อาหารเช้าที่ตัวเองเป็นคนทำอยู่

     

    อ่ะ…”

     

    ช้อนกลมที่มีข้าวต้มแบบพอดีถูกยื่นมาตรงหน้าผม ผมหรี่ตามองคุณเอ๋อ ก่อนจะยกมือขึ้นตั้งใจจะคว้าช้อนมาถือเอง แต่ว่ามือข้างที่ยังใส่เฝือกของเขากลับยกขึ้นมาเบรคเอาไว้

     

    จะแกล้งอะไรป้ะเนี่ย

     

    เขาไม่ตอบ แต่ช้อนกลมๆ ถูกยื่นมาตรงหน้าผมอีกครั้ง ผมลังเลอยู่นิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆ งับช้อนเข้าปากไปเต็มคำ รสชาติข้าวต้มออกแนวจืดๆ คงเป็นเพราะคนเกาหลีไม่นิยมใส่เครื่องเคียงอะไรลงในอาหารมากนัก เนื้อหมูมีรสเค็มนิดๆ คงเป็นเพราะเขาหมัก และ อืมข้าวนิ่มพอดีเลยอะ

     

    สะสุดยอด

     

    ก็…OK”

     

    เขายิ้มกว้างเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น มือหนาเอื้อมมาหยิกแก้มผมและดึงไปดึงมาอย่างเอาแต่ใจ มันเจ็บนะเฟ้ยยย

     

    งื้อออ ปล่อยยยยย

    ฮ่าๆๆๆ

     

    ไอเอ๋อนิ นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วยังดึงแรงกว่าเดิมอีก ผมไม่ยอมแพ้รีบเอื้อมมือไปดึงแก้มของอีกคนบ้าง และดูเหมือนว่าผมจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะมืออีกข้างของเขายังเข้าเฝือกอยู่ เห็นหน้าเอ๋อๆ แบบนี้แก้มตัวเองก็น่าดึงไม่น้อยไปกว่ากันนักหรอกนะ เอ๋อเอ๊ย นี่แน่ะ!

     

    อ๊า ^&^&#%^*(&*)”

     

    กลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนกำลังแข่งกันดึงแก้มอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย แข่งแบบลืมชามข้าวต้มที่พยายามส่งกลิ่นเรียกพวกผมอยู่เลย

     

    และคนสุดท้าย คนที่ชนะก็เป็นผม วะฮ่าๆๆๆ

     

    “I am the winner!!!!”

     

    ผมร้องอย่างดีใจก่อนจะตบแก้มร่างสูงที่พ่ายแพ้จนต้องกลับไปนั่งหน้ามึนอยู่บนเก้าอี้ เล่นกับใครไม่เล่นนะบักเกาหลี มาเล่นกับพี่ริท กร๊ากกกก

     

    แต่ก็นะ เจ็บแก้มชะมัดดดดดด

     

    ผมนั่งลงกับเก้าอี้ก่อนจะเอามือมาลูบแก้มไม่เคยได้เล่นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยเถอะ คนเกาหลีเขาชอบเล่นอะไรแบบนี้รึยังไงกัน

     

    แล้วมื้อเช้าของเราก็จบลงไปอย่างทุลักทุเล (คือผมผิดเองที่พยายามแย่งหมูในชามคุณเอ๋อ ก๊ากกกก) ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง และตามมาติดๆ ด้วยร่างสูงที่เดินเตาะแตะตามมาและทิ้งตัวลงบนโซฟาเช่นกัน แต่ทว่า

     

    แหมะ

     

    ลุกออกไปนะ

    งื้ออออ

     

    ความรู้สึกหนักๆ ที่ขาเกิดขึ้นทันทีเมื่อร่างสูงเอาหัวกลมๆ ของตัวเองทิ้งลงมาหนุนขาของผมแทนหมอน ขายาวๆ ของเขายืดทะลุโซฟาออกไป ดวงตากลมโตปิดสนิท

     

    เฮ้ย อย่ามาเนียนนะ ลุกกกกกก

    งื้ออออ….อ๊า!!!”

     

    ร่างสูงกระเด้งตัวขึ้นแล้วจับแขนตัวเองแน่น เขาเม้มริมฝีปากราวกับกำลังสะกดกลั้นอาการเจ็บ เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจนะ คือจะแค่ดันหัวเขาออกอะ แต่ดันพลาดสไลด์มือไปรูดแขนเขาอย่างจัง คงจะเจ็บน่าดู แง๊

     

    ขะ..ขอโทษ…Sorry”

    “…”

    นี่เอ๋อ อย่างอนดิ้ ไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ย ซอรี่จริงๆ

     

    ร่างสูงยังคงนั่งนิ่งๆ ผมแอบเขาน้ำตาคลอด้วยอะ โอ้ย รู้สึกผิดโคตรๆ

     

    อย่างอนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

     

    ยังไงยังจะงอนอยู่อีก

     

    ดีกันนนนนนนนนนผมยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าคุณเอ๋ออีกครั้ง เขามองที่นิ้วก้อยสลับกับใบหน้าของผมไปมา ดีกันไง..แบบเนี้ยๆ

     

    ว่าแล้วก็เอานิ้วก้อยของตัวเองสองข้างเกี่ยวกันให้เขาดู ก่อนที่ผมจะยื่นนิ้วก้อยข้างนึงไปหาเขาเหมือนเดิม

     

    จะดีป้ะ

    “…”

    ถ้าไม่ดีนะจะ….”

     

    ยังไม่ทันพูดจบนิ้วก้อยที่ยาวกว่าของเขาก็สอดเข้ามาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของผม นั่นทำให้พอใจจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาเองก็ยิ้มเช่นกัน รอยยิ้มกว้างเหมือนตอนนั้นที่เขายิ้มให้ผมยังดูดีเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงเป็นเจ้าหัวใจของผม ที่ดันเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

     

    นี่ผมเป็นอะไร….

     





    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    ผมลืมตามาอีกทีก็พบว่าพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว คือเมื่อเช้าหลังจากที่คืนดี(?)กับคุณเอ๋อแล้ว เราก็ตัดสินใจว่าจะนั่งดูหนังกันแทน เปิดหนังได้แปปเดียวผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วแหละ หลับเป็นตาย รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนนี้

     

    นอนบนโซฟาเมื่อยชะมัด อ่า แล้วคุณเอ๋อไปไหนแล้วเนี่ย

     

    เฮลโหล

     

    ผมส่งเสียงเรียกพร้อมกับลองเดินหาจนทั่วบ้าน แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ ตามหาบนบ้าน ในห้องนอนอะไรก็ไม่มี ใจผมร่วงไปถึงตาตุ่ม เมื่อในหัวสมองเริ่มคิดเรื่องอะไรที่มันไม่ดี กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถึงเขาจะตัวสูงและดูแข็งแรงมากพอที่จะสู้กับใครหรือจัดการอะไรด้วยตัวเองได้ก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ได้ลืมหรอกนะว่าเขากำลังป่วย แถมความทรงจำก็ยังไม่กลับมา

     

    นี่ เอ๋อ อยู่ไหนน่ะ อยู่ในบ้านรึป่าว!”

     

    “….”

     

    นี่…../ เด!!!&*@^^&$%(*)(*”

     

    ร่างสูงที่ยืนโบกมือหย็อยๆ อยู่หน้าบ้าน ทำให้จิตใจที่เป็นกังวลคลายตัว รู้สึกโล่งที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้หายไปไหน หรือเป็นอะไรแบบที่ผมคิดไปเอง ผมรีบสาวเท้าเข้าไปหาเขา ใบหน้าติดเอ๋อที่ผมชอบล้อเลียนกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้ตลอดเลยนะ ยิ้มแบบนี้ตลอด

     

    หายไปไหนมาเนี่ย หาตั้งนาน!”

    เฮ้อเออๆ ช่างเหอะ เข้าบ้านได้แล้ว เดี๋ยวยุงก็กัดหรอก

     

    ผมแค่จะออกมาบ่นเขาเท่านั้นแหละ แต่พอจะเดินเข้าบ้าน มือหนากลับคว้าข้อมือผมเอาไว้ เขาจับมันเอาไว้แน่นจนผมรู้สึกอึดอัด

     

    เป็นอะไรไป?”

    “…”

    “…What's the matter?”

     

    ผมรู้ว่าพูดไปเขาก็คงจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังอยากที่จะถาม ใบหน้าของคนที่ผมชอบล้อเลียนส่งยิ้มกว้างมาให้ผมเหมือนเคย แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกเหมือนเขาไม่อยากจะยิ้มออกมา

     

    ตาของเขาไม่ยิ้ม

     

    คนที่มีดวงตากลมโต ดูสดใส ที่ผมเคยแอบชื่นชมอยู่ในใจ ในเวลานี้มันกลับดูเศร้าแบบแปลกๆ

     

    คิดถึงบ้านหรอ…”

     

    ป่วยการที่จะพูด ผมรู้สึกเกลียดความแตกต่างทางด้านภาษาของเราเป็นครั้งแรก เวลาที่เราอยากพูด อยากปลอบใจใครแล้วทำไม่ได้เนี่ย มันน่าเจ็บใจชะมัด

     

    และในฐานะที่ผมเป็นถึงนักศึกษาแพทย์ การทำอะไรๆ ให้คนไข้มีความสุขก็ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการรักษาเหมือนกันนะ

     

    ในเมื่อผมไม่เข้าใจเขา ผมก็จะทำให้เขาสบายใจแทนก็แล้วกัน

     

    คุณเอ๋อไปเที่ยวกัน

     

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .




    สถานที่เที่ยวที่พามามันคือสถานที่ที่โคตรเบสิกสำหรับผม นั่นก็คือ ถนนคนเดิน ณ ขอนแก่น ผมมาที่นี่เกือบทุกอาทิตย์ มาคนเดียวบ้าง กับเพื่อนบ้างสลับสับเปลี่ยนกันไป แต่ดูท่าว่ามันจะเป็นสถานที่ชวนตื่นตาตื่นใจสำหรับคนตัวสูงมาก เพราะตั้งแต่มาถึงหมอนี่เดินเข้าออกร้านนู้นร้านนี้เป็นว่าเล่นเลย

     

    และผมก็รู้สึกว่าตัวเองผิดพลาดนิดหน่อยที่ไม่ยอมหาหมวกหรืออะไรก็ตามแต่ที่พรางตัวได้ให้กับเขา

     

    ถนนคนเดินที่คราคร่ำไปด้วยร้านค้าและผู้คนมากมายเช่นเคยทำให้ผมรู้สึกร้อน ไอที่ร้อนน่ะ เป็นเพราะต้องใส่เสื้อแขนขาวกับหมวกเพื่อปกปิดใบหน้ากันคนจำได้ แล้วจะเกิดความวุ่นวาย ส่วนคนข้างๆ น่ะ นอกจากเสื้อยืดกับกางเกงยีนแล้วก็เดินฉิวตัวปลิวเลย และที่ผมบอกว่าพลาดก็เป็นเพราะลืมไปว่าหน้าตาของเขาก็ไม่ได้ธรรมดา(การันตีโดยคุณน้องร้านขายหมวก)

     

    กลายเป็นว่าตอนนี้หมอนั่นกลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วไปในทันที

     

    นี่ เดินช้าๆหน่อยดิ จะรีบอะไรนักหนาเนี่ย

     

    ผมพูดเบรกคุณเอ๋อเป็นรอบที่ล้าน แต่ร่างสูงก็หาได้สนใจไม่ เขายังคงเดินไปหยิบจับของร้านนู้นร้านนี้อยู่เรื่อยๆ พออยากได้อันไหนก็ยื่นมาให้ผม ซึ่งผมก็ส่ายหน้าตลอด(งกเสมอ 555)

     

    เราเดินกันอยู่นานจนผมรู้สึกเมื่อยขาไปหมด เอาจริงๆนะ มาเดินกับเพื่อนยังไม่เมื่อยเท่านี้เลย หิวน้ำจะตายแล้วด้วย

     

    นี่ หิวน้ำอะ ไปหาน้ำกินกันนนนน

     

    ผมดึงแขนเสื้อร่างสูงยิกๆ ซึ่งเขาเหล่มองผมนิดนึง แล้วก็สะบัดหน้ากลับไปยืนดูของเหมือนเดิม เออดี เจอของเล่นแล้วลืมกันเลยนะ ไอเอ๋อโย่งเอ๊ย

     

    จึก จึก

     

    ผมสะบัดแขนบ้างเมื่อร่างสูงหันมาสะกิด เขาจิ้มๆ แขนผมยิกๆ จนผมรำคาญ สุดท้ายกก็ต้องยอมหันไปตามคำเรียก พอหันไปปุ๊บ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผมก็คือ….พวงกุญแจ

     

    มันเป็นพวงกุญแจไม้ที่แกะสลักเป็นรูปเด็กผู้ชายกำลังเล่นกีตาร์อยู่ ที่ตัวกีตาร์มีตัวอักษรไม้เล็กๆ ติดเอาไว้

     

    ตัว ‘C’

     

    “%@&*^&*”

    อยากได้หรอ

     

    ผมมองร่างสูงที่ส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ ลังเลใจอยู่นิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมควักเงินออกมาจ่ายให้เขาแต่โดยดี พอจ่ายเสร็จผมก็กะจะเดินออกมา แต่เขาก็รั้งไว้ และชี้นิ้วจึกๆ ไปยังพวงกุญแจมากมายที่กองอยู่

     

    อยากให้ผมเลือกบ้างหรอ?

     

    อ่า พวงกุญแจรถอันเก่าเพิ่งจะหลุดไป ผมกำลังมองพวงกุญแจอันใหม่อยู่พอดี

     

    ซื้อจากร้านนี้ก็ได้มั้ง

     

    ยืนเลือกอยู่นาน สุดท้ายผมก็ได้พวงกุญแจในแบบที่ต้องการมันเป็นรูปเด็กผู้ชายใส่แว่นอยู่ในชุดที่ผมมองแล้วสมมติเอาเองว่ามันเป็นชุดกาวน์ ดูแล้วมันคล้ายๆ ผม(มโน 555)ถ้ามีชื่อแปะสักหน่อยก็คงดีเวลาหายไปจะได้หาเจอ

     

    เอาตัว R ครับ

     

    พวงกุญแจสองได้มาเรียบร้อย หน้าของคุณชายเอ๋อก็บานเป็นจานกระด้งทันที หมอนั่นยิ้มร่าพร้อมกับคว้าข้อมือของผมไปจับและแกว่งไปแกว่งมาเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด เฮ้ออออ

     

    เอ๋อเอ๊ยยย!!

     

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    จนเกือบสี่ทุ่ม เราก็ได้ฤกษ์กลับบ้านกัน

     

    เนื่องจากถนนคนเดินที่ว่าไม่ได้ไกลจากบ้านของผมนัก พวกเราก็เลยเดินมา ทางเดินที่ยาวไกลมีเพียงแสงไฟจากข้างทางเปิดเอาไว้ ปกติผมไม่เดินคนเดียวหรอก เพราะมันเปลี่ยวจนน่ากลัวเกินไป

     

    เด…”

    หือ?”

    ยิ้มอะไรอีกล่ะ

     

    เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มีเพียงรอยยิ้มมุมปากเท่านั้นที่เป็นคำตอบกลับมา ผมลอบมองใบหน้าของคนข้างๆ อีกครั้ง ถ้าพูดแบบคนไม่มีอคติเลยคือ ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมากนะ เขาหล่อเหลา และดูอบอุ่นจนผมไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงคนเกาหลีที่มาเป็นนักท่องเที่ยวที่นี่ธรรมดาๆ เขาดูเหมือนอะไรสักอย่าง ….

     

    อ๊ะ…”

     

    ร่างสูงร้องก่อนจะชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ผมมองตามมือนั้นไป

     

    ….เคยบอกหรือเปล่าว่าเวลากลางคืนที่ขอนแก่นน่ะ สวยมันสวยมากกว่ากรุงเทพฯ ที่มีแต่ตึกรามบ้านช่องเป็นไหนๆ ที่กรุงเทพฯน่ะ มองไปทางไหนก็เจอแต่ตึก เรื่องดาวอย่าให้พูดถึง ผมไม่เคยเจอหรอก

     

    ผิดกับที่นี่

     

    ที่ขอนแก่นผมสามารถมองท้องฟ้าได้กว้างและไกลจนสุดสายตา ถึงแม้ที่นี่จะเริ่มมีตึกสูงๆ ก่อขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ตึกพวกนั้นมันก็ไม่สามารถบดบังทรรศนียภาพที่สวยงามเหล่านี้ได้เลย

     

    ผมมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่มีอยู่มากมายเต็มไปหมด ไม่ได้มองแบบนี้มานานแล้วนะ

     

    ดาวดวงนั้น

     

    ผมสะกิดเขา ก่อนจะชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่ง มันเปล่งประกายแสงออกมามากกว่าใคร ดูเด่นชัดเหลือเกินในสายตา

     

    รู้รึเปล่า มันชื่ออะไร?”

    ฮะๆ เอ๋อตลอด

     

    ผมหัวเราะกับท่าทางมึนๆ ของเขา รู้สึกเริ่มชินกับการที่เราพูดกันไม่รู้เรื่องขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

     

    ดาวดวงนั้น

    “…”

    ฉันจะตั้งชื่อมันว่า ดาวเอ๋อ ดีมั้ย?”

    ยู เซย์ ดาว เอ๋อ

    ดาว เออ

    ใช่ ฮ่าๆๆๆๆ

     

    ผมหัวเราะร่าที่เขาพยายามออกเสียงตามภูมิใจนิดหน่อยกับฝีมือการตั้งชื่อดาวที่เท่ซะไม่มีที่ติของตัวเอง ร่างสูงที่ตอนแรกงงๆ แต่ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว ร่างสูงวางมือลงบนหัวของผมก่อนที่เขาจะโยกไปมาเบาๆ

     

    ก็อบอุ่นดีนะ

     

    กว่าที่เราจะเดินทางมาถึงบ้านก็กินเวลาไปนานอยู่ เพราะเอาแต่เล่นกัน ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้วก็เพลียมาก อยากพักร่างชะมัด

     

    เด…”

    อะไรอีกล่ะ ง่วงแล้วนะเนี่ย

     

    รอยยิ้มตามแบบฉบับของเจ้าตัวถูกส่งมาอีกครั้ง เขาจูงมือผมที่กำลังจะเข้าบ้านให้ออกมายืนหน้าบ้านก่อนที่เขาจะชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

     

    “&?$*&)(*฿^&*^(*”

    “….”

    “@%*฿ ^&%^%#^%”

    “….”

     

    ผมว่าเขารู้นะว่าผมฟังไม่รู้เรื่องนะ แต่เขาก็ยังคงพูดอะไรไม่รู้ออกมายาวเหยียด ตอนแรกผมกะจะขัด แต่พอเห็นรอยยิ้มที่แสดงออกมาว่ามีความสุขของเขาแบบนั้นมันก็ขัดไม่ลง

     

    เด…”

    ห๊ะ

    เอ๊กซ์โซ่

    หือ?...”

    ยู เซย์ เอ๊กซ์โซ่

    อะเอ๊ก-โซ่…”

    อื้อ…That is The exo planet”

     

    รอยยิ้มอบอุ่นของเขาในครั้งนี้ เรียกเอาจังหวะในหัวใจของผมให้เต้นแรงมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว มันดูดีและดูเจิดจ้ามากกว่าครั้งไหนๆเป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวมากกว่าที่ไหนที่ผมเคยเห็นดวงตาที่แสนสดใสคู่นั้นกำลังจับจ้องมายังผมสายตาที่ดึงดูดจนผมมิอาจละสายตาไปเรากำลังสบตากันและใบหน้าของเขาก็กำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา

     

    จนกระทั่งริมฝีปากของเราสัมผัสกัน

     

    มันเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบา ไม่หวือหวา แต่กลับทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย ตาของผมเบิกกว้างขึ้น

     

    ภาวนาให้เขาไม่ได้ยินเสียงหัวใจของผม

    ที่ตอนนี้มันเต้นแรงจนเกินไป...

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     TBC...

     

     

      

    กรีสสสสสสสสสส คร่อกกกกกกกกก  T//////T เขินจังอ่ะ   พาร์ทนี้โซโล่โดยไรท์ S คนเดียวเลยนะ เขินมาก
    ถ้ายิ่งฟังร่วมกับเพลงในลิสต์ตรงหน้าบทความ เพลง Every day sweet day - IU นะจะฟินมาก (ลองดูๆ) 
    >< จะเป็นยังไงต่อไปโปรดติดตามด้วยนะคะ   ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะ อิอิ 

     

     

    >SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×